แม่ปากร้ายยุค 80 1164 กลับบ้าน
ตอนที่ 1164 กลับบ้าน
……….
ตอนที่ 1164 กลับบ้าน
ครึ่งปีหลังจากที่อาหวงจากไป ฤดูใบไม้ผลิก็กลับมาอีกครั้ง เดือนมีนาคมในนิวยอร์กมีเพียงดอกทิวลิปที่เบ่งบานอย่างเงียบงันบนท้องถนน
ในวันนี้ หลินม่ายวางแผนจะทำซุปรากบัวและซี่โครงหมูให้ทุกคนดื่ม แต่เมื่อคิดว่าอาหวงจากเธอไปแล้ว เธอก็รู้สึกโศกเศร้าในหัวใจ
อาหวงชอบแทะซี่โครงหมูมาก ปัจจุบันมีเพียงหวางไฉเท่านั้นที่แทะซี่โครงหมูเหล่านั้น
หลังจากเคี่ยวซุปรากบัวและซี่โครงหมู เธอก็นำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ในเวลาเดียวกันนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ส่งคนมาแจ้งหลินม่ายว่าเธอพ้นผิดแล้ว
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานต่างรับฟังด้วยท่าทางสงบนิ่ง
เมื่อไม่กี่วันก่อน สถานทูตได้ส่งคนมาแจ้งให้เขาและภรรยาทราบแล้วว่าอีกไม่นานพวกเขาจะเป็นอิสระ ซึ่งเป็นเหตุให้ทั้งสองคนไม่ได้ตกใจกับข่าวนี้มากนัก
สองวันต่อมา หลินม่ายและสามีพาลุงฝูและหวางไฉกลับไปประเทศจีน
แม้หลินม่ายจะไม่ได้เปิดเผยตารางงานของตัวเอง แต่แฟนคลับบางคนยังคงได้รับข่าวจากแหล่งข้อมูลว่าเธอกำลังจะเดินทางกลับประเทศจีน
แฟนคลับหลายคนมายังสนามบินเพื่อส่งพวกเขา หลินม่ายโบกมือให้กลุ่มคนอย่างกระตือรือร้น
เมื่อขึ้นไปนั่งบนเครื่องบิน หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไป
คล้ายกับเธอเห็นอาหวงวิ่งมาหาเธออย่างมีความสุข พร้อมกับแจ็คที่ยิงฟันขาวอันสะดุดตาให้กับเธอ
การจากไปครั้งนี้ เธอไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกครั้งเมื่อใด
เธอไม่ได้คิดถึงประเทศนี้ แต่ยังคงลังเลที่จะแยกทางกับผู้คนและบางสิ่งที่นี่
ไม่กี่วันต่อมา หลินม่ายและทุกคนมาถึงสนามบินเมืองเจียงเฉิง
ทันทีที่ออกจากจุดตรวจรักษาความปลอดภัย นักข่าวจำนวนมากก็มารวมตัวกันรอบ ๆ เพื่อขอสัมภาษณ์หลินม่าย
เดิมทีหลินม่ายเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว หลังจากถูกกักบริเวณในบ้านเป็นเวลาห้าปีในอเมริกา เธอกลายเป็นคนเงียบขรึมมากขึ้น
เธอยื่นมือออกไปเพื่อบังแสงจ้าจากกล้องถ่ายรูป ภายใต้การดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เธอเดินทางกลับไปยังวิลล่าบนถนนต่งถิงพร้อมกับฟางจั๋วหราน ลุงฝู และหวางไฉ
ทันทีที่ประตูวิลล่าเปิดออกอย่างเชื่องช้า หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อเห็นคุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และพ่อไป๋ยืนต้อนรับเธออยู่ในห้องนั่งเล่น
ในช่วงหลายปีที่ถูกกักบริเวณในต่างประเทศ เธอไม่เคยร้องไห้เลย แต่หลังจากเห็นครอบครัวอีกครั้ง เธอรู้สึกเพียงว่าอยากร้องไห้ออกมาด้วยความสุขที่เอ่อล้น
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางร้องไห้ด้วยความดีใจ พวกเขาผลักหนูน้อยทั้งสี่ที่แต่งตัวอย่างดีออกไปด้านหน้าหลินม่ายและสามี
“เด็กคนนี้คือมู่ชุน นี่คือมู่เซี่ย ส่วนนี่คือมู่ชิว และนี่ก็คือตั่วตั่วเจ้าหญิงตัวน้อยของเรา” คุณย่าฟางแนะนำหนูน้อยทั้งน้ำตา
นางปาดน้ำตาและพูดกับเด็กน้อยทั้งสี่ที่กำลังมองหลินม่ายและสามีด้วยดวงตากลมโต “นี่คือหม่าม้ากับปะป๊าของพวกหนูยังไงล่ะ เรียกปะป๊ากับหม่าม้าสิ!”
เด็กน้อยทั้งสี่คนไม่มีใครพูดอะไรเลยจนกระทั่งมู่ชุนพี่ชายคนโตตะโกนขึ้น “หม่าม้า ปะป๊า”
เด็กน้อยอีกสามคนเห็นแบบนั้นก็เรียกพวกเขาว่าหม่าม้ากับปะป๊า
หลินม่ายลูบหัวเด็กน้อยทั้งสี่ด้วยความรักใคร่ “พวกลูกโตขึ้นมากเลย ตอนที่เราแยกกันพวกเธออายุราวสองขวบเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเธออายุเจ็ดขวบแล้ว”
ความรู้สึกไม่คุ้นเคยของเด็กน้อยถูกขจัดหายไปจนหมดหลังจากที่พวกเขาได้ยินเสียงของหลินม่าย
หลินม่ายมักจะพูดคุยกับเด็กน้อยทั้งสี่คนยามที่มีเวลาเสมอ พวกเขาจึงคุ้นเคยกับเสียงของเธอ
ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง เด็กน้อยทั้งสี่ก็เริ่มคุ้นเคยกับหลินม่ายและสามี พร้อมทั้งวิ่งเล่นรอบตัวพวกเขาอย่างมีความสุข
มู่ตงอายุเกือบ 12 ปีแล้ว และดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก โดยมีส่วนสูงมากถึง 175 เซนติเมตร
หลินม่ายไม่อยากเชื่อว่าหนูน้อยตัวเล็กในความทรงจำของเธอจะเติบใหญ่ถึงขนาดนี้ และดูคล้ายกับฟางจั๋วหรานอย่างมาก
หลินม่ายโอบกอดมู่ตงไว้ในอ้อมแขน และปฏิเสธที่จะปล่อยมืออยู่นาน
เขาเป็นลูกคนแรกของเธอกับฟางจั๋วหราน ซึ่งหมายความว่าเขาแตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ และเธอแอบมีความลำเอียงให้เขาอยู่ในใจ
มู่ตงยังคงไร้เดียงสาและใจดีเหมือนตอนที่เขายังเด็ก ๆ เขาตบหลังหลินม่ายอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “แม่ครับ ปู่กับย่ายังคงรอที่จะมอบอ้อมกอดให้แม่อยู่นะ”
หลินม่ายจึงปล่อยเขาไป และเดินไปกอดทุกคน รวมถึงแม่ไป๋ด้วย
หลังจากที่ทุกคนในครอบครัวทักทายกันแล้ว ทุกคนก็นั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตพลางถอนหายใจ
คุณย่าฟางเช็ดน้ำตาและพูดว่า “ย่ากับปู่กลัวว่าจะอยู่ไม่ถึงวันที่พวกเธอกลับมา เราจึงออกกำลังกายอย่างแข็งขันทุกวัน ในที่สุดพวกเธอก็กลับมา”
หลินม่ายจับมือของคุณย่าฟางที่เหี่ยวย่นลงเรื่อย ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ก็ปี 1996 แล้ว อีกปีเดียวก็จะถึงปี 1997 คุณปู่กับคุณย่าจะมีสุขภาพแข็งแรงจนได้เห็นการกลับมาของฮ่องกง ไม่ใช่แค่ฮ่องกงเท่านั้นนะคะ แต่ยังรวมไปถึงการกลับมาของมาเก๊าด้วย ขอให้คุณปู่กับคุณย่ามีอายุยืนยาวค่ะ”
มู่ตงสั่งน้องชายและน้องสาวทั้งสี่ตะโกนขึ้นพร้อมกัน “คุณปู่ทวดและคุณย่าทวดจะมีชีวิตที่ยืนยาว! ได้รับพรดั่งทะเลตะวันออก!”
ทันใดนั้นทั้งห้องก็ระเบิดเสียงหัวเราะ
เวลาเดียวกันนั้น น้าถูรีบเดินเข้ามาพูดกับทุกคนอย่างมีความสุขว่า “ลองทายสิคะว่าใครกลับมา?”
ทุกคนมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอและพูดด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวเหวิน! ทำไมถึงกลับมาได้ล่ะ?”
เสี่ยวเหวินทำได้ดีมากในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนั้น ไม่เพียงสามารถเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยปักกิ่งซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศเท่านั้น แต่เขายังได้รับทุนการศึกษาเต็มจำนวนเพื่อศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดในสหราชอาณาจักรอีกด้วย
ในตอนนั้นเสี่ยวเหวินปฏิเสธที่จะไปโดยไม่บอกเรื่องนี้กับครอบครัว แต่เพื่อนของเขาแอบมาเล่าให้คุณปู่กับคุณย่าฟัง
คุณปู่กับคุณย่าถามเขาว่า ทำไมถึงไม่อยากไปเรียนที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เขาตอบกลับมาว่าตอนที่ออกจากสหรัฐอเมริกา เขาสัญญากับอาหญิงและอาชายว่า เขาจะรับผิดชอบดูแลคุณปู่ทวด คุณย่าทวด น้องชาย และน้องสาวทุกคน
เขาสมัครขอทุนที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเพียงเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง
ท้ายที่สุดหลินม่ายโทรหาเขา และโน้มน้าวให้เขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
ก่อนที่หลินม่ายจะกลับประเทศจีนในครั้งนี้ เธอได้คุยโทรศัพท์กับเสี่ยวเหวินแล้ว โดยบอกเขาว่าอย่ารีบกลับมาเพียงเพราะเธอ ฟางจั๋วหราน และลุงฝูกลับประเทศจีน
เขากำลังจะเรียนจบในอีก 3 เดือนกว่า ๆ เช่นนั้นรอให้สำเร็จการศึกษาก่อนค่อยเดินทางกลับก็ไม่สายเกินไป
โดยไม่คาดคิด เสี่ยวเหวินยังคงดื้อรั้นที่จะรีบกลับประเทศจีน
ในช่วงหลายปีที่แยกทางกัน แม้เสี่ยวเหวินจะถ่ายวิดีโอเทปของตัวเองเพื่อส่งให้หลินม่าย คุณปู่ฟาง และคนอื่น ๆ
แต่การได้เห็นตัวจริงยังคงแตกต่างจากการดูผ่านวิดีโอเทป
หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาห้าปี เสี่ยวเหวินก็เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มร่างสูงและหล่อเหลาอย่างมาก
เสี่ยวเหวินอยู่บ้านราวสามวัน และเดินทางกลับไปเรียนต่อที่อังกฤษ
พริบตาเดียวก็เข้าสู่เดือนเมษายน มันเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่หลินม่ายกลับมา
หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ฟางจั๋วหรานกลับมา เขาเข้าทำงานที่โรงพยาบาลผู่จี้
อย่างไรก็ตามหลินม่ายยังคงนอนราบอยู่ที่บ้าน ส่วนใหญ่เป็นเพราะเธอไม่มีอะไรทำ
ทั้งบริษัทในอเมริกาและบริษัทในประเทศต่างดำเนินกิจการไปด้วยดี ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับมัน
สิ่งเดียวที่ทำให้เธอกังวลคือโรงงานชิปที่ถูกตะวันตกปราบปรามตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยบุคลากรที่มีความสามารถอย่างจางชานที่ได้รับการสนับสนุนจากหลินม่าย เขาทำการค้นคว้าและพัฒนาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย กระทั่งก้าวข้ามอุปสรรคทางเทคโนโลยีทีละขั้น ทำให้ประเทศจีนมีความล่าช้าน้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีต
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกราวสองถึงสามเดือนต่อมา ในวันที่ 12 กรกฎาคม เป็นวันที่เสี่ยวเหวินกลับมาอย่างเป็นทางการหลังจากสำเร็จการศึกษา
ในตอนเช้า ทั้งครอบครัวแต่งตัวและขึ้นรถมินิบัสไปสนามบินเพื่อรอต้อนรับเสี่ยวเหวิน
เที่ยวบินล่าช้าเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่ดี
หลินม่ายและครอบครัวรออยู่ที่ล็อบบี้สนามบินเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็เห็นเสี่ยวเหวินเดินออกจากจุดตรวจรักษาความปลอดภัยและเข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยกระเป๋าเดินทาง
เสี่ยวเหวินโบกมือให้หลินม่ายและคนอื่น ๆ อย่างมีความสุขมาแต่ไกล “คุณปู่ทวด คุณย่าทวด คุณปู่ฝู ผมกลับมาแล้วครับ!”
ทั้งครอบครัวก็ตะโกนบอกเขาว่า “ยินดีต้อนรับกลับมานะ!”
หลังจากตะโกน หลินม่ายพลันเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งเดินตามเสี่ยวเหวิน สีหน้าของเธอแปรเปลี่ยนทันที
คนที่ติดตามเสี่ยวเหวินไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเฉินเย่าหัวซึ่งเคยมาขอร้องทุนสนับสนุนจากหลินม่าย แต่หลังจากสำเร็จการศึกษา เขายืนกรานที่จะอยู่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อทำงาน
หลินม่ายเหลือบมองเขาด้วยความดูแคลน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าที่บ้านจริงๆ ฮืออ
เด็กๆ บ้านนี้เติบโตเป็นอย่างดีกันทุกคนเลยแฮะ
เฉินเย่าหัวกลับมาทำอะไรอีก
ไหหม่า(海馬)
……….
Comments