แม่ปากร้ายยุค 80 15 ใครไม่เอาก็โง่แล้ว
ตอนที่ 15 ใครไม่เอาก็โง่แล้ว
หลังจากคุยจบและกลับห้องเข้านอน หลินม่ายก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง โต้วโต้วกอดเธอไว้แน่นขณะตกอยู่ในห้วงความฝัน พร้อมกับเสียงสะอื้น “แม่คะ อย่าทิ้งหนูไป หนูจะเชื่อฟังทุกอย่าง”
หลินม่ายรู้สึกเจ็บปวดในใจ จึงพลิกมือมาโอบกอดหล่อนไว้แน่น พลางเอ่ยเสียงต่ำ “แม่ไม่มีวันทิ้งโต้วโต้วตลอดชีวิตนี้”
โต้วโต้วสงบลงด้วยเพลงกล่อมเด็กอันอบอุ่นของเธอ สุดท้ายก็เข้าสู้ห้วงนิทรา
เช้าตรู่วันต่อมา คุณปู่ฟางและหลินม่ายก็แยกย้ายกันไปรับซื้อเกาลัดคนละทาง
หลินม่ายใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ได้เกาลัดกลับมา 40 ชั่ง
ตอนที่เธอแบกเกาลัดกลับมาถึงบ้านของคุณย่าฟางนั้นก็เห็นร่างเงาเล็ก ๆ ร่างหนึ่งจากในระยะไกลยืนชะเง้อแลมองมาแต่ไกลตรงหน้าประตูบ้านของคุณย่าฟาง
ร่างเงาเล็ก ๆ ก็คือโต้วโต้วนั่นเอง เมื่อเห็นหลินม่าย หล่อนก็วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้ง พลางเอ่ยถามด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “แม่ตื่นนอนแล้วทำไมไม่ปลุกหนูคะ?”
หลินม่ายคว้าข้อมือเล็ก ๆ ของหล่อนพลางอธิบายด้วยความอดทน “ตื่นเช้าในฤดูหนาวมันเหน็บหนาวถึงขั้วหัวใจเชียวนะ ดังนั้นแม่ก็เลยไม่ปลุกหนูไง”
คุณย่าฟางที่ตามมาทีหลังได้เอ่ยขึ้น “เด็กคนนี้ตื่นเช้ามาไม่เจอเธอก็เลยร้องไห้ ฉันบอกหล่อนแล้วว่าเธอไปรับซื้อเกาลัด หล่อนก็ยังร้อง”
หลินม่ายรู้ดีว่าโต้วโต้วถูกแม่แท้ ๆ ทอดทิ้งจนจำฝังใจ จึงกลัวว่าเธอจะทอดทิ้งหล่อน ถึงได้เป็นกังวลแบบนี้
เธอเอ่ยสัญญาอย่างอบอุ่น “โต้วโต้ว แม่ไม่ทิ้งหนูหรอก หยุดร้องได้แล้ว”
โต้วโต้วเช็ดคราบน้ำตา แล้วตอบ ‘อื้อ’ อย่างแผ่วเบา มือเล็ก ๆ ที่จับเธอไว้กระชับแน่นขึ้น
ทั้งสามคนเดินกลับเข้าบ้านด้วยกัน กระทั่งหลินม่ายพบว่าคุณปู่ฟางได้กลับมาจากการรับซื้อเกาลัดแล้ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่คล่องแคล่วกว่าฉันอีกนะคะ ถึงรับซื้อเกาลัดได้เร็วขนาดนี้”
คุณปู่ฟางเอ่ยด้วยความภูมิใจอยู่บ้าง “คงไม่เคยเห็นล่ะสิว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นทหารเก่า จะไม่คล่องแคล่วได้ไง!”
คุณย่าฟางยกอาหารเช้าเข้ามา พลางถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “สังขารก็ปูนนี้แล้ว ยังกล้าโอ้อวดต่อหน้าเด็กมันอีก!”
คุณปู่ฟางกลั้วหัวเราะเหอะ ๆ พลางเอ่ย “ฉันไม่ได้โอ้อวด ฉันไปบอกกล่าวพวกชาวบ้านไว้ ให้พวกเขาบอกต่อคำพูดของฉัน บ้านใครมีเกาลัดให้มาขายที่บ้านของฉัน หนึ่งเหมาต่อหนึ่งชั่ง ต่อไปก็ไม่ต้องออกไปเร่รับซื้อเกาลัดเองแล้ว”
คุณย่าฟางเอ่ยอย่างพอใจ “ได้เรื่องกับเขาสักที”
คุณปู่ฟางได้ยินดังนั้นไม่เพียงแต่ไม่โกรธเคือง ทั้งยังยิ้มอย่างเบิกบานใจยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยถามหลินม่าย “ต่อไปอาจจะมีผู้คนไม่น้อยเข้ามาขายเกาลัดที่บ้านของเรา ปีที่แล้วเธอขายเกาลัดได้เท่าไหร่ก็คำนวณเอา ถ้าได้เพียงพอแล้วฉันจะหยุดรับ”
วันนี้คือวันที่สองของวันขึ้นปีใหม่ จะมีการเฉลิมฉลองปีใหม่ในวันที่ 3 เดือน 2 ซึ่งยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนเต็ม
ถ้าขายได้วันละ 80 ชั่งทุกวัน หนึ่งเดือนจะได้ประมาณ 2 หรือ 3000 ชั่ง แต่หลินม่ายอยากฉวยโอกาสตอนที่ตัวเองยังเป็นเจ้าเดียวในเมืองกอบโกยให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “นับแต่นี้ไปฉันจะขายเกาลัดให้ได้วันละ 150 ชั่ง ทดลองขายสิบวันแรกก่อน คุณปู่ช่วยรับซื้อเกาลัดแค่ 2000 ชั่งดูก่อนค่ะ สิบวันหลังค่อยดูสถานการณ์อีกที”
จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าเนียมอาย “ส่วนเงินที่ใช้รับซื้อเกาลัดก้อนนี้ คุณปู่ช่วยสำรองจ่ายให้ฉันก่อนนะคะ”
คุณปู่ฟางโบกมือ พลางเอ่ยด้วยความมุ่งมั่น “เรื่องจิ๊บจ๊อยน่า!”
คุณย่าฟางกำลังจัดวางอาหารเช้า ได้ยินดังนั้นก็อึ้งงันไป “วันหนึ่งขายมากขนาดนี้ แล้วเธอจะขนเข้าเมืองยังไง?”
คุณปู่ฟางรีบเอ่ย “ฉันช่วยหล่อนขนเข้าเมืองเอง”
คุณปู่ฟางเป็นชายชราอายุหกสิบเจ็ดสิบปีแล้ว หลินม่ายจะให้เขาขนไปส่งให้ตัวเองได้อย่างไร
เธอจึงรีบส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันหาคนไปส่งที่รถไฟเอง จากนั้นก็ค่อยหาใครสักคนบนรถไฟช่วยไปส่งที่บ้านคุณย่าผางอีกที”
รถไฟที่เธอนั่ง สถานีต้นสายคือสถานีรถไฟฮั่นโขว หาใครสักคนช่วยไปส่งไม่น่ายาก
คุณย่าฟางเอ่ยอย่างลังเล “เรียกใครสักคนในเมืองเล็ก ๆ ไปส่งที่สถานีรถไฟก็ไม่ยากเหมือนกัน บนรถไฟเธอไม่รู้จักใครสักคน จะหาใครมาช่วยเธอได้?”
“ก็จ้างคนอื่นไงคะ ต้องมีคนยอมส่งบ้างแหละ”
ในสายตาของหลินม่าย อะไรที่แก้ปัญหาได้ด้วยเงินไม่เรียกว่าปัญหา
แก้ไขปัญหาหนึ่งได้แล้ว คุณย่าฟางก็ยังกังวลปัญหาอื่น “ขนเกาลัดมากมายขนาดนั้นไปขายในเมือง ตอนเที่ยงจะเอาเวลาไหนออกไปซื้อข้าว? ไม่ได้การละ ฉันต้องอบขนมแป้งจี่สักสองสามชิ้นเป็นเสบียงให้เธอแล้ว”
กล่าวจบก็เตรียมเข้าครัว แต่ถูกหลินม่ายขวางไว้
“คุณย่า ไม่ต้องลำบากหรอก เอาข้าวที่เหลือมาทำเป็นข้าวปั้นไปก็พอ กินข้าวก่อนเถอะค่ะ”
คุณย่าฟางจึงนั่งลงกินอาหารเช้า
หลังจากกินได้สองสามคำ จู่ ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งออก จึงเอ่ยถามหลินม่ายอย่างจริงจัง “เธอทิ้งเงินห้าเหมาไว้ใต้กาน้ำชาใช่ไหม? เมื่อวานฉันจะถามเรื่องนี้แต่ก็ลืมไปเลย”
หลินม่ายยิ้มด้วยความลำบากใจ “มาอยู่บ้านคุณย่าก็รบกวนคุณปู่คุณย่าจะแย่อยู่แล้ว ก็เลยทิ้งเงินไว้ห้าเหมาน่ะค่ะ”
คุณย่าฟางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์เอามาก ๆ “ฉันไม่ชอบที่เธอเกรงใจขนาดนี้!”
คุณปู่ฟางจึงเอ่ยคล้อยตามทันที “ฉันก็ไม่ชอบ”
หลินม่ายรีบเอ่ยว่า “ก็ได้ ๆ ฉันผิดเองค่ะ ต่อไปจะไม่เกรงใจแบบนี้อีกแล้ว”
คุณย่าฟางจึงพอใจ
หลินม่ายจึงชิงโอกาสนี้เอ่ยว่า “ในเมื่อคุณปู่คุณย่าไม่อนุญาตให้ฉันเกรงใจ งั้นตอนนี้ฉันมีเรื่องจะขอร้องพวกคุณสักอย่าง”
“เรื่องอะไร ว่ามา” คุณปู่ฟางเงยหน้าจากชามข้าวแล้วมองเธอ
“ฉันขอฝากโต้วโต้วให้พวกคุณช่วยดูแลอยู่ที่บ้านนะคะ ฉันไปค้าขายไม่สะดวกพาหล่อนไปด้วย”
คุณย่าฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฝากไว้ที่นี่แหละ แก่ ๆ อย่างเราสองคนจะได้คลายเบื่อได้บ้าง”
โต้โต้วกลับสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปมองหลินม่ายเชิงขอร้อง “ไม่ค่ะ อย่าทิ้งหนูไว้ หนูอยากไปขายเกาลัดในเมืองกับแม่ด้วย”
ผู้ใหญ่ทั้งสามคนโน้มน้าวยังไง หล่อนก็ไม่ฟัง
หลินม่ายจำใจต้องตอบรับพาหล่อนไปด้วย
ตอนนี้สิ่งที่โต้วโต้วขาดคือความปลอดภัย ไว้ให้หล่อนรู้สึกปลอดภัยก่อนคงจะแยกกับตนได้โดยไม่กลัวแล้ว
หลังกินข้าวเสร็จ คุณปู่ฟางออกตามหาคนช่วยขนเกาลัดไปยังสถานีรถไฟมาให้หลินม่าย
ส่วนคุณย่าฟางก็ช่วยกะเทาะเปลือกเกาลัด
หลินม่ายเก็บชามและตะเกียบ และถือโอกาสทำข้าวปั้น
เดิมทีตั้งใจจะทำข้าวปั้นแค่สองก้อน แต่โต้วโต้วตามไปด้วยจึงต้องปั้นเพิ่มเป็นห้าก้อน
โชคดีที่ข้าวที่เหลือของคุณย่าฟางมีจำนวนเพียงพอ หลินม่ายใช้ถั่วฝักยาวแทรกแซมเข้าไปในข้าวปั้นทั้งห้าก้อน จากนั้นก็นำข้าวปั้นห้าก้อนนี้ใส่ไหกระเบื้องใหญ่ใบหนึ่ง แล้วมาช่วยกะเทาะเปลือกเกาลัดกับคุณย่าฟาง
คุณปู่ฟางออกไปไม่นานก็พาชายฉกรรจ์วัยสามสิบกว่า ดูซื่อบื่ออดอยากคนหนึ่งกลับมา
แม้ว่าเสื้อผ้าของชายฉกรรจ์คนนั้นจะสะอาด แต่ก็ถูกเย็บปะอยู่หลายจุด เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าชีวิตยากจนข้นแค้นมาก
คุณปู่ฟางแนะนำทั้งสองฝ่ายให้เขาและหลินม่ายได้รู้จัก
หลินม่ายรู้ว่าชายฉกรรจ์คนนี้อยู่ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ชื่อว่า หลี่เถียหนิว
เธอยิ้มให้หลี่เถียหนิวพลางเอ่ยว่า “ค่าขนไปส่งวันละสองเหมา พี่ใหญ่หลี่จะทำไหมคะ?”
ตอนนี้คนงานในเมืองได้เงินเดือนตกเดือนละยี่สิบสามสิบ ช่วยขนของไปส่งที่สถานีรถไฟทำเงินได้ตั้งสองเหมา ใครไม่ทำก็โง่แล้ว!
หลี่เถียหนิวรีบพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ทำ!”
หลินม่ายให้เงินเขาสองเหมาและให้เขากลับไปก่อน อีกหนึ่งชั่วโมงค่อยมาใหม่
เวลาตอนนี้ยังเช้าอยู่ เธอตั้งใจจะกะเทาะเปลือกเกาลัดให้ได้สักหนึ่งชั่วโมงแล้วค่อยเข้าเมือง
เธอขายของกินเล่นไม่ได้ขายอาหารเช้า จึงไม่ต้องไปเช้าขนาดนั้น
หลี่เถียหนิวคว้าเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งตรงหน้าเกาลัดที่ต้องกะเทาะเปลือกกองหนึ่ง “ฉันกลับไปก็ไม่มีอะไรทำ สู้มาช่วยกะเทาะเปลือกเกาลัดดีกว่า”
คุณย่าฟางเอ่ยหยอกเย้า “แกกะเทาะได้ แต่ม่ายจื่อไม่มีเงินจ้างแกนะ”
หลี่เถียหนิวกลั้วหัวเราะเหอะ ๆ พลางเอ่ย “เรื่องเล็กแค่นี้จะจ้างทำไม? ฉันก็ไม่ได้เห็นแก่เงินสักหน่อย”
กำลังคนเยอะขึ้น ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เกาลัด 150 ชั่งได้ถูกกะเทาะเปลือกจนหมด หลังจากบรรจุใส่ถุงกระสอบเรียบร้อยแล้ว หลี่เถียหนิวก็แบกเกาลัดถุงนั้นขึ้นหลังเตรียมขน
หลินม่ายจึงรีบแบกเกาลัดอีกถุงเช่นกัน
คุณย่าฟางเรียกเธอไว้ จากนั้นก็ถอดนาฬิกาออกจากมือยื่นให้เธอ “ฉันเห็นเธอไม่มีนาฬิกา ใส่ของฉันไปก่อน อยู่ข้างนอกจะได้ดูเวลา”
“นี่…..” หลินม่ายเกิดความลังเลเล็กน้อย
เธอต้องมีนาฬิกาไว้ดูเวลาจริง ๆ แต่สมัยนี้นาฬิกาเป็นของใช้ฟุ่มเฟือย จึงรู้สึกลำบากใจที่จะหยิบมัน
คุณย่าฟางจึงบังคับเธอใส่อย่างอดไม่ได้ “อะไรกันเล่า? เด็กวัยรุ่นทำไมขัดใจเก่งแบบนี้ ให้เธอใส่ก็ใส่ไปสิ!”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีแรงงานมาเพิ่มแล้ว ได้เวลากอบโกยแล้วค่ะม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)
Comments