แม่ปากร้ายยุค 80 234 เด็กนิสัยเสีย
ตอนที่ 234 เด็กนิสัยเสีย
แม้ว่ารถเข็นแบบมีเตาย่างจะใช้เวลาถึงสองวันกว่าจะพร้อมใช้งาน แต่ข้าวโพดก็เริ่มขายดีขึ้นเมื่อเปิดร้านในตอนเย็น
หลินม่ายใช้วิธีโรยข้าวโพดปิ้งด้วยผงยี่หร่าและเครื่องเทศแบบเดียวกับพวกเนื้อสัตว์เพื่อกระตุ้นความสนใจของลูกค้า ให้หันมาซื้อข้าวโพดกันมากขึ้น
พนักงานย่างสองคนพากันสงสัย “มันจะอร่อยไหมนะถ้าทำแบบนี้”
พวกเขาคิดว่าข้าวโพดปิ้งแบบปกติน่าจะอร่อยกว่า
แต่หลินม่ายจำได้ว่าข้าวโพดปิ้งโรยเครื่องเทศขายดีมากในชาติที่แล้ว เพราะฉะนั้นชาตินี้ก็คงไม่ต่างกัน
หลินม่ายตอบพวกเขาอย่างมั่นใจ “ทำตามที่ฉันบอกนี่แหละ ถ้าไม่มีคนซื้อค่อยเอาแบบเดิมมาขาย”
เธอเป็นเจ้าของร้าน การตัดสินใจสุดท้ายเป็นของเธอ แม้ว่าจะแอบขัดแย้งอยู่ในใจก็ต้องทำตามนั้น
หลินม่ายพาหลี่หมิงเฉิงและอาหวงออกไปขายเสื้อผ้าด้วยกัน
เมื่อไปถึงที่ถนนเจียงฮั่น ก็พบว่าเสี่ยวม่านรออยู่ก่อนแล้ว
พอเห็นว่าหลินม่ายและหลี่หมิงเฉิงกำลังเดินมาตั้งร้าน หล่อนก็รีบเข้ามาช่วยทั้งคู่จัดแผงทันที
ไม่ห่างไปนัก เฉินเฟิงก็กำลังชำเลืองมองหลินม่าย ก่อนจะหันหลังกลับมาทางพรรคพวกของตัวเอง
เสี่ยวม่านที่ตาไวมองเห็นเหตุการณ์ เลยขยับเข้าไปกระซิบข้างหูของหลินม่าย “พี่เฟิงแอบมองเธออยู่แหละ”
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองตาม เห็นเพียงแผ่นหลังไว ๆ ของเฉินเฟิงที่กำลังเดินจากไป เลยเถียงกลับ “ไร้สาระน่า!”
“เรื่องจริงต่างหาก” เสี่ยวม่านยังไม่ลดละแล้วหันมาซุบซิบต่อ “ว่าไปแล้ว ทำไมพี่เฟิงถึงได้ดีกับเธอขนาดนี้นะ ดูเต็มใจจะดูแลเธอตลอดเลย”
หลินม่ายไม่อยากจะอธิบายความจริงกับเสี่ยวม่านเลยบอกออกไปเพียงว่า “ก็ฉันจ่ายหนักไง เขาเลยตามคุ้มครองแบบนี้”
เสี่ยวม่านถามต่อ “ไม่มีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นจริงเหรอ?”
หลินม่ายหรี่ตามอง “คิดอะไรอยู่เนี่ยหา”
เจ้าของร้านถุงเท้าหัวเราะร่าขึ้นมา “ก็คิดว่าพี่เฟิงชอบเธอน่ะสิ”
พอมาคิดดูแล้ว เฉินเฟิงมักจะใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูมองมาที่เธอเสมอ และเมื่อไรที่เขามองมาแบบนั้น ก็จะได้สายตาไม่พอใจจากเหลียนเฉียวเป็นของแถมมาด้วย
เธอหันไปปรามเสี่ยวม่านอย่างจริงจัง “อย่าไปพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ให้ใครได้ยินเชียว ถ้าเรื่องไปถึงหูพี่เฟิงมันคงน่าอายพิลึก”
เสี่ยวม่านยังไม่ลดละ “แต่ฉันจริงจังนะเนี่ย”
คืนนี้เสื้อผ้าขายดิบขายดีไม่ต่างจากเดิม
ระหว่างที่ยุ่งอยู่กับการขายของ เธอก็ได้ยินเสียงของหลี่หมิงเฉิงที่เอ็ดขึ้นมา “ดูแลลูกตัวเองหน่อยสิครับ ผมบอกหลายครั้งแล้ว หมาตัวนี้เป็นหมาล่าเนื้อ มันจะกัดคนเอาได้ แรงมันเยอะมาก ลูกของคุณก็ยังเอาไม้มาแหย่มัน ถ้ามันกัดขึ้นมาใครจะรับผิดชอบไหว”
หลินม่ายมองตามเสียงก็เห็นว่าหลี่หมิงเฉิงกำลังดึงสายจูงของอาหวงไว้
มีเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบเอาไม้มาแหย่เจ้าหมา และก็ถูกอาหวงคำรามใส่อย่างน่ากลัว
ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่หมิงเฉิงดึงสายจูงไว้ อาหวงคงเข้าไปขย้ำเด็กเหลือขอนั่นเป็นชิ้น ๆ แน่นอน
แต่เด็กนั่นก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังคงแหย่อาหวงแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน
ในบรรดาลูกค้าของหลินม่ายมีสาววัยประมาณยี่สิบคนหนึ่งมองไปที่หลี่หมิงเฉิงแล้วเอ่ยถามขึ้น “แล้วทำไมคุณไม่จับมันไว้ดี ๆ ล่ะ คุณแค่ดึงสายจูงไว้แล้วปล่อยให้มันขู่ลูกฉันอยู่แบบนั้น จงใจงั้นเหรอ”
หลินม่ายเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าแม่คนนี้ไม่ได้สนใจลูกตัวเองเลยหรืออย่างไรกัน
ทุกคนต่างเตือนหล่อนว่าเด็กกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่คนเป็นแม่กลับสนใจเพียงแค่การเลือกซื้อเสื้อผ้า และทำเรื่องไร้สาระอยู่
หลินม่ายพูดต่อว่า “พี่สาว คุณก็เห็นว่าหมาตัวเท่าลูกม้าขนาดนั้น ถ้ามันตั้งใจจะกัดลูกคุณก็คงไม่มีใครจับมันไว้ได้หรอก คุณน่าจะพาลูกมาตรงนี้แล้วห้ามปรามเขาว่าอย่าไปแหย่มันอีกจะดีกว่านะคะ”
ลูกค้าคนอื่น ๆ ที่ซื้อเสื้อผ้าอยู่ก็พากันกดดันแม่ของเด็กน้อย
หญิงสาวเลยต้องเดินไปหาลูกด้วยความโกรธ พาตัวลูกชายมานั่งที่หน้าร้านของหลินม่ายแล้วดุเขา “อย่าไปยุ่งกับหมาตัวนั้นอีกนะ”
แต่หล่อนก็ยังไม่วายจะหันมาบ่น “ถ้าจะเลี้ยงหมาล่าเนื้อแล้วไม่รู้จักควบคุม ทำไมยังกล้าเอามันออกมาเดินที่ริมถนนแบบนี้นะ สร้างปัญหาไม่เข้าเรื่อง”
หลินม่ายหมดคำจะพูด
แต่สิ่งที่หล่อนพูดก็ไม่ผิด แม้ว่าอาหวงจะถูกแหย่จริง ๆ แต่มันก็เป็นอย่างที่หล่อนว่า
อาหวงเป็นสุนัขตัวใหญ่ที่ไม่ได้เป็นมิตรกับผู้คน คงไม่เหมาะจะพามันมาที่ถนนจริง ๆ
หลินม่ายนึกถึงการเลี้ยงสุนัขในชาติก่อน
ขนาดชาติที่แล้วจะหาเจ้าของสุนัขที่รับผิดชอบมันได้อย่างดีสักคนยังไม่ใช่เรื่อง่าย นับประสาอะไรกับตอนนี้
แต่หลินม่ายก็ยังตั้งใจจะเริ่มด้วยตัวเอง เธออยากจะเป็นเจ้าของสุนัขที่เลี้ยงสัตว์แบบมีความรับผิดชอบ
หญิงสาวตัดสินใจว่าพรุ่งนี้คงจะไม่พาอาหวงมาอีกแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เจอเด็กนิสัยเสีย สุนัขของเธอจะได้ไม่ต้องกลายเป็นสุนัขดุที่ทำร้ายเด็ก
เด็กคนนั้นเลิกไปแหย่อาหวงแล้วแต่ก็ยังคงไม่หยุดสร้างเรื่อง
เขาวิ่งไปวิ่งมาจากถนนฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง สลับจากตรงนั้นไปตรงนี้ที
ราวกับว่ากำลังทดสอบความเร็วของตัวเองว่าจะหลบรถได้เร็วแค่ไหน เมื่อเห็นว่ารถไม่สามารถชนตัวเองได้ก็มีท่าทางภาคภูมิใจ
แม้ว่าในยุคนี้จะไม่ได้มีรถอยู่มากเท่าไร แต่ก็ใช่ว่าถนนจะไม่อันตราย
หลายครั้งที่รถเกือบจะชนเจ้าเด็กแสบ เสียงเบรกดังสนั่นน่าใจหายจนใคร ๆ ก็พากันหวาดเสียว
คนขับรถเหล่านั้นตะโกนขึ้นมาอย่างโมโห “นี่ลูกใครวะเนี่ย เดี๋ยวก็ได้โดนชนตายฟรีหรอก”
เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังเล่นเกมชนะก็กระโดดขึ้นลงด้วยความดีใจ
แม่ของเด็กคนนั้นกลับหันไปเถียงเจ้าของรถแทน
“ขับช้า ๆ ไม่เป็นหรือไงหา ให้ฉันต้องคอยดูมันตลอดเหรอ เด็กอยู่ในวัยกำลังเดินกำลังวิ่งเนี่ย ฉันจะไปคอยจับไว้ได้ไงหา”
พอเห็นว่าแม่เด็กเป็นคนไร้เหตุผล คนขับรถเลยไม่อยากเถียงให้มากความ เพียงแค่ขับรถออกไปด้วยสีหน้าโกรธเคือง
ผู้หญิงคนนั้นหันมาดุลูกชายตัวเองต่อว่าอย่าไปวิ่งเล่นแบบนั้นอีก
เจ้าเด็กนิสัยเสียเชื่อคำพูดของแม่อยู่ได้เพียงไม่กี่นาทีก็เริ่มสร้างความเดือดร้อนขึ้นมาอีก ด้วยการผลักคนที่เดินผ่านไปมาจากด้านหลังด้วยมือเล็ก ๆ นั่น พอทำร้ายคนอื่นสำเร็จก็รีบวิ่งหนีแล้วปรบมือชอบใจ
พอเห็นว่าเด็กคนนั้นทำร้ายหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งจนหล่อนล้มลงกับพื้น หลินม่ายก็ลุกขึ้นเตือนแม่เด็กอีกครั้งอย่างเป็นห่วง “ลูกคุณกำลังทำผิดอยู่นะ”
ผู้หญิงคนนั้นหันไปมองลูก เมื่อเห็นว่าเด็กไม่ได้อยู่ในอันตรายก็ตอบอย่างเฉยเมย “มันก็แค่เด็ก ไม่มีแรงไปทำใครบาดเจ็บร้ายแรงหรอก คุณก็อย่ามายุ่งนักเลย”
หลินม่ายหุบปากฉับ
ในตอนแรกเป้าหมายโจมตีของเจ้าเด็กเหลือขอเป็นเพียงผู้หญิงและคนแก่เท่านั้น ทุกครั้งที่ผลักคนเหล่านั้นสำเร็จก็ยิ่งได้ใจมากเข้าไปอีก
ในยุคนี้พวกคนแก่ยังใจดีมาก เพราะคนใจร้ายพวกนั้นยังไม่ทันแก่
เมื่อโดนผลักจนล้มก็แค่หันมาด่าไม่กี่คำ ไม่ได้เรียกร้องอะไร
เจ้าเด็กนั่นเลยไม่รู้สึกว่ามันท้าทายเท่าไร จึงวิ่งไปผลักชายหนุ่มคนหนึ่งอย่างเต็มแรง
ไม่ง่ายเลยที่ชายหนุ่มวัยกลางคนจะถูกผลักจนล้ม อย่างมากก็เซถลาไปด้านหน้า
พวกเขาขี้เกียจเกินกว่าจะมีปัญหากับเด็กไม่รู้ความ จึงเพียงแค่หันมาดุแล้วเดินจากไป
เด็กชายได้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งผ่านมาก็รีบลุกขึ้นจากด้านหลัง แล้วเข้าไปผลักเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี
แต่คราวนี้เด็กน้อยเจอของแข็งเข้าให้แล้ว เพราะชายคนนั้นดูน่ากลัวมาก มองแวบแรกก็รู้ว่าไม่น่าใช่คนที่จะไปหาเรื่องด้วยได้
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ยกขาเตะเด็กชายจนกระเด็นแล้วรีบวิ่งหนีไป
เด็กนิสัยเสียหน้าคะมำลงกับพื้น ศีรษะแตกและหมดสติไปในทันที
แม่ของเด็กรีบวางเสื้อผ้าที่กำลังเลือกอยู่ แล้ววิ่งร้องไห้ไปอุ้มลูกขึ้นมา พลางร้องขอความช่วยเหลือให้พาเขาไปโรงพยาบาล
หลายคนที่มองอยู่ไม่เพียงแค่ไม่เห็นใจ กลับอยากจะปรบมือให้ชายคนนั้นด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ยอมสั่งสอนลูกให้ดี ก็คงต้องให้สังคมช่วยสั่งสอนแทน
หลินม่ายขายของจนสามทุ่มครึ่งก็ปิดร้าน พากันกลับบ้านพร้อมกับหลี่หมิงเฉิงและอาหวง
เห็นว่าอาหวงกำลังสนใจอะไรบางอย่างที่ด้านหลัง หญิงสาวเลยมองตามบ้างเพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่ดึงความสนใจจากเจ้าหมาคืออะไร
เมื่อพบว่าเป็นลูกน้องของเฉินเฟิงที่กำลังเดินตามมาเงียบ ๆ ไม่ต่างจากเมื่อวาน เธอก็เข้าในใจทันทีว่าพวกเขาคงได้รับคำสั่งจากลูกพี่ให้ตามมาส่งให้ถึงบ้าน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เออ สักที ไม่สั่งสอนลูกตัวเองให้รู้จักถูกผิดก็ต้องจ่ายค่าบทเรียนราคาแพงแบบนี้แหละ
ไหหม่า(海馬)
Comments