แม่ปากร้ายยุค 80 1037 พ่อไป๋เป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม
ตอนที่ 1037 พ่อไป๋เป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม
ตอนที่ 1037 พ่อไป๋เป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม
ปีนี้มีการเลี้ยงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในเมืองเจียงเฉิง หลินม่ายและสามีจึงไม่ได้ไปทักทายพ่อไป๋
เหตุผลหลักคือ ในช่วงนี้ฟางจั๋วหรานยุ่งกับงานมากเกินไป และทำงานล่วงเวลาเสมอ
ในที่สุดฟางจั๋วหรานก็ได้พักผ่อนในวันอาทิตย์นี้ เขาพาหลินม่ายและเสี่ยวมู่ตงไปเยี่ยมคุณพ่อไป๋ที่กลายเป็นคุณตา
พ่อไป๋ประหลาดใจมากที่เห็นครอบครัวสามคนของหลินม่ายมาอย่างกะทันหัน “พ่อนึกว่าพวกเธอยุ่งกับงาน และไม่มีเวลามาบ้านพ่อเสียอีก”
หลินม่ายชี้ไปทางฟางจั๋วหราน “เขาเป็นคนที่ยุ่งค่ะ ฉันไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น”
เมื่อเห็นว่าพ่อไป๋อยู่ที่บ้านคนเดียว เธอจึงถามว่า “พี่สาวรองไปไหนคะ?”
พ่อไป๋หัวเราะและตอบว่า “พี่สาวรองของลูกกำลังไปเดทอยู่ ออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว”
หลินม่ายกระซิบถาม “คู่เดทของพี่สาวรองหน้าตาดีไหมคะ? เขาทำงานอะไร? สภาพครอบครัวเป็นยังไงบ้าง?”
พ่อไป๋อุ้มเสี่ยวมู่ตงขึ้นพลางชั่งน้ำหนัก “หนักขนาดนี้แล้วเหรอ เพิ่งอายุไม่เท่าไหร่เอง ตาจะอุ้มไม่ไหวแล้วนะ!”
เขาวางเสี่ยวมู่ตงที่กำลังหัวเราะคิกคักลงบนพื้น ก่อนส่ายหัวให้หลินม่าย “พี่สาวรองของลูกไม่ยอมบอกอะไรเลย พ่อก็เลยไม่รู้”
หลินม่ายถาม “พี่สาวรองได้บอกไหมคะว่าจะพาชายคนนั้นมาแนะนำให้เรารู้จักที่บ้านเมื่อไหร่?”
พ่อไป๋ส่ายหัว “ไม่ได้บอกเลย”
เขาลูบศีรษะของหลินม่าย “ถ้าพี่สาวรองจะหาแฟนหนุ่มกลับบ้านเมื่อไหร่ เดี๋ยวพ่อจะบอกลูกเอง”
หลินม่ายยิ้มรับ และถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของไป๋เซี่ย
พ่อไป๋ตอบว่า “พี่ชายลูกเขียนมาบอกว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี ทีมงานของพวกเขาค้นพบแหล่งน้ำมันและก๊าซขนาดไม่เล็กเลยในมณฑลกานซู และมีรางวัลตอบแทน 300 หยวนสำหรับแต่ละแห่ง พี่ชายของลูกซื้อเก๋ากี้จำนวนมากและส่งมาที่บ้าน ลูกกับจั๋วหรานแบ่งไปฝากปู่กับย่าสิ เดี๋ยวพ่อไปหยิบเก๋ากี้ที่พี่ชายลูกซื้อมาให้”
พ่อไป๋เดินเข้าไปในห้อง ก่อนรีบเดินออกมาพร้อมกับเก๋ากี้สองห่อ
เขายื่นเก๋ากี้ห่อละ 5 ชั่งให้หลินม่าย “ห่อนี้สำหรับคุณปู่กับคุณย่า ให้พวกเขานำไปชงชาหรือทำเครื่องดื่ม มันดีต่อสุขภาพ”
จากนั้นเขายื่นอีกห่อที่หนัก 3 ชั่งให้ฟางจั๋วหราน “ห่อนี้สำหรับพวกเธอ”
ฟางจั๋วหรานรับมาอย่างไม่สบายใจ “ผมยังมีสุขภาพดี ไม่จำเป็นต้องกินเก๋ากี้หรอกครับ”
ในฐานะผู้ชาย พ่อไป๋เข้าใจความรู้สึกของเขาพลางหัวเราะเบา “ในมณฑลกานซูไม่มีอะไรให้ซื้อมากนัก ยกเว้นเก๋ากี้ที่มีชื่อเสียง ในเมื่อเซี่ยเซี่ยซื้อมาฝากแล้ว ก็รับไว้เถอะ แม้ว่าเธอจะมีสุขภาพดี แต่การกินเก๋ากี้ในปริมาณที่พอเหมาะก็ยังมีประโยชน์นะ”
ฟางจั๋วหรานไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยอมรับเก๋ากี้ถุงใหญ่มา
ครอบครัวหลินม่ายมาเยือนกะทันหัน พ่อไป๋จึงไม่ได้เตรียมอะไรไว้
เขาถือตะกร้าผักและต้องการออกไปซื้อวัตถุดิบ แต่ฟางจั๋วหรานหยุดเขาไว้ และบอกว่าเขาจะออกไปรับประทานอาหารกลางวันข้างนอก
พ่อไป๋คิดอยู่สักพักจึงพยักหน้ารับ “บังเอิญมีร้านอาหารตงเป่ยใกล้บ้านเรา งั้นตอนเที่ยงเราไปกินร้านนั้นแล้วกัน อย่าได้ดูถูกอาหารตงเป่ยเชียว มันรสชาติดีมากจริง ๆ”
ตอนเที่ยงทั้งครอบครัวขับรถไปยังร้านอาหารตงเป่ยที่พ่อไป๋พูดถึง
พ่อไป๋พูดถูกอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคืออาหารที่ร้านนี้อร่อยมากจริง ๆ ทว่าพวกเขามีการบริการที่เชื่องช้าเป็นพิเศษกว่าจะนำอาหารเสิร์ฟที่โต๊ะ
พวกเขาสั่งอาหารทั้งหมดสี่จาน แต่ต้องรอสักพักกว่าจะเสิร์ฟหัวหมูผัดซอสเป็นอาหารจานแรก ด้วยปริมาณที่ไม่ได้มาก และมีผู้ใหญ่ถึงสามคนและเด็กหนึ่งคน พวกเขาจึงรับประทานเสร็จอย่างรวดเร็ว
พวกเขานั่งรออยู่พักใหญ่ แต่บริกรกลับยังไม่นำอาหารจานที่สองมาเสิร์ฟ
ทันทีที่พ่อไป๋เดินออกจากห้องส่วนตัว เขาเห็นชายร่างกำยำสองคนที่ปลายโถงทางเดินกำลังฉุดหญิงสาวหน้าตาสะสวยและแต่งตัวทันสมัยเข้าไปในห้องส่วนตัว
คนทั้งสองต่างพูดจาหยาบคายแทะโลม
ผู้หญิงคนนั้นดิ้นรนและร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เกิดผล
ไม่มีพนักงานเสิร์ฟสักคนบนทางเดิน และไม่รู้ว่าพวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่หรือไม่
แม้ว่าห้องส่วนตัวสองถึงสามห้องจะเปิดประตู แต่พวกเขาเพียงแค่โผล่หัวออกมามองดู
ก่อนประตูจะปิดลงอย่างรวดเร็ว และไม่มีใครกล้าออกมาให้ความช่วยเหลือ
เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังจะถูกลากเข้าไปในห้องส่วนตัว พ่อไป๋รีบสาวเท้าไปด้านหน้าและพูดอย่างห้าวหาญ “ปล่อยลูกสาวผมนะ!”
หญิงสาวรีบตอบสนองอย่างทันท่วงที หล่อนกรีดร้องอย่างน่าสังเวช “พ่อช่วยหนูด้วย!”
ชายทั้งสองเห็นว่าพ่อไป๋มีท่าทางน่าเกรงขามและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบรนด์ดัง
ด้วยกลัวว่าพ่อไป๋จะมีอิทธิพล พวกเขาจึงผลักหญิงสาวคนนั้นไปยังทางเดินและพูดอย่างไม่พอใจ “โตจนเป็นสาวแก่แล้ว แต่ยังมากินข้าวกับพ่ออีก!”
ทั้งสองสบถและเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของพวกเขา
พ่อไป๋รีบเข้าไปช่วยพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้นและถามว่า “คุณเป็นอะไรไหม?”
หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณจริง ๆ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ชายคนหนึ่งที่เพิ่งลากหญิงสาวพลันโผล่หัวออกมาจากห้องส่วนตัว พลางมองดูพวกเขาด้วยความสงสัย
เขาอาจจะสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อไป๋กับหญิงสาว และต้องการการยืนยัน
พ่อไป๋มีไหวพริบดีมาก จึงผลักหญิงสาวเข้าไปในห้องส่วนตัวของเขา “พี่สาวกับพี่เขยของลูกรออยู่ข้างในกันหมดแล้ว รีบเข้าไปเถอะ พ่อจะไปเรียกพนักงานเสิร์ฟให้ยกจานมาให้”
ชายคนนั้นมองดูหญิงสาวเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของพ่อไป๋ แล้วจึงก้มศีรษะอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามา หลินม่ายก็ต้องประหลาดใจ “พี่สาวอันน่า ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? นี่มันกะทันหันเกินไปแล้ว!”
เธอสังเกตเห็นถุงน่องของเผิงอันน่าขาด จึงรีบถามด้วยความกังวล “พี่โดนใครทำร้ายมาหรือเปล่า?”
เผิงอันน่านั่งลงบนเก้าอี้อย่างเป็นกันเองพลางโบกมือ “อย่าไปพูดถึงมันเลย” จากนั้นเธอก็บอกทุกคนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
วันนี้เธอมาสัมภาษณ์ชาวเมืองร่วมกับช่างภาพ หลังจากเสร็จงานก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว
บ้านของช่างภาพอยู่ใกล้ ๆ เขาจึงกลับบ้านเพื่อกินอาหารกลางวัน
เผิงอันน่าอาศัยอยู่ตามลำพังในหอพักรวมซึ่งไม่ได้อยู่ใกล้กับที่ทำงาน หล่อนจึงมักแวะกินอาหารที่โรงอาหาร
แต่วันนี้หล่อนไม่อยากไปโรงอาหาร จึงมาที่ร้านอาหารตงเป่ย โดยวางแผนที่จะกลับไปยังสถานีโทรทัศน์ทันทีหลังกินอาหารเสร็จ
แต่เนื่องจากหล่อนแต่งตัวทันสมัยและดูดี ทันทีที่เข้ามาในร้าน หล่อนก็ถูกชายชั่วสองคนหมายหัวและยืนกรานที่จะลากหล่อนเข้าไปยังห้องส่วนตัวเพื่อรับประทานอาหารกับพวกเขา
เมื่อพนักงานร้านอาหารเห็นดังนั้น พวกเขาต่างซ่อนตัวด้วยความกลัว
โชคดีที่ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ พ่อไป๋เข้ามาช่วยหล่อนไว้ทันเวลา
เผิงอันน่าพูดกับหลินม่าย “หากไม่ได้พ่อคุณช่วยไว้ วันนี้ฉันคงแย่”
พ่อไป๋รีบพูดอย่างถ่อมตัว “ไม่เลยครับ มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเอง”
หลินม่ายมองพ่อไป๋และพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดเลยว่าพ่อจะยังแข็งแรงและกลายเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงามได้”
พ่อไป๋ยิ่งเขินอายกว่าเดิม “พ่อไปกระตุ้นพนักงานเสิร์ฟหน่อยดีกว่า” จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องส่วนตัว
หลินม่ายแนะนำฟางจั๋วหรานให้เผิงอันน่ารู้จัก “สามีฉันเองค่ะ”
อ่านน้อยลง
เผิงอันน่าจับมือกับฟางจั๋วหรานอย่างเป็นกันเองและกล่าวชมเขา “คุณหล่อมากเลยค่ะ!”
จากนั้นหลินม่ายก็แนะนำเผิงอันน่าให้ฟางจั๋วหรานรู้จัก “นี่คือเผิงอันน่า นักข่าวหญิงมืออาชีพของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน เราเคยพบกันผ่านการสัมภาษณ์”
หลินม่ายถามเผิงอันน่าว่าต้องการโทรหาตำรวจหรือไม่
เผิงอันน่าคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “ไม่ต้องโทรหรอกค่ะ คุณพ่อของคุณช่วยฉันจากอันธพาลสองคนนั้น พวกเขาคงไม่ทำอะไรฉันแล้ว ถ้าเราไปแจ้งตำรวจ อันธพาลสองคนนั้นอาจจะยืนกรานว่าแค่อยากเป็นเพื่อนกับฉันและทำตัวหยาบคายนิดหน่อย ทางตำรวจคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากขังพวกเขาไว้ไม่เกินสองถึงสามวัน แล้วก็ปล่อยตัวออกมา ถ้าทำแบบนั้นฉันจะกลายเป็นศัตรูของพวกเขา ฉันต้องออกไปข้างนอกเพื่อสัมภาษณ์ข้างนอกทุกวัน พวกเขาคงจะแก้แค้นฉันอย่างง่ายดาย! ปล่อยมันไปดีกว่า บางครั้งการหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นก็ดีที่สุด”
หลินม่ายและทุกคนกำลังจะเดินทางกลับหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ แต่พวกเขาบังเอิญเห็นชายอันธพาลสองคนนั้นอีกครั้ง
เผิงอันน่าถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว
หลินม่ายมองเผิงอันน่า จากนั้นหันมองชายสองคนที่คาบไม้จิ้มฟัน เธอถามเผิงอันน่าเสียงเบา “มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”
แม้ว่าเผิงอันน่าจะกล้าหาญ แต่หล่อนก็ยังหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย
หล่อนพยักพเยิดไปทางชายทั้งสองด้วยสายตา “พวกเขาคือคนที่พยายามลากฉันเข้าห้องเมื่อครู่”
พ่อไป๋พูดขึ้น “ไม่ต้องกลัว ไปขึ้นรถ เราจะพาคุณกลับไปที่สถานีโทรทัศน์เอง”
เผิงอันน่ากลัวว่าชายทั้งสองจะเข้ามาทำร้าย หล่อนจึงรีบเข้าไปในรถพ่อไป๋โดยไม่เกรงใจ
ชายสองคนเป่าปากแซวใส่รถพ่อไป๋ ก่อนขึ้นมอเตอร์ไซค์ขี่ตามรถของพ่อไป๋ไปเงียบ ๆ
ฟางจั๋วหรานเป็นคนแรกที่พบว่าพวกเขากำลังถูกตาม จึงหันมาบอกหลินม่ายและคนอื่น ๆ ทันที
หลินม่ายและคนอื่น ๆ ดูกระจกมองหลัง เห็นมอเตอร์ไซค์สองคันกำลังไล่ตามพวกเขามาจริง ๆ
เผิงอันน่ากัดฟันแน่น “ต้องเป็นอันธพาลสองคนนั้นแน่!”
หลินม่ายถามด้วยความกังวล “คุณอยากมาซ่อนตัวอยู่ที่บ้านฉันสักสองถึงสามวันไหม?”
เผิงอันน่าคิดอยู่พักหนึ่งและตอบว่า “ไม่จำเป็นค่ะ ฉันนั่งแท็กซี่ไปกลับทุกวัน พวกอันธพาลคงทำอะไรฉันไม่ได้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกมันจะกล้าไปที่สถานีโทรทัศน์หรือหอพักเพื่อทำร้ายฉัน ถ้าพวกมันกล้าทำแบบนั้นจริง ๆ ฉันจะส่งพวกมันเข้าคุก!”
เมื่อพวกเขามาถึงทางเข้าสถานีโทรทัศน์กลาง เผิงอันน่าขอบคุณพ่อไป๋แล้วจึงเข้าไปในสถานีโทรทัศน์
จากนั้นพ่อไป๋ขับรถพาครอบครัวหลินม่ายออกไป
ชายทั้งสองคิดว่าตัวเองจะไม่ถูกค้นพบ จึงเดินออกจากที่ซ่อนเพื่อหาข้อมูล
หนึ่งในนั้นเข้ามายังห้องโถงรับรอง ยื่นบุหรี่ให้ลุงที่อยู่ในห้องรับรองและถามว่า “ผู้หญิงที่เข้ามาเมื่อกี้เป็นใคร?”
ลุงในห้องรับรองถามด้วยความระมัดระวัง “ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
ชายคนนั้นยิ้มอย่างเขินอาย “มีคนแนะนำผู้หญิงคนนั้นให้ผมรู้จัก ผมจึงอยากมาหาข้อมูลเพื่อรู้จักหล่อนมากขึ้นน่ะครับ”
ลุงในห้องรับรองถามอย่างสงสัย “คนแนะนำไม่ได้บอกกล่าวเรื่องส่วนตัวของหล่อนให้คุณฟังเหรอ?”
ชายคนนั้นส่ายหัว “คนแนะนำบอกว่า ให้ผมถามหล่อนเองตอนที่พบกัน แต่ผมอยากรู้ล่วงหน้า เผื่อว่าจะเปลี่ยนใจ”
ลุงพูดว่า “ก็ถ้าคุณอยากเปลี่ยนใจจริง ๆ คุณก็ไม่คู่ควรกับนักข่าวเผิงของเรา หล่อนเป็นนักข่าวที่มีชื่อเสียงในสถานีนี้”
ชายคนนั้นต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหญิงสาว แต่ลุงปฏิเสธที่จะพูดสิ่งใดอีก
ชายผู้นั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับออกไปหาชายอีกคนอย่างขุ่นเคือง
ชายสองคนนี้ คนหนึ่งชื่อจูซิ่งเซิ่ง ส่วนอีกคนชื่อหม่าฉุน ทั้งคู่เป็นทายาทคนรวยรุ่นที่สองและเป็นเสือผู้หญิงที่โด่งดัง
จูซิ่งเซิ่งแทบรอไม่ไหวที่จะถามหม่าฉุนด้านข้าง “แล้วนายได้ถามไหมว่า ชายหญิงสองคนนั้นเป็นพ่อลูกกันจริงหรือเปล่า?”
แม้ว่าการปรากฏตัวของพ่อไป๋จะบังคับให้พวกเขาต้องปล่อยเผิงอันน่าไป แต่จูซิ่งเซิ่งยังไม่เชื่อว่าพ่อไป๋และเผิงอันน่าเป็นพ่อลูกกันจริง
พวกเขาจึงติดตามอีกฝ่ายมาตลอดทาง และพยายามสืบหาความสัมพันธ์ของทั้งสอง
หม่าฉุนส่ายหัว “ลุงคนนั้นไม่ยอมบอกเลย แต่เพิ่งรู้ว่าหญิงคนนั้นแซ่เผิง และเป็นนักข่าวของสถานี”
จูซิ่งเซิ่งพูดอย่างเกรี้ยวกราด “แค่นี้ก็มากพอแล้ว!”
ชายทั้งสองแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างกลับบ้าน และจัดการเรื่องของตัวเอง
ทันทีที่จูซิ่งเซิ่งกลับถึงบ้าน เขาต่อสายหาสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนเพื่อสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของเผิงอันน่า
เขาแกล้งทำเป็นเลขานุการของคุณปู่ตัวเอง โดยอ้างว่าปู่ของเขาต้องการสอบถามเกี่ยวกับเผิงอันน่า และรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับหล่อนอย่างรวดเร็ว
เผิงอันน่า เกิดในซานตง อายุ 27 ปี สูญเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก มีแม่เพียงคนเดียวกับน้องชายหนึ่งคนในบ้านเกิดของหล่อน และไม่มีญาติคนอื่นๆ
เมื่อวางสายโทรศัพท์ ใบหน้าของจูซิ่งเซิ่งก็หมองหม่นด้วยความโกรธ เขาโทรหาหม่าฉุนและบอกว่าชายวัยกลางคนที่ช่วยเหลือเผิงอันน่าไม่ใช่พ่อของหล่อน
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ หม่าฉุนพูดด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “กล้ามาขัดขวางพวกเรา มันต้องตาย!”
คนทั้งสองค้นพบตัวตนและสถานที่ทำงานอย่างรวดเร็ว โดยสืบหาจากหมายเลขป้ายทะเบียนรถของเขา
หม่าฉุนเริ่มลังเล “ชายแซ่ไป๋เป็นถึงผู้จัดการสาขาธนาคารเมือง และเขาก็อยู่ในระดับอาวุโสอยู่แล้ว อย่าไปยุ่งกับเขาเลย”
ถึงแม้ทั้งสองจะทำเรื่องชั่วช้า แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องกับเจ้าหน้าที่รัฐมาก่อน นอกจากนี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ต่ำต้อยเลย
อย่างไรก็ตามจูซิ่งเซิ่งไม่สนใจและพูดด้วยความเกลียดชัง “เราไม่จำเป็นต้องลงมือแบบเปิดเผย ก็แค่ลอบทำมันอย่างลับ ๆ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เจอพวกอ้างอิทธิพลพ่อมาเกาะติดเสียแล้วสิ จะทำอะไรพ่อไป๋?
ไหหม่า(海馬)
Comments