โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 162

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 162 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Provider : Muntra

 

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.162 – หยั่งเชิง

 

สุดท้ายหลิวซูก็อดร่วมภารกิจกับฉินเฟิง มีเพียงวังเฉินร่วมเดินทางกับเขาสู่สถานชุมชนเฉิงเป่ย เพื่อเตรียมรับภารกิจ

 

แน่นอนว่าวังเฉินได้รับของขวัญจากฉินเฟิง เป็นเกราะในที่ทำจากแม่พันธุ์แมงมุม

 

ของขวัญนี้ทำให้วังเฉินรู้สึกว่ามั่นใจมากขึ้นว่าตนตัดสินใจถูก : การติดตามฉินเฟิง นับว่าคุ้มค่า ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ

 

วันถัดมา ทุกคนที่ตั้งใจจะเดินทางสู่เมืองหาน ทั้งหมดมารอแต่เช้า โดยตำแหน่งที่รออยู่ห่างจากเมืองเฉิงเป่ยเป็นระยะทางกว่า 10 ไมล์

 

ระหว่างกำลังเฝ้ารอ

 

“นี่พวกเราก็มารอในทุ่งล่าตั้งนานแล้วนะ ทำไมพวกเขาถึงยังไม่มารับสักที ยิ่งช้ามันก็ยิ่งมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นไม่ใช่รึไง!” โจวฮ่าวขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

 

“ไม่น่าจะมีปัญหาหรอก เพราะที่นี่ยังอยู่ภายในอาณาเขตของหน่วยรักษาการณ์” จางเทียนกล่าว

 

ในคราวนี้ ทางสถานชุมชนเฉิงเป่ยส่งกำลังพลไปเป็นจำนวนผู้ใช้พลังเลเวล G 300 คน และเลเวล F ราวๆ 10 คน และอื่นๆที่ยังไม่มีตราเลเวล G

 

จำนวนคนจากทางสถาบันระดับสูงก็ไม่น้อยเช่นกัน ทั้งสามชั้นปี มีผู้ใช้พลังเลเวล G กว่า 30 คน ที่สำคัญในบรรดาพวกเขา ยังมีแกนนำคนสำคัญรวมอยู่ด้วย!

 

“ฉินเฟิง ทำไมนายถึงมารอนั่งรวมกับพวกเราในชั้นธรรมดาล่ะ?” จ้าวหยูเอ่ยถามอย่างสงสัย “ได้ยินมาว่าเลเวล F จะได้นั่งในชั้นพิเศษที่มีห้องแยกออกไปนี่นา”

 

ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างไม่แยแส “จะนั่งที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ยังไงซะก็รถไฟขบวนเดียวกัน สุดท้ายก็ใช้เวลา 20 ชั่วโมงเท่ากันอยู่ดี”

 

ในครั้งที่ฉินเฟิงออกจากเมืองหานกลับสู่สถานชุมชนเฉิงเป่ย เขานั้นได้นำคนธรรมดาจำนวนมากเดินทางกลับมาด้วย จึงจำเป็นต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เลยใช้เวลาเดินทางอยู่หลายวัน แต่ในครั้งนี้ เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกต่อไป

 

“หวอ~~~~ ”

 

จู่ๆเสียงไซเรนยาวก็ดังขึ้น นี่ฟังคล้ายเป็นเสียงกรีดร้องของสัตว์ร้าย เสียงของมันดังจนก่อให้เกิดคลื่นโซนิคบูมสั่นสะเทือน ส่งผลให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

 

คลื่นเสียงดังกล่าว สามารถช่วยขับไล่สิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่า เลเวล E ไปได้

 

ช่วงเวลาต่อมา ยักษ์ใหญ่สีดำพลันปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้า ยามใกล้เข้ามา พบว่ามันมีความกว้างกว่า 10 เมตร แต่กลับยาวจนไม่เห็นปลายสุด และกำลังขับเคลื่อนด้วยความสูงเหนือพื้นดิน 10 เมตร

 

–เป็นรถไฟล่องเวหา!

 

ตรงส่วนหัวจักรของรถไฟ สลักไว้ด้วยตราสัญลักษณ์หงส์ร่อนมังกรรำ

 

เป็นกลุ่มซ่งเฉิง!

 

กลุ่มซ่งเฉิง คือกลุ่มที่ยิ่งใหญ่พอจะเทียบเคียงได้กับกลุ่มหวันซ่ง ในแง่ของขนาดองค์กร แต่สินค้าหลักของพวกเขาคือรถไฟล่องเวหา

 

นี่คือช่วงโลกาวินาศ ที่ทุกหนแห่งถูกกลืนกินไปด้วยรอยแยกมิติ การสัญจรลำบากเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงขบวนรถไฟของกลุ่มซ่งเฉิงเท่านั้นที่สามารถข้ามฝ่าพื้นที่ทุ่งล่าในระยะไกลได้อย่างปลอดภัย

 

ไม่นาน ขบวนรถไฟล่องเวหาก็ลดความเร็วลง และจอดลงเบื้องหน้าฝูงชน

 

พวกที่แต่งกายด้วยชุดต่อสู้ นำพนักงานที่ส่วนใหญ่เป็นเลเวล F พากันลงจากรถไฟ

 

แม้มิได้เอ่ยวาจา เพียงยืนอยู่รอบๆ ก็สร้างความน่าพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง

 

พนักงานรถไฟ ประชาสัมพันธ์หญิงเลเวล G กวาดมองฝูงชนด้วยรอยยิ้ม

 

“สำหรับท่านที่เป็นผู้ใช้พลังเลเวล F กรุณาขึ้นรถไฟชั้น 1 เพื่อเข้าพักในห้องส่วนตัวของคุณ ส่วนท่านผู้ใช้พลังเลเวล G และคนที่เหลือเชิญขึ้นชั้นธรรมดา แล้วหาที่นั่งประจำที่”

 

เมื่อเสียงดังขึ้น ฝูงชนจึงค่อยได้สติจากอาการตกตะลึง แล้วทยอยกันก้าวขึ้นไปบนรถไฟ

 

โจวฮ่าวเดินข้างๆฉินเฟิงและกล่าว “เฮ้ นายเพิ่งไปทดสอบรับรองเลเวล F มาใช่ไหม แล้วทำไมถึงไม่ติดมันล่ะ?”

 

แม้ปัจจุบันฉินเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่เขากลับยังคงสวมโลโก้ผู้ใช้พลังเลเวล G กระทั่งไป๋หลีเองก็ยังไม่สวมมัน แต่แน่นอน ว่ายังมีคนอีกมากมายที่ไม่ติดตราโลโก้เหมือนไป๋หลี เพราะพวกทั้งหมดต้องการไปเมืองหาน เพื่อเข้าทดสอบรับตราโลโก้นี่แหละ!

 

ฉินเฟิงยังไม่ทันเอ่ยปาก เจ้าหน้าที่รถไฟก็มองมาทางเขา และชิงเอ่ยเสียก่อน “คุณคือมิสเตอร์ฉินใช่ไหม? ทางเราได้จัดห้องเตียงคู่ไว้เป็นพิเศษสำหรับคุณแล้ว โปรดเชิญทางนี้”

 

ฉินเฟิงเลิกคิ้ว เขาไม่คิดว่าหน่วยข่าวกรองของกลุ่มซ่งเฉิงจะทำงานขยันถึงขนาดนี้ ถึงขั้นรู้มาก่อนล่วงหน้าว่าตนจะเข้าร่วมภารกิจเมืองหาน ดังนั้นจึงจัดเตรียมห้องพักไว้เป็นพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ฉินเฟิง

 

“อ่า … ก็ได้!” ฉินเฟิงไม่ต้องการให้ไป๋หลีลำบากนั่งบนรถบัสศึกเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงเดินตามอีกฝ่ายขึ้นขบวนแรกไป

 

นักเรียนคนอื่นๆมองตามด้วยความอิจฉา

 

และในบรรดาพวกที่อิจฉา มีอยู่คนหนึ่งที่อิจฉาจนดวงตาลุกเป็นไฟ!

 

มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเกาหลิงฮาน!

 

เกาหลิงฮานเองก็ได้ทดสอบรับรองว่าเป็นผู้ใช้พลังเลเวล F เช่นกัน แน่นอนว่าเกาหลิงฮานไม่ได้อิจฉาที่ฉินเฟิงได้ขึ้นขบวนชั้น 1 แต่อิจฉาตรงที่ฉินเฟิงกลายเป็นจุดเด่น เป็นเป้าสายตาของทุกคนต่างหาก

 

ตั้งแต่ที่ได้เจอกับฉินเฟิงคนนี้ ทุกเสียงที่ลอยเข้ามาในหูของเกาหลิงฮาน ล้วนมีแต่คำสรรเสริญฉินเฟิง สิ่งนี้ทำให้เกาหลิงฮานซึ่งคิดว่าตนเป็นอัจฉริยะมาโดยตลอด รู้สึกไม่อึดอัด ไม่พอใจเป็นอย่างมาก

 

ทุกคนทยอยกันขึ้นรถไฟ ไม่มีใครสนใจสีหน้าของเกาหลิงฮาน เจ้าตัวทำได้เพียงกลั้นหายใจ เริ่มก้าวตามคนอื่นๆไป

 

ระหว่างเดินนำฉินเฟิง พนักงานก็เอ่ยกับเขา

 

“มิสเตอร์ฉิน ฉันชื่อว่าตันหยู เป็นสมาชิกของกลุ่มซ่งเฉิง ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยพบกับมิสเตอร์ฉินมาก่อน ไม่น่าเชื่อเลยว่ามิสเตอร์ฉินจะยังเด็กถึงขนาดนี้”

 

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ “มิสเตอร์ตัน คุณเรียกผมว่าฉินเฟิงเฉยๆก็ดี”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นคุณก็ห้ามเรียกฉันว่ามิสเตอร์ตันเหมือนกัน ตกลงไหม?”

 

ทั้งสองสนทนากัน และเริ่มเกิดความคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว

 

“ฉันเคยได้ยินมาว่าคุณฉินสามารถชนะติดต่อกันได้ถึง 20 ครั้งในศูนย์ประลองเมืองเฉิงหยาง ฉันรู้ว่าคุณทรงพลัง แต่ไม่คิดว่าจะเด็กถึงขนาดนี้ ฉันเชื่อสุดหัวใจว่าในอนาคตคุณจะเติบใหญ่กลายเป็นยอดคน แต่ว่านะ ยอดคนที่ว่าน่ะต้องการทรัพยากรมหาศาล … ฉันเลยอยากจะขอถามว่าคุณสนใจเข้าร่วมกับกลุ่มซ่งเฉิงของพวกเราไหม?”

 

ตันหยูหยั่งเชิง ลองยื่นกิ่งไม้ออกไปทดสอบดูว่าอีกฝ่ายจะคว้าจับเอาไว้หรือไม่

 

แต่ฉินเฟิงกลับส่ายหัวและกล่าว “ตอนนี้ผมไม่สามารถเข้าร่วมด้วยได้ คุณเองก็รู้ ว่าผมมีสถานชุมชนเป็นของตัวเอง และสถานชุมชนที่ว่าอย่างน้อยในตอนนี้ยังตกอยู่ภายใต้สังกัดเมืองเฉิงหยาง”

 

เหนือเมืองเฉิงหยาง ยังคงมีกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ซึ่งตรงส่วนนี้ค่อนข้างซับซ้อน แม้กลุ่มซ่งเฉิงจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้มีสถานชุมชนเป็นของตนเอง จำเป็นต้องอาศัยการดำรงอยู่ของสถานชุมชนอื่น

 

ตันหยูแม้ถูกปฏิเสธก็ดูไม่ผิดหวังอะไร

 

“เข้าใจแล้ว แต่ถ้ามีปัญหาอะไร คุณสามารถติดต่อกับฉันได้ทันที พวกเราจะได้ช่วยเหลือกันและกัน!”

 

ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนเบอร์อุปกรณ์สื่อสาร ตันหยูเลิกชักชวนอีกต่อไป เขาหันมาขอคำชี้แนะเรื่องกระบวนท่าวรยุทธโบราณแทน

 

เมื่อได้จังหวะเหมาะ ตันหยูก็ชิงเอ่ยถาม “ฉินเฟิง กำลังภายในของคุณแข็งแกร่งในระดับคงกระพัน ไม่ทราบว่าคุณกำลังฝึกฝนทักษะกำลังภายในอะไรอยู่หรือ ทำไมมันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้!”

 

สีหน้าของฉินเฟิงเรียบเฉย เขาเพียงยิ้มมุมปากและกล่าว “เป็นทักษะกำลังภายในที่ค้นพบโดยบังเอิญ มันสามารถฝึกฝนได้สูงสุดถึงเลเวล B นี่เองคือเหตุผลที่ผมสามารถยกระดับได้อย่างรวดเร็ว และระเบิดกำลังภายในได้อย่างมหาศาลในทุกๆครั้ง”

 

ดวงตาของตันหยูเปล่งประกาย

 

“ทักษะฝึกฝนเลเวล B อย่างงั้นหรอ? ร้ายกาจ! ว่าแต่ทักษะที่ว่า ตอนนี้ได้รับการเผยแพร่แล้วหรือยัง? ถ้ามีแล้วจะซื้อได้ที่ไหน?”

 

สำหรับผู้ใช้พลังเลเวล F มันเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนทักษะเลเวล B อย่างไรก็ตาม ทักษะขั้นสูงบางอย่างก็มีการซื้อขายกันในเครือข่ายนักสู้ และมูลค่าของมันสูงเทียมฟ้า

 

“ยังไม่ได้มีการเผยแพร่” ฉินเฟิงกล่าว

 

“ถ้าอย่างนั้นนะฉินเฟิง คุณก็เป็นคนที่โชคดีมากที่ได้ครอบครองทักษะฝึกฝนนี้ แต่เมื่อไหร่ที่คุณมีทรัพยากรไม่เพียงพอ แล้วสนใจที่จะขายมัน ได้โปรดอย่าลืมที่จะติดต่อฉัน!” ตันหยูกล่าว

 

ฉินเฟิงหัวเราะ เขาผงกศีรษะตกลงเล็กน้อย ตันหยูนี่ทำตัวเหมือนกับงูโดยแท้ ระหว่างสนทนายังไม่วายวกมาฉกหยั่งเชิงเขาหลายครั้งหลายครา

 

เฝ้ารอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไป บัดนี้ใบหน้าของฉินเฟิงกลับมาไร้อารมณ์ดังเดิม

 

“ที่รักของฉันช่างแข็งแกร่ง พรสวรรค์เลิศเลอจนกระตุ้นความอิจฉาของผู้คน” ไป๋หลีแซว

 

ฉินเฟิงเองก็ทราบดีเหมือนที่ไป๋หลีกล่าว เขาเปล่งประกายสะดุดตาเกินไป ทำให้ใครบางคนต้องเบนความสนใจมาเหลียวมอง

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ช่วงเวลาที่ปลุกพลังให้ตื่นขึ้น มันผ่านมาได้แค่ 3 เดือนเท่านั้น แต่เขากลับยกระดับมาถึงเลเวล F6 ไหนจะครอบครองกำลังภายในระดับคงกระพัน เลยเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะพาลคิดกันไปว่า นี่เป็นเพราะทักษะฝึกฝนกำลังภายในของฉินเฟิง ที่ทรงอำนาจชนิดต่อต้านสวรรค์

 

ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณทักษะลับกลืนดารา ยังไงก็ตาม ทักษะดังกล่าวไม่สมควรถูกเผยแพร่ หรือปล่อยให้เล็ดลอดออกไป

 

“โชคดีจริงๆที่ในชีวิตนี้ ทักษะลับกลืนดาราตกอยู่ในมือของฉัน ไม่ได้หลุดไปอยู่ในมือคนชั่วร้าย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด