แม่ปากร้ายยุค 80 1132 ช่วยเหลือจางเสวี่ยฉุน
ตอนที่ 1132 ช่วยเหลือจางเสวี่ยฉุน
……….
ตอนที่ 1132 ช่วยเหลือจางเสวี่ยฉุน
หลินม่ายวิ่งไปหาต้นเสียงโดยสัญชาตญาณ จากนั้นก็เห็นจางเสวี่ยฉุนนอนอยู่บนพื้น โดยมีหนังสือขนาดใหญ่หลายเล่มหล่นทับตัวหล่อน
หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “คุณยังไม่ไปอีกเหรอคะ?”
จางเสวี่ยฉุนประหลาดใจเช่นกัน “ทำไมคุณถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะ?”
หลินม่ายคุกเข่าลงเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายและโกหกไปว่า “ฉันมาอ่านหนังสือค่ะ”
เธอไม่อยากให้จางเสวี่ยฉุนรู้ว่าเธอห่วงใยอีกฝ่าย และต้องรู้สึกหนักใจ
จางเสวี่ยฉุนเชื่อคำอีกฝ่าย ก่อนชี้ไปที่ชั้นหนังสือด้วยมือเดียว แล้วอธิบายอย่างเขินอาย “ฉันแค่อยากหยิบหนังสือที่อยู่แถวบนสุด แต่หนังสือกลับหล่นลงมาใส่และกระแทกฉันหล่นลงมากองบนพื้น”
หลินม่ายตรวจสอบและเห็นรอยสีแดงขนาดใหญ่บนหน้าผากจางเสวี่ยฉุน ซึ่งอาจเกิดจากการถูกหนังสือกระแทก
เธอยื่นมือไปกดบริเวณที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเบามือและถามว่า “เจ็บไหมคะ?”
จางเสวี่ยฉุนลองกดส่วนที่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ก่อนจะส่ายหัวและตอบว่า “มันไม่เจ็บมากค่ะ”
“ถ้าไม่เจ็บก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลกันเถอะค่ะ” หลินม่ายพูดและช่วยพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น
จางเสวี่ยฉุนวางแขนบนไหล่ของหลินม่าย และพยายามใช้กำลังของตนเองเพื่อลุกขึ้นยืน
แต่ทันทีที่เคลื่อนไหว หล่อนพลันรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าขวาจนเผลอส่งเสียงร้องออกมา ทรุดนั่งลงพื้นอีกครั้งและบอกกับหลินม่ายว่า “ตอนที่หล่นลงมา ข้อเท้าขวาคงจะแพลง จึงลุกขึ้นยืนไม่ได้”
อุบัติเหตุของจางเสวี่ยฉุนไม่เพียงแต่ดึงดูดหลินม่ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้อ่านและผู้ใช้บริการหลายคนในห้องสมุด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ บรรณาธิการส่งสัญญาณให้จางเสวี่ยฉุนอยู่เฉย ๆ และรีบเรียกรถพยาบาล
ในสหรัฐอเมริกา รถพยาบาลดำเนินการโดยโรงพยาบาลเอกชนและค่าบริการค่อนข้างแพง
ขนาดรถพยาบาลอันธพาลในสถานที่แห่งหนึ่งในจีนที่เคยถูกเปิดโปงทางออนไลน์ว่ามีค่าใช้จ่าย 1,000 หยวนก็ยังถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับค่ารถพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนในสหรัฐอเมริกา
หลินม่ายไม่รู้สถานะทางการเงินของจางเสวี่ยฉุนในเวลานี้ และกลัวว่าการเรียกรถพยาบาลจะเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับอีกฝ่าย
เธอหยุดบรรณาธิการที่กำลังจะเรียกรถพยาบาล “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะพาหล่อนไปโรงพยาบาลเอง”
แม้จางเสวี่ยฉุนจะผอมมาก แต่ก็มีส่วนสูงราว 167 เซนติเมตร ซึ่งยังคงมีน้ำหนักอยู่พอสมควร
บรรณาธิการรีบห้ามหลินม่าย “คุณผู้หญิงคะ อย่าพยายามเคลื่อนย้ายคนเจ็บจะดีกว่า หากคุณไม่สามารถอุ้มผู้บาดเจ็บและปล่อยให้หล่อนล้มลงพื้น มันจะทำให้เกิดการบาดเจ็บตามมาอีก”
จางเสวี่ยฉุนและผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนพยายามห้ามปรามหลินม่าย
หลินม่ายพูดอย่างมั่นใจ “ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอเปลี่ยนมาสะพาายกระเป๋าไว้ด้านหน้า และแบกจางเสวี่ยฉุนไว้บนหลัง ก่อนจะเดินจากไป
จางเสวี่ยฉุนกังวลและตบหลังหลินม่ายเบา ๆ “วางฉันลงเถอะค่ะ คุณช่วยพยุงฉันค่อย ๆ เดินก็ได้ หรือไม่ก็เรียกรถพยาบาลเถอะ”
หลินม่ายบอกเธอว่าอย่าขยับ “คุณอยู่เฉย ๆ ก็พอค่ะ เห็นแบบนี้ฉันแข็งแรงมากนะ การอุ้มคุณไปโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าคุณยังขยับตัวแบบนี้ ฉันค่อนข้างลำบากทีเดียวค่ะ”
จากนั้นจางเสวี่ยฉุนก็สงบสติอารมณ์ลง
เด็กสาวผิวขาวบอกอย่างใจดีว่า หลังจากออกจากประตูมหาวิทยาลัยแล้วให้เลี้ยวซ้ายไป 200 เมตร มีคลินิกเอกชนขนาดเล็กที่สามารถเข้าพบแพทย์ได้โดยไม่ต้องนัดหมาย
หากอาการบาดเจ็บของจางเสวี่ยฉุนไม่ร้ายแรงเกินไป หล่อนสามารถไปที่คลินิกขนาดเล็กเพื่อรับการรักษาพยาบาล ซึ่งทั้งสะดวกและประหยัดกว่า
หลินม่ายแบกจางเสวี่ยฉุนไปยังคลินิกดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้ แพทย์ที่คลินิกแห่งนั้นจึงทำการรักษาข้อเท้าแพลงของจางเสวี่ยฉุนตามวิธีการแพทย์แผนตะวันตก และต้องการใส่เฝือกให้หล่อน แต่จางเสวี่ยฉุนปฏิเสธ
หล่อนคิดว่ามันเป็นเพียงอาการเท้าแพลงและไม่จำเป็นต้องใส่เฝือก
ด้วยความเขินอาย หล่อนจึงขอให้หลินม่ายเรียกแท็กซี่และหาคลินิกกระดูกขนาดเล็กที่ดำเนินการโดยชาวจีน บางทีแพทย์แผนจีนสูงอายุก็สามารถรักษาเท้าของหล่อนได้ด้วยการบิดเพียงไม่กี่ครั้ง
หลินม่ายทำตามคำพูดของอีกฝ่ายและโบกแท็กซี่ จากนั้นทั้งสองจึงเข้าไปนั่งในรถ
คนขับแท็กซี่พาทั้งสองคนไปรอบ ๆ ก่อนจะพบคลินิกกระดูกและข้อของแพทย์แผนจีนแห่งหนึ่ง
แพทย์จีนเฒ่ามีหนวดเคราสีเทาตรวจสอบข้อเท้าของจางเสวี่ยฉุนเบื้องต้น เขาพบว่ามันเป็นเพียงข้อต่อเคลื่อน ซึ่งไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง
เขายิ้มและบอกว่า จางเสวี่ยฉุนโชคดีมากที่เพียงข้อเท้าแพลงหลังจากตกจากที่สูงแบบนั้น
หล่อนมองแพทย์จีนเฒ่าด้วยความประหลาดใจ
แพทย์แผนจีนเฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ คงจะเดินได้แล้ว คุณลองเดินสักหน่อยสิ”
หลินม่ายและจางเสวี่ยฉุนต่างก็มองอีกฝ่ายด้วยความไม่เชื่อ
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ด้วยว่าการแพทย์แผนจีนมีความอัศจรรย์มากในด้านการรักษากระดูก แต่ไม่คาดคิดว่าจะน่าอัศจรรย์ใจขนาดนี้
แพทย์แผนจีนเฒ่าเพิ่งดึงข้อเท้าของจางเสวี่ยฉุน แต่กลับรักษาอาการบาดเจ็บของหล่อนได้ในพริบตา
หลินม่ายช่วยประคองจางเสวี่ยฉุนให้ลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง
จางเสวี่ยฉุนเปลี่ยนจากประหม่ากลายเป็นประหลาดใจ หันไปพูดกับหลินม่ายว่า “ข้อเท้าของฉันไม่เจ็บแล้วค่ะ”
ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเจ็บปวดแสนสาหัสทุกครั้งที่สัมผัสพื้น
หลินม่ายมีความสุขเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นลองเดินรอบ ๆ หน่อยดีไหมคะ?”
หลินม่ายปล่อยมือเพื่อให้อีกฝ่ายเดินเอง กระนั้นจางเสวี่ยฉุนก็ไม่ได้มีความเจ็บปวดใด ๆ อีก
จางเสวี่ยฉุนมีความสุขมาก หล่อนจ่ายค่ารักษาพยาบาลและรับคำแนะนำจากแพทย์แผนจีนชรา
หลินม่ายกำลังพาจางเสวี่ยฉุนไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบศีรษะของหล่อน
แต่จางเสวี่ยฉุนไม่ต้องการไป โดยคิดว่ามันไม่จำเป็น
แพทย์แผนจีนเฒ่าได้ยินดังนั้นจึงตรวจดูอาการบาดเจ็บของหล่อน
โดยถามว่าหนังสือที่ตกใส่หล่อนหนักแค่ไหน และมันตกจากที่สูงขนาดไหน
จางเสวี่ยฉุนแสดงท่าทางประกอบการพูด “หนังสือเล่มนั้นมีน้ำหนักประมาณสองหรือสามชั่ง มันตกลงมาจากความสูงมากกว่าหนึ่งฟุตค่ะ”
แพทย์แผนจีนเฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร น้ำหนักและส่วนสูงขนาดนี้จะไม่เป็นอันตราย”
เขาสั่งยารักษารอยฟกช้ำให้กับจางเสวี่ยฉุนและขอให้หล่อนทาทุกวันเป็นเวลา 2-3 วัน ภายในหนึ่งสัปดาห์อาการบาดเจ็บจะหายสนิท
เมื่อทั้งสองออกมาจากคลินิกกระดูกและข้อขนาดเล็ก จางเสวี่ยฉุนต้องการหาร้านอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
หลินม่ายคิดว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอ จึงเอ่ยปากชวนอีกฝ่าย “ถ้าไม่ติดขัดอะไรก็มากินอาหารที่บ้านของฉันเถอะค่ะ”
มันเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธความเมตตาเช่นนี้ จางเสวี่ยฉุนจึงตอบรับด้วยความยินดี
วันนี้ฟางจั๋วหรานหยุดงานและกำลังดูแลเด็กทารกทั้งสี่ที่บ้าน
เด็กทารกทั้งสี่นอนอยู่บนรถเข็นสองคันเคียงข้างกัน ขณะมองดูฟางจั๋วหรานหยอกล้อพวกเขาด้วยของเล่นพลางหัวเราะคิกคักไม่หยุด
คุณปู่ฟางและภรรยามองดูเด็กน้อยทั้งสี่ด้วยความรักใคร่
หลินม่ายแนะนำจางเสวี่ยฉุนให้ครอบครัวรู้จัก
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างก็ตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าจางเสวี่ยฉุนต้องการเขียนนวนิยายสารคดีเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่หนานจิง
คุณปู่ฟางพูดขึ้น “ประวัติศาสตร์อันขมขื่นนี้ต้องถูกเผยแพร่ไปให้ชาวต่างชาติได้รู้!”
คุณย่าฟางได้ยินว่าจางเสวี่ยฉุนยังไม่ได้กินอาหารกลางวัน จึงถามเธอว่าอยากกินอาหารตะวันตกหรืออาหารจีน หรือจะลงมือทำอาหารในครัวเองก็ได้เช่นกัน
จางเสวี่ยฉุนสั่งอาหารจีนด้วยความเขินอาย แม้หล่อนจะเกิดที่สหรัฐอเมริกา แต่หล่อนก็ชอบอาหารจีนมาก
น้าถูต้องการทำบะหมี่ชามหนึ่งให้จางเสวี่ยฉุน แต่หลินม่ายขอทำมันด้วยตัวเอง
บะหมี่ทะเลชามใหญ่พร้อมกุ้งและปลิงทะเลถูกเสิร์ฟต่อหน้าจางเสวี่ยฉุนอย่างรวดเร็ว
ขณะที่จางเสวี่ยฉุนกำลังกินบะหมี่ หล่อนได้พูดคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่หนานจิง
แม้ว่าคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางจะไม่ได้สัมผัสประสบการณ์การสังหารหมู่ที่หนานจิงเป็นการส่วนตัว แต่พวกเขาก็รู้จักผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ที่หนานจิงหลายคนที่ได้สัมผัสกับความโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นในปีนั้น
คู่รักสูงอายุบอกจางเสวี่ยฉุนทุกสิ่งที่พวกเขารู้
เมื่อจางเสวี่ยฉุนได้ยิน หล่อนก็ตื่นเต้นจนไม่ได้กินบะหมี่ต่อ แต่กลับหยิบกระดาษและปากกาออกจากกระเป๋าเพื่อจดบันทึก
คุณย่าฟางหยุดหล่อนไว้อย่างใจดี “เด็กดี เธอกินบะหมี่ก่อน แล้วค่อยคุยกับเราหลังกินเสร็จแล้วนะ”
จางเสวี่ยฉุนกินบะหมี่จนหมดในสามคำ จากนั้นเริ่มจดบันทึกขณะพูดคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเกี่ยวกับการสังหารหมู่
หลินม่ายมองหญิงสาวด้วยดวงตาที่มีดวงดาวเปล่งประกาย
หากถามว่าเธอพยายามไล่ตามดาวดวงไหน มันมีเพียงดาวดวงเดียวที่เธอไล่ตามในชาติก่อนและชาตินี้ นั่นก็คือจางเสวี่ยฉุน เธอคือแฟนตัวยงของจางเสวี่ยฉุนมาโดยตลอด
ฟางจั๋วหรานเห็นสายตาชื่นชมของหลินม่ายที่มองจางเสวี่ยฉุน
การที่หลินม่ายมองจางเสวี่ยฉุนเช่นนั้น มันทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อย นี่เขาต้องแข่งขันกับผู้หญิงเพื่อภรรยาของตัวเองด้วยงั้นหรือ?
จางเสวี่ยฉุนพูดคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางจนพระอาทิตย์ตกดิน ก่อนจะรู้ตัวว่าเวลาผ่านไปนานมากแล้ว
หล่อนยิ้มอย่างเขินอายและพูดว่า “เราพูดคุยกันนานมากโดยไม่รู้ตัวเลย คงรบกวนทุกคนมากแล้ว” สิ้นเสียง หล่อนก็ลุกขึ้นและขอตัวจากไป
หลินม่ายกล่าวชักชวน “ฉันกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ รอกินอาหารเย็นด้วยกันก่อนกลับเถอะค่ะ”
คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และลุงฝูพยายามเกลี้ยกล่อมให้หล่อนอยู่ต่ออย่างกระตือรือร้นเช่นกัน
ลุงฝูพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูของผมทำอาหารไม่บ่อย วันนี้คุณจางแวะมาที่บ้านทั้งที อย่าพลาดโอกาสนี้เลยครับ อาหารที่คุณหนูปรุงนั้นอร่อยมาก”
จางเสวี่ยฉุนคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้ารับ ก่อนโทรหาสามีเพื่อบอกว่าวันนี้จะรับประทานอาหารเย็นที่บ้านเพื่อนและกลับบ้านหลังกินเสร็จ และบอกเขาว่าไม่ต้องรอให้เธอกลับไปกินอาหารเย็นที่บ้าน
อีกด้านหนึ่งของสาย สามีของจางเสวี่ยฉุนบอกให้หล่อนระวังเรื่องความปลอดภัยระหว่างกลับบ้าน
จางเสวี่ยฉุนยิ้มและอธิบายให้ครอบครัวของหลินม่ายทราบว่า ครั้งหนึ่งหล่อนนั่งแท็กซี่กลับบ้านและถูกคนขับแท็กซี่ปล้น
ตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก สามีก็จะบอกให้หล่อนใส่ใจเรื่องความปลอดภัย
หลินม่ายคิดในใจ นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เมื่อสารคดีเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในหนานจิงของหล่อนถูกเผยแพร่ หล่อนจะต้องเจอกับวิกฤติที่หนักหนาทุกวันหลังจากนั้น
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เราเข้าใจหลินม่ายนะ นี่มันอาการของแฟนคลับเวลาเจอหน้าเมนอะ
พี่หมอปล่อยให้ภรรยาตัวเองได้ติ่งไอดอลกับเขาบ้างเถอะค่ะ อย่าคิดหึงหวงไปในทางนั้นนักเลย
ไหหม่า(海馬)
……….
Comments