แม่ปากร้ายยุค 80 1136 ไปหนานจิง
ตอนที่ 1136 ไปหนานจิง
……….
ตอนที่ 1136 ไปหนานจิง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งผ่านไปแล้วสองเดือน
รายการอาหารของหลินม่ายออกอากาศไปแล้ว 8 ตอน และได้รับเรตติ้งที่ค่อนข้างดี
กระทั่งประธานช่อง ผู้อำนวยการ และทีมงานผู้รับผิดชอบรายการอาหารทุกคนล้วนตื่นเต้นมาก
เมื่อใดที่หลินม่ายแนะนำอาหารอันโอชะในรายการ วันรุ่งขึ้นมันจะกลายเป็นที่นิยมทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา
ตัวอย่างเช่นเทปแรกของรายการอาหารที่หลินม่ายทำบะหมี่หลานโจวพร้อมเนื้อและไข่ตุ๋น
วันรุ่งขึ้น อุปทานเนื้อและไข่ตุ๋นในร้านหลู่ไช่ของหลินม่ายก็เพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม และทำให้ขายหมดหลายครั้ง
ร้านบะหมี่หลายแห่งยังคงรักษาความรุ่งโรจน์จากเทปแรกและมีที่นั่งเต็มตลอด
ร้านบะหมี่เหล่านั้นรู้ดีว่าธุรกิจของพวกเขากำลังเฟื่องฟูเพราะอิทธิพลของหลินม่าย ดังนั้นทุกร้านจึงพยายามเลียนแบบสูตรบะหมี่ของหลินม่ายจากรายการอาหารอย่างเต็มที่
แม้หน้าตาจะคล้ายคลึง แต่รสชาติกลับไม่เหมือนกัน มีร้านบะหมี่ร้อยร้าน ก็มีบะหมี่ร้อยรสชาติ
ผู้ชมจำนวนมากร้องขอให้หลินม่ายเปิดร้านบะหมี่ เนื่องจากพวกเขาอยากกินบะหมี่หลานโจวขนานแท้
หลินม่ายไม่ได้เลือกเปิดบะหมี่หลานโจวด้วยตัวเอง แต่ต้องการเปิดร้านแฟรนไชส์
เจ้าของร้านบะหมี่เหล่านั้นไม่มีใครโง่ หากร้านแฟรนไชส์ของหลินม่ายเปิดตัว ผู้บริโภคเหล่านั้นจะไปที่ร้านแฟรนไชส์บะหมี่หลานโจวของหลินม่ายทันที แล้วใครไหนเล่าจะมากินบะหมี่ที่ร้านของพวกเขา?
ทุกคนต่างเร่งรีบไปเข้าร่วม
แต่เพื่อที่จะสร้างรายได้ให้กับร้านแฟรนไชส์แต่ละร้าน หลินม่ายได้จำกัดจำนวนร้านแฟรนไชส์ในแต่ละเมือง และเงื่อนไขการเข้าร่วมไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตามร้านบะหมี่ที่เข้าร่วมแฟรนไชส์ต่างก็ดำเนินธุรกิจที่เฟื่องฟู
ตราบใดที่ผู้คนยังอยากกินบะหมี่ ร้านแรกที่แวบเข้ามาในหัวทันทีก็คือร้านบะหมี่ “เหม่ยจือจือ” ที่หลินม่ายเป็นเจ้าของ
ต่อมาหลินม่ายได้แนะนำอาหารขึ้นชื่อจากหูหนานในรายการ ได้แก่ ลูกชิ้นไข่มุก ปลาทรายแดงนึ่งซีอิ๊ว และอาหารนึ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน
ลูกค้าจำนวนมากไปที่โรงแรมหยวนไหลเพื่อสั่งอาหารเหล่านี้มากิน
มันเป็นช่วงปลายเดือนกรกฎาคมแล้ว และถึงเวลาพักร้อนของหลินม่าย
เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องธุรกิจ เพียงแค่มอบหมายงาน และให้ผู้บริหารระดับสูงเป็นคนดำเนินการ ขณะที่เธอคอยตรวจสอบประสิทธิภาพ
ในทุกวันที่เธออยู่บ้านจึงมีเพียงต้องคิดว่าควรทำอาหารอะไรในการถ่ายทำเทปครั้งต่อไป
จากนั้นก็คอยเล่นกับพี่น้องแฝดสี่ และปลูกผักกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
บางครั้งเธอได้พูดคุยกับจางเสวี่ยฉุนผ่านทางโทรศัพท์ และสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของอีกฝ่ายในหนานจิง
ทุกครั้งที่เธอคุยกับจางเสวี่ยฉุนทางโทรศัพท์ อารมณ์ของอีกฝ่ายจะผันผวนอย่างมาก บางครั้งก็ตื่นเต้น บางครั้งก็เศร้า และบางครั้งก็โกรธ
หล่อนรู้สึกตื่นเต้นเพราะพบข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่หนานจิง
หล่อนเศร้าใจเพราะเพื่อนร่วมชาติเสียชีวิตไปมากมาย และพวกเขาล้วนตายอย่างน่าอนาถ
หล่อนโกรธเพราะผู้บุกรุกไร้มนุษยธรรมถึงขั้นไม่ไว้ชีวิตคนชรา เด็ก และสตรีมีครรภ์
หล่อนมักจะพูดด้วยความโกรธทางโทรศัพท์ว่า “ฉันต้องเปิดเผยความโหดร้ายที่กระทำโดยผู้รุกราน และฉันต้องแจ้งให้ทางตะวันตกทั้งหมดทราบเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของชาวจีน!”
หลินม่ายรู้สึกกังวลเล็กน้อย
จางเสวี่ยฉุนยิงตัวตายในชีวิตก่อนของหล่อน ไม่เพียงเพราะการข่มขู่และข่มเหงเหมือนหมาบ้าจากฝ่ายขวาเหล่านั้น แต่ยังเป็นเพราะหล่อนกำลังเขียนหนังสือ “หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง” ซึ่งต้องเปิดรับเนื้อหาเชิงลบ นองเลือด และความโหดร้ายมากมายเกินไป
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าเหล่านี้ทำให้หล่อนตกอยู่ในความเจ็บปวดอย่างมาก จิตวิญญาณถูกกัดกร่อนทีละนิด และต้องทนทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้า
หลินม่ายชื่นชมอีกฝ่ายมาก โดยหวังว่าจางเสวี่ยฉุนจะมีชีวิตรอดปลอดภัย และไม่อยากให้หล่อนเป็นโรคซึมเศร้า
ทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์ หลินม่ายจะคอยปลอบโยนจางเสวี่ยฉุนเสมอและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้หล่อนผ่อนคลาย
คืนนั้นประมาณสองทุ่ม หลินม่ายกดหมายเลขโทรศัพท์ของจางเสวี่ยฉุน
มันเป็นวันที่ห้าแล้วนับตั้งแต่จางเสวี่ยฉุนโทรหาเธอ หลินม่ายรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
ครั้งสุดท้ายที่จางเสวี่ยฉุนโทรหาหลินม่าย หล่อนบอกว่าเป็นหวัดและมีไข้ต่ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้หลินม่ายไม่สบายใจอย่างมาก
ผ่านมาตั้งห้าวันแล้ว มันเป็นไปได้เหรอที่จางเสวี่ยฉุนจะยังไม่หายไข้อีก?
โทรศัพท์ส่งเสียงปี๊บ ๆ อยู่นานและไม่มีใครรับสาย นั่นทำให้หลินม่ายตื่นตระหนกมากขึ้นกว่าเดิม
เวลาสองทุ่มในสหรัฐอเมริกา ตรงกับเวลาแปดโมงเช้าในประเทศจีน
จางเสวี่ยฉุนเป็นคนมีวินัยในตนเองและทำงานหนัก เวลานี้หล่อนควรลุกและเตรียมตัวไปทำงานแล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อหลินม่ายโทรหาจางเสวี่ยฉุน หล่อนมักจะรับสายอย่างรวดเร็ว
วันนี้หล่อนเป็นอะไรหรือเปล่า?
ขณะที่หลินม่ายกังวลใจ ก็มีเสียงตอบรับจากปลายสายในที่สุด เสียงอันอ่อนแรงของจางเสวี่ยฉุนดังขึ้นแผ่วเบา “ม่ายจื่อ อรุณสวัสดิ์ ไม่สิ ตอนนี้ที่อเมริกาคงจะค่ำแล้ว ฉันควรพูดว่าสายัณห์สวัสดิ์”
หลินม่ายตอบกลับ “สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ”
จากนั้นก็ถามด้วยความเป็นห่วงในน้ำเสียงที่ฟังดูผิดปกติของอีกฝ่าย “คุณยังไม่หายไข้อีกหรือคะ?”
จางเสวี่ยฉุนถอนหายใจทางโทรศัพท์ “โอ้ ช่างมันเถอะ สภาพอากาศในหนานจิงชื้นเกินไปและมีฝนตกหลายวัน ฉันไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศที่นี่ จึงเป็นหวัดทุก ๆ สามวัน หลังจากครั้งล่าสุดที่โทรไป ฉันเพิ่งหายไข้หวัดได้วันเดียวเท่านั้น พอเมื่อคืนฉันกลับมาก็ครั่นเนื้อครั่นตัวและไม่สบายอีกครั้ง”
จู่ ๆ หลินม่ายก็เกิดความสงสัย
แม้จางเสวี่ยฉุนจะมีรูปร่างผอมบาง แต่ก็ใส่ใจในการออกกำลังกายอย่างมาก และยืนกรานที่จะวิ่งทางไกลทุกวัน สมรรถภาพทางกายของหล่อนดีมาก แล้วทำไมถึงปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศในหนานจิงไม่ได้?
หลินม่ายถามด้วยความระมัดระวัง “คุณเจ็บป่วยแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วคะ?”
“ประมาณหนึ่งเดือนได้แล้ว” จางเสวี่ยฉุนครุ่นคิดอย่างจริงจังและตอบกลับ
หลินม่ายยังคงนิ่งเงียบ
แม้ว่าตามความทรงจำในชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอ จางเสวี่ยฉุนจะดูสบายดีในระหว่างที่อยู่หนานจิง แต่ใครจะรับประกันได้ว่าชีวิตนี้จะไม่ผิดแผกไปจากเดิม?
หลินม่ายยังคงจำความรู้สึกที่เหมือนมีใครจับจ้องครั้งที่ไปส่งจางเสวี่ยฉุนที่สนามบินในวันนั้นได้
หากเป้าหมายของบุคคลที่แอบดูอยู่เบื้องหลังคือจางเสวี่ยฉุน บางทีเธออาจตกไปอยู่ในสายตาขององค์กรมืดของประเทศเกาะ
จางเสวี่ยฉุนป่วยบ่อยขนาดนี้ หรือว่ามันจะเป็นฝีมือขององค์กรมืดเหล่านั้น?
เธอเคยได้ยินมาว่าชาวเกาะเก่งเรื่องการวางยาพิษ ในตอนนั้นมีคนทรยศประเทศชาติถูกวางยาพิษจนตาย
หลินม่ายสงสัยว่า จางเสวี่ยฉุนอาจถูกวางยาพิษ และอาการของพิษทำให้ดูเหมือนไข้หวัด
เมื่อเห็นว่าปลายอีกด้านของโทรศัพท์ไม่พูดอะไร จางเสวี่ยฉุนจึงเรียกชื่อหลินม่ายอยู่สองถึงสามครั้งกว่าที่หลินม่ายจะกลับมารู้สึกตัว
หลินม่ายบอกว่า เธอจะบินไปหนานจิงเพื่อพบอีกฝ่ายในอีกไม่กี่วัน
จางเสวี่ยฉุนแนะนำเธอว่าอย่ามา โดยบอกว่าที่หนานจิงร้อนมาก
หลินม่ายอยู่ที่เมืองเจียงเฉิงมานาน รวมถึงชีวิตก่อนหน้าของเธอด้วย เมืองเจียงเฉิงเป็นเตาหลอมหลักแห่งแรกในสี่เตา เธอไม่เคยป่วยด้วยอากาศร้อนของที่นั่น แล้วเธอจะกลัวความร้อนในหนานจิงได้อย่างไร?
วันรุ่งขึ้น หลินม่ายบอกทุกคนที่โต๊ะอาหารของครอบครัวว่าเธอต้องการไปหนานจิงเพื่อเยี่ยมจางเสวี่ยฉุนในอีกสองวัน
ยกเว้นเด็กน้อยทั้งห้าที่ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง ทั้งครอบครัวต่างลงคะแนนอนุมัติ
แต่คุณปู่ฟางมีคำขอ ซึ่งเธอจะต้องปฏิบัติตาม
หลินม่ายมีภารกิจต้องไปที่หนานจิงในครั้งนี้ แต่คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ ต้องการติดตามไปด้วย
ในที่สุดเมื่อถึงวันเดินทาง ยกเว้นคุณลุงฝู ฟางจั๋วหราน และทารกน้อยทั้งสี่ที่อยู่บ้าน คนอื่น ๆ รวมถึงเสี่ยวตงตง เสี่ยวเหวิน และคู่สามีภรรยาสูงอายุล้วนติดตามเธอไปทั้งหมด
เสี่ยวจินและเสี่ยวถังแอบติดตามเป็นผู้คุ้มกันเพื่อปกป้องคุณปู่ฟางและครอบครัวอย่างลับ ๆ
ฟางจั๋วหรานมีงานต้องทำและเดินทางไกลไม่ได้ พี่น้องฝาแฝดทั้งสี่เพิ่งหัดเดินและส่งเสียงดังเกินไป พาพวกเขาไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวกนัก
ลุงฝูไม่กล้าติดตามไปด้วย เพราะเขาต้องการดูแลฟางจั๋วหรานแลเจ้านายน้อยทั้งสี่
สี่พี่น้องฝาแฝดมาส่งที่สนามบินวันที่พวกเขาเดินทางไปหนานจิง หลินม่ายและทุกคนเดินผ่านเข้าช่องตรวจสอบความปลอดภัย ขณะที่ไม่มีเด็กคนไหนร้องไห้งอแง
เมื่อหลินม่ายและครอบครัวมาถึงหนานจิง พวกเขาตรงไปยังโรงแรมที่จางเสวี่ยฉุนพักอยู่ หลินม่ายจองห้องมาตรฐานไว้ 3 ห้อง ห้องหนึ่งสำหรับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง ห้องหนึ่งสำหรับเสี่ยวเหวินและตงตง และอีกห้องสำหรับตัวเอง
หลังจากคนกลุ่มหนึ่งจัดกระเป๋าเดินทางแล้ว หลินม่ายก็ไปหาจางเสวี่ยฉุนที่ห้อง
มันเป็นเวลาอาหารกลางวัน แต่จางเสวี่ยฉุนไม่ได้อยู่ในห้องของหล่อน
พนักงานเสิร์ฟน้ำต้มสุกให้แขกเห็นคนหลายคนยืนอยู่หน้าห้องของจางเสวี่ยฉุน จึงถามขึ้นว่า “พวกคุณมาหาคุณจางหรือเปล่าครับ?”
หลินม่ายพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ” จากนั้นจึงถามว่า “ทำไมหล่อนถึงไม่อยู่ที่ห้องในช่วงเที่ยงล่ะคะ?”
พนักงานมีสายตาเปี่ยมแววชื่นชม และพูดว่า “ตอนนี้คุณจางคงยังอยู่ในระหว่างการสัมภาษณ์อยู่ หล่อนจะไม่กลับมาจนกว่าจะถึงเวลาห้าโมงเย็นครับ”
หลินม่ายกระซิบถาม “คุณรู้ไหมคะว่าวันนี้หล่อนไปสัมภาษณ์ที่ไหน?”
พนักงานเกาหัวเล็กน้อย “หล่อนน่าจะไปที่ถนนตงซานนะครับ ตอนที่หล่อนออกไปข้างนอกในตอนเช้ายังมาถามผมอยู่เลยว่าจะไปถนนตงซานได้อย่างไร”
หลินม่ายถามวิธีไปถนนตงซานและกล่าวขอบคุณพนักงานคนนั้น ก่อนจะพาทั้งครอบครัวตรงไปยังถนนตงซาน
เธอต้องการพบจางเสวี่ยฉุนโดยเร็วที่สุด เมื่อได้รับการยืนยันว่าอีกฝ่ายสบายดีและไม่ถูกพิษร้ายแรงเท่านั้น เธอจึงจะคลายความกังวลได้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คนที่ลอบทำร้ายนี่ใช่องค์กรชุดดำที่วางยาคุโด้ ชินอิจิจนตัวเล็กเป็นเด็กหรือเปล่านะ…เย้ย…ผิดเรื่อง
ไหหม่า(海馬)
……….
Comments