แม่ปากร้ายยุค 80 240 ชุนซิ่งถูกหลอก
ตอนที่ 240 ชุนซิ่งถูกหลอก
ไม่มีใครเข้าไปห้ามพวกเขา ผู้คนต่างพากันรอชมความสนุกสนานมากกว่า
“ว่าแล้วเชียวว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ ข้าวโพดราคาแค่ 5 เฟินมีที่ไหนกัน”
“ของถูกแล้วดีมีที่ไหน”
พอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว หลินม่ายเลยเดินทางกลับ
โจวฉายอวิ๋นรีบเข้ามาบอกหลินม่ายด้วยสีหน้าสะใจ “ม่ายจื่อ ชุนซิ่งถูกโกงล่ะ ฮ่า ๆ”
หลินม่ายเริ่มถามด้วยความสงสัย “หล่อนถูกโกงได้ยังไง?”
มันน่าแปลกที่คนเหลี่ยมจัดอย่างชุนซิ่งจะถูกหลอก
“ฉันได้ยินมาว่าตอนตกลงกันคนขายเอาข้าวโพดดี ๆ มาให้หล่อนดู มีอยู่หลายสิบฝักนั่นแหละ จนยอมสั่งซื้อ ชุนซิ่งเป็นคนฉลาด จะไม่ตรวจดูให้ครบทุกฝักก่อนจ่ายเงินได้ยังไง คนโกงบอกว่าอยากจะแลกเหรียญก่อนแล้วก็ขอให้เธอช่วยพาไปหาที่แลกเหรียญ แลกเหรียญเสร็จค่อยกลับมาตรวจข้าวโพดต่อ ชุนซิ่งคิดว่าที่แลกเงินอยู่ไม่ไกลมาก แล้วก็อยากไปดูการแลกเงินด้วยตัวเองด้วย เลยทิ้งข้าวโพดเอาไว้ที่รถแทรกเตอร์ สุดท้ายก็ไม่ได้ตามที่ตกลงกันไว้ ตอนแรกจะจ่ายเงินกันที่ 10 หยวน แต่เพราะเห็นว่าพวกนั้นมีเหรียญเยอะมากเลยขอลดราคาเป็น 8 หยวน คนพวกนั้นไม่ยอม บอกว่าขายราคานั้นไม่ได้ แล้วก็พากันกลับมาที่รถแทรกเตอร์พร้อมชุนซิ่ง พวกคนโกงก็บอกให้หล่อนตรวจข้าวโพดแล้วจ่ายเงิน”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้โจวฉายอวิ๋นก็เริ่มตั้งคำถามขึ้นมาเล่น ๆ “เดาซิว่าชุนซิ่งตอบว่าอะไร?”
หลินม่ายหัวเราะเบา ๆ “หล่อนคงบอกคนพวกนั้นว่าไว้ใจเขา จ่ายเงินให้แล้วปล่อยพวกคนโกงนั่นไป”
คนเล่าเรื่องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ “ทำไมถึงรู้เรื่องเหมือนยืนอยู่ในเหตุการณ์ขนาดนี้เลยล่ะ?”
หลินม่ายยังคงยิ้ม ในชาติก่อนเธอเห็นว่ามีนักต้มตุ๋นอาละวาด มีกลโกงนับไม่ถ้วนถูกเปิดเผยในอินเทอร์เน็ต ฟังครู่เดียวก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ
“ฉันรู้ด้วยว่าทำไมชุนซิ่งถึงถูกหลอก”
โจวฉายอวิ๋นถามด้วยความสนใจ “ยังไง?”
“คนโกงนั่นจงใจทิ้งเงินเหรียญถุงหนึ่งเอาไว้ให้หล่อนเห็นแล้วเก็บไป ชุนซิ่งที่มีความโลภอยู่ในใจก็รีบเก็บถุงเงินนั้นไว้ พอมาถึงตอนที่ตรวจสอบข้าวโพดก็เลยรีบอยากให้พวกนั้นกลับไปเร็ว ๆ จะได้ไม่รู้ตัวว่าลืมเงินไว้ เพราะแบบนี้หล่อนก็เลยไม่ตั้งใจตรวจสอบข้าวโพดแล้ว รีบซื้อขายให้จบ ๆ แต่ไม่ได้คิดว่าเหรียญที่อยู่ในถุงเงินนั่นเป็นของปลอมทั้งหมด”
โจวฉายอวิ๋นเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจมากกว่าเดิม “ม่ายจื่อ นี่เธอรู้ขนาดนี้ได้ยังไง?”
หลินม่ายอธิบายต่ออย่างสบาย ๆ “ฉันเคยได้ยินเรื่องกลนักต้มตุ๋นที่คล้าย ๆ แบบนี้มาก่อน”
หลังคุยเรื่องต่าง ๆ กับโจวฉายอวิ๋นแล้ว หลินม่ายก็ขึ้นไปชั้นบนเพื่ออ่านหนังสือสอบ
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง โจวฉายอวิ๋นก็ขึ้นมาชั้นบนเพื่อเรียกเธอ “ชุนซิ่งกับพวกเจ้าของร้านที่ยกเลิกข้าวโพดไปเมื่อวานมารออยู่ล่ะ”
หลินม่ายขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกขยะแขยง “พี่ได้ถามไหมว่าพวกเขามากันทำไม?”
โจวฉายอวิ๋นเม้มปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ถามแล้วแต่พวกนั้นไม่ยอมบอก”
หลินม่ายไม่มีทางเลือกนอกจากวางปากกาลงแล้วเดินลงไปชั้นล่าง และพบว่าชุนซิ่งกับเหล่าเจ้าของร้านที่คืนข้าวโพดนั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว
จมูกและใบหน้าของชุนซิ่งมีรอยฟกช้ำ ใบหน้าปูดบวม น่าจะเกิดจากการปะทะกันเมื่อครู่
แม้ว่าเหล่าเจ้าของร้านจะสภาพดูดีกว่าหล่อน แต่พวกเขาก็มีรอยเล็บและรอยช้ำบนใบหน้าจากการต่อสู้เช่นกัน
หลินม่ายเอ่ยถามอย่างเย็นชา “พวกคุณต้องการอะไรจากฉันคะ?”
ชุนซิ่งและคนอื่น ๆ ต่างมีท่าทางอึกอักลำบากใจ
เพื่อนบ้านคนหนึ่งเริ่มพูดขึ้น “เรา…เราอยากจะซื้อข้าวโพดของเธอ”
หลินม่ายรีบปฏิเสธ “ฉันคงทำธุรกิจกับคนไม่น่าเชื่อถือไม่ได้” จบประโยคนั้นเจ้าของร้านสาวก็หันหลังเตรียมกลับไปชั้นบน
ชุนซิ่งรีบยืนขึ้นอย่างกระวนกระวาย “เธอยังมีข้าวโพดเหลืออยู่อีกเยอะ เก็บไว้ก็เสียเปล่า ๆ ทำไมไม่ขายให้เราล่ะ?”
เสียงเพื่อนบ้านอีกคนดังขึ้น “เธอมีปัญหากับพวกเรา แต่ก็คงไม่มีอยากมีปัญหากับเงินของเราหรอกใช่ไหม ขายให้เราเถอะน่า”
หลินม่ายตอบอย่างโมโห “ฉันไม่อยากได้เงินจากพวกคุณแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายเดินหนีขึ้นไปชั้นบนแล้วชุนซิ่งและเหล่าเจ้าของร้านก็พากันกลับไปด้วยความโกรธ
ป้าหูมองไปที่ร้านของหลินม่ายด้วยความสงสัยว่าทำไมชุนซิ่งและคนอื่น ๆ ถึงมาที่นี่
หล่อนแอบฟังจนรู้เรื่องที่ทุกคนพูดคุยกันทั้งหมด
เมื่อชุนซิ่งกลับไปที่ร้าน ป้าหูก็ตามหล่อนกลับไปด้วย
และเริ่มไปยุยงชุนซิ่งเสียงเบา “ยัยนั่นไม่ยอมขายข้าวโพดให้เธอ ทำไมไม่ลองแจ้งความข้อหาเก็งกำไรค้าขายผลผลิตดูล่ะ”
ชุนซิ่งคุ้นเคยกับการใช้คนอื่นเป็นเบี้ยเสมอ พอถึงคราวที่คนอื่นหวังจะมาใช้หล่อนเป็นเบี้ยบ้างจึงมองออกในทันที และแน่นอนว่าหล่อนจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยใครง่าย ๆ
หล่อนคว้าตัวป้าหูเอาไว้ ลากหญิงชรามาที่หน้าร้านของหลินม่ายแล้วตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวหลิน ยัยป้าข้างบ้านยุให้ฉันฟ้องเธอฐานขายข้าวโพดเก็งกำไร”
หลินม่ายโผล่หน้ามาทางหน้าต่างแล้วเอ่ยตอบอย่างเรียบ ๆ “ไปฟ้องเลย !”
ตอนนี้รัฐกำลังสนับสนุนให้ช่วยชาวบ้านขายผลผลิตทางการเกษตร ถ้าเธอถูกจับเพราะขายข้าวโพด ใครจะมากล้าช่วยชาวบ้านขายผลผลิตอีก ต่อให้ฟ้องแล้วผิดจริง ชุนซิ่งเองก็ขายข้าวโพดด้วยเหมือนกัน
ป้าหูตกใจมากจนหน้าซีด ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกชุนซิ่งหักหลัง แบบนี้มันหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนชัด ๆ
พอคิดถึงเรื่องนี้ ก็เริ่มรู้สึกว่าเหล่าเจ้าของร้านหลายคนกำลังมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจ
เจ้าของร้านคนหนึ่งชี้หน้าหล่อน “ถ้าคิดจะหาเรื่องเสี่ยวหลินล่ะก็ ไปไหนมาไหนระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ”
ถ้าหลินม่ายจะต้องถูกจับเพราะขายข้าวโพด ไม่เพียงแค่เงินของพวกเขาจะต้องเสียเปล่า แต่พวกเขาจะโดนร่างแหไปด้วย
เหตุผลแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่พวกเขาจะออกมาปกป้องหลินม่าย
ป้าหูหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ข่มความตกใจแทบไม่อยู่ นึกแค้นชุนซิ่งอยู่ในใจ
หล่อนลอบกัดฟันอยู่กับตัวเอง รอให้เรื่องเงียบก่อนเถอะ ตนจะไปฟ้องหลินม่ายให้ชุนซิ่งโดนเรื่องนี้ไปด้วย
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว กำจัดศัตรูพร้อมกันสองคนได้ในคราวเดียวแน่ ๆ
ชุนซิ่งเงยหน้าขึ้นแล้วตะโกนให้หลินม่ายที่อยู่ชั้นบนได้ยิน “ฉันไม่ได้จะไปฟ้องเธอ ฉันแค่จะบอกให้เธอระวังยัยป้านี่ไว้”
หลินม่ายกลับไปที่โต๊ะเพื่ออ่านหนังสือ
ชุนซิ่งรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่มีปฏิกิริยาอะไร หล่อนก็ปล่อยป้าหูไปและกลับบ้านไปอย่างหงุดหงิด
หล่อนต้องการจะให้หลินม่ายเปลี่ยนใจมาขายข้าวโพดให้เพราะพอใจที่ช่วยเรื่องเปิดโปงแผนของป้าหู แต่ไม่คิดว่าหลินม่ายจะไม่สนใจแม้แต่น้อย
สองวันต่อมา เสื้อผ้ามือสองที่หลินม่ายรับมาจากกว่างโจวก็ถูกขายจนเหลือเพียง 200 กว่าชิ้นเท่านั้น
คืนนี้น่าจะเป็นคืนสุดท้ายที่จะมีเสื้อผ้าพอเอาไปขาย เพราะของใกล้จะหมดแล้ว
หลังการสอบจบลง เธอจะไปกว่างโจวเพื่อซื้อเสื้อผ้าอีกรอบเอามาทำกำไรอีกครั้ง พอคิดได้แบบนั้น หลินม่ายอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เมื่อถึงเวลาออกไปขายเสื้อผ้าที่ตลาดกลางคืน ก็เป็นหน้าที่หลี่หมิงเฉิงที่ต้องไปกับเธอตามปกติ
แต่บังเอิญว่าวันนี้พนักงานย่างอาหารลาป่วย
หลินม่ายเลยให้หลี่หมิงเฉิงไปทำงานแทนที่พนักงานคนนั้น ไม่ต้องไปที่แผงขายเสื้อผ้ากับเธอ
อย่างไรตอนนี้ก็มีลูกน้องของเฉินเฟิงคอยตามดูแลอยู่แล้ว ทำให้หลินม่ายรู้สึกปลอดภัยและคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องพาหลี่หมิงเฉิงไปด้วยก็ได้
ส่วนเรื่องจะถูกหลอกหรือมีคนขโมยเสื้อผ้าก็ไม่น่าห่วงมากนัก ตราบใดที่ยังมีสติอยู่ตลอดเวลา
หลี่หมิงเฉิงค่อนข้างกังวล “ฉันไม่ไปด้วย ถ้าเจอคนมาหาเรื่องล่ะ”
“ไม่เป็นไร ฉันจะจ้างให้ลูกน้องเฉินเฟิงมาช่วยคุ้มครอง”
“แล้วถ้าถูกขโมยของล่ะ”
“ตอนนี้มีแต่พวกเสื้อกันหนาวแล้ว ตัวใหญ่ขนาดนั้นขโมยยากจะตาย”
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายยืนยันจะให้เขาอยู่ที่นี่ หลี่หมิงเฉิงก็ทำได้เพียงบอกให้เธอระวังตัวดี ๆ แล้วมองแผ่นหลังของหญิงสาวจากไป
ทันทีที่หลินม่ายมาถึงถนนเจียงฮั่นด้วยรถสามล้อ เสี่ยวม่านก็เดินมาหาพร้อมไอศกรีมสามแท่ง
เมื่อไม่เห็นเงาของหลี่หมิงเฉิงเลยรู้สึกแปลกใจขึ้นมา “วันนี้บอดี้การ์ดเธอไปไหนซะล่ะ”
“คนที่ร้านลาป่วย ฉันเลยให้เขาไปทำงานแทนน่ะ”
“ถ้ารู้ว่าเขาจะไม่มา คงไม่ซื้อไอศกรีมมาสามแท่งหรอก”
เสี่ยวม่านส่งแท่งหนึ่งให้หลินม่าย “ทำไมวันนี้ดูมีความสุขจัง ไปเจอคุณแฟนมาเหรอ”
เจียงเฉิงไม่ได้ต่างไปจากที่อื่น ๆ แม้ว่าจะเป็นปี 1980 แต่คนหนุ่มสาวก็ได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ฮ่องกงกับไต้หวัน รวมทั้งแนวคิดการใช้ชีวิต ทำให้พวกเขากล้าพูดเรื่องพวกนี้ออกมาตรง ๆ
ประจำเดือนของหลินม่ายมาเมื่อไม่กี่วันก่อนและเพิ่งจะหมดไป ทำให้เธอยังกินไอศกรีมไม่ได้ในตอนนี้
เธอโบกมือปฏิเสธ และมองเสี่ยวม่านอย่างภาคภูมิใจ “ทำไมจะต้องไปรอเจอแฟนด้วย ก็แค่ผู้ชายหล่อ ๆ สักคน กระดิกนิ้วเรียกก็มาต่อคิวรอแล้ว”
เสี่ยวม่านมองเธออย่างอิจฉา “ม่ายจื่อ เธอสุดยอดไปเลย ฉันอายุขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยมีแฟนเลย”
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวม่านเป็นเพียงสาวน้อยคนหนึ่งที่ช่างดูไร้เดียงสาและเชื่อทุกอย่างที่ตนพูด หลินม่ายก็แอบนึกอิจฉาอีกฝ่ายอยู่ในใจ
เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวแสนอบอุ่น ถูกพ่อแม่ดูแลอย่างดีก็ดูเรียบง่ายสดใสแบบนี้
เพราะเธอไม่ได้เติบโตมาแบบนั้น ก็เลยกลายเป็นคนที่มีกำแพงในใจ ไม่เชื่อใครง่าย ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
คนเหลี่ยมจัดมันต้องเจอคนที่เหลี่ยมกว่ามาดัดหลังนี่แหละ
ป้าหู อายุก็เยอะแล้ว หัดปลงแล้วเข้าหาทางธรรมมั่งเถอะ ศัตรูป้าเยอะแล้วนะ ระวังจะอายุไม่ยืน
ไหหม่า(海馬)
Comments