โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 462

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 462 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.462 – ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของผูไซ

 

ด้วยเหตุนี้ ในวันแรก โลกภายนอกจึงไม่มีใครล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตผูไซ

 

อย่างไรก็ตาม กำแพงมีหูประตูมีช่อง รอบๆอาณาเขตของแอปไซ มีกองกำลังมากมายประจำการอยู่ และเกรงว่ากองกำลังเหล่านั้น น่าจะส่งสายลับมาคอยสอดส่องในเมืองผูไซเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว เลยเป็นเหตุให้ข่าวหลุดออกมา และเริ่มแพร่กระจายออกไป จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน

 

ไม่นาน ทุกคนไม่ว่าจะภูมิภาคใกล้ไกล ต่างก็ล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่ามีบางสิ่งที่แสนล้ำค่าปรากฏขึ้น! –เป็นผลึกชีพจรธรณีที่กระทั่งตัวตนทรงอำนาจอย่างเลเวล A ก็ยังถูกล่อลวง!

 

ฝูงชนพากันแห่แหนเข้ามา

 

อย่างไรก็ตาม ตัวตนที่แข็งแกร่งระดับเลเวล A คอยเฝ้าดูอยู่ด้านนอก มิได้เข้ามาด้วยตนเอง

 

ด้วยเหตุนี้ เลเวลสูงสุดที่มาเยือนได้คือเลเวล B เท่านั้น แต่บางคนก็ติดภารกิจประจำตำแหน่ง อย่างเช่นกวงเว่ยที่รับผิดชอบในหลงฉวน เขาไม่สามารถเคลื่อนไหว หากไม่ได้รับอนุญาต

 

สรุปสั้นๆเลยก็คือ มีเลเวล B ที่สามารถมาได้ไม่มากนัก ต่อให้มาได้ก็คงช่วงหลังๆ ทว่าในส่วนของเลเวล C มีเริ่มทยอยกันเดินทางมาบ้างแล้ว

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเลเวล D ที่น่าจะมากันเป็นจำนวนหลักกองทัพ แต่ด้วยลำดับความแข็งแกร่งแล้ว พวกเขาคงสามารถมีส่วนช่วยร่วมได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

เพราะแม้สัตว์ร้ายที่อ่อนแอที่สุดจะอยู่ในเลเวล E แต่ตราบใดที่พวกมันกินผลึกธรณีเข้าไป ทั้งหมดจะเกิดการวิวัฒนาการ

 

และใช้เวลาแค่ชั่วพริบตา มันสามารถยกระดับกลายเป็นสัตว์ร้ายทรงพลังเช่นเดียวกับราชันย์เลเวล D แบบนี้ผู้ใช้พลังเลเวล D ธรรมดาๆ จะสามารถต่อกรกับมันได้หรือ?

 

ทั้งนี้ทั้งนั้น การเดินทางจำเป็นต้องใช้เวลา พวกเขามิได้ครอบครองพลังมิติเหมือนไป๋หลี มิอาจมาถึงได้ในทันที 

 

ฉินเฟิงซึ่งเป็นคนแรกที่ได้กินเนื้อชิ้นโต เลยยังสามารถสวาปามมันได้แต่เพียงผู้เดียว ยัดชิ้นเนื้อหอมหวานไปเรื่อยๆอย่างเต็มปากเต็มคำ

 

ขอบเขตของเทือกเขาเริ่มกว้างขึ้น กว้างขึ้นเรื่อยๆ คนของแอปไซได้แต่รั้งอยู่ด้านนอก ไม่กล้าบุกเข้ามาข้างใน ส่วนฉินเฟิงยิ่งนานก็ยิ่งรวบรวมผลึกธรณีได้มากขึ้นเรื่อยๆ

 

คอยสังหารแมลงสัตว์ร้ายระดับราชันย์ตนแล้วตนเล่า ที่ในสายตาเขาเป็นเพียงตัวอ่อนแอไปอย่างต่อเนื่อง

 

เมื่อมาถึงวันที่สามหลังเกิดเรื่อง ผู้คนมากมายก็เริ่มเดินทางมาถึงที่นี่

 

“หมดเวลาแล้วล่ะ ไป๋หลี ถอนตัวได้”

 

ฉินเฟิงละมือจากการสังหาร ส่งพลังสมาธิแจ้งแก่ไป๋หลี

 

วูซซซ!

 

ไป๋หลีปรากฏกายขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า ในช่วงเวลาสามวันที่ผ่านมานี้ ต่อให้เป็นเธอ ใบหน้าน้อยๆก็ยังมอมแมม ถูกปกคลุมไปด้วยเศษดินโคลน และทั้งหมดเกิดจากการรวบรวมเอาผลึกธรณีที่อยู่ใต้ดิน

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงรู้ดี ว่าผลึกธรณีที่พวกเขาได้รับ เกรงว่าจะเป็นจำนวนแค่ 1/10 ของในที่นี้เท่านั้น

 

แต่ตอนนี้มีผู้คนทยอยกันมามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว หากฉินเฟิงถูกพบว่าอยู่ลึกเข้ามาในเทือกเขา ต่อให้เขาลงมือด้วยตนเอง ไม่ได้โกงใคร แต่คงไม่พ้นถูกริษยาอยู่ดี เขาจะปล่อยให้เหตุการณ์แบบในครั้งก่อนๆเกิดขึ้นอีกไม่ได้

 

จึงตัดสินใจพาไป๋หลีกลับเรือเหาะ

 

ทั้งสองเข้าห้องน้ำ ฉินเฟิงชะล้างคราบสกปรกอยู่นานกว่าจะกลับมาสะอาดดังเดิม 

 

เมื่อเสร็จธรุะ ฉินเฟิงก็ตรงไปยังห้องนักบินของเรือเหาะ

 

“ลูกพี่!”

 

“เจ้านาย!”

 

ทุกคนก้มหัวแสดงความเคารพฉินเฟิง ช่วงเวลาสามวันที่ผ่านมา ฉินเฟิงแม้ไม่ได้อยู่บนเรือเหาะ แต่ทั้งหมดต่างได้เห็นถึงความสามารถในการต่อสู้ของฉินเฟิง ในแววตาของพวกเขาฟุ้งไปด้วยความยำเกรง

 

นอกจากนี้ เนื่องจากสังหารสัตว์ร้ายมากเกินไป บนกายของฉินเฟิง เลยยังมีจิตสังหารและกลิ่นอายของเลือดหลงเหลืออยู่

 

และกลิ่นอายเลือดที่ว่า มันคือกลิ่นของระดับราชันย์และจักรพรรดิ เพียงจ้องมองหรือสูดดมก็ชวนให้ผู้คนรู้สึกผวา

 

“อืม สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” ฉินเฟิงถาม

 

จิ่นเฟยเร่งกล่าวรายงาน “แอปไซ เจ้าเมืองผูไซได้นำคนของเขามาล้อมรอบภูเขาลูกนี้ และอ้างว่านี่คือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าของพวกเขา คนอื่นห้ามเข้า มิฉะนั้นจะถูกพวกเขาลงโทษ ทางเราแม้บินอยู่เหนือนน่านฟ้า แต่ไม่ได้เข้าไป ดังนั้นพวกเขาเลยไม่เข้ามาวุ่นวาย”

 

“อ่าฮะ” ฉินเฟิงพยักหน้า ไอ้ชื่อภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของผูไซนี่ สามารถนำมาใช้อ้างได้ทุกสถานการณ์เลยสินะ แต่น่าเสียดาย ที่แอปไซจะทำอย่างไรย่อมไม่อาจครอบครองภูเขานี้แต่เพียงผู้เดียว

 

“วันนี้มีผู้คนเดินทางมาไม่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ใช้พลังเลเวล D แต่พวกเขาทำได้แค่วนไปรอบๆ พวกนี้คือแนวหน้าของกองทัพ ปัจจุบันข่าวเมืองผูไซเป็นที่ฮือฮามากในเครือข่ายนักสู้ อีกไม่นานผู้ใช้พลังระดับสูงยิ่งกว่าคงมาเยือนที่นี่”

 

“งั้นรออีกสักวันเถอะ ผมเชื่อว่าผู้ใช้พลังระดับสูงจะมาถึงในเร็วๆนี้” ฉินเฟิงกล่าว

 

เลเวล D ไม่อาจฝ่าฝืนกฏของเมืองผูไซ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเลเวล C จะฝ่าไม่ได้

 

ฉินเฟิงพักผ่อนหนึ่งวันเต็มๆ ในวันถัดมา เบื้องล่างภูเขาศักดิ์สิทธิ์ผูไซ ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาเยือน

 

และในบรรดาคนกลุ่มนี้ มีเลเวล C ร่วมเดินทางมาด้วยถึง 5 คน

 

“เจ้าเมืองแอปไซ อย่าคิดจะฮุบสิ่งดีๆเอาไว้คนเดียว การที่คุณปิดล้อมภูเขาเอาไว้แบบนี้ รังแต่จะทำให้ผู้คนขุ่นเคือง ฉันไม่ได้มาเปล่าๆ แต่ได้รับคำสั่งจากท่านผู้ใช้พลังเลเวล B และท่านกำลังรอให้ฉันนำสมบัติกลับไปมอบให้!”

 

ผู้ใช้พลังเลเวล C มาถึงก็เขียนเสือให้วัวกลัว เปล่งวาจาข่มขู่ทันที

 

ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของแอปไซฟุ้งไปด้วยความโกรธ แต่กลับแสดงออกได้เพียงรอยยิ้มบนใบหน้า “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ คือสถานที่สำคัญที่สุดของชนเผ่าเรา คนธรรมดาไม่อาจก้าวเข้าไปได้ เพราะข้างในมันอันตรายเกินไป ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อรับประกันความปลอดภัยของทุกคน แต่ว่านะ ถ้าเป็นเลเวล C ล่ะก็สามารถเข้าไปได้ หากมีไม่กี่คนถือว่าพอรับไหว!”

 

เพราะคนยิ่งน้อย อัตราการเจอสมบัติก็ยิ่งน้อยลงไปด้วย หากคำนวณง่ายๆว่าสมาชิกกองกำลังของเลเวล C คนหนึ่งมี 50 คน ฉะนั้นเลเวล C 20 คนก็จะเท่ากันกองกำลัง 1,000 คน เกรงว่าหากเกิดกรณีนั้น ต่อให้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน สุดท้ายคงถูกทำลายจนราบ

 

เพราะคนที่บุกเข้าไป ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ใช้พลัง

 

เหล่าเลเวล C สัมผัสได้ว่าบนยอดเขา แมลงสัตว์ร้ายกระจายตัวอยู่ทุกพื้นที่ รู้สึกได้กระทั่งกลิ่นอายของราชันย์และจักรพรรดิ

 

สีหน้าของทั้งหมดแปรเปลี่ยนไป

 

“เจ้าเมืองผูไซกล่าวได้มีเหตุผล เพราะสุดท้าย พวกเราคงไม่สามารถปล่อยลูกน้องไปสู่ความตายได้ ฉะนั้นเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ไปกันเฉพาะกลุ่มเลเวล C เถอะ” คนๆหนึ่งตอบตกลงอย่างรวดเร็ว พร้อมบอกให้ลูกน้องผู้ใช้พลังเลเวล D แยกออกไปตั้งค่ายในจุดที่ไกลออกไป

 

จากนั้น เลเวล C ทั้งห้าก็เริ่มก้าวเข้าไปในภูเขา ภายใต้การจับจ้องอันโหดเหี้ยมของแอปไซ

 

นั่นเพราะเจ้าตัวคิดว่า สมบัติเหล่านี้คือของตน ในเมื่อคนเหล่านี้คิดเข้ามาช่วงชิง เป็นธรรมดาที่ต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก

 

อันที่จริง แนวคิดของแอปไซมิได้ผิดอะไร แต่ถ้าจะบอกว่าผิด ก็คงผิดที่เขาอ่อนแอเกินไปนั่นแหละ

 

การสนทนาระหว่างแอปไซกับเลเวล C ฉินเฟิงก็ได้ยินมันเช่นกัน เขาเฝ้ารอจนกระทั่งทั้ง 5 หายขึ้นไปบนภูเขา จึงค่อยก้าวออกมา

 

“เจ้าเมืองผูไซ” ฉินเฟิงเอ่ยทักทาย

 

ใบหน้าของแอปไซยังคงบิดเบี้ยว ไม่ทันปรับสีหน้าตน เมื่อได้ยินเสียงเรียกของฉินเฟิง เขาพลันสะดุ้งทันใด

 

แต่เมื่อเห็นว่าคนที่มาคือฉินเฟิง เจ้าตัวก็เริ่มย้อนนึก และจำได้ว่าเคยเห็นคนๆนี้มาก่อนเมื่อสิบวันที่แล้ว

 

“ที่แท้ก็มิสเตอร์ฉิน มีอะไรงั้นหรือ? อย่าบอกนะว่าคุณก็ต้องการเข้าสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วย?” แอปไซถาม

 

ฉินเฟิง “ใช่”

 

สีหน้าของแอปไซกลายเป็นน่าเกลียด เอ่ยปากกล่าว “มิสเตอร์ฉิน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สถานที่ๆใครก็สามารถเข้าไปได้ หากยังไม่ก้าวขึ้นสู่เลเวล C ไปก็เหมือนกับเอาชีวิตไปทิ้ง ในฐานะสหาย ฉันขอแนะนำคุณ ว่าอย่าเข้าไปเลย”

 

แม้นี่จะฟังดูเหมือนคำแนะนำ แต่มันคือคำเตือนเช่นกัน

 

ฉินเฟิงหัวเราะและกล่าว “ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไป ยังไงก็ตาม ผมจะไม่เข้าไปอย่างเปล่าประโยชน์ และตั้งใจจะมอบเงินจำนวนหมื่นล้านเป็นตั๋วค่าเข้า ไม่ทราบว่าเจ้าเมืองผูไซ จะพอยืดหยุนกฏเกณฑ์ได้หรือไม่?”

 

จริงๆแล้ว ที่ฉินเฟิงทำแบบนี้ ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

 

เพราะหากเลเวล D เข้าไปในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีโอกาสสูงมากที่จะเสียชีวิต พวกเขาเหล่านี้ อาจมีหลายคนสามารถเป็นกำลังสำคัญแก้พันธมิตรมนุษย์ในอนาคต แต่สุดท้ายหากต้องจบชีวิตลงในภูเขาศักดิ์สิทธิ์มันคงไม่ดี

 

ในชีวิตก่อนของฉินเฟิง เจ้าเมืองผูไซลอบสังหารผู้ใช้พลังเลเวล C ที่ฝ่าฝืนกฏเข้าไป ต่อมาเลยถูกประกาศจับโดยพันธมิตรมนุษย์ หลังจากนั้นบรรดาเลเวล D ที่รั้งอยู่จึงสามารถเข้าไปได้

 

เพราะแอปไซที่เป็นตัวการขัดขวางได้หลบหนีไป แต่ในปัจจุบันกล่าวได้ว่าคนๆนี้คืออุปสรรค

 

ดังนั้น ฉินเฟิงเลยต้องการเพิ่มอุปสรรคไปอีกขั้น

 

โดยการเพิ่มเงื่อนไขเงินหมื่นล้าน นี่มิใช่เงินที่เลเวล D ทุกคนจะสามารถนำออกมาจับจ่ายได้

 

สิ่งนี้จะช่วยกีดกันผู้คนได้เป็นจำนวนมาก กล่าวได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ทั้งเขาและแอปไซ วิน – วิน กันทั้งคู่

 

และแน่นอน ว่าคนละโมบอย่างแอปไซย่อมเห็นด้วย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด