แม่ปากร้ายยุค 80 1159 เข้าร่วมการประท้วง
ตอนที่ 1159 เข้าร่วมการประท้วง
……….
ตอนที่ 1159 เข้าร่วมการประท้วง
หลินม่ายถามด้วยความงุนงง “ป่วยมาสิบกว่าวันแล้ว ทำไมถึงเพิ่งพาเสวี่ยฉุนไปโรงพยาบาลเมื่อวานล่ะ?”
เมสันตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แม้ภาวะซึมเศร้าจะเป็นอาการป่วยทางจิต แต่ผู้ป่วยก็ยังมีเหตุผล เสวี่ยฉุนไม่อยากให้ผม ลูกชาย หรือพ่อแม่ของหล่อนต้องกังวล หล่อนมักจะแสดงสีหน้ามีความสุขต่อหน้าคนอื่น และแอบร้องไห้คนเดียวเสมอ ซึ่งทำให้เราไม่ทันสังเกตเห็น ผมเพิ่งรู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติในช่วงสองวันที่ผ่านมาเท่านั้น จึงรีบพาหล่อนไปพบแพทย์และพบว่าเสวี่ยฉุนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง”
เขากุมศีรษะด้วยความเจ็บปวดแล้วพูดว่า “เห็นได้ชัดเลยว่าที่หล่อนบอกก่อนหน้านี้ว่าไม่กลัวการข่มขู่จากองค์กรเหยี่ยวดำ คำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงการแกล้งทำให้พวกเราเห็น เพื่อที่เราจะได้ไม่กังวลเกี่ยวกับหล่อน ผมไม่เคยสังเกตเห็นเลย จนพาหล่อนไปรักษาล่าช้า หมอบอกว่าหากได้รับการรักษาภาวะซึมเศร้าตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะมีโอกาสรักษาหาย แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว”
หลินม่ายปลอบใจเขา “ไม่เป็นไรนะคะ ตราบใดที่เราพาหล่อนไปรักษาอย่างสม่ำเสมอ เสวี่ยฉุนจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
เมสันพยักหน้า “ผมก็หวังเช่นนั้น”
หลินม่ายลากขาอันหนักอึ้งกลับบ้าน และบอกฟางจั๋วหรานเกี่ยวกับสถานการณ์ของจางเสวี่ยฉุน
เธอพิงแขนของฟางจั๋วหรานอย่างเหนื่อยล้าและพูดด้วยความกังวล “ฉันกลัวว่าเสวี่ยฉุนจะคิดสั้นเพราะภาวะซึมเศร้าจังเลยค่ะ”
ฟางจั๋วหรานโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนพลางลูบหลังของเธอแผ่วเบา “มันจะไม่เป็นแบบนั้นหรอก คนที่ร่าเริงและอบอุ่นอย่างเสวี่ยฉุนจะทนทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าได้อย่างไร?”
หลินม่ายกล่าว “ไม่ว่าคนคนนั้นจะกระตือรือร้นและร่าเริงเพียงใด แต่ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะกลายเป็นโรคซึมเศร้าหลังถูกคุกคามอยู่ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังมีโรคประสาทอ่อน ๆ อีกด้วย”
ฟางจั๋วหรานไม่ได้พูดอะไร แต่เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากรักษาเป็นเวลานาน อาการก็ทุเลาลงมาก และไม่จำเป็นต้องกินยาอีกต่อไป
ตามทฤษฎีแล้ว โรคประสาทอ่อน ๆ เช่นนี้ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้เลย
ฟางจั๋วหรานรู้สึกงุนงง
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ขณะที่หลินม่ายเพิ่งจัดเตรียมเรื่องให้นักศึกษาที่เหลืออยู่อีกเก้าคนกลับประเทศจีน เธอก็ได้รับข่าวร้ายของจางเสวี่ยฉุนอย่างกะทันหัน
บอดี้การ์ดสองคนที่รับผิดชอบในการปกป้องจางเสวี่ยฉุนโทรหาหลินม่ายและบอกว่าจางเสวี่ยฉุนฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมือของตัวเอง
วันนั้นฟางจั๋วหรานกำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้าน และหลินม่ายกำลังทำอาหารจานเด็ด
เมื่อหลินม่ายรับสาย เธอทิ้งทุกอย่างที่กำลังทำและตรงไปที่บ้านของจางเสวี่ยฉุนทันที
ฟางจั๋วหรานติดตามไปด้วยเช่นกัน เขารู้สึกสังหรณ์ใจว่ามีบางอย่างน่าสงสัยเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายอย่างกะทันหันของจางเสวี่ยฉุน
จางเสวี่ยฉุนกินยาเพื่อควบคุมอาการ และอาการของหล่อนไม่ควรแย่ลงอย่างรวดเร็วจนถึงขั้นฆ่าตัวตาย
เขาติดตามไปเพื่อดูว่าจะสามารถพบเบาะแสใดได้บ้างหรือไม่
เมื่อทั้งคู่มาถึง จางเสวี่ยฉุนก็ถูกส่งไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาแล้ว ตอนนี้หล่อนนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว
หลินม่ายกระซิบถามเมสันว่า องค์กรเหยี่ยวดำได้ข่มขู่ครอบครัวของเขาก่อนที่จางเสวี่ยฉุนจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า
เมสันพยักหน้ารับ “ใช่ครับ พวกมันวางร่างลูกสุนัขที่ถูกถลกหนังไว้ที่หน้าประตู ลูกสุนัขตัวนั้นยังสวมเสื้อผ้าเด็กแบบเดียวกับลูกชายของเรา หากมองผ่าน ๆ แล้วล่ะก็… มันเหมือนกับร่างของเด็กคนหนึ่งมาก เสวี่ยฉุนเปิดกล่องดูเพียงแวบเดียว หล่อนตกใจมากจนกรีดร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด ผมคอยอยู่กับหล่อนตลอดเวลาเพราะกลัวหล่อนจะทำเรื่องสิ้นคิด แต่ขณะที่ผมไปเข้าห้องน้ำและกลับเข้ามา ผมเห็นว่าเสวี่ยฉุน… กรีดข้อมือเพื่อฆ่าตัวตายแล้ว”
ขณะที่หลินม่ายและเมสันกำลังพูดคุยกัน ฟางจั๋วหรานพิจารณามองดูขวดยาของจางเสวี่ยฉุนที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างจริงจัง
เมสันหันไปมองเขาอย่างสงสัย “มิสเตอร์ฟาง คุณคิดว่ายาพวกนี้ผิดปกติหรือครับ?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม “ผมก็ไม่แน่ใจนัก คงจะต้องนำส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบดูก่อนถึงจะบอกได้”
จู่ ๆ จางเสวี่ยฉุนก็ฆ่าตัวตาย เมสันจึงโทรหาพ่อตาและแม่ยายของเขา
เขาทิ้งภรรยาและลูกชายไว้กับคู่สามีสูงอายุชั่วคราว ก่อนจะติดตามหลินม่ายและฟางจั๋วหรานไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบยาของจางเสวี่ยฉุน
หลังจากมาถึงโรงพยาบาล ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผลการตรวจยาทั้งหมดก็ออกมา
ยาเหล่านั้นไม่เพียงไม่ใช่ยารักษาอาการซึมเศร้าเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นและทำให้อาการซึมเศร้ารุนแรงขึ้นอีกด้วย
หลินม่าย ฟางจั๋วหราน และเมสันต่างก็ตกตะลึง
เมสันไม่แน่ใจว่าเขาโกรธหรือหวาดกลัวกันแน่ น้ำเสียงของเขาสั่นเทาขณะเดินวนไปรอบ ๆ “จะต้องเป็นฝีมือขององค์กรเหยี่ยวดำอย่างแน่นอน ต้องเป็นพวกมันแน่!”
ฟางจั๋วหรานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและยื่นให้อีกฝ่าย “รีบโทรหาตำรวจเถอะ ให้ตำรวจจับกุมหมอที่รักษาคุณจางทันที!”
เมสันไม่ได้รับโทรศัพท์จากฟางจั๋วหราน เขาควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาและถามด้วยความงุนงง “ทำไมถึงให้จับกุมหมอล่ะ? คุณแน่ใจหรือว่าเป็นเขาที่เปลี่ยนยาของเสวี่ยฉุน?”
“ไม่ แต่ผมสงสัยว่าก่อนหน้านี้คุณจางไม่มีมีอาการซึมเศร้าเลย มันเป็นสิ่งที่หมอคนนั้นสร้างขึ้นมาเอง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถแอบให้ยากระตุ้นกับคุณจาง จนทำให้อาการซึมเศร้ารุนแรงขึ้น”
เมื่อเห็นว่าเมสันยังคงแสดงสีหน้าสงสัย เขาจึงอธิบายต่อว่า “หากคุณจางเป็นโรคซึมเศร้าจริง ๆ แค่การเปลี่ยนยารักษาโรคซึมเศร้ามาเป็นยาวิตามินก็อาจส่งผลร้ายแรงได้ แทบไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนเป็นยากระตุ้นที่ทำให้อาการย่ำแย่ลง”
เมสันเข้าใจได้ทันที จากนั้นจึงกดเบอร์โทรแจ้งตำรวจ อย่างไรก็ตามเมื่อตำรวจมาถึง แพทย์ชาวเกาะที่รักษาภาวะซึมเศร้าให้กับจางเสวี่ยฉุนก็ได้หลบหนีไปนานแล้ว
หลังจากเหตุการณ์นี้ได้รับการรายงาน ก็เกิดการประท้วงครั้งแล้วครั้งเล่าในชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลในสหรัฐอเมริกา โดยเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ปราบปรามองค์กรมืดอย่างองค์กรเหยี่ยวดำให้เด็ดขาด
จางเสวี่ยฉุนยังเข้าร่วมการประท้วงครั้งใหญ่อย่างกล้าหาญ และหลินม่ายก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
เธออายุเพียงยี่สิบกว่า แต่มีหัวใจที่กระตือรือร้นอย่างมาก
การประท้วงครั้งใหญ่นี้เหมือนกับการเดินประท้วงครั้งก่อน ๆ แม้จะเป็นการประท้วง แต่ก็ค่อนข้างอยู่ในความเรียบร้อย
ผู้เข้าร่วมการประท้วงถือธงสามเหลี่ยมสีแดงในมือพร้อมตะโกนคำขวัญอย่างฮึกเหิม ขณะเดินผ่านถนนอันพลุกพล่าน
แต่เมื่อขบวนประท้วงไปถึงไทม์สแควร์นิวยอร์ก กลุ่มชาวเอเชียและชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันก็รีบรุดเข้ามาปะทะกับขบวนประท้วง
เมื่อเห็นกลุ่มประท้วงพยายามหลีกทาง ชาวเอเชียและชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่มีเจตนาไม่ดีเหล่านั้นจึงจงใจยั่วยุและโจมตีผู้เข้าร่วมการประท้วง
ชาวจีนโพ้นทะเลที่มาร่วมการประท้วงส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่กระตือรือร้น ซึ่งไม่สามารถทนต่อการยั่วยุและการโจมตีได้ ทันใดนั้นก็เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับกลุ่มคนที่มีเจตนาร้าย
แม้ตำรวจจะมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน แต่ไม่แน่ใจว่าพวกเขาได้รับคำสั่งจากหน่วยงานระดับสูงหรือติดสินบนหรือไม่ เนื่องจากพวกเขาเข้าข้างฝ่ายหนึ่งทันทีเมื่อมาถึง
พวกเขาปราบปรามผู้เข้าร่วมการประท้วงด้วยวิธีต่าง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่จงใจก่อปัญหา
ในที่สุดความขัดแย้งก็ทวีความรุนแรงขึ้น
กลุ่มผู้ยั่วยุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชียที่คุกเข่าหรือโค้งคำนับพร้อมทำท่าเป็นวงกลมล้วนมุ่งเป้าไปที่ผู้อพยพชาวจีนโดยเฉพาะ
สถานการณ์ดังกล่าวรุนแรงขึ้น จากเดิมที่มุ่งเป้าเฉพาะผู้อพยพชาวจีนเท่านั้น ตอนนี้ได้ไปสู่สภาพที่วุ่นวายซึ่งชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเริ่มโจมตีโดยไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งตำรวจด้วย
เมื่อหลินม่ายเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี เธอจึงต้องการพาจางเสวี่ยฉุนออกจากการประท้วง
เมื่อมาถึงส่วนท้ายของขบวน มันควรเป็นเรื่องง่ายที่ทั้งสองจะแยกตัวออกไป
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตรงกันข้ามพลันเกิดขึ้น
เมื่อพวกเธอต้องการออกจากบริเวณการทะเลาะวิวาท คลื่นของผู้คนก็ผลักดันเข้ามาหาพวกเธอราวกับพายุ
หลินม่ายรีบตะโกนเรียกแจ็คและบอดี้การ์ดของจางเสวี่ยฉุนทันที โดยขอให้พวกเขาช่วยกันปกป้องจางเสวี่ยฉุนให้ออกจากที่นี่
เห็นได้ชัดว่าบอดี้การ์ดทั้งสามอยู่ห่างจากพวกเธอเพียงสองหรือสามเมตร แต่เมื่อพวกเขาพยายามบีบตัวเข้าไปหา ฝูงชนที่เหมือนกับคลื่นลูกใหญ่ก็ผลักพวกเขาให้ออกห่างจากหลินม่ายและจางเสวี่ยฉุนมากขึ้นเรื่อย ๆ
บอดี้การ์ดทั้งสามมีความกังวลมากและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลับไปหานายจ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำได้
หลินม่ายมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีหลายคนจงใจผลักบอดี้การ์ดทั้งสามให้ห่างออกไปเรื่อย ๆ
เธอจับมือของจางเสวี่ยฉุนไว้แน่นพร้อมจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่ “อย่าปล่อยมือฉันนะ ฉันจะปกป้องเธอเอง!”
จางเสวี่ยฉุนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าการทะเลาะวิวาทนี้มุ่งเป้ามาที่เราสองคน งั้นปล่อยฉันไปเถอะ ฉันจะหาทางออกด้วยตัวเอง ฉันได้เติมเต็มความปรารถนาของตัวเองด้วยความช่วยเหลือของเธอแล้ว ฉันไม่กลัวความตายหรอก”
ขณะที่จางเสวี่ยฉุนกำลังพูด หลินม่ายรู้สึกปวดร้าวบริเวณข้อมือข้างที่จับจางเสวี่ยฉุนไว้แน่น
มีคนใช้มีดแทงมือเธอ โดยพยายามบังคับให้เธอปล่อยจางเสวี่ยฉุน
หลินม่ายใช้เข่าของเธอกระแทกหว่างขาอีกฝ่ายอย่างแรง ทำให้ชายชาวเอเชียละทิ้งมีดพกเปื้อนเลือดในมือและกุมเป้ากางเกงด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็กรีดร้องอย่างโหยหวนพร้อมสาปแช่งเป็นภาษาญี่ปุ่น
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ผู้เขียนเอาเหตุการณ์จริงมาเขียนหรือเปล่านี่ มันดูสมจริงมาก
จะกวาดล้างองค์กรเหยี่ยวดำได้หมดเมื่อไหร่หนอ
ไหหม่า(海馬)
……….
Comments