แม่ปากร้ายยุค 80 603 ผู้แอบอ้าง
ตอนที่ 603 ผู้แอบอ้าง
หลินม่ายเชิญชวนนักข่าวมาที่นี่ทันทีเพื่อทำการเปิดโปงนักเขียนไร้ยางอายที่ใส่ร้ายโรงงานเครื่องประดับ ให้พวกเขาเหล่านั้นมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการคัดเลือกพนักงานเป็นการส่วนตัวว่า ทางโรงงานรับสมัครพนักงานที่สมประกอบกี่คน พนักงานพิการกี่คน และพูดข้อมูลทุกอย่างได้ข้อเท็จจริง
อีกทั้งยังอธิบายต่อนักข่าวทุกคนรวมถึงเหล่านักเขียนไร้ยางอายพวกนั้นว่า ก่อนหน้านี้ทางโรงงานไม่เคยรับสมัครพนักงานพิการ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
หลังอธิบายจบ เธอก็เอ่ยถามนักเขียนและยังอายต่อหน้านักข่าวทุกคนว่า เธอหลอกลวงผู้บริโภคหรือเอาเปรียบผู้พิการอย่างไร?
นักเขียนไร้ยางอายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระงับความโกรธแค้นไว้ในใจ
หลินม่ายไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไป อีกทั้งยังขอให้อีกฝ่ายกล่าวขอโทษและชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจกับโรงงานเครื่องประดับ
แม้การเขียนบทความในยุคนี้จะได้เงินมาก แต่ไม่ว่าจะมีเงินสักเท่าใดก็ถือเป็นเรื่องน่าตึงเครียดหากต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้อื่นเป็นจำนวนหลายมาก
ผู้เขียนบอกหลินม่ายด้วยสีหน้าขมขื่นว่าตนถูกยุยงให้เขียนบทความเพื่อทำให้โรงงานเครื่องประดับเสียชื่อเสียง
เชื่อคนง่ายอีกแล้วสินะ
หลินม่ายแทบระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ หากนี่เป็นเรื่องจริงก็แสดงว่ามีคนมากมายที่เกลียดชังเธอ
แต่คราวนี้ผู้ยุยงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหวัง
นี่คือกลอุบายอันโง่เขลาที่เหล่าพนักงานผู้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ประกอบการในกวางตุ้งที่ต้องการแข่งขันกับโรงงานเครื่องประดับของหลินม่าย
หลินม่ายไม่ใช่คนใจดี เธอจัดการว่าจ้างนักเขียนหลายคนเพื่อเปิดโปงพฤติกรรมที่น่าเกลียดขององค์กรที่ได้รับทุนสนับสนุนจากมณฑลกวางตุ้งในหนังสือพิมพ์ชั้นนำหลายฉบับ และปล่อยให้องค์กรนี้ล้มหายตายจากไปก่อนที่จะก่อตั้ง
หลังจากการรับสมัครเสร็จสิ้น คดีของหวังเหวินฟางก็เงียบหายไป
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำข้อสอบแทนคนอื่น แต่เธอก็ไม่ได้จ้างใครมาสอบแทน และเธอก็ไม่ได้ทำการโกงข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
การใส่ร้ายผู้อื่นถือว่าร้ายแรงไม่น้อยไปกว่าอาชญากรรมข้างต้น
ในกรณีข้างต้น หากมีพฤติการณ์ร้ายแรง บุคคลนั้นจะถูกตัดสินจำคุกสามถึงเจ็ดปี
ในกรณีนี้ ศาลได้ตัดสินให้หวังเหวินฟางจำคุกสามปี และรอลงอาญาไว้หนึ่งปี
แม้ไม่จำเป็นต้องติดคุกในขณะนี้ แต่เหตุการณ์นี้ได้สร้างปัญหามากมาย และแม้แต่การออกอากาศข่าวก็ยังพูดถึงข่าวนี้อยู่เป็นเวลานาน
แม้หวังเหวินฟางจะได้รับความนิยมในหน่วย และยังเป็นที่โปรดปรานของหัวหน้า แต่หัวหน้าก็ไม่กล้าปกป้องหล่อน
บนยอดเขามีสายตามากมายจ้องมองมายังหล่อน หวังเหวินฟางกำลังพาตัวเองลงไปสู่หายนะ
ผู้นำเหล่านั้นไม่เพียงปฏิเสธที่จะปกป้องหล่อน แต่ยังสั่งพักงานหล่อนด้วย สิ่งที่หล่อนต้องเผชิญล้วนเรียกได้ว่าน่าสังเวช
……..
หลินเพ่ยใช้เวลาราวหนึ่งเดือนเพื่อศัลยกรรมให้ดูเหมือนหลินม่าย
การทำศัลยกรรมพลาสติกไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหล่อนเลย
แม้การศัลยกรรมทางการแพทย์จะปรากฏขึ้นแล้วในฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน และต่างประเทศ แต่ก็ยังไม่มีในจีนแผ่นดินใหญ่
หลินเพ่ยอธิบายให้แพทย์ฟังว่าการทำศัลยกรรมพลาสติกทางการแพทย์คืออะไรและทำอย่างไร เป็นเรื่องน่าเศร้าที่หล่อนต้องเป็นผู้อธิบายความรู้แก่ผู้ที่กำลังจะผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าของหล่อน และยังต้องจ่ายให้พวกเขาด้วย
แต่สิ่งที่น่าหวั่นเกรงคือกระบวนการทั้งหมดทำในคลินิกเถื่อนที่มีการเดิมพันสูง
โชคดีที่แพทย์ที่หล่อนเลือกนั้นมีความชำนาญและทำการรักษาได้ดี และโชคดีที่ไม่มีการติดเชื้อหลังการผ่าตัด
แม้จะดูไม่เหมือนหลินม่ายมากนัก แต่ก็เรียกได้ว่าคล้ายคลึงเป็นอย่างมาก
หลินเพ่ยมองดูใบหน้าของตนเองในกระจกด้วยความรู้สึกทั้งรักและชังในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่หล่อนรักคือใบหน้านี้จะเป็นของเธอในอนาคต และหล่อนก็จะเป็นสาวงามไร้ที่เปรียบนับตั้งแต่นั้นมา
สิ่งที่หล่อนชิงชังคือหลินม่ายผู้ที่มีลักษณะใบหน้าเช่นนี้ ยิ่งเมื่อเห็นใบหน้านี้ก็ยิ่งคิดถึงหลินม่าย ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะหลินม่าย ทำให้หล่อนคับแค้นใจและไม่มีความสุข
หลังจากพักฟื้นอยู่สองเดือน หลินเพ่ยก็กลับไปยังปักกิ่งอีกครั้ง
แน่นอนว่าหล่อนไม่สามารถไปที่บ้านของตระกูลไป๋ได้โดยตรง
กลุ่มคนโง่เขลาในตระกูลไป๋ยังคงคิดว่าเรื่องราวระหว่างไป๋ซวงและหลินม่ายเป็นเพียงอุบัติเหตุ
และพวกเขาก็อยู่ในความคิดเช่นนั้นตลอดเวลาโดยไม่ตระหนักรู้
เนื่องจากเป็นอุบัติเหตุ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ซุนกุ้ยเซียงและสามีของหล่อนจะรู้ว่าหลินม่ายคนนี้ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพวกเขาเอง
แต่ในฐานะตัวปลอม เป็นไปไม่ได้ที่หล่อนจะรู้ประสบการณ์ชีวิตของหลินม่าย ดังนั้นหล่อนจึงเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อสอบถามจากญาติๆ
ดังนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้หล่อนเข้าสู่ตระกูลไป๋ได้ คือการใช้ไป๋ซวงเป็นทางผ่าน
เมื่อหลินเพ่ยปรากฏตัวต่อหน้าไป๋ซวงด้วยรูปลักษณ์ใหม่ อีกฝ่ายก็ตกใจมาก
หล่อนไม่เคยคิดเลยว่าหลินเพ่ยจะกลายเป็นหลินม่ายได้จริง ๆ
หากไม่ใช่เพราะการแสดงออกที่ร้ายกาจและแววตาแห่งความชั่วร้ายอันเป็นเอกลักษณ์ของหลินเพ่ย ไป่ซวงอาจไม่เชื่อว่าสาวสวยที่อยู่ตรงหน้าคือหลินเพ่ย
ไป๋ซวงไม่พอใจกับรูปร่างหน้าตาของตนเองมาโดยตลอด
เมื่อเห็นว่าหลินเพ่ยสวยขึ้น หล่อนก็โลภมากจนเอาแต่ถามอีกฝ่ายว่าสวยขนาดนี้ได้อย่างไร
การพึ่งมีดหมอทำให้งดงามขึ้นได้จนน่าประหลาดใจ แต่ในยุคนี้ไม่มีใครในแผ่นดินใหญ่เคยได้ยินเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครคิดถึง
หล่อนคิดว่าหลินเพ่ยสวยขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงหรือเครื่องสำอางที่มีมนต์ขลัง
หลินเพ่ยบอกความจริงกับไป๋ซวง พร้อมสั่งให้หล่อนพาเดินทางกลับไปยังบ้านของตระกูลไป๋
ไป๋ซวงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของหลินเพ่ย เพราะอีกฝ่ายครอบครองรูปถ่ายที่ไม่เหมาะสมของหล่อนไว้มากมาย
ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในประตูบ้านตระกูลไป๋ ไป๋ซวงก็ตะโกนอย่างตื่นเต้น “พ่อ แม่ พี่รอง ดูสิคะว่าฉันพาใครกลับมาบ้าน?”
ไปเซี่ยเกลียดการที่ไป๋ซวงตะโกนโวยวาย เขาจึงไม่ตอบสนองใดๆ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งทั้งครอบครัวอยู่ที่บ้าน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็วิ่งออกจากห้องนั่งเล่น
ไป๋ลู่ตกตะลึงทันทีที่ได้เห็นหลินเพ่ย
หล่อนและหลินม่ายเคยอยู่ด้วยกันบนรถไฟระยะหนึ่ง แต่หลังจากเวลาผ่านไปนาน ความทรงจำของหล่อนก็พร่าเลือนไปมาก
แม้หลินเพ่ยจะละม้ายคล้ายคลึงกับหลินม่ายเพียงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ในสายตาของหล่อน ทั้งสองแทบไม่ต่างกันเลย
ไป๋ลู่รู้สึกประหลาดใจ “ม่ายจื่อ นั่นเธอเหรอ? เธอจริง ๆ ใช่ไหม? ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม!”
หลินเพ่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “ฉันเองค่ะ เป็นฉันจริง ๆ พี่ไม่ได้ฝันไป”
ไป๋ลู่จับใบหน้าของตน ก่อนจะเคลื่อนไหวมายังแขนและมือ จากนั้นจึงกัดลิ้นของตน เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวด หล่อนก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เพียงความฝัน
หล่อนตะโกนใส่พ่อและแม่อย่างตื่นเต้น “แม่! น้องสาวแท้ ๆ ของฉัน ลูกสาวคนเล็กของบ้านเรากลับมาแล้ว!”
แม่ไป๋พูดด้วยสีหน้างุนงง “ข้างนอกมันร้อน เข้าไปคุยกันในห้องนั่งเล่นกันดีกว่า ตอนนี้ฉันกำลังสับสน ช่วยค่อย ๆ อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไหม”
เป็นไปไม่ได้ที่สมองของแม่ไป๋จะสับสนหรือเลอะเลือน เพราะหล่อนเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมต้น
หล่อนตื่นเต้นกับความสุขที่อยู่ตรงหน้าจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
เมื่อเข้ามาในห้องนั่งเล่น ไป๋ซวงก็เริ่มต้นโกหกทันที
หล่อนบอกว่าขณะกำลังช้อปปิ้งกับเพื่อนร่วมชั้น ก็บังเอิญเห็นหลินเพ่ยและรู้สึกประทับใจ เพราะหล่อนดูละม้ายคล้ายแม่ไป๋อย่างมาก
เพราะไป๋ลู่เคยบอกว่าเด็กสาวที่หล่อนพบบนรถไฟนั้นดูเหมือนแม่ไป๋มาก จึงวิ่งไปหาและถามชื่อของหล่อน
หญิงสาวบอกว่าหล่อนชื่อหลินม่าย
ไป๋ชวงจำได้ว่าไป๋ลู่เคยบอกว่าผู้หญิงที่เธอพบบนรถไฟซึ่งดูเหมือนแม่ไป๋มีชื่อว่าหลินม่าย
เมื่อทั้งสองทำความรู้จักและสนิทสนมกัน ไป๋ซวงก็พา ‘หลินม่าย’ เดินทางกลับมายังบ้าน
แม่ไป๋รู้สึกตื่นเต้นและดีใจอย่างมาก “สวรรค์ช่างมีตาเหลือเกิน ที่ทำให้พี่น้องได้พบกัน ในที่สุดครอบครัวของเราก็ได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง!”
หลินเพ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งและใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ไป๋ซวงบอกตลอดว่าหนูคือลูกสาวของตระกูลนี้ จริงเหรอคะ? หนูมีพ่อแม่ด้วยเหรอคะ!”
ไป๋ลู่กอดหล่อนอย่างเสน่หา “จริงสิ พ่อแม่ปัจจุบันที่อยู่ด้วยกันไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ ของหนู”
หลินเพ่ยแสร้งทำเป็นสับสน “เกิดอะไรขึ้นคะ? ใครก็ได้ช่วยอธิบายให้ฟังที?”
ครอบครัวไป๋พูดคุยและเล่าสิ่งที่พวกเขาคาดคิดให้หล่อนฟังว่า เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เข้าใจผิด จึงเกิดการสลับเด็กสองคนนี้
หลินเพ่ยพยักหน้าพลางครุ่นคิด “เข้าใจแล้วค่ะ”
แม่ไป๋จับมือหลินเพ่ย ถามถึงช่วงเวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมาของหล่อนพลางเช็ดน้ำตาไปด้วย
ขณะที่หลินเพ่ยกำลังจะตอบ พ่อไป๋ก็พูดด้วยสีหน้ายินดี “ไปกินข้าวก่อนเถอะ กินก่อน อาหารจะเย็นแล้ว ไว้คุยกันตอนกินข้าว”
เขาสั่งให้สาวใช้คนใหม่แห่งตระกูลซื้อเนื้อผัดซอสชั้นดีมาสำหรับอาหารเย็น
เนื่องจากพี่เลี้ยงคนเดิมทำเครื่องประดับทองที่บ้านหาย แม่ไป๋ซึ่งสงสัยว่าหล่อนขโมยไปจึงทำการไล่ออก
แม้ตำรวจจะสอบสวนเป็นเวลาหลายวันและไม่พบข้อสงสัยเกี่ยวกับพี่เลี้ยงคนเดิม แต่แม่ไป๋ก็ยังไล่หล่อนออก
สุดซอยของบ้านตระกูลไป๋มีร้ายขายเนื้อผัดซอสแสนอร่อยอยู่
สาวใช้เดินทางไปซื้อเนื้อผัดซอสและรีบเร่งกลับมา
ระหว่างช่วงเวลาแห่งการรอคอย หลินเพ่ยได้บอกเล่าเรื่องโกหกเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตที่น่าสังเวช ซึ่งทำให้พ่อไป๋ แม่ไป๋ และไป๋ลู่เกิดความสงสารจับใจ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เธอก็ปลอมได้แค่หน้าตาของม่ายจื่อเท่านั้นแหละ ปลอมแปลงไปถึงกมลสันดานไม่ได้หรอก
ไหหม่า(海馬)
Comments