แม่ปากร้ายยุค​ 80 1167 ครอบครัวที่ยากจน

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 1167 ครอบครัวที่ยากจน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1167 ครอบครัวที่ยากจน

……….

ตอนที่ 1167 ครอบครัวที่ยากจน

หมอเท้าเปล่าตรวจชีพจรของหลินม่ายและพูดว่า “มองแวบแรกก็รู้ว่าพวกคุณไม่ใช่คนในท้องถิ่น ไม่แปลกที่จะไม่รู้ว่าเห็ดไหนมีพิษและเห็ดไหนไม่มีพิษ ทุกปีมีคนในท้องถิ่นจำนวนมากเจ็บป่วยหลังจากเก็บเห็ดมากิน นับประสาอะไรกับคนนอกแบบพวกคุณ? ต่อไปอย่าเที่ยวเก็บเห็ดมากินตามอำเภอใจอีกนะ”

ฟางจั๋วหรานอธิบาย “เราไม่ได้เก็บเห็ดเองหรอกครับ แต่กินซุปเห็ดของร้านอาหารขนาดเล็กในเมือง”

หมอเท้าเปล่าตรวจชีพจรของหลินม่ายและสามีเสร็จก็พูดว่า “เห็ดที่พวกคุณกินเข้าไปมีพิษน้อย และชีพจรของพวกคุณก็ปกติดี”

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย “ผมจะฉีดยาให้พวกคุณเผื่อไว้แล้วกัน”

หมอเท้าเปล่าฉีดยาที่ก้นให้พวกเขาแต่ละคนเพื่อเป็นการรักษา โดยเรียกเก็บเงินหนึ่งหยวน

ทั้งคู่ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าค่าธรรมเนียมต่ำมาก

ในปัจจุบัน การรักษาอาการไข้หวัดธรรมดาในเมืองใหญ่มีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 50 หยวน

แม้ว่าที่นี่พวกเขาจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ไม่ใช่การดริปวิตามิน แต่ทั้งสองต่างก็ได้รับการฉีดยาคนละเข็ม และค่าธรรมเนียมไม่ควรถูกขนาดนี้

ฟางจั๋วหรานไม่พูดอะไร เขาวางเงินสิบเหรียญไว้บนโต๊ะรับประทานอาหารที่หมอเท้าเปล่าใช้เป็นโต๊ะทำงาน

เมื่อทั้งคู่เดินออกจากประตู หมอเท้าเปล่าก็พบว่าฟางจั๋วหรานให้เงินเขา 10 หยวนสำหรับค่ารักษา

หมอเท้าเปล่าหยิบเงินทั้งสิบเหรียญไล่ตามพวกเขาออกไป ก่อนพูดกับหลินม่ายและสามีว่า “คุณให้เงินผิด แค่เหรียญเดียวก็เพียงพอแล้ว”

หลินม่ายโบกมือโดยไม่ได้หันกลับมามอง “ให้ถูกแล้วค่ะ คุณนำเงินที่เหลือไปซื้อรองเท้ามาใส่เถอะ ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เท้าเปล่าของคุณคงเย็นเกินไป”

หมอเท้าเปล่าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งน้ำใจ

ขณะที่หลินม่ายและสามีกำลังจะจากไป พวกเขาเดินผ่านบ้านหลังหนึ่งและได้ยินเสียงร้องอันน่าสังเวชดังมาจากลานบ้านที่ล้อมรอบด้วยรั้วเตี้ย ๆ

ทั้งคู่มองเข้าไปในลานบ้านและเห็นว่าครอบครัวของหมี่อันกำลังร้องไห้ระงม

ชาวบ้านจำนวนมากรวมตัวกันบริเวณทางเข้าและแสดงความเห็นอกเห็นใจ “คนยากจนกลัวการเจ็บไข้ ป่วยขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เหมือนฟ้าจะถล่ม!”

“ใช่! มันเป็นความจริง!”

หลินม่ายพูดเป็นภาษาจีนกลางอย่างสุภาพ “ขอทางให้พวกเราหน่อยได้ไหมคะ”

เมืองเอินซือเป็นเขตปกครองตนเองที่ซึ่งชาวจีนฮั่นและชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ร่วมกัน

แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่พูดภาษาจีนได้ แต่เกือบทุกคนสามารถเข้าใจภาษาจีนกลาง

ทุกคนรีบแหวกทางเพื่อให้ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายเดินเข้าไป

ทุกคนต่างสงสัยและให้ความสนใจ บางคนถึงกับคิดไปต่าง ๆ นานาขณะมองหลินม่ายและสามีของเธอ

สายลมแห่งการปฏิรูปพัดมาตั้งแต่ปี 1978 ถึงปัจจุบัน มันเป็นเวลาสิบเจ็ดปีแล้ว แต่ยังไม่ได้พัดเข้าสู่หุบเขาขนาดใหญ่ที่มีภูเขาสวยงามและธารน้ำใส ที่นี่มีเพียงความยากจนและความล้าหลัง

ชาวบ้านจำนวนมากใช้ชีวิตอย่างตามมีตามเกิด พวกเขายากจนมากกระทั่งบางครั้งไม่มีอาหารกินหรือเสื้อผ้าให้สวมใส่

ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นชายหญิงหน้าตาดีสะอาดสะอ้านและแต่งตัวดีเดินเข้ามา ชาวบ้านเหล่านี้จะไม่อิจฉาและอยากรู้อยากเห็นได้อย่างไร?

ครอบครัวของหมี่อันกำลังโต้เถียงกันว่าจะขายวัวของตนหรือไม่

พูดให้ถูกคือ หมี่อันเป็นคนเดียวที่พยายามห้ามไม่ให้ครอบครัวขายวัวที่มี

หมี่อันพูดด้วยเสียงสะอื้น “ครอบครัวของเราทำนาตั้งมากมาย ถ้าไม่มีวัวควายแล้ว การทำนาด้วยคนตามลำพังคงเหนื่อยน่าดู นอกจากนี้เรายังยืมเงินมาซื้อวัวและยังไม่ได้จ่ายคืนเขาไปเลย ต่อให้เราขายวัวไปแล้ว หนี้ตรงนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ฉันไม่อยากลากครอบครัวมาทุกข์ทรมานเพราะฉันคนเดียว ไม่ต้องรักษาโรคนี้หรอก เพราะมันไม่ได้เจ็บอะไร”

แม่สามีจับมือหมี่อันและพูดทั้งน้ำตา “เธอไม่ได้ฟังหมอหรือไง ถ้าไม่รักษาโรคนี้มันอาจทำให้เธอตายได้นะ เราจะยอมเห็นเธอตายต่อหน้าได้ยังไง?”

ชายชราและชายหนุ่มนั่งยอง ๆ อยู่ที่มุมห้องขณะสูบมอระกู่ และปลอบใจหมี่อันเป็นครั้งคราว

ชายชรากล่าวว่า “อย่ากลัวที่จะเสียเงินค่ารักษาพยาบาล และอย่ากลัวจะมีหนี้สิน ครอบครัวค่อย ๆ ช่วยกันจ่ายคืนก็ได้”

ชายหนุ่มพูดเสริม “เด็ก ๆ อยู่ไม่ได้โดยไม่มีแม่!”

เด็กน้อยสี่หรือห้าคนต่างจับเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของหมี่อันและร้องไห้เสียงดัง พวกเขาตะโกนว่า “หนูไม่อยากให้อาเนี่ยตาย ฮือ ๆ ๆ!”

ฉากนี้น่าสังเวชมากจนผู้คนที่เฝ้ามองปาดน้ำตาเงียบงัน

หลินม่ายเดินไปยื่นธนบัตร 300 หยวนให้คุณย่าหมี่อันและกล่าวคำเบาว่า “เอาเงินนี้ไปรักษาอาการป่วยของลูกสะใภ้นะคะ”

ไม่เพียงคุณย่าหมี่อันที่ตกใจ แต่ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นล้วนตกใจอย่างยิ่ง

คุณย่าหมี่อันมองดูแผ่นกระดาษสีชมพูที่มีรูปของเหมาเจ๋อตงในมือของหลินม่ายด้วยความสับสน “กระดาษพวกนี้นำไปให้หมอได้เหรอ?”

หลินม่ายพูดไม่ออก

ธนาคารกลางได้ออกธนบัตร 100 หยวนตั้งแต่ปี 1988 ซึ่งก็เป็นเวลาเจ็ดปีที่แล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าคุณย่าหมี่อันไม่เคยเห็นมันมาก่อน

ดังสุภาษิตที่ว่า แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง

แต่คนยากจนในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่เคยเห็นธนบัตร 100 หยวนเลยด้วยซ้ำ

หลินม่ายอธิบายว่า “นี่ไม่ใช่กระดาษ แต่เป็นเงิน มีใครในหมู่บ้านของคุณรู้จักธนบัตร 100 หยวนบ้างไหมคะ?”

ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า “หัวหน้าหมู่บ้านน่าจะรู้จักนะ เขาไปประชุมในเมืองทุกปีเพื่อรับการบรรเทาทุกข์ให้กับชาวบ้าน”

ชาวบ้านบางส่วนออกไปตามหัวหน้าหมู่บ้านทันที เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านมาถึง เขาก็รู้ว่าสิ่งที่หลินม่ายมอบให้ครอบครัวหมี่อันคือเงิน ทั้งยังเป็นเงินก้อนใหญ่

เขาเร่งเร้าครอบครัวหมี่อัน “ทำไมยังไม่รีบขอบคุณผู้มีพระคุณทั้งสองล่ะ?”

เมื่อทั้งครอบครัวได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็โต้ตอบ โดยโค้งคำนับให้กับหลินม่ายและสามี

แต่พวกเขาถูกหลินม่ายและฟางจั๋วหรานห้ามไว้ก่อน

ฟางจั๋วหรานบอกให้คุณย่าหมี่อันรีบพาหมี่อันไปโรงพยาบาลประจำเขตเพื่อรับการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด หากเนื้องอกในมดลูกขยายใหญ่ขึ้นจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ขอตัวจากไป

แต่ครอบครัวหมี่อันปฏิเสธที่จะปล่อยหลินม่ายและสามีไป โดยยืนกรานให้พวกเขารับประทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนออกเดินทาง

ทั้งคู่บอกครอบครัวของหมี่อันว่า พวกเขาจะต้องเดินทางต่อ พวกเขาจึงยอมปล่อยทั้งคู่ไปในที่สุด

คุณย่าหมี่อันหยิบกีบเท้าหมูเพียงอันเดียวที่ห้อยลงมาจากคานห้องหลัก และขอให้หลินม่ายรับไปด้วย

ครอบครัวของหมี่อันยากจนมาก พวกเขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านอิฐและทั้งครอบครัวสวมเสื้อผ้าที่ไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว ทั้งยังต้องไปพบหมออีก

หลินม่ายและฟางจั๋วหรานจะยอมรับกีบเท้าหมูอันมีค่าของครอบครัวหมี่อันมาได้อย่างไร

ใบหน้าของหมี่อันซีดเซียว คล้ายกับเป็นโรคโลหิตจางอย่างรุนแรงที่เกิดจากเนื้องอกในมดลูก ดังนั้นเธอจำเป็นต้องกินของดีเพื่อบำรุงร่างกาย

ในที่สุดสามีภรรยาก็จากไปพร้อมกับเห็ดแห้งและเนื้อหมักในขวดผัดพริกถั่ว

พวกเขาไม่สามารถหนีออกไปได้โดยไม่รับของขวัญบางอย่างติดมือ

ความล่าช้าดังกล่าว ประกอบกับถนนบนภูเขาที่ขรุขระ ทำให้ไม่สามารถมาถึงโรงเรียนที่สวี่เมิ่งบอกในช่วงบ่ายตามที่วางแผนไว้

ฟางจั๋วหรานต้องการหาโรงแรมริมถนนเพื่อพักผ่อน หลังจากเขาขับตามถนนมานาน เขากลับไม่เห็นโรงแรมสักแห่ง

ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เมื่อผ่านเมืองตลาดแห่งอื่น ฟางจั๋วหรานหยุดรถที่หน้าร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แล้วออกไปถามว่า พวกเขาสามารถค้างคืนที่ร้านชั่วคราวได้หรือไม่

ฟางจั๋วหรานแสดงความเต็มใจที่จะจ่ายเงิน แม้ทั้งเขาและภรรยาอาจต้องนอนในห้องโถงของร้านก็ตาม

เจ้าของร้านและภรรยาพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น

เมื่อรู้ว่าหลินม่ายและสามียังไม่ได้กินอาหารเย็น พวกเขาจึงเข้าไปเตรียมอาหารให้

หลังจากผ่านไปกว่าชั่วโมง ในที่สุดอาหารเย็นก็ถูกเสิร์ฟ

มันมีเพียงจานเดียว นั่นก็คือซี่โครงหมูตุ๋นหัวไชเท้าชามใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลินม่ายอยากกินเมื่อตอนเที่ยง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กิน

ทั้งคู่กำลังเพลิดเพลินกับมื้ออาหาร ก่อนจะเห็นเด็กน้อยยื่นหัวเล็ก ๆ ของพวกเขาออกจากห้องครัวพลางน้ำลายไหลขณะดูพวกเขากินอาหาร แต่เด็กเหล่านั้นไม่กล้าพอที่จะเข้ามา

หลินม่ายและฟางจั๋วหรานมองหน้ากัน ตักซุปใส่ข้าวและกิน ก่อนจะวางตะเกียบลง

เมื่อเจ้าของบ้านและภรรยาเห็นว่าพวกเขาไม่ได้กินหัวไชเท้าและซุปซี่โครงหมูมากนัก พวกเขาก็กังวลและยืนกรานจะตักให้ทั้งคู่เพิ่ม

หลินม่ายและสามีบอกว่า พวกเขากินอาหารได้น้อยและเริ่มอิ่มแล้ว เจ้าของบ้านจึงยอมแพ้ และขอนำอาหารค่ำไปให้ครอบครัวพวกเขาในครัว

บนโต๊ะของพวกเขามีผักดองจานใหญ่พร้อมผักใบเขียวสองจาน ไม่มีอะไรอื่นอีก และพวกเขากำลังรับประทานธัญพืชเนื้อหยาบ

อาหารที่เจ้าบ้านเพิ่งเสิร์ฟคือข้าวขาวล้วน ๆ

เด็กหลายคนถือชามข้าวของตัวเอง ขณะจ้องมองหัวไชเท้าและซุปซี่โครงหมูที่หลินม่ายและฟางจั๋วหรานลังเลที่จะกินมัน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไม่ต่างจากหลายๆ ประเทศในโลกเลย คนที่มีก็รวยจนเหลือกินเหลือใช้ คนที่ไม่มีก็ไม่มีอะไรสักอย่าง

ไหหม่า(海馬)

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด