โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 203

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 203 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.203 – เจิ้งหยางมอบหุ้น
Provider : Muntra

วันนี้ลง 2 ตอน 203 204

 

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.203 – เจิ้งหยางมอบหุ้น

 

“รองผู้ว่าการหลินร่วมมือกับองค์กรมืด เป็นภัยคุกคามต่อสถานชุมชน ระหว่างเผชิญหน้ากับผม เขาได้หลบหนีเพราะหวาดกลัวในความผิดของตน แต่สุดท้ายก็ถูกผมไล่ตามทันและสังหารลง!” ฉินเฟิงกล่าวอย่างสงบ

 

แม้เจิ้งหยางจะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อได้ยินข่าวนี้ เขาก็ยังตกใจอยู่ดี

 

เพราะตั้งแต่ที่เขาทราบข่าวว่าฉินเฟิงเดินทางไปยังคลับอินทรี และเกิดความขัดแย้งกับหลินเซิง เวลามันเพิ่งผ่านพ้นไปแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง

 

แต่ในเวลาครึ่งชั่วโมง หลินเซิงกลับจบชีวิตลง

 

และมันแทบไม่มีสถานที่ใดในเมืองเกิดความเสียหายเลย ฉะนั้นคาดว่าน่าจะเป็นการต่อสู้กันในที่ลับ และหลักฐานทั้งหมดคงถูกฝังไปพร้อมกับคนตาย

 

ผลสรุปสั้นๆเลยมีแค่ว่า ผู้ใช้พลังเลเวล E ได้จบชีวิตไปอย่างเงียบๆ

 

ฉินเฟิงน่ายำเกรงขนาดไหน ในที่สุดเจิ้งหยางก็เข้าใจ

 

ขณะนี้ ในสมองของเจิ้งหยาง ความคิดนับร้อยพันตีกันวุ่น

 

“นั่นสินะ อาชญากรรมของหลินเซิงมีความผิดร้ายแรงจริงๆ ทางฝั่งฉันเองก็ได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเขา คนประเภทนี้ เป็นภัยร้ายที่แฝงตัวอยู่ในสถานชุมชน ผู้ว่าการฉินทำถูกต้องแล้ว นี่นับว่าเป็นผลงานครั้งใหญ่”

 

โดยไม่ทันรู้ตัว เจิ้งหยางเปลี่ยนวิธีการเรียกฉินเฟิงไปซะแล้ว

 

ก่อนหน้านี้เขาแค่คิดว่าฉินเฟิงคือเจ้าหนูที่แสนโชคดีและมีพรสวรรค์ ตนยังพอสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้

 

แต่ปัจจุบัน เจิ้งหยางไม่กล้าคิดเช่นนั้นอีกต่อไป!

 

“มันเป็นสิ่งที่ผมสมควรทำ” ฉินเฟิงยอมรับเครดิตในครั้งนี้ เขากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ มิได้แสดงท่าทีตื่นเต้น หรือรู้สึกภูมิใจแต่อย่างใด

 

เพราะเหตุผลจริงๆแล้วไม่ใช่เพื่อปกป้องสถานชุมชน แต่มันคือความบาดหมางส่วนตัวต่างหาก!

 

“ผมยินดีช่วยผู้ว่าการเจิ้งด้วยความเต็มใจ” ฉินเฟิงกล่าว

 

ทางฝั่งเจิ้งหยาง คล้ายจะมีเสียงของหลายคนเดินมารายงานเขาและถอนตัวจากไปอย่างต่อเนื่อง อีกฝ่ายตอนนี้ดูท่าจะวุ่นวายไม่น้อย

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว การตายของหลินเซิง แม้มันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อในระดับต่ำ แต่สำหรับระดับสูงทั้งหมดของสถานชุมชน มันคือการสับเปลี่ยนขั้วอำนาจ

 

“ผู้ว่าการฉิน ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง คุณไม่ต้องกังวลไป แต่ส่วนเรื่องรางวัลในคราวนี้ของคุณ …” เจิ้งหยางลังเลเล็กน้อย ลดเสียงลงและกล่าวต่อ “การล่มสลายของหลินเซิง เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อันซับซ้อนของเฉิงเป่ย เอาอย่างนี้เป็นไง ฉันจะขอใช้หุ้นของตัวเองในสถานชุมชนเฟิงหลี แลกเปลี่ยนกับมัน ถึงจะไม่อาจเทียบเท่าได้กับเม็ดเงินของหลินเซิง แต่ฉันจะมอบพื้นที่ย่านการค้าในสถานชุมชนเฉิงเป่ยเพิ่มให้แก่คุณอีกทอดหนึ่ง แบบนี้ฟังดูเป็นอย่างไร?”

 

ข้อเสนอเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามันค่อนข้างไร้ยางอาย! ไม่ต่างจากการคิดฮุบสมบัติก้อนใหญ่เอาไว้คนเดียวเลย

 

ฉินเฟิงพอได้ยินคำเจิ้งหยาง คิ้วก็ค่อยๆขมวดเข้าหากัน ทว่ามุมปากของเขากลับโค้งมนเล็กน้อย ในสมองขบคิด

 

‘เจิ้งหยางช่างเป็นคนที่ฉลาดซะจริง’

 

‘ฉลาดมาก’

 

เพราะแม้ข้อเสนอนี้จะดูเหมือนอีกฝ่ายได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ แต่ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนกำลังแสดงความปรารถนาดีต่อฉินเฟิงเช่นกัน

 

หุ้นในสถานชุมชนเฟิงหลี มีมูลค่าเต็มที่ก็แค่หลักพันล้าน แต่เขาเอ่ยปากว่าจะขอแลกกับมัน

 

ในขณะที่ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ อำนาจ และพื้นที่ที่ในครอบครองของหลินเซิงล้วนสามารถสร้างเม็ดเงินได้เป็นจำนวนมหาศาล แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นไม่สามารถเปลี่ยนมันเป็นเงินสดได้ในทันที

 

ดังนั้น การตัดสินใจแลกเปลี่ยนมันเป็นหุ้นของสถานชุมชนเฟิงหลีกับฉินเฟิง จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ดูเอื้อเฟื้อ และเดินเกมได้ถูกทิศทาง

 

เนื่องจากเจิ้งหยางทราบดี ว่าพอถึงช่วงเวลาหนึ่ง ฉินเฟิงคงต้องการยึดครองอำนาจทั้งหมดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

 

ยังไม่พอ เจิ้งหยางยังคิดล่วงหน้าไปอีกทอดหนึ่ง : เพื่อป้องกันไม่ให้ฉินเฟิงเข้าใจผิดคิดว่าตนกีดกันอีกฝ่ายไม่ให้ขึ้นมามีอำนาจในสถานชุมชนเฉิงเป่ย ดังนั้นเขาจึงเร่งเสนอย่านการค้าเสริมเข้าไปในเงื่อนไปแลกเปลี่ยน ซึ่งมูลค่าของพื้นที่แถบนี้ก็ไม่น้อยเช่นกัน

 

“ในเมื่อผู้ว่าการเจิ้งมีน้ำใจถึงขนาดนี้ ผมก็ขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดี!” ฉินเฟิงกล่าว

 

เจิ้งหยางหัวเราะ “ฮ่าฮ่า ทางฉันก็ต้องขอบคุณผู้ว่าการฉินเช่นกัน”

 

ทั้งสองยกยอกันและกัน แต่ทางฝั่งเจิ้งหยางดูเหมือนจะวุ่นวายเป็นอย่างมาก จึงไม่อาจพูดอะไรมากไปกว่านี้ได้ สนทนากันอีกสองสามประโยคก็วางสายไป

 

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ นั่นเพราะนับตั้งแต่วันนี้ไป สถานชุมชนเฟิงหลีจะกลายเป็นของเขาโดยสมบูรณ์!

 

“ไป๋หลี ไปเก็บเสื้อผ้าของเธอ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพวกเราจะย้ายบ้านกัน!”

 

ไป๋หลีมองไปทางฉินเฟิงด้วยความสับสน “ทำไมถึงย้ายล่ะ?”

 

ฉินเฟิงยิ้มร่า สองมือยื่นหยิกสองแก้มน้อยๆของไป๋หลี

 

“เพราะบ้านใหม่ของพวกเรามีทั้งสวน , ลานบ้าน , ชิงช้า และเอ่อ … หนังที่เธออยากดู มันคือบ้านในฝันเหมือนกับปราสาทของพวกเจ้าหญิงอย่างไรอย่างนั้นเลย!”

 

ดวงตาของไป๋หลีเปล่งประกายสดใส พยักหน้ารับคำ “อื้อ!”

 

 

ในคืนนั้น ฉินเฟิงนั่งขวาทับซ้าย ควบรวมกำลังภายใน ในร่างกายของเขา

 

เจ้าตัวสูบกำลังภายในมาจาก 5 ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E แต่กลับมีทะเลเมฆเพิ่มขึ้นแค่ 13 ก้อนเท่านั้น

 

และหลังจากถูกกลืนกินโดยพลังพิเศษดูดกลืนของฉินเฟิง มันก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแค่ 3 ชั้นทะเลเมฆ เห็นได้ชัดว่ากำลังภายในของผู้ใช้วรยุทธโบราณเหล่านี้ เมื่อเทียบกับของฉินเฟิงแล้ว ระดับความแข็งแกร่งมันแตกต่างกันมากมาย

 

ปัจจุบันฉินเฟิงครอบครองทั้งสิ้น 13 ทะเลเมฆกำลังภายใน

 

“หลังจากเข้าสู่เลเวล E มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยกระดับ จำเป็นต้องออกไปต่อสู้ให้มากกว่าเดิม ไม่ก็ได้รับสมบัติจากฟ้าดินมาเสริมสร้างในปริมาณที่มากพอ”

 

แม้จะได้ข้อสรุปเช่นนี้ แต่ฉินเฟิงก็มิกังวลแต่อย่างใด หลังจากอาบน้ำล้างตัวเขาก็จมสู่ห้วงนิทรา

 

กลางดึกไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบาย

 

ในวันถัดมา ไป๋หลีเก็บเสื้อผ้าของเธอตั้งแต่เช้า ไม้แขวนเสื้อหลายอันถูกถอดออก ผ้าปูที่นอนที่ชอบ , ผ้าม่าน , ผ้างานฝีมือเล็กน้อยๆ ถูกเก็บใส่กระเป๋า

 

“เอาล่ะ เอาล่ะ พอแค่นั้นเถอะ ขาดเหลืออะไรพวกเราสามารถซื้อเพิ่มได้ ไม่จำเป็นต้องขนพวกมันไปทั้งหมด”

 

ฉินเฟิงหยุดไป๋หลีจากอาการบ้าสมบัติ เขากึ่งลากกึ่งอุ้มเธอ พาออกจากบ้าน ขึ้นไปบนรถหรู และขับออกจากสถานชุมชนเฉิงเป่ย มุ่งหน้าสู่สถานชุมชนเฟิงหลี

 

สถานชุมชนเฟิงหลีมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆวัน ตอนนี้เค้าโครงของมันถูกสร้างเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว และในส่วนที่พักอาศัยของตำแหน่งผู้ว่าการก็สร้างเสร็จแล้วเช่นกัน การตกแต่งภายในก็เสร็จสมบูรณ์

 

เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เป็นเหตุผลให้ฉินเฟิงตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่

 

ซึ่งเมืองของเขาแตกต่างจากสถานชุมชนอื่นๆ มันไม่ได้มีย่านการค้าหรือจตุรัสตั้งอยู่เบื้องล่างอุปกรณ์ควบคุมมิติ ทำให้ศูนย์กลางสถานชุมชนอยู่เยื้องออกไปนิดหน่อย

 

แต่ศูนย์กลางของที่นี่กลับเป็นพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง ทั้งยังไม่มีวี่แววว่าจะรุ่งเรืองในเร็วๆนี้

 

อย่างไรก็ตาม มันจะกลายเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนเด่นชัดที่สุดในอนาคต

 

 

ตรงตำแหน่งเทือกเขาพ่อแม่ลูก ปัจจุบันรูปลักษณ์ของมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เนินเขาเตี้ยๆถูกดัดแปลงกลายเป็นป่าคอนกรีต

 

ทั้งในส่วนของภูเขาแม่ ยังถูกก่อสร้างเป็นหมู่บ้านวิลล่าสุดหรูหรา

 

โดยวิลล่าที่อยู่บนจุดสูงสุด มีขนาดใหญ่กว่าคฤหาสน์หลักของตระกูลซินซะด้วยซ้ำ มันดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก

 

ฉินเฟิงขับรถวนเป็นวงแหวนไปตามแนวเทือกเขา ขับผ่านบริเวณตีนเขาซึ่งเต็มไปด้วยบ้านตึกแถว ลึกเข้ามาจะพบกับวิลล่าที่มีสวนหย่อมเป็นของตัวเอง และพอผ่านมาได้ถึงครึ่งทาง แน่นอนว่าสวนของวิลล่าเบื้องหลัง มันเทียบไม่ได้กับคฤหาสน์ที่อยู่สูงขึ้นไป

 

แต่มันก็สมควรถูกเรียกว่าคฤหาสน์จริงๆนั่นแหละ เพราะเมื่อเข้ามาจะพบกับซุ้มประตูโค้งสีขาว และถนนหินเรียบที่ทอดยาวออกไปกว่า 100 เมตร โดยมีดอกไม้และต้นไม้ปลูกประดับไว้ตามรายทาง

 

เมื่อผ่านพื้นหินเรียบ ก็จะปรากฏน้ำพุคอยต้อนรับในแนวสายตา และคฤหาสน์หรูหราราวกับพระราชวัง มีกระทั่งสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนหอคอยยอดแหลม

 

“เป็นยังไงบ้าง ชอบไหม?”

 

ไป๋หลีอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับทุกอย่าง เมื่อเห็นฉากสถาปัตยกรรมที่งดงาม เธอก็ร้องไชโยด้วยความสุข “บ้านหลังนี้ รู้สึกว่าจะใหญ่กว่าบ้านของตระกูลซินซะอีก!”

 

ฉินเฟิงยิ้มและกล่าว “ทั้งยังมีเตียงเดี่ยวให้เธอนอน แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ มันมีห้องลับซ่อนอยู่”

 

“ห้องลับอะไร?” ไป๋หลีมองฉินเฟิงด้วยความสงสัย

 

ฉินเฟิงยิ้ม เขาไม่ตอบในทันที แต่พาไปหลีไปยังยอดหอคอยยอดแหลม

 

เมื่อเดินมาหยุดยืนบนยอดสุด ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศ หรือทิวทัศน์ของสถานชุมชนเฟิงหลีทั้งหมดจะปรากฏสู่สายตา

 

ในวิสัยทัศน์ของทั้งสอง ส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุดที่เห็นคือสวนหลังบ้านของฉินเฟิง

 

พื้นที่ของสวนหลังบ้านมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 100 เมตร มันถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ คล้ายกำลังบดบังท้องฟ้าและแสงจากดวงอาทิตย์ ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ ดูเหมือนว่าจะมีห้องแยกที่โปร่งใสอยู่ข้างใน

 

และภายในเป็นสีดำสนิท

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด