แม่ปากร้ายยุค 80 1186 ตระหนักได้หลังจากสูญเสีย
ตอนที่ 1186 ตระหนักได้หลังจากสูญเสีย
ในประเทศจีน บทลงโทษสำหรับการปลูกฝิ่นนั้นไม่ร้ายแรง แต่บทลงโทษสำหรับการขายยาเสพติดนั้นค่อนข้างหนัก
ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านหุบเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการเพาะปลูกเท่านั้น และผู้ที่นำดอกฝิ่นขายคือกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่นำโดยหัวหน้าหมู่บ้าน
เงินจากการขายยาเสพติดที่พบในบ้านของผู้ปฏิบัติงานเหล่านี้ล้วนถูกบรรจุในกล่องทั้งหมด
มันไม่เหมือนบ้านชาวบ้านทั่วไปซึ่งมีมูลค่าเพียง 80,000 ถึง 100,000 หยวนเท่านั้น
ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานที่นำโดยหัวหน้าหมู่บ้านจึงไม่ได้โชคดีเหมือนกับชาวบ้านคนอื่น ๆ
ในฐานะผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ พวกเขาถูกตัดสินประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
นอกจากนี้ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานหมู่บ้านเหล่านี้ถูกตัดสินโทษสูงสุด
เป็นเพราะในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ใครก็ตามที่ค้นพบความลับของหมู่บ้านโดยไม่ได้ตั้งใจล้วนถูกสังหารโดยผู้ปฏิบัติงานในหมู่บ้านเหล่านี้อย่างลับ ๆ
ศพของเหยื่อยังถูกใช้เป็นปุ๋ยและฝังอยู่ในทุ่งดอกฝิ่น
ผู้ปฏิบัติงานหมู่บ้านเหล่านี้ช่วงชิงชีวิตมนุษย์ พวกเขาจึงถูกตัดสินโทษหนัก
เหลือเพียงคนแก่ เด็ก และหญิงสาวอีกสองถึงสามคนในหมู่บ้านหุบเขา
เมื่อบริษัทพัฒนาการท่องเที่ยวของหลินม่ายไปซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวอีกครั้ง จึงไม่มีใครคัดค้านอีก
ชาวบ้านลงนามในข้อตกลงการย้ายถิ่นฐานอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายวางแผนที่จะสร้างสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดภายในหนึ่งปี และจะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ในปีหน้าเมื่อดอกไม้บาน
หากต้องการให้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งเริ่มการก่อสร้างในเวลาเดียวกัน คุณจะต้องใช้คนงานก่อสร้างจำนวนมากเพื่อสร้างโครงการสถานที่ท่องเที่ยว เช่นเดียวกับการสนับสนุนโรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ
หลินม่ายขอให้โม่เจี้ยนอันรับสมัครคนงานก่อสร้างเหล่านี้ในท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงเพิ่มโอกาสการจ้างงานในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดต้นทุนให้กับบริษัทด้วย
การจ้างคนงานก่อสร้างในพื้นที่ถูกกว่าในเมืองเจียงเฉิงมาก
ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม นกขมิ้นโบยบินเหนือนภา เวลาล่วงเลยถึงปลายเดือนเมษายนที่ดอกไม้เบ่งบานและต้นหลิวเป็นสีเขียว
โรงงานน้ำแร่เจียงเล่อไป่หยวนของหลินม่ายเสร็จสมบูรณ์และมีการซื้อสายการผลิตขั้นสูงแล้ว พวกเขากำลังรอรับสมัครคนงานเพื่อเริ่มดำเนินการ
ขณะนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน และเหมาะสมที่จะเริ่มขายน้ำแร่
หลินม่ายส่งทีมผู้นำและขอให้พวกเขาสรรหาบุคลากรให้แล้วเสร็จภายในครึ่งเดือน และฝึกอบรมให้เสร็จในอีกครึ่งเดือน
แม้ว่าจะเป็นการดำเนินการในสายการผลิต แต่ก็มีการสรรหาพนักงานในท้องถิ่น
ในพื้นที่มีคนรู้หนังสือไม่มาก และหากไม่มีการฝึกอบรม หลินม่ายกังวลว่าพวกเขาจะใช้เครื่องมือต่าง ๆ ไม่ได้
เมื่อเห็นว่าวันแรงงานกำลังจะมาถึง หลินม่ายจึงเลือกสถานที่ท่องเที่ยวกับครอบครัวเพื่อไปเที่ยวในช่วงวันหยุดเดือนพฤษภาคม ในเวลานั้นสวี่เมิ่งโทรมาและบอกหลินม่ายอย่างเขินอายว่าหล่อนกำลังจะแต่งงาน
หลินม่ายถามทันที “เจ้าบ่าวคือเหวยเฉิงกวงใช่ไหม?”
สวี่เมิ่งตอบกลับ “ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครได้อีกล่ะ?”
หลินม่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “แล้วเธอได้เล่าเรื่องในอดีตให้เขาฟังบ้างไหม?”
สวี่เมิ่งกล่าว “แน่นอนว่าฉันบอกเขาแล้ว เขาช่วยชีวิตฉันไว้ มันคงไม่ยุติธรรมสำหรับเขาถ้าฉันไม่บอกอดีตเหล่านั้นให้เขาฟัง”
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “เขายอมรับอดีตของเธอได้ นั่นชัดเจนแล้วว่าเขาเป็นคนดี!”
สวี่เมิ่งกล่าว “ตอนที่ฉันเล่าให้เขาฟัง เหงื่อฉันไหลเป็นน้ำตกเลยล่ะ พลางคิดในใจว่าถ้าเขายอมรับอดีตของฉันไม่ได้ ฉันจะเปลี่ยนโรงเรียนที่สอนอยู่ และจะไม่เชื่อมั่นในความรักอีกต่อไป”
“แต่เหวยเฉิงกวงก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง และความรักไม่เคยทอดทิ้งเธอเช่นกัน”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางได้ยินว่าสวี่เมิ่งกำลังจะแต่งงาน พวกเขาต่างก็รู้สึกยินดีและต้องการไปร่วมงานแต่งงานของหล่อน
ท้ายที่สุด ฟางจั๋วหรานขับรถมินิบัสพาทั้งครอบครัว รวมถึงลุงฝู ไปยังเขตปกครองตนเองเอินซือเพื่อร่วมงานแต่งงานของสวี่เมิ่งในวันสุดท้ายของเดือนเมษายน
งานแต่งงานจัดขึ้นในหมู่บ้านของเจ้าบ่าวและเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก
สวี่เมิ่งสวมชุดแต่งงานทิเบตอันงดงามที่ชายหนุ่มมอบให้และสวมเครื่องประดับเงินเต็มตัว เพียงแรกเห็นก็รู้ว่าครอบครัวของสามีของเธอปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี
ในงานเลี้ยงแต่งงาน หลินม่ายได้พบกับแม่สามีชาวทิเบตของสวี่เมิ่งเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นหญิงชราที่ใจดีมาก
เมื่อลูกสาวของพวกเขาแต่งงาน ฟางเสียนจิ้งและสามีต่างก็เดินทางจากมณฑลกานซูเพื่อมาร่วมงานแต่งงาน
งานเลี้ยงผ่านไปได้ครึ่งทาง ฟางเสียนจิ้งเดินเข้ามาด้านข้างหลินม่ายและถามว่าเธอจะไปมณฑลกานซูเพื่อตรวจสอบอีกครั้งเมื่อใด
ช่วงนี้ย่างเข้าเดือนพฤษภาคม องุ่นในท้องถิ่นใกล้สุกแล้ว
หลินม่ายบอกว่าเธอจะไปมณฑลกานซูแน่นอนหลังเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่องุ่นจะสุกงอมเต็มที่ ตอนนี้ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนที่จะปล่อยให้องุ่นสุกตามธรรมชาติ
ฟางเสียนจิ้งกลับไปยังโต๊ะของตัวเองด้วยความพึงพอใจ
เนื้อจามรีที่คัดสรรมาในงานแต่งงานนั้นมีรสชาติอร่อย และหลินม่ายก็เพลิดเพลินกับมันมาก ในเวลานี้ต๋าเฮ่อเข้ามานั่งด้านข้างของเธอ
เมื่อพูดถึงพื้นที่ยากจนในเอินซือที่ไม่สามารถพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ เขาถามเธอว่าพอจะมีวิธีใดที่จะทำให้พื้นที่เหล่านั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้บ้าง?
หลินม่ายคิดอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าวคำขอโทษ เพราะเธอไม่สามารถคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่ดีให้เขาได้
เธอเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีความสามารถโดดเด่นกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย และไม่ใช่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ที่บรรเทาความทุกข์ทรมาน แล้วเธอจะมีความสามารถในการช่วยสรรพชีวิตทั้งหลายได้อย่างไร?
ต๋าเฮ่อกลับไปยังโต๊ะของเขาด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากอยู่ที่เอินซือเป็นเวลาสองวัน หลินม่ายและครอบครัวก็ขับรถกลับเมืองเจียงเฉิงในวันที่ 3 พฤษภาคม
ดอกกุหลาบเลื้อยบนรั้วเหล็กของวิลล่าในเมืองเจียงเฉิงบานสะพรั่งเต็มพื้นที่ ครอบคลุมรั้วเหล็กทั้งหมดด้วยสีสันสดใส
ภายใต้ดอกไม้นานาพันธุ์ หลินม่ายมองเห็นร่างอันคุ้นเคยที่ไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานาน
ร่างนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากโต้วโต้ว
เวลาล่วงเลยกว่าสิบปี โต้วโต้วเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวตัวสูงและสง่างาม ใบหน้าละเอียดอ่อนและมีเสน่ห์พอสมควร
เมื่อได้ยินเสียงรถ โต้วโต้วจึงหันกลับมามอง หลังจากลังเลเล็กน้อย หล่อนก็เลือกที่จะวิ่งหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งขณะเฝ้ามองหลินม่ายและครอบครัวลงจากรถ
โต้วโต้วเห็นมู่ตงหันกลับมามองหล่อนก่อนจะเข้าไปในบ้าน นั่นทำให้หล่อนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ด้วยความดีใจ
แม้หลินม่ายจะไม่ได้หันกลับมามอง แต่เธอก็เห็นโต้วโต้วจากบนรถแล้ว
หลังจากกลับเข้าบ้าน เธอครุ่นคิดอยู่นานและโทรหาเสิ่นเสี่ยวผิงเพื่อสอบถามเกี่ยวกับโต้วโต้ว
เสิ่นเสี่ยวผิงบอกว่าโต้วโต้วได้กลับตัวกลับใจและประพฤติตัวดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในช่วงสมัยเรียน หล่อนอาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยเพื่อใช้จ่ายเงินให้น้อยที่สุด ด้วยเงินพิเศษที่เก็บได้ หล่อนจะนำไปซื้อนมผงเพื่อมอบให้กับเด็ก ๆ จากครอบครัวยากจนและแอบทำความดีเสมอมา
ด้วยความที่หล่อนเรียนไม่เก่ง ดังนั้นหล่อนจึงฝึกฝนทักษะการวาดภาพอย่างหนัก หลังจากเรียนจบมัธยมต้น หล่อนได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายด้วยทักษะการวาดภาพที่โดดเด่น
หลังจากสำเร็จการศึกษา หล่อนก็กลายเป็นครูสอนศิลปะในโรงเรียนประถมและทำงานมาได้สองปีแล้ว
นับตั้งแต่เข้ามาทำงาน โต้วโต้วอาสาไปสอนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกครั้งที่มีเวลาว่าง นอกจากนี้ยังบริจาคเงินเดือนส่วนใหญ่ให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และเก็บเงินเพียงบางส่วนสำหรับค่าครองชีพ
หลินม่ายได้รับฟังเช่นนั้นก็ค่อนข้างโล่งใจ ในที่สุดเด็กคนนั้นก็เลือกทางเดินถูกต้อง
ขณะที่หลินม่ายกำลังคุยโทรศัพท์กับเสิ่นเสี่ยวผิง มู่ตงได้นำเนื้อจามรีจำนวนมากที่เอามาจากเอินซือมาบรรจุในถุงกระดาษ แล้วเดินออกจากบ้าน
เขามองไปรอบ ๆ ที่หน้าประตูลานบ้าน แต่ไม่เห็นร่างของโต้วโต้ว จึงตะโกนออกมา “พี่โต้วโต้ว พี่โต้วโต้ว”
โต้วโต้วต้องการออกมาพบเขา แต่ก็กลัวว่าหลินม่ายจะรู้และเข้าใจผิดว่าหล่อนยังคงหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย
มันเป็นความผิดของหล่อนในอดีต และยังเป็นความผิดร้ายแรงมาก หล่อนจะกล้ารบกวนแม่หลินและพ่อฟางอีกครั้งได้อย่างไร
หล่อนพึงพอใจมากแล้วที่ยังแอบดูพวกเขาอยู่ห่าง ๆ ได้
โต้วโต้วปิดปากไว้แน่น กลัวว่าตัวเองจะเผลอส่งเสียงตอบรับมู่ตง
แต่มู่ตงยังคงตะโกน “พี่สาว ผมรู้นะว่าพี่แอบอยู่ใกล้ ๆ งั้นก็ช่วยออกมาเถอะครับ ถ้าพี่ไม่ออกมา ผมจะตะโกนอยู่แบบนี้แหละ”
โต้วโต้วไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปรากฏตัว
ทันทีที่มู่ตงเห็นหล่อน เขาวิ่งเข้ามาหาอย่างมีความสุขและยื่นถุงกระดาษใส่เนื้อจามรีให้ “พี่สาว เจ็ด*”
*ในสำเนียงท้องถิ่นของเมืองเจียงเฉิง “吃” (chī – กิน) ออกเสียงเหมือน “七” (qī – เจ็ด) [เสียงที่สอง การออกเสียงมาตรฐานควรเป็น “棋”(qí – หมากรุก)]
น้ำตาทำให้ดวงตาทั้งสองของโต้วโต้วพร่ามัว คล้ายกับเธอได้เห็นภาพฉากเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่มู่ตงยังคงเป็นเสี่ยวมู่ตงตัวน้อย ทันทีที่เขาเห็นเธอ เขามักวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับอาหารอร่อย ๆ พร้อมพูดอย่างมีความสุขว่า “พี่สาว เจ็ด”
เหตุใดผู้คนมักเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองมีสิ่งใดเมื่อสูญเสียมันไปโดยสิ้นเชิงแล้ว?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โต้วโต้วเติบโตเป็นคนดีของสังคมได้ก็เป็นเรื่องน่าดีใจแล้วล่ะค่ะ บางทีชะตามันถูกกำหนดไว้แล้วว่าหากไม่เกิดเหตุการณ์แตกหักนั้นขึ้นก็อาจจะไม่สำนึกก็ได้
ไหหม่า(海馬)
Comments