แม่ปากร้ายยุค​ 80 963 ทุ่มหินทับเท้าตัวเอง

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 963 ทุ่มหินทับเท้าตัวเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 963 ทุ่มหินทับเท้าตัวเอง

ตอนที่ 963 ทุ่มหินทับเท้าตัวเอง

หลินม่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อะไรนะ? แค่รวยกว่าก็ต้องยอมถูกเอาเปรียบเหรอ? ไม่ดีเหรอที่ฉันจะใช้เงินนี้สำหรับการทำความดีและช่วยเหลือผู้คนที่มีจิตใจดีแต่ขัดสน?”

เวลานี้เธอชี้ไปที่นางหลานผู้คุกเข่าอยู่บนพื้นและกำลังร้องไห้อย่างน่าสมเพช “ทำไมฉันต้องช่วยเหลือคนใจร้ายแบบนี้ด้วยล่ะ? เขารู้ความผิดของตัวเอง แต่ก็ยังไม่คิดจะแก้ไขอะไรเลย อีกทั้งยังพูดว่า ‘เครื่องของคุณซ่อมได้แล้ว ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย’ เธอถามคนที่จะซ่อมเครื่องหรือยัง? หรือเธอจะจ่ายค่าซ่อมแทนฉัน? แล้วกล้าพูดมาได้ยังไงว่าเครื่องจักรถูกซ่อมแล้วมันไม่ได้เสียหายอะไรมากมายแทนที่จะกล่าวถึงว่าฉันเสียหายหนักเท่าไหร่ตอนที่เครื่องพัง? คุณไม่คิดว่าหล่อนน่าสมเพชเหรอ? สุดท้ายหล่อนก็เก่งกาจในการหลบเลี่ยงและแสดงละคร”

หญิงสาวถึงกับพูดไม่ออก

หลินม่ายมองภรรยานายหลานตรงหน้าด้วยรอยยิ้มดุร้าย

ก่อนจะพูดกับหล่อนว่า “ถ้าไม่ต้องการให้สามีของคุณติดคุก ไปหาเงินมาคืนฉัน 30,000 หยวน แล้วฉันจะปล่อยเขาไป”

ผู้หญิงคนนี้ถูกหลินม่ายดุด่า แต่ก็ยังคงสงวนท่าทีและแสดงบทบาทน่าสมเพชเช่นเดิม “ฉัน… ฉันไม่มีเงินหรอกค่ะ ถ้าฉันมี ฉันให้คุณนานแล้ว”

หลินม่ายตอบกลับ “ถ้าคุณไม่มีเงิน ก็ไปหาหยิบยืมคนที่มี”

เธอหันมองหญิงสาวที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมแล้วพูดว่า “สุดท้ายเป็นฉันที่ขาดทุนหลายล้าน ฉันให้เธอจ่าย 30,000 หยวน ถ้ายังกล้าพูดว่าฉันไม่มีเหตุผล ฉันจะตบเธอให้คว่ำ” พูดจบเธอก็ชักเท้าเดินจากไป

ไม่ใช่แค่หญิงสาวคนนั้น แม้แต่หญิงสาวด้านหลังอีกสองสามคนก็เงียบด้วยเช่นกัน

ภรรยานายหลานลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะหันมองหญิงสาวที่คิดว่าจะช่วยเหลือตนในคราวแรก

หญิงสาวผู้ชอบธรรมไม่อยากยุ่งเรื่องนี้อีกต่อไป หล่อนคิดหันหลังและต้องการจากไปอย่างรวดเร็ว

แต่ภรรยานายหลานรวดเร็วยิ่งกว่า หล่อนคว้ากระโปรงของอีกฝ่ายเอาไว้

ก่อนจะทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวคำพร้อมน้ำตาอาบแก้มสองข้าง “สหายร่วมชั้น โปรดช่วยฉันด้วย ให้ฉันยืมเงินหน่อยเถอะนะ 10,000 หยวนก็พอ หรือ 5,000 หยวนก็ได้ คุณเป็นคนใจดีมาก คุณจะให้ฉันยืมเงิน 5,000 หยวนใช่ไหม?”

หลินม่ายได้ยินอย่างนั้น เธอหันหลังกลับพร้อมกับเดินไปใส่ไฟต่อ “น่าสมเพชสิ้นดี คุณมีหน้ามาบอกให้ฉันปล่อยผู้ชายคนนั้นไปได้ยังไง พอถึงคราวที่หญิงยากจนขอให้คุณช่วยเหลือ คุณกลับให้เงินหล่อนได้แค่ 50 หยวนไม่ต่างจากขอทาน ความสองมาตรฐานทำฉันอยากจะอ้วก!”

ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นกลายเป็นสีแดงก่อนจะกล่าวแผ่วเบาว่า “ก็ฉันไม่ได้รวยเท่าเธอ”

“คุณไม่ได้มีเงินมากเท่าฉัน แต่หล่อนก็ไม่ได้ขอเงินคุณเป็นล้าน ๆ นี่ พวกเขาขอแค่ 5,000 หยวนไม่ใช่เหรอ แน่นอนว่า 5,000 หยวนเป็นเงินทั่วไปที่ทุกคนมีอยู่แล้ว”

หญิงสาวยังไม่ยอมแพ้ “ฉันเป็นนักเรียน แล้วจะมีเงินมากขนาดนั้นได้ยังไง?”

“ถ้าเธอไม่มีเงิน ยืมฉันก็ได้นะ แล้วค่อยไปทำงานคืนให้ฉัน”

หญิงสาวคนนั้นถูกหลินม่ายบีบบังคับจนพูดอะไรไม่ออก

ผู้ที่รับชมโดยรอบหันมองหล่อนด้วยสายตาเย้ยหยัน จนหล่อนคิดอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียเดี๋ยวนี้

เวลานี้นางหลานร้องไห้จนน้ำตาอาบแก้ม น้ำมูกไหลออกมาอย่างน่าสมเพช พยายามขอร้องให้ผู้หญิงตรงหน้ายืมเงินหลินม่ายเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของหล่อนให้พ้นจากความยากลำบาก

หญิงสาวถึงกับทำอะไรไม่ถูก หล่อนยืมเงินจากเพื่อนร่วมชั้น 100 หยวนแล้วส่งให้ ก่อนจะหนีไปอย่างรวดเร็ว

เพื่อนร่วมชั้นหลายสิบคนที่เห็นด้วยกับหญิงสาวคนนั้นก่อนหน้านี้ต่างเห็นแล้วว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว เวลานี้ทุกคนก็วิ่งกระจัดกระจายออกไปราวกับสัตว์ป่าเตลิด

แต่ต่อให้เดินหนีไป ก็ไม่ใช่ว่าจะรอดพ้น

นางหลานยังไม่ยินยอมและเริ่มไล่ล่าพวกเขาเพื่อขอยืมเงิน

เพื่อนร่วมชั้นเหล่านั้นมอบเงิน 100 หยวนให้หล่อนแล้วรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว

พวกเขาคิดแต่ว่าควรจ่ายเงินออกไปเพื่อหลบหนีภัยพิบัติจากนางหลานคนนี้

วันรุ่งขึ้น นางหลานปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในมหาวิทยาลัย หล่อนขวางกั้นพวกเขาและร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสมเพช

เรื่องตลกเหล่านี้กินเวลาไปถึงสี่วัน และเพื่อนร่วมชั้นหลายสิบถึงกับไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป พวกเขารายงานเรื่องนี้ให้มหาวิทยาลัยทราบเรื่อง

แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยส่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาขับไล่นางหลานออกไป เวลานี้ชีวิตของนักเรียนเหล่านั้นจึงกลับมาสงบสุขอีกครั้ง

แต่มันก็เป็นเพียงความสงบสุขชั่วคราวเท่านั้น เพราะนางหลานเก่งกาจมากในการก่อเรื่องราว

หล่อนวิ่งไปหาสำนักพิมพ์ต่าง ๆ และบอกกล่าวว่าเพื่อนร่วมชั้นหลายสิบคนเหล่านั้นจะช่วยเหลือตน แต่กลับละทิ้งตน

หากนักศึกษาหลายสิบคนเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมดา หนังสือพิมพ์คงจะไม่ให้ความสนใจ

แต่พวกเขาคือนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหวา การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นข่าวที่น่าสนใจ สำนักพิมพ์เหล่านั้นจึงเริ่มทำข่าวทันที

ไม่นาน นักศึกษาหลายสิบคนตกเป็นเป้าหมายให้สังคมวิพากวิจารณ์อย่างรวดเร็ว

ในแต่ละวัน จดหมายตำหนิจากประชาชนนับไม่ถ้วนส่งมาถึงพวกเขา

เพื่อนร่วมชั้นหลายสิบคนเกือบจะเป็นบ้าในคราวเดียว และพวกเขาใช้กฏหมายฟ้องร้องนางหลานในข้อหาหมิ่นประมาททันที

เพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ เริ่มหัวเราะเยาะพวกเขาว่าทำไมถึงบอกกล่าวให้หลินม่ายปล่อยชายผู้น่าสงสารคนนั้นไป แต่ตัวเองกลับจะฟ้องร้องคนเหล่านั้นเองน่ะหรือ?

พวกเขาถึงกับพูดไม่ออก

ครึ่งเดือนต่อมาที่โรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 ในเมืองหลวง คนงานสิ่งทอหลายคนจากครอบครัวยากจนเต็มใจที่จะไปทำงานในเมืองเจียงเฉิง

อย่างไรก็ตาม พวกเขามีเงื่อนไขเพียงว่าจะมีที่อยู่สำหรับพวกเขาทั้งครอบครัว และหากต้องการกลับเมืองหลวง ก็สามารถกลับได้ทันที

หลินม่ายตอบตกลง

มีบ้านหลายหลังในหมู่บ้านของเธอที่นั่น และไม่มีปัญหาหากจะจัดที่อยู่ทั้งครอบครัวให้กับพวกเขา

ส่วนความต้องการกลับเมืองหลวงในอนาคต เธอจะไม่ห้ามใครแน่นอน

เธอแค่ต้องการให้พวกเขาสอนพนักงานในท้องถิ่นถึงวิธีการใช้อุปกรณ์เหล่านั้น

เพราะการใช้คนงานที่ถูกเลิกจ้างจากโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 นั้นดีที่สุด เดือนเมษายนโรงทอผ้าจิ่นซิ่วกลับมาผลิตตามปกติแล้ว เหรินเป่าจูยกเลิกการซื้อขายกับเถ้าแก่เฉาชุนไฉทันที

เถ้าแก่เฉาเสียใจมาก แต่หลินม่ายก็เคยบอกไว้แล้วว่าห้องเสื้อจิ่นซิ่วจะยุติการค้ากับเขาได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าจะบ่นอะไร

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เข้าสู่เดือนพฤษภาคม

สัปดาที่แล้ว หลี่หมิงเฉิงโทรหาหลินม่ายเพื่อบอกว่าเขากำลังจะแต่งงานในวันที่ 2 พฤษภาคมนี้ และหวังว่าหลินม่ายจะมาร่วมงานด้วย

ก่อนหน้านี้หลินม่ายวางแผนที่จะพาเสี่ยวเหวินกลับเมืองเจียงเฉิงด้วยกัน

เธอไปร่วมงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของหลี่หมิงเฉิง ส่วนเสี่ยวเหวินกลับไปชนบทเพื่อเคารพหลุมศพของยาย

แต่โต้วโต้วและเด็กน้อยก็ถกเถียงกันว่าจะไปด้วย

หลินม่ายจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาเด็กน้อยทั้งสามคนไปด้วยกัน พวกเขามาถึงเมืองเจียงเฉิงด้วยเครื่องบินในบ่ายวันที่ 1 พฤษภาคม

หลี่หมิงเฉิง เถาจืออวิ๋น และโจวฉายอวิ๋นมารอรับพวกเขาที่สนามบิน และเชิญหลินม่ายพร้อมด้วยลูก ๆ มาพักผ่อนที่บ้านด้วยท่าทางอบอุ่น

แต่หลินม่ายไม่ชอบการพักอาศัยอยู่ในบ้านคนอื่น เธอจึงกล่าวปฏิเสธ

อย่างไรเสีย เธอขอให้เถาจืออวิ๋นและโจวฉายอวิ๋นพาสามีไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของเธอ

หลี่หมิงเฉิงไม่ได้ถูกรับเชิญ เพราะพรุ่งนี้เขาจะเป็นเจ้าบ่าว คืนนี้จะเป็นคืนที่เขาต้องพักผ่อน

นับตั้งแต่ฟางจั๋วเยวี่ยแต่งงานและย้ายออกจากวิลล่าของหลินม่าย ป้าหวงมาที่นี่เพื่อทำความสะอาดในทุกสองถึงสามวัน ดูแลดอกไม้ ต้นไม้ และสวนพืชผัก อีกทั้งหยุดซื้อของเข้าตู้เย็นด้วย

ในตู้เย็นว่างเปล่า

หลินม่ายวางแผนว่าวันนี้เธอจะไปตลาดฝูตัวตัวเพื่อซื้อวัตถุดิบกลับมาทำอาหารให้กับเถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ ในมื้อค่ำ

เสี่ยวเหวินอาสาช่วยเธอซื้อผัก หลินม่ายยอมให้เขาจัดการ

โต้วโต้วเองก็อยากไปด้วย หลินม่ายตอบตกลง

ทั้งสองไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว และการไปตลาดเพื่อซื้อผักด้วยกันนั้นไม่เป็นไร

เสี่ยวมู่ตงเองก็อยากจะไปด้วย แต่หลินม่ายปฏิเสธหนักแน่น

เขายังเด็กมาก ถ้าหากมีพวกค้ามนุษย์จับตัวเขาไปล่ะ?

เสี่ยวมู่ตงกำลังจะร้องไห้ เสี่ยวเหวินรีบเข้าเกลี้ยกล่อมโดยบอกว่าจะซื้ออมยิ้มกลับมาฝาก

ตอนนี้เองที่เสี่ยวมู่ตงยินดีที่จะรออยู่ที่บ้าน

ส่วนโต้วโต้วเห็นว่าหลินม่ายกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเสี่ยวมู่ตงมาก หล่อนจึงหงุดหงิดใจไม่น้อย แต่ก็เดินตามเสี่ยวเหวินออกไปซื้อผักด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจนัก

หลังจากทั้งสองเดินออกจากประตูบ้าน ผู้หญิงคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่มุมห้องมองดูพวกเขาจากไป จากนั้นวิ่งมากดกริ่งที่บ้าน

หลินม่ายได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านจึงคิดว่าโต้วโต้วและเสี่ยวเหวินลืมของไว้ในบ้าน จึงเดินออกไปดู

แต่เมื่อเธอเปิดประตูและเห็นว่าว่านเสียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ร่างกายของเธอพลันแข็งค้างชั่วขณะ

เธอไม่ได้เจออีกฝ่ายมาครึ่งปีแล้ว และว่านเสียนเองก็เปลี่ยนไปมาก

ผู้หญิงคนนี้เคยสวย แต่เวลานี้กลับผอมแห้ง ผมเผ้ารุงรัง และไม่หลงเหลือความสวยงามในอดีตอีกต่อไป

หลินม่ายถามหล่อนผ่านประตูโดยไม่ได้มองไปที่ประตูว่า “คุณมาทำอะไรที่นี่?”

……………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หาเรื่องให้ตัวเองเสียแล้ว เผือกเรื่องคนอื่นกลายเป็นตัวเองรับเผือกร้อนไปแทน

ว่านเสียนมาทำอะไร?

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด