แม่ปากร้ายยุค 80 969 ไป๋เซี่ยเดินทางไกล
ตอนที่ 969 ไป๋เซี่ยเดินทางไกล
ตอนที่ 969 ไป๋เซี่ยเดินทางไกล
หลินม่ายประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นคุณพ่อไป๋โผล่มาอย่างกะทันหัน
เธอวิ่งเข้าหาคุณพ่อไป๋ก่อนจะถามว่า “ทำไมคุณพ่อถึงว่างมาเยี่ยมสาวน้อยอย่างฉันได้นะคะ?”
“เด็กดื้อ!” คุณพ่อไป๋ยิ้มก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม “พ่อได้ยินว่าผู้จัดการเจียวจากว่านทงกรุ๊ปกำลังวิ่งหาสินเชื่อจากทุกธนาคาร จริงเหรอ?”
เห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก หลินม่ายรีบถามว่า “เจียวอิงจวิ้นไปยืมเงินพ่อเหรอคะ? ฉันบอกเขาแล้วนะคะว่าอย่าไปยืมเงินพ่อ ทำไมยังไปหาพ่อกันนะ? เดี๋ยวฉันจะจัดการเขาเองค่ะ!”
พ่อไป๋ใช้นิ้วชี้จิ้มเธอก่อนจะพูดว่า “อ้อ กลายเป็นว่าลูกสาวอกตัญญูของฉันไปบอกลูกน้องว่าอย่ามายืมเงินฉัน เพราะอย่างนี้เด็กแซ่เจียวคนนั้นเลยหันศอกไปยื่นขอสินเชื่อธนาคารอื่น เลยไม่ยอมให้ฉันจัดการเรื่องนี้!”
หลินม่ายตกใจ “ธนาคารของคุณพ่อก็มีการปล่อยสินเชื่อด้วยเหรอคะ?”
อย่างไรแล้ว เธอคิดว่าในยุคนี้ธนาคารจะไม่ยอมปล่อยสินเชื่อจนกว่าจะถึงปี 1990
เธอรีบพูด “อย่างนั้นเดี๋ยวฉันโทรหาเจียวอิงจวิ้นเองค่ะ ให้เขากลับมายื่นขอสินเชื่อกับธนาคารของพ่อ”
คุณพ่อไป๋แทบจะรอไม่ไหว เขาเร่งเร้าทันที “เร็วเข้า”
หลินม่ายเดินหาตู้โทรศัพท์สาธารณะในมหาวิทยาลัยเพื่อโทรหาเจียวอิงจวิ้น
ผู้ช่วยของเจียวอิงจวิ้นบอกว่าเขาออกไปรับประทานข้าวกับผู้จัดการสาขาของธนาคารแห่งหนึ่ง
หลินม่ายรีบถาม “เขาไปคุยเรื่องเงินกู้เหรอคะ?”
ผู้ช่วยตอบว่าใช่
หลินม่ายรีบถามรายละเอียดว่าเป็นที่ไหน ก่อนจะพาคุณพ่อไป๋ขับรถไปที่นั่นด้วยกัน
เมื่อมาถึงโรงแรม หลินม่ายบอกกล่าวให้บริกรไปเรียกเจียวอิงอวิ้นมา โดยบอกว่าคุณหลินต้องการพบเขา
เจียวอิงจวิ้นรีบติดตามบริกรออกมาทันที
เมื่อเห็นว่าเป็นหลินม่าย เขาอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “เป็นหัวหน้าหลินจริง ๆ ด้วย ผมนึกว่าบริกรบอกผมผิดซะอีก คุณหลินเรียกผมมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
หลินม่ายถามต่อ “คุณตกลงกับผู้จัดการธนาคารนั้นแล้วหรือยัง?”
เจียวอิงจวิ้นตอบอย่างมั่นใจ “ฮ่า รอฟังข่าวดีได้เลยครับ”
แต่หลินม่ายกล่าวเสียงเข้ม “หยุดเลย”
ดวงตาของเจียวอิงจวิ้นเบิกกว้างทันที ก่อนจะถามออกมาอย่างงุนงงว่า “ทำไมล่ะครับ?”
หลินม่ายชี้ไปที่ชายชราข้างกาย “เพราะพ่อของฉันจะให้เรายืม”
เจียวอิงจวิ้นกลายเป็นสับสน “ก็หัวหน้าหลินบอกว่าจะไม่รบกวนประธานไป๋ไม่ใช่เหรอครับ?”
“ตอนนั้นก็ตอนนั้น ตอนนี้ก็ตอนนี้ ทำตามที่ฉันบอกเถอะน่า”
เจียวอิงจวิ้นพยักหน้า “งั้นผมจะกลับไปที่ห้องส่วนตัวก่อนนะครับ ผมจะส่งท่านประธานหรวนกลับก่อน”
เขาเข้าไปในห้องส่วนตัว ก่อนจะกลับมาอีกครั้งหลังผ่านไปยี่สิบนาที
เพื่อตอบรับคำบอกของหลินม่าย เขาเดินตามหลินม่ายขึ้นรถของคุณพ่อไป๋และตรงไปที่ธนาคารของเขาเพื่อยื่นขอสินเชื่อ
ก่อนขึ้นรถ พ่อไป๋บอกกับหลินม่ายว่าอาทิตย์หน้าไป๋เซี่ยจะต้องไปทำงานทางตะวันตก และถ้ามีเวลาสักหน่อยให้เธอแวะมาหาพี่ชายก่อนเขาจะออกเดินทาง
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจเมื่อทราบข่าว
นับตั้งแต่ไป๋เซี่ยจบการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลสถาบันวิจัยธรณีวิทยาในเมืองหลวง และยังเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดี ทำงานได้ราบรื่น แต่ทำไมถึงถูกย้ายไปทำงานทางตะวันตก?
ภายในห้องส่วนตัว ประธานหรวนมองโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศ แต่เขากลับไม่อยากอาหารแม้แต่น้อย
นับตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ บุคคลระดับสูงได้ออกเอกสารสินเชื่อให้กับลูกค้าหมดแล้ว เหลือเพียงประธานหรวนเท่านั้นที่ยังนิ่งเฉย
มีการปฏิรูปและเปิดกิจการมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ธุรกิจอิสระจะผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด แต่ก็ร่วงหล่นมากมายเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบอาชีพอิสระเหล่านี้ส่วนใหญ่ต้องการได้รับอาหาร เสื้อผ้า และความเป็นอยู่ที่ดีเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานจะเป็นเศรษฐี
แม้ว่าบริษัทเอกชนจะเข้ามาเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่ก็มีไม่มาก และพวกเขาค่อนข้างขอสินเชื่อยาก
อีกทั้งรัฐวิสาหกิจกว่า 7 ใน 10 ก็ยังอยู่ในสภาพย่ำแย่ เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเข้ามากู้เงิน
ดังนั้น ผลงานประจำเดือนของเขาในตอนนี้จึงค่อนข้างย่ำแย่
แต่หลังจากได้พบกับผู้จัดการเจียวสุดแสนงี่เง่าจากว่านทงกรุ๊ป อีกฝ่ายก็มาพบเขาเพื่อขอสินเชื่อเงินกู้
เดิมทีประธานหรวนคิดอยากได้เงินใต้โต๊ะจากเขา แต่เขาไม่คาดคิดว่าชายคนนั้นจะถอยหลังกลับอย่างกะทันหัน!
เวลานี้ประธานหรวนทั้งโกรธและเสียใจในเวลาเดียวกัน
ถ้าเขารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ เขาคงไม่สร้างความยุ่งยากให้กับเจียวอิงจวิ้นเพียงเพราะต้องการเงินใต้โต๊ะแน่นอน เขาก็แค่ทำให้มันเสร็จสิ้นแล้วจากไปก็เพียงพอ
ไม่นานนัก วันที่ไป๋เซี่ยต้องเดินทางไปทำงานทางตะวันตกก็มาถึง
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ฟางจั๋วหรานต้องไปทำงาน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มาส่งไป๋เซี่ย
แต่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต้องการไปส่งไป๋เซี่ยที่กำลังจะไปทำงานในพื้นที่ห่างไกล
คุณปู่ฟางรู้สึกชื่นชมไป๋เซี่ยมาก เขาบอกว่าผู้ชายที่ดีควรจะมีเป้าหมายและไปทุกที่ที่ยากลำบาก สิ่งเหล่านี้จะหล่อหลอมให้เป็นชายที่แข็งแกร่ง
แต่เพราะคุณปู่ฟางเพิ่งผ่านการป่วยหนักมา แม้เขาจะฟื้นตัวรวดเร็วแต่ว่าสุขภาพก็ทรุดโทรมลงไปมาก เขาเหนื่อยจนไม่สามารถเดินไกล ๆ ได้อีกต่อไป หลังจากเดินเล่นกับสหายเก่าร่วมรบ เขาก็เหนื่อยจนหอบหนักและรู้สึกแน่นหน้าอกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ฟางจั๋วหรานพาเขาไปพบแพทย์ และแพทย์คนนั้นบอกว่าชีพจรของปู่ฟางเต้นแรงและยังอ่อนแอด้วย…
หลินม่ายเองก็ไม่ค่อยเข้าใจคำศัพท์ทางการแพทย์เท่าไหร่นัก
แต่แพทย์บอกกล่าวไว้ว่าควรอยู่เฉย ๆ ลดการเคลื่อนไหวลง และหลังจากรับประทานอาหารให้นั่งเฉย ๆ หลินม่ายยังคงเข้าใจสิ่งเหล่านี้
เพราะฉะนั้นเมื่อไป๋เซี่ยกำลังจะเดินทางไกล เธอถึงไม่กล้าที่จะให้คู่สามีภรรยาชรานี้ไปส่งเขา
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเวลานี้คุณปู่ฟางมีสุขภาพร่างกายที่ย่ำแย่ ถึงแม้คุณปู่ฟางจะแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน แต่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างก็เป็นอาวุโส จะไปส่งคนหนุ่มอย่างไป๋เซี่ยได้อย่างไรกัน
เวลานี้เธอจึงวางแผนว่าจะพาเด็ก ๆ ทั้งสามคนไปส่งไป๋เซี่ย
แต่โต้วโต้วไม่ต้องการไป หลินม่ายถามแผ่วเบาว่า “ทำไมถึงไม่อยากไปเหรอจ๊ะคุณลุงใจดีกับเธอมากเลยนะ ถ้าเธอไม่ไป เขาต้องเสียใจแน่เลย”
โต้วโต้วเอานิ้วชี้จิ้มกันก่อนจะพูดว่า “กู่จาวตี้เพื่อนสนิทของหนูกำลังจะกลับบ้านเกิดที่เจียงซีพร้อมกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดในวันนี้ หนูเลยอยากจะไปส่งหล่อนค่ะ”
หลินม่ายเองก็รู้เรื่องเพื่อนสนิทของโต้วโต้วอยู่บ้าง กู่จาวตี้เคยมาเล่นที่บ้านสองสามครั้งและก็เป็นเด็กดีมีมารยาท หลินม่ายรู้สึกประทับใจในตัวหล่อนเช่นกัน
หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะมีความสุขกับเด็กหญิงตัวน้อย ก่อนจะถามอย่างอยากรู้ว่า “แล้วพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดพบหล่อนได้ยังไง?”
“หลังจากกู่จาวตี้เกิดไม่นานนัก ครอบครัวของพวกเขามีปัญหา พวกเขาเลยไม่ต้องการเลี้ยงกู่จาวตี้ต่อ เวลานั้นพ่อแม่บุญธรรมของกู่จาวตี้ไม่มีลูกมาหลายปี และพวกเขาคุยกันว่าจะรับเด็กผู้หญิงมาเลี้ยง จากนั้นพวกเขาอาจจะมีลูกเป็นของตัวเองได้ พวกเขาก็เลยรับยาจื่อมาเลี้ยง และกู่จาวตี้คือเด็กผู้หญิงที่ชื่อยาจื่อ พ่อแม่บุญธรรมของกู่จาวตี้ต้องการรับเด็กมาเลี้ยง และพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดต้องการขายหล่อน ทั้งสองพูดคุยกัน และคราวนั้นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของกู่จาวตี้จึงขายหล่อนให้พ่อแม่บุญธรรม ดังนั้นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของหล่อนจึงตามหาหล่อนได้ง่าย”
หลินม่ายถามด้วยความสับสน “แล้วในเมื่อพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเพื่อนสนิทลูกกำลังลำบาก แล้วทำไมพวกเขาถึงตามเด็กน้อยกลับไปล่ะ?”
โต้วโต้วกล่าวต่อ “พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของกู่จาวตี้หารายได้จากการขายเมล็ดแตงโมทอด ตอนนี้สภาพครอบครัวของพวกเขาดีขึ้นมาก จึงอยากจะพาหล่อนกลับไป”
หลินม่ายพยักหน้า “อื้ม อย่างนั้นไปหาเพื่อนเถอะจ้ะ”
โต้วโต้วเอ่ยปาก “แม่คะ ฉันขอเงินสิบหยวนได้ไหม ฉันอยากซื้อของขวัญให้กู่จาวตี้”
หลินม่ายมอบเงินให้หล่อนสิบหยวนก่อนจะพูดว่า “แม่เห็นแล้วว่าลูกประหยัดเงินค่าขนมไปได้มาก แต่กลับไม่กล้าใช้เลยมาขอแม่แทนใช่ไหม?”
โต้วโต้วหัวเราะสองสามครั้งก่อนจะพูดว่า “แม่คะ ถ้าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาหาหนูในอนาคต แม่จะทิ้งหนูไหมคะ?”
หลินม่ายเดาว่าพ่อแม่บุญธรรมของกู่จาวตี้อาจจะปฏิบัติต่อกู่จาวตี้แบบนั้น
มันเลยทำให้โต้วโต้วรู้สึกหวาดกลัวไปด้วย
หลินม่ายลูบศีรษะของโต้วโต้วก่อนจะตอบว่า “ลูกเป็นลูกของแม่ แล้วทำไมแม่จะต้องทิ้งด้วยล่ะ? ต่อให้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาหาลูก แต่แม่ก็จะเป็นแม่ของลูก”
เวลานี้หลินม่ายพาเสี่ยวมู่ตงและเสี่ยวเหวินไปยังสถานีรถไฟ พ่อไป๋และคนอื่น ๆ มาถึงแล้ว พวกเขาพูดคุยกันอยู่รอบกายของไป๋เซี่ยไม่หยุดหย่อน
หลินม่ายหยิบเงินหลายพันหยวนออกมาจากกระเป๋าของตัวเองพร้อมยัดมันใส่มือของไป๋เซี่ย
จนอยู่บ้าน ฟุ่มเฟือยนอกบ้าน ไม่มีใครสามารถออกจากบ้านได้หากไม่มีเงิน
แต่ไป๋เซี่ยกลับปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ฉันเป็นพี่ชาย จะรับเงินจากน้องสาวได้ยังไง! ถ้าเอามาใส่มือของฉันอีกครั้ง ฉันจะโยนทิ้ง!”
คุณพ่อไป๋และไป๋เยี่ยนเองก็หันมากล่าวกับหลินม่าย “เขาไม่ต้องการเงินที่พวกเราให้เหมือนกัน อย่าไปบังคับเขาเลย”
แต่เสี่ยวเหวินช่วยหลินม่ายยัดเงินใส่มือของไป๋เซี่ยด้วย อีกทั้งเมื่อเสี่ยวมู่ตงเห็นอย่างนั้น เขาก็ยัดเงินใส่มือของไป๋เซี่ยอย่างร่าเริง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว “คุณลุงเอาไปซื้อขนมนะ”
ทุกคนหัวเราะอย่างสนุกสนาน และเวลานี้ไป๋เซี่ยก็ยินยอมรับเงินจากหลินม่ายแล้ว
ทั้งหมดบอกกล่าวให้ไป๋เซี่ยดูแลตัวเองให้ดีเมื่อไปอยู่ทางตะวันตกตามลำพัง เวลานี้แม่ไป๋เดินเข้ามาพร้อมกับอาหารมากมาย
ทันทีที่มาถึง หล่อนก็ยื่นอาหารทั้งหมดให้กับไป๋เซี่ยก่อนจะบ่นเบา ๆ “ลูกนี่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ ทำไมไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับแม่ของตัวเองก่อนว่าจะเดินทางไปตะวันตก แถวตะวันตกแถบนั้นลำบากแร้นแค้นจะตายชักหัวหน้าของลูกรังแกลูกหรือเปล่าที่ทำอย่างนี้? หรือเขาเห็นว่าลูกเป็นเด็กใหม่เลยบังคับให้ลูกไป? อย่างนั้นแม่จะไปคุยกับเขา!”
แม่ไป๋บ่นกระปอดกระแปดออกมาไม่หยุดหย่อน
ไป๋เซี่ยขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวอย่างจนปัญญา “ผมอายุยี่สิบกว่าแล้วนะครับ ผมโตแล้ว อีกอย่างผมต้องปรึกษาใครถ้าหากผมตัดสินใจแล้ว? ผมไม่ได้คุยกับพ่อด้วยซ้ำแล้วหัวหน้าก็ไม่ได้บังคับผมด้วย ผมสมัครใจไปที่นั่นด้วยตัวเอง”
แต่แม่ไป๋ก็ยังอดไม่ได้ที่จะบ่น “โง่เขลา ลูกนี่มันโง่จริง ๆ!”
หลินม่ายไม่ชอบแม่ไป๋ และเมื่อแม่ไป๋มาถึง เธอก็ออกไปยืนห่าง ๆ และทอดมองไปเรื่อยเปื่อย เวลานี้ก็บังเอิญเห็นจ้าวเชี่ยนหรูที่กำลังยืนอยู่กับคุณปู่จ้าวและคุณย่าจ้าว
หลินม่ายกับจ้าวเชี่ยนหรูไม่ค่อยสนิทกันมากนัก เพียงแค่เคยพบเจอเท่านั้น จึงไม่จำเป็นที่จะเข้าไปทักทาย
แต่คุณปู่จ้าวและคุณย่าจ้าวต่างก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย หากเธอไม่เข้าไปทักทายจะถือว่าเป็นการเสียมารยาทมาก
หลินม่ายเดินเข้าหาคุณปู่จ้าวและคุณย่าจ้าวก่อนจะโบกมือทักทายด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่จ้าว คุณย่าจ้าว จะไปไหนเหรอคะ?”
ครอบครัวทั้งสามของคุณปู่จ้าวเดินเข้ามา
คุณย่าจ้าวชี้ไปที่จ้าวเชี่ยนหรูด้วยความไม่พอใจก่อนจะพูดว่า “ไม่ใช่พวกเราหรอกที่จะไป แต่เป็นพี่สาวเชี่ยนหรูต่างหากที่อยากจะไปร่ำเรียนทางตะวันตก”
เธอหันมาจับมือหลินม่ายก่อนจะพูดว่า “พี่สาวเชี่ยนหรูของเธอน่ะชอบท่องเที่ยวไปเรื่อย หล่อนจะไปไหนก็ไปได้ทุกที่แต่ไม่รู้ทำไมต้องไปสอนทางตะวันตกด้วย ที่นั่นมันยากลำบากเกินไป!”
จ้าวเชี่ยนหรูโอบแขนของคุณย่าจ้าวแล้วพูดว่า “คุณย่าคะ ทางตะวันตกไม่ได้ลำบากเหมือนตอนที่คุณกับคุณปู่ขับไล่ผู้รุกรานหรอกนะคะ เวลานั้นเพราะพวกคุณต่อสู้โดยเดิมพันด้วยชีวิตมันเลยลำบากน่ะค่ะ ตอนนี้มันแตกต่างไปแล้ว อีกอย่างฉันไปสอนที่นั่นก็ดีไม่ใช่เหรอคะ ในเมืองหลวงไม่ได้ขาดแคลน แต่ทางตะวันตกกลับขาดแคลนบุคลากรคุณภาพนะคะ”
คุณย่าจ้าวตบหลังมือของหล่อนก่อนจะพูดว่า “เรื่องนั้นฉันก็เข้าใจ แต่ฉันไม่อยากให้เธอต้องลำบาก” ขณะพูดอย่างนั้นดวงตาของคุณย่าจ้าวแดงก่ำ
หลินม่ายรีบพูดขึ้นว่า “คุณย่าจ้าวไม่ต้องกังวลนะคะ พี่ชายของฉันก็ไปทำงานทางตะวันตกเหมือนกัน เขากับเชี่ยนหรูน่าจะเป็นเพื่อนกันและดูแลกันได้ค่ะ”
เธอไม่รู้ว่าจะเรียกพี่สาวเชี่ยนหรูอย่างไร เพราะเธอคือภรรยาของฟางจั๋วหราน ดังนั้นจ้าวเชี่ยนหรูต้องเรียกเธอว่าพี่สะใภ้
เมื่อคุณย่าจ้าวได้ยินอย่างนั้น นางก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะทิ้งหลินม่ายวิ่งเข้าหาไป๋เซี่ยพร้อมจับมือเขาไว้แน่น ก่อนจะกล่าวฝากฝังกับเขาให้ช่วยดูแลหลานสาวของตนเมื่อไปถึงทางตะวันตก
ไป๋เซี่ยรับปากหนักแน่น
จ้าวเชี่ยนหรูและไป๋เซี่ยได้ที่นั่งบนรถไฟขบวนเดียวกัน หลังจากรถไฟเข้าสู่สถานีแล้ว ทั้งสองจึงขึ้นรถไฟไปด้วยกัน
หลังรถไฟออกไปแล้ว ทั้งสองครอบครัวจึงแยกย้ายกันกลับ คุณปู่จ้าวและคุณย่าจ้าวกลับบ้านด้วยรถของพวกเขา
หลินม่ายเองก็แยกย้ายจากคุณพ่อไป๋และคนอื่น ๆ เช่นกัน
ไป๋เหยียนหันมาคุยกับหลินม่ายอย่างมีความสุข “ม่ายจื่อฉลาดจริง ๆ ที่พาเสี่ยวจ้าวและเซี่ยเซี่ยมาอยู่ด้วยกัน ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนี้จะได้สนิทกันมากขึ้นก็คราวนี้”
หลินม่ายไม่คิดที่จะจับไป๋เซี่ยให้อยู่ใกล้กับจ้าวเชี่ยนหรูเลย ที่เธอพูดออกไปเป็นเพียงการปลอบใจคุณย่าจ้าวเท่านั้น
แต่ได้ยินไป๋เหยียนพูดอย่างนั้นแล้ว ดูเหมือนเธอจะทำอะไรไม่ได้ซะแล้ว
เวลานี้แม่ไป๋เดินเข้ามาพร้อมหยิบเสื้อผ้าเด็กชายชุดหนึ่งออกจากกระเป๋า
หล่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันทำเสื้อผ้าชุดนี้ให้เสี่ยวตงตง”
หลินม่ายนึกถึงสิ่งที่คุณยายหลัวพูดก่อนหน้านี้ “เธอไม่จำเป็นต้องให้อภัยแม่ของเธอ แต่สามารถปฏิบัติต่อหล่อนเหมือนมนุษย์ทั่วไปได้ไหม?”
เวลานี้เธอรับเสื้อผ้าชุดนั้นเอาไว้พร้อมกล่าวตอบรับอย่างสุภาพ “ขอบคุณ”
แม่ไป๋มีความสุขมาก รีบพูดว่าไม่ต้องขอบคุณซ้ำๆ ก่อนจะหันมองเสี่ยวมู่ตงอย่างกระหายจะกอดฟัด
หลังจากแม่ไป๋ออกไปแล้ว ไปเหยียนก็ถามด้วยความประหลาดใจ “เธอยกโทษให้กับแม่แล้วเหรอ?”
หลินม่ายตอบกลับอย่างใจเย็น “ไม่ค่ะ ฉันแค่ปฏิบัติต่อหล่อนเช่นมนุษย์ทั่วไป”
ไป๋ลู่ต้องการเกลี้ยกล่อมให้หลินม่ายปล่อยวางความคับข้องใจก่อนหน้า แต่คุณพ่อไป๋เดินเข้ามาพร้อมขยิบตาให้หยุด
พ่อและลูกสาวขึ้นรถก่อนจะพูดเตือนว่า “อย่าไปเกลี้ยกล่อมให้ใครลืมความทุกข์ยาก เพราะลูกไม่ได้ประสบเรื่องนั้นด้วยตัวเอง อย่าบอกให้ม่ายจื่อให้อภัยแม่ อย่างนั้นจะไม่ยุติธรรมกับม่ายจื่อ”
พี่สาวน้องสาวพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้
นี่เป็นสัปดาห์ที่สามที่ไป๋เซี่ยเดินทางไปตะวันตกแล้ว และหลินม่ายก็อยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน
หลังจากเสร็จสิ้นการสอบแล้ว เธอก็ขับรถกลับบ้าน
ทันทีที่รถออกจากประตูหลัง หลินม่ายได้ยินว่ามีคนเรียกชื่อของตน
เธอมองออกไปก่อนจะเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้น
ผู้หญิงคนนี้คือเซิ่งซิ่วลี่ แชมป์การประกวดสุดยอดซุปเปอร์โมเดล
หากให้เทียบกับเมื่อก่อน เวลานี้เซิ่งซิ่วลี่ดูแย่กว่ามาก
ในอดีต หล่อนดัดผมลอนใหญ่ แต่งหน้าอย่างงดงามและสวมเสื้อผ้าจากห้องเสื้อจิ่นซิ่วในคอลเลคชั่นล่าสุด
แม้ตอนนี้หล่อนจะมีเส้นผมลอนใหญ่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ถูกทำความสะอาดให้ดี ลอนใหญ่เหล่านั้นจึงเสียทรงไปหมดแล้ว
อีกทั้งใบหน้าก็ยังไม่ได้แต่งเติม
หล่อนไม่ใช่คนสวยหากไม่แต่งหน้า เมื่อไม่แต่งหน้า รูปร่างหน้าตาของหล่อนก็จะกลายเป็นจุดด้อยทันที
และเสื้อผ้าที่หล่อนใส่ก็ไม่ใช่เสื้อผ้าคอลเลคชั่นล่าสุดของห้องเสื้อจิ่นซิ่ว
หลินม่ายถามออกไปด้วยความสงสัย “มีอะไรกับฉันเหรอ?”
เซิ่งซิ่วลี่เผยสีหน้าแดงก่ำก่อนจะพูดว่า “ฉัน… ฉันคิดว่าในอนาคตจะมีการถ่ายภาพโฆษณาของว่านทงทั้งหมด”
หลินม่ายเข้าใจอีกฝ่ายทันที
ก่อนหน้านี้เธอปฏิเสธที่จะถ่ายโฆษณาให้กับร้านถ่ายชุดชั้นในเพราะค่าตอบแทนน้อยเกินไป
หลินม่ายไปที่สตูดิโอถ่ายภาพและใช้เงิน 10,000 หยวนเพื่อจ้างนักศึกษาคนหนึ่งมาถ่ายทำโฆษณาร่วมกับรองชะเลิศและรองอันดับสามของการประกวดซุปเปอร์โมเดลคัพ
โฆษณาเหล่านี้เผยแพร่ในประเทศเกาะ และมีการตอบรับที่ดีมาก
หญิงสาวทั้งสามคนก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน และพวกเธอสามารถเข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างรวดเร็ว
แม้เธอจะมีบทบาทเล็กน้อย แต่เธอก็ได้รับชื่อเสียงด้วยสักหน่อย และมีรายได้มากเกินกว่าที่จะไปอยู่ในระดับนั้น
เซิ่งซิ่วลี่ต้องการเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยเช่นกัน แต่หล่อนไม่สามารถทำได้
เมื่อเห็นว่ารองอันดับสองและสามที่พ่ายแพ้ให้กับตนได้ดี เธออิจฉาและอยากจะหวนคืนสู่วงการอีกครั้ง
แต่หลินม่ายไม่คิดจะให้โอกาสหล่อนแล้ว “เธอมีความคิดที่ดี แต่เธอคิดน้อยไปหน่อย ไม่ใช่ว่าเธออยากจะถ่ายโฆษณาให้กับว่านทง แล้วฉันจะให้เธอถ่ายเลย”
เซิ่งซิ่วลี่กล่าวอย่างสำนึก “หัวหน้าหลิน ให้โอกาสฉันสักครั้งเถอะนะคะ”
หลินม่ายเองก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้จากเหมิงตาน
เธอดูเหมือนคนที่เจรจาง่ายงั้นเหรอ?
แต่หลินม่ายปฏิเสธหล่อนอย่างไม่แยแส
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายไม่ได้พบกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง เธอหันไปถามเสี่ยวเหวินที่กำลังเล่นกับน้องชายในสนามว่า “คุณปู่กับคุณย่าอยู่ที่ไหนเหรอจ้ะ?”
เสี่ยวมู่ตงกำลังช่างพูดในช่วงนี้ เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้ตอบกลับ “คุณปู่คุณย่าอยู่ในห้อง”
หลินม่ายสับสนเล็กน้อย นี่ยังไม่ถึงเวลาพักผ่อน แต่ผู้เฒ่าสองคนจะเข้าห้องกันทำไม?
หรือว่าคุณปู่ฟางจะป่วยอีกแล้ว?
เมื่อนึกได้อย่างนั้น หลินม่ายรีบตรงไปที่ห้องของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางทันที
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ชีวิตมันสั้น อย่าให้ใจยึดติดกับความทุกข์
ไหหม่า(海馬)
Comments