โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 505 – ซางฮันเรียกตัว

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 505 - ซางฮันเรียกตัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.505 – ซางฮันเรียกตัว  

 

 

 

 

 

ใช้เวลาไม่นานในการกลับไปยังเมืองเป่ยหัว ฉินเฟิงตรงไปยังโรงแรมและอาบน้ำทันที ชำระกลิ่นอายแห่งความตายและกลิ่นเน่าเปื่อยของซากศพออกจากร่างกาย  

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาดแล้ว แต่เนื่องจากการล่าสังหารตลอดทั้งหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ยังคงมีกลิ่นเลือดติดตรึงบนตัวอยู่ดี  

 

 

 

 

 

เพราะในช่วงที่ผ่านมา เขาล่าสังหารสัตว์ร้ายมากเกินไป!  

 

 

 

 

 

“เธอรออยู่ที่นี่ ฉันจะไปพบกับซางฮันคนเดียว เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ใช้พลังเลเวล A ฉันกลัวว่าถ้าเห็นเธอใกล้ๆ ซางฮันอาจรู้ตัวจริงของเธอได้” ฉินเฟิงกล่าวกับไป๋หลี  

 

 

 

 

 

“เข้าใจแล้ว ไปเถอะ ฉันจะฝึกฝนรออยู่ในโรงแรม” ไป๋หลีใช้แต้มแลกเปลี่ยนแก่นจักรพรรดิสัตว์ร้ายมา เป็นธรรมดาที่เธอไม่ยินดีออกไป  

 

 

 

 

 

“โอเค เดี๋ยวฉันกลับมา”  

 

 

 

 

 

“อื้ม!  

 

 

 

 

 

ร่ำลาไป๋หลี ฉินเฟิงขับรถมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเมือง ตรงไปยังตึกสำนักงานพันธมิตรมนุษย์  

 

 

 

 

 

ภายในล็อบบี้ หลังจากรายงานตัวตรงเคาท์เตอร์ต้อนรับ ฉินเฟิงก็ได้รับแจ้งว่าให้ไปยังชั้นที่ 66  

 

 

 

 

 

ไม่นาน ฉินเฟิงก็ได้พบกับซางฮัน  

 

 

 

 

 

ตัวซางฮันแม้อายุปาเข้าไปเลขสี่ แต่เนื่องจากเธอฝึกฝนวรยุทธโบราณ กำลังภายในบริสุทธิ์อย่างหาที่ใดเปรียบ มันได้ก้าวมาถึงจุดของเหลวกำลังภายใน ในรูปแบบมหาสมุทรแล้ว  

 

 

 

 

 

*(เลเวล D กำลังภายในรูปแบบแอ่งน้ำ , เลเวล C สระน้ำ , เลเวล B ทะเลสาบ , เลเวล A มหาสมุทร)  

 

 

 

 

 

ดังนั้นซางฮันในเวลานี้ เลยยังดูเหมือนเป็นผู้หญิงในวัยยี่สิบต้นๆ แม้ไม่สวยมากนัก แต่ผิวพรรณของเธอดูดีที่สุด เท่าที่ฉินเฟิงเคยเห็นมา … ถ้าไม่นับไป๋หลีน่ะนะ  

 

 

 

 

 

เพราะสุดท้าย นี่คือตัวตนทรงอำนาจเลเวล A !  

 

 

 

 

 

“ผู้การรัฐฉิน ยินดีที่ได้พบ”  

 

 

 

 

 

“สวัสดีจ้าวพรมแดนซาง”  

 

 

 

 

 

ทั้งสองเชคแฮนด์กันอย่างสุภาพ ฉินเฟิงถูกเชิญให้นั่งลง  

 

 

 

 

 

สีหน้าของซางฮันดูไม่ค่อยดีนัก ขณะเดียวกันฉินเฟิงก็มิได้ยิ้มแย้มอะไร  

 

 

 

 

 

“ฉันได้รับข่าวแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมคุณถึงฆ่ากวงเว่ย?”   

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกล่าว “ในเมื่อท่านจ้าวพรมแดนได้รับข่าวแล้ว ก็น่าจะรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่มีอะไรจะอธิบายอีก”  

 

 

 

 

 

ซางฮันแน่นอนย่อมกระจ่างดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น กระทั่งหลิวเยว่ เธอก็ยังติดต่อหา และซักถามไปแล้ว  

 

 

 

 

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซางฮัน หลิวเยว่ไม่กล้าโกหก! เขาสารภาพเรื่องที่กวงเว่ยวางแผนสังหารออกมาตามตรง  

 

 

 

 

 

และหลังจากได้ฟังแล้ว ขอบอกเลยว่ากวงเว่ยเป็นฝ่ายผิดจริงๆ  

 

 

 

 

 

“เรื่องที่คุณฆ่าสองคนจากพันธมิตรมืดฉันไม่ติดใจอะไร แต่ทำไมต้องฆ่ากวงเว่ย? ความแข็งแกร่งของคุณ กวงเว่ยไม่น่าจะทำอะไรคุณได้แท้ๆ” ซางฮันถามย้ำ  

 

 

 

 

 

“เพราะกวงเว่ยมันคิดฆ่าผม ทำไมผมถึงไม่สามารถตอบโต้กลับได้? ในเมื่อกวงเว่ยคิดร้าย ผมก็สามารถคิดร้ายได้เช่นกัน ท่านจ้าวพรมแดนซาง ผมไม่ใช่คนที่จะยอมก้มหัวรับกรรม ผมเคยไปที่พันธมิตรองค์กรมืดมาแล้วครั้งหนึ่ง คุณอยากให้พันธมิตรมนุษย์ บีบบังคับผมให้ต้องจากไปอีกหรือ?”  

 

 

 

 

 

“เฮ้อ คุณช่วยมองในภาพรวมหน่อยจะได้ไหม?”  

 

 

 

 

 

“อ้อ ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมว่าคุณสมควรจะเอ่ยกับกวงเว่ยที่ตายไปแล้วมากกว่า”  

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ ซางฮันตระหนักชัด ว่าฉินเฟิงไม่คิดยอมแพ้ เขาไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำ เป็นเรื่องผิดแม้แต่น้อย  

 

 

 

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงได้บอกไปตั้งแต่ต้น ว่ากวงเว่ยร่วมมือกับคนของพันธมิตรองค์กรมืด  

 

 

 

 

 

แต่กระนั้น คนก็ตายไปแล้ว ไม่อาจมายืนอธิบายได้อีก  

 

 

 

 

 

“เอาเถอะ เรื่องการตายของกวงเว่ย ฉันจะไม่พูดถึงมันอีก เรามาหารือเรื่องอื่นกันดีกว่า” ซางฮันกล่าวเสียงหม่น  

 

 

 

 

 

“ตกลง” นี่เป็นครั้งแรกที่ซางฮันตามตัวฉินเฟิง ดังนั้นฉินเฟิงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าในใจซางฮันกำลังคิดอะไรอยู่  

 

 

 

 

 

“กวงเว่ยมียศเป็นถึงนายพล ฉะนั้นหมายความว่าเขาย่อมมีกองทัพเป็นของตัวเอง ในกองทัพมีผู้ใต้บังคับบัญชาเลเวล C อย่างน้อย 20 คน , เลเวล D อีกกว่า 500 คน นี่มิใช่ขุมกำลังที่อ่อนแอ แต่ปัจจุบัน กวงเว่ยตายไปแล้ว คนเหล่านี้ไร้ซึ่งผู้นำ และเนื่องจากคุณสามารถสังหารกวงเว่ยได้ นั่นหมายความว่าคุณแข็งแกร่งมากพอ– ”  

 

 

 

 

 

“–มากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่องได้ ดังนั้นฉันขอมอบคนเหล่านี้ให้แก่คุณ”  

 

 

 

 

 

หน้าผากของฉินเฟิงเกิดรอยยับย่นทันที  

 

 

 

 

 

เขาไม่มีความคิดที่รับช่วงต่อปัญหานี้ เพราะทั้งหมดเคยเป็นลูกน้องของกวงเว่ยมาก่อน ดังนั้นไม่มีทางภักดีต่อเขา  

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อลองขบคิดดีๆอีกครั้ง เมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว ฉินเฟิงพบว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้ลูกน้องของคนอื่นเชื่อง ดังนั้นตั้งใจให้ไปประจำการอยู่ในเมืองหมิงกวง แล้วละความสนใจก็พอ  

 

 

 

 

 

หลังจากนั้น หากใครต้องการที่จะจากไป หรือยังอยากอยู่ในกองทัพต่อ มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับฉินเฟิงอีก  

 

 

 

 

 

“ผมตกลง”  

 

 

 

 

 

“กองทัพที่นำโดยกวงเว่ย มีชื่อเรียกว่ากองทัพกวงเว่ย จากนี้ไป คุณสามารถเปลี่ยนชื่อได้ อย่างไรก็ตาม แม้กองทัพจะมอบให้คุณ แต่อุตสาหกรรมของเขา ทางพันธมิตรมนุษย์จะขอริบคืน เรื่องนี้คุณไม่สามารถโต้แย้งได้”  

 

 

 

 

 

อุตสาหกรรมกับกองทัพเป็นของคู่กัน ด้วยเงินอุดหนุนจากพันธมิตรมนุษย์เพียงอย่างเดียว มิอาจชุบเลี้ยงกองทัพได้  

 

 

 

 

 

“เรื่องนั้นผมไม่ขัดข้อง” อุตสาหกรรมเหล่านั้น ฉินเฟิงไม่ต้องการ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่ากวงเว่ยต้องชดใช้เงินกว่า 4 ล้านล้านแก่ตนเอง ส่งผลให้ปัจจุบันอีกฝ่ายกลายเป็นคนยากจน  

 

 

 

 

 

และทรัพสินย์อย่างอุตสาหกรรมเหล่านั้น บางทีอาจถูกจำนองไปตั้งนานแล้ว  

 

 

 

 

 

“อืม เรื่องต่อไป หนึ่งสัปดาห์จากนี้ ในป่าหยวนทางทิศตะวันตกของเมืองเป่ยหัว มักเกิดรอยแยกมิติขึ้นบ่อยครั้ง และมีแนวโน้มว่ากองทัพสัตว์ร้ายอาจหลุดออกมา เดิมทีนี่เป็นภารกิจของกวงเว่ย แต่ตอนนี้ ทั้งหมดขอส่งต่อให้คุณ”  

 

 

 

 

 

“ไม่มีปัญหา” ฉินเฟิงตอบรับอีกครั้ง ที่เขามาเมืองเป่ยหัวในคราวนี้ เขาไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อป่าหยวนก็จริง แต่เมื่อที่นั่นมีกองทัพสัตว์ร้ายปรากฏตัวขึ้น ย่อมหมายความว่าฉินเฟิงสามารถดูดกลืนพลังงานได้มากขึ้นเช่นกัน  

 

 

 

 

 

ซางฮันได้ยินคำตอบ ตกลง ตกลง ตกลง อย่างเรียบง่ายของฉินเฟิง ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เดิมเธอคิดว่าฉินเฟิงอาจตอบปัดมัน  

 

 

 

 

 

แต่เมื่อลองนึกดูอีกที ฉินเฟิงอาจคิดนำกองทัพของกวงเว่ยไปยังป่าหยวนก็ได้ เพราะตายไปคงไม่เป็นไร อย่างไรนั่นไม่ใช่คนของเขาอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะไม่ใส่ใจ  

 

 

 

 

 

ซางฮันกล่าวเตือน “อย่าลืมควบคุมเรื่องการบาดเจ็บล้มตาย”  

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงผงะ นิ่งงันไปสักพัก แต่สุดท้ายไม่ได้โต้แย้งอะไร ตอบรับคำหนึ่ง  

 

 

 

 

 

หากไม่นับท่าทีแข็งกร้าวของฉินเฟิงในตอนแรกแล้ว สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น เป็นไปอย่างราบรื่น ซางฮันพอใจกับทัศนคติของฉินเฟิงมาก  

 

 

 

 

 

เพราะผู้คนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ มักดื้อรั้นและไม่เชื่อฟัง ทว่าหากสามารถใช้งานอัจฉริยะที่ว่านั่นได้ แม้อีกฝ่ายจะทำให้ตนรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยๆ ซางฮันไม่เก็บมาใส่ใจ  

 

 

 

 

 

เวลาของซางฮันมีค่ามาก หลังสนทนา ฉินเฟิงก็ออกมาโดยตรง แต่เขาไม่ได้กลับไปโรงแรมทันที  

 

 

 

 

 

เพราะเขาไม่คาดคิดเลย ว่าเมื่อก้าวออกจากประตู จะพบเจอกับฮั่นจุนที่เพิ่งมีเรื่องกันก่อนหน้านี้พอดี  

 

 

 

 

 

ฮั่นจุนมองฉินเฟิง ในแววตาฟุ้งไปด้วยความเหยียดหยาม วันก่อนฉินเฟิงทำให้ฮั่นจุนต้องกลืนความอัปยศด้วยวาจาไม่กี่คำ ดังนั้นเขายังจำฝังใจ มิอาจมองฉินเฟิงในแง่ดี  

 

 

 

 

 

“โจวจางใช่ไหม? งานประลองจะเริ่มขึ้นแล้วในวันพรุ่งนี้ ฉันหวังว่านาย จะได้จับคู่กับฉัน เพราะถึงเวลานั้น ฉันจะแสดงให้ดูเอง ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะที่แท้จริง!  

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกวาดตามองอีกฝ่าย เอ่ยคำสั้นๆ “ เออ แล้วจะได้เห็นดีกัน”  

 

 

 

 

 

“เหอะ!” ฮั่นจุนส่งเสียงฮึฮะเย็นชา หันหลังเดินจากไป  

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกลับไปที่ห้อง เรียกโจวฮ่าวกับจิ่นเฟยมาหาเขา  

 

 

 

 

 

“พวกนายทั้งสองคน มีพัฒนาการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม  

 

 

 

 

 

โจวฮ่าวเปิดปากด้วยความตื่นเต้น “ตันเถียนของฉันขยายขนาดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ความเร็วในการดูดซับก็ไวกว่าเดิมมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากตันเถียนขยายใหญ่ จำนวนกำลังภายในที่สามารถกักเก็บได้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ถ้ามันไปถึงเลเวล E9 เมื่อไหร่ อย่างน้อยน่าจะสามารถรองรับได้ถึง 20 ทะเลเมฆ! และพอถึงช่วงเวลาตัดผ่าน มันอาจควบแน่น กลั่นเป็นของเหลวกำลังภายในได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ”  

 

 

 

 

 

“แล้วตอนนี้นายมีทะเลเมฆกี่ชั้นแล้ว?”  

 

 

 

 

 

“เจ็ดชั้น!” เจ็ดชั้นทะเลเมฆ เทียบเท่ากับผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E7 ผลลัพธ์ถือว่าดีมาก  

 

 

 

 

 

“แล้วจิ่ยเฟยเล่า?”  

 

 

 

 

 

“ของฉันถึงเก้าชั้นแล้ว” จิ่นเฟยกล่าว  

 

 

 

 

 

“อ่าฮะ ใช้ได้แล้ว เพราะเก้าชั้นทะเลเมฆ สำหรับในงานประลองทางตอนเหนือ ตราบใดที่นายไม่ได้พบผู้ใช้พลังเลเวล D ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”  

 

 

 

 

 

ก่อนฉินเฟิงเกิดใหม่ จิ่นเฟยคือสุดยอดอัจฉริยะ แต่ปัจจุบันเจ้าตัวออกจากเมืองหวังแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเสียเวลาฝึกฝนอย่างชีวิตก่อน จิ่นเฟยน่าจะมีเวลามากขึ้น และทรัพยากรในการฝึกฝนเองก็เหมือนกัน  

 

 

 

 

 

ในอนาคต ด้วยศักยภาพของเขา ย่อมกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่!  

 

 

 

 

 

เรื่องนี้คงต้องยอมรับ ว่าจิ่นเฟยมีพรสวรรค์กว่าโจวฮ่าวอยู่เล็กน้อย  

 

 

 

 

 

“ฉันจะต้องคว้าโควต้ามาครองอย่างแน่นอน!” จิ่นเฟยร้องตะโกน เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 505 – ซางฮันเรียกตัว

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 505 - ซางฮันเรียกตัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.505 – ซางฮันเรียกตัว  

 

 

 

 

 

ใช้เวลาไม่นานในการกลับไปยังเมืองเป่ยหัว ฉินเฟิงตรงไปยังโรงแรมและอาบน้ำทันที ชำระกลิ่นอายแห่งความตายและกลิ่นเน่าเปื่อยของซากศพออกจากร่างกาย  

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาดแล้ว แต่เนื่องจากการล่าสังหารตลอดทั้งหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ยังคงมีกลิ่นเลือดติดตรึงบนตัวอยู่ดี  

 

 

 

 

 

เพราะในช่วงที่ผ่านมา เขาล่าสังหารสัตว์ร้ายมากเกินไป!  

 

 

 

 

 

“เธอรออยู่ที่นี่ ฉันจะไปพบกับซางฮันคนเดียว เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ใช้พลังเลเวล A ฉันกลัวว่าถ้าเห็นเธอใกล้ๆ ซางฮันอาจรู้ตัวจริงของเธอได้” ฉินเฟิงกล่าวกับไป๋หลี  

 

 

 

 

 

“เข้าใจแล้ว ไปเถอะ ฉันจะฝึกฝนรออยู่ในโรงแรม” ไป๋หลีใช้แต้มแลกเปลี่ยนแก่นจักรพรรดิสัตว์ร้ายมา เป็นธรรมดาที่เธอไม่ยินดีออกไป  

 

 

 

 

 

“โอเค เดี๋ยวฉันกลับมา”  

 

 

 

 

 

“อื้ม!  

 

 

 

 

 

ร่ำลาไป๋หลี ฉินเฟิงขับรถมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเมือง ตรงไปยังตึกสำนักงานพันธมิตรมนุษย์  

 

 

 

 

 

ภายในล็อบบี้ หลังจากรายงานตัวตรงเคาท์เตอร์ต้อนรับ ฉินเฟิงก็ได้รับแจ้งว่าให้ไปยังชั้นที่ 66  

 

 

 

 

 

ไม่นาน ฉินเฟิงก็ได้พบกับซางฮัน  

 

 

 

 

 

ตัวซางฮันแม้อายุปาเข้าไปเลขสี่ แต่เนื่องจากเธอฝึกฝนวรยุทธโบราณ กำลังภายในบริสุทธิ์อย่างหาที่ใดเปรียบ มันได้ก้าวมาถึงจุดของเหลวกำลังภายใน ในรูปแบบมหาสมุทรแล้ว  

 

 

 

 

 

*(เลเวล D กำลังภายในรูปแบบแอ่งน้ำ , เลเวล C สระน้ำ , เลเวล B ทะเลสาบ , เลเวล A มหาสมุทร)  

 

 

 

 

 

ดังนั้นซางฮันในเวลานี้ เลยยังดูเหมือนเป็นผู้หญิงในวัยยี่สิบต้นๆ แม้ไม่สวยมากนัก แต่ผิวพรรณของเธอดูดีที่สุด เท่าที่ฉินเฟิงเคยเห็นมา … ถ้าไม่นับไป๋หลีน่ะนะ  

 

 

 

 

 

เพราะสุดท้าย นี่คือตัวตนทรงอำนาจเลเวล A !  

 

 

 

 

 

“ผู้การรัฐฉิน ยินดีที่ได้พบ”  

 

 

 

 

 

“สวัสดีจ้าวพรมแดนซาง”  

 

 

 

 

 

ทั้งสองเชคแฮนด์กันอย่างสุภาพ ฉินเฟิงถูกเชิญให้นั่งลง  

 

 

 

 

 

สีหน้าของซางฮันดูไม่ค่อยดีนัก ขณะเดียวกันฉินเฟิงก็มิได้ยิ้มแย้มอะไร  

 

 

 

 

 

“ฉันได้รับข่าวแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมคุณถึงฆ่ากวงเว่ย?”   

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกล่าว “ในเมื่อท่านจ้าวพรมแดนได้รับข่าวแล้ว ก็น่าจะรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่มีอะไรจะอธิบายอีก”  

 

 

 

 

 

ซางฮันแน่นอนย่อมกระจ่างดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น กระทั่งหลิวเยว่ เธอก็ยังติดต่อหา และซักถามไปแล้ว  

 

 

 

 

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซางฮัน หลิวเยว่ไม่กล้าโกหก! เขาสารภาพเรื่องที่กวงเว่ยวางแผนสังหารออกมาตามตรง  

 

 

 

 

 

และหลังจากได้ฟังแล้ว ขอบอกเลยว่ากวงเว่ยเป็นฝ่ายผิดจริงๆ  

 

 

 

 

 

“เรื่องที่คุณฆ่าสองคนจากพันธมิตรมืดฉันไม่ติดใจอะไร แต่ทำไมต้องฆ่ากวงเว่ย? ความแข็งแกร่งของคุณ กวงเว่ยไม่น่าจะทำอะไรคุณได้แท้ๆ” ซางฮันถามย้ำ  

 

 

 

 

 

“เพราะกวงเว่ยมันคิดฆ่าผม ทำไมผมถึงไม่สามารถตอบโต้กลับได้? ในเมื่อกวงเว่ยคิดร้าย ผมก็สามารถคิดร้ายได้เช่นกัน ท่านจ้าวพรมแดนซาง ผมไม่ใช่คนที่จะยอมก้มหัวรับกรรม ผมเคยไปที่พันธมิตรองค์กรมืดมาแล้วครั้งหนึ่ง คุณอยากให้พันธมิตรมนุษย์ บีบบังคับผมให้ต้องจากไปอีกหรือ?”  

 

 

 

 

 

“เฮ้อ คุณช่วยมองในภาพรวมหน่อยจะได้ไหม?”  

 

 

 

 

 

“อ้อ ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมว่าคุณสมควรจะเอ่ยกับกวงเว่ยที่ตายไปแล้วมากกว่า”  

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ ซางฮันตระหนักชัด ว่าฉินเฟิงไม่คิดยอมแพ้ เขาไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำ เป็นเรื่องผิดแม้แต่น้อย  

 

 

 

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงได้บอกไปตั้งแต่ต้น ว่ากวงเว่ยร่วมมือกับคนของพันธมิตรองค์กรมืด  

 

 

 

 

 

แต่กระนั้น คนก็ตายไปแล้ว ไม่อาจมายืนอธิบายได้อีก  

 

 

 

 

 

“เอาเถอะ เรื่องการตายของกวงเว่ย ฉันจะไม่พูดถึงมันอีก เรามาหารือเรื่องอื่นกันดีกว่า” ซางฮันกล่าวเสียงหม่น  

 

 

 

 

 

“ตกลง” นี่เป็นครั้งแรกที่ซางฮันตามตัวฉินเฟิง ดังนั้นฉินเฟิงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าในใจซางฮันกำลังคิดอะไรอยู่  

 

 

 

 

 

“กวงเว่ยมียศเป็นถึงนายพล ฉะนั้นหมายความว่าเขาย่อมมีกองทัพเป็นของตัวเอง ในกองทัพมีผู้ใต้บังคับบัญชาเลเวล C อย่างน้อย 20 คน , เลเวล D อีกกว่า 500 คน นี่มิใช่ขุมกำลังที่อ่อนแอ แต่ปัจจุบัน กวงเว่ยตายไปแล้ว คนเหล่านี้ไร้ซึ่งผู้นำ และเนื่องจากคุณสามารถสังหารกวงเว่ยได้ นั่นหมายความว่าคุณแข็งแกร่งมากพอ– ”  

 

 

 

 

 

“–มากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่องได้ ดังนั้นฉันขอมอบคนเหล่านี้ให้แก่คุณ”  

 

 

 

 

 

หน้าผากของฉินเฟิงเกิดรอยยับย่นทันที  

 

 

 

 

 

เขาไม่มีความคิดที่รับช่วงต่อปัญหานี้ เพราะทั้งหมดเคยเป็นลูกน้องของกวงเว่ยมาก่อน ดังนั้นไม่มีทางภักดีต่อเขา  

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อลองขบคิดดีๆอีกครั้ง เมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว ฉินเฟิงพบว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้ลูกน้องของคนอื่นเชื่อง ดังนั้นตั้งใจให้ไปประจำการอยู่ในเมืองหมิงกวง แล้วละความสนใจก็พอ  

 

 

 

 

 

หลังจากนั้น หากใครต้องการที่จะจากไป หรือยังอยากอยู่ในกองทัพต่อ มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับฉินเฟิงอีก  

 

 

 

 

 

“ผมตกลง”  

 

 

 

 

 

“กองทัพที่นำโดยกวงเว่ย มีชื่อเรียกว่ากองทัพกวงเว่ย จากนี้ไป คุณสามารถเปลี่ยนชื่อได้ อย่างไรก็ตาม แม้กองทัพจะมอบให้คุณ แต่อุตสาหกรรมของเขา ทางพันธมิตรมนุษย์จะขอริบคืน เรื่องนี้คุณไม่สามารถโต้แย้งได้”  

 

 

 

 

 

อุตสาหกรรมกับกองทัพเป็นของคู่กัน ด้วยเงินอุดหนุนจากพันธมิตรมนุษย์เพียงอย่างเดียว มิอาจชุบเลี้ยงกองทัพได้  

 

 

 

 

 

“เรื่องนั้นผมไม่ขัดข้อง” อุตสาหกรรมเหล่านั้น ฉินเฟิงไม่ต้องการ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่ากวงเว่ยต้องชดใช้เงินกว่า 4 ล้านล้านแก่ตนเอง ส่งผลให้ปัจจุบันอีกฝ่ายกลายเป็นคนยากจน  

 

 

 

 

 

และทรัพสินย์อย่างอุตสาหกรรมเหล่านั้น บางทีอาจถูกจำนองไปตั้งนานแล้ว  

 

 

 

 

 

“อืม เรื่องต่อไป หนึ่งสัปดาห์จากนี้ ในป่าหยวนทางทิศตะวันตกของเมืองเป่ยหัว มักเกิดรอยแยกมิติขึ้นบ่อยครั้ง และมีแนวโน้มว่ากองทัพสัตว์ร้ายอาจหลุดออกมา เดิมทีนี่เป็นภารกิจของกวงเว่ย แต่ตอนนี้ ทั้งหมดขอส่งต่อให้คุณ”  

 

 

 

 

 

“ไม่มีปัญหา” ฉินเฟิงตอบรับอีกครั้ง ที่เขามาเมืองเป่ยหัวในคราวนี้ เขาไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อป่าหยวนก็จริง แต่เมื่อที่นั่นมีกองทัพสัตว์ร้ายปรากฏตัวขึ้น ย่อมหมายความว่าฉินเฟิงสามารถดูดกลืนพลังงานได้มากขึ้นเช่นกัน  

 

 

 

 

 

ซางฮันได้ยินคำตอบ ตกลง ตกลง ตกลง อย่างเรียบง่ายของฉินเฟิง ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เดิมเธอคิดว่าฉินเฟิงอาจตอบปัดมัน  

 

 

 

 

 

แต่เมื่อลองนึกดูอีกที ฉินเฟิงอาจคิดนำกองทัพของกวงเว่ยไปยังป่าหยวนก็ได้ เพราะตายไปคงไม่เป็นไร อย่างไรนั่นไม่ใช่คนของเขาอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะไม่ใส่ใจ  

 

 

 

 

 

ซางฮันกล่าวเตือน “อย่าลืมควบคุมเรื่องการบาดเจ็บล้มตาย”  

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงผงะ นิ่งงันไปสักพัก แต่สุดท้ายไม่ได้โต้แย้งอะไร ตอบรับคำหนึ่ง  

 

 

 

 

 

หากไม่นับท่าทีแข็งกร้าวของฉินเฟิงในตอนแรกแล้ว สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น เป็นไปอย่างราบรื่น ซางฮันพอใจกับทัศนคติของฉินเฟิงมาก  

 

 

 

 

 

เพราะผู้คนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ มักดื้อรั้นและไม่เชื่อฟัง ทว่าหากสามารถใช้งานอัจฉริยะที่ว่านั่นได้ แม้อีกฝ่ายจะทำให้ตนรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยๆ ซางฮันไม่เก็บมาใส่ใจ  

 

 

 

 

 

เวลาของซางฮันมีค่ามาก หลังสนทนา ฉินเฟิงก็ออกมาโดยตรง แต่เขาไม่ได้กลับไปโรงแรมทันที  

 

 

 

 

 

เพราะเขาไม่คาดคิดเลย ว่าเมื่อก้าวออกจากประตู จะพบเจอกับฮั่นจุนที่เพิ่งมีเรื่องกันก่อนหน้านี้พอดี  

 

 

 

 

 

ฮั่นจุนมองฉินเฟิง ในแววตาฟุ้งไปด้วยความเหยียดหยาม วันก่อนฉินเฟิงทำให้ฮั่นจุนต้องกลืนความอัปยศด้วยวาจาไม่กี่คำ ดังนั้นเขายังจำฝังใจ มิอาจมองฉินเฟิงในแง่ดี  

 

 

 

 

 

“โจวจางใช่ไหม? งานประลองจะเริ่มขึ้นแล้วในวันพรุ่งนี้ ฉันหวังว่านาย จะได้จับคู่กับฉัน เพราะถึงเวลานั้น ฉันจะแสดงให้ดูเอง ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะที่แท้จริง!  

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกวาดตามองอีกฝ่าย เอ่ยคำสั้นๆ “ เออ แล้วจะได้เห็นดีกัน”  

 

 

 

 

 

“เหอะ!” ฮั่นจุนส่งเสียงฮึฮะเย็นชา หันหลังเดินจากไป  

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกลับไปที่ห้อง เรียกโจวฮ่าวกับจิ่นเฟยมาหาเขา  

 

 

 

 

 

“พวกนายทั้งสองคน มีพัฒนาการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม  

 

 

 

 

 

โจวฮ่าวเปิดปากด้วยความตื่นเต้น “ตันเถียนของฉันขยายขนาดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ความเร็วในการดูดซับก็ไวกว่าเดิมมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากตันเถียนขยายใหญ่ จำนวนกำลังภายในที่สามารถกักเก็บได้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ถ้ามันไปถึงเลเวล E9 เมื่อไหร่ อย่างน้อยน่าจะสามารถรองรับได้ถึง 20 ทะเลเมฆ! และพอถึงช่วงเวลาตัดผ่าน มันอาจควบแน่น กลั่นเป็นของเหลวกำลังภายในได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ”  

 

 

 

 

 

“แล้วตอนนี้นายมีทะเลเมฆกี่ชั้นแล้ว?”  

 

 

 

 

 

“เจ็ดชั้น!” เจ็ดชั้นทะเลเมฆ เทียบเท่ากับผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E7 ผลลัพธ์ถือว่าดีมาก  

 

 

 

 

 

“แล้วจิ่ยเฟยเล่า?”  

 

 

 

 

 

“ของฉันถึงเก้าชั้นแล้ว” จิ่นเฟยกล่าว  

 

 

 

 

 

“อ่าฮะ ใช้ได้แล้ว เพราะเก้าชั้นทะเลเมฆ สำหรับในงานประลองทางตอนเหนือ ตราบใดที่นายไม่ได้พบผู้ใช้พลังเลเวล D ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”  

 

 

 

 

 

ก่อนฉินเฟิงเกิดใหม่ จิ่นเฟยคือสุดยอดอัจฉริยะ แต่ปัจจุบันเจ้าตัวออกจากเมืองหวังแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเสียเวลาฝึกฝนอย่างชีวิตก่อน จิ่นเฟยน่าจะมีเวลามากขึ้น และทรัพยากรในการฝึกฝนเองก็เหมือนกัน  

 

 

 

 

 

ในอนาคต ด้วยศักยภาพของเขา ย่อมกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่!  

 

 

 

 

 

เรื่องนี้คงต้องยอมรับ ว่าจิ่นเฟยมีพรสวรรค์กว่าโจวฮ่าวอยู่เล็กน้อย  

 

 

 

 

 

“ฉันจะต้องคว้าโควต้ามาครองอย่างแน่นอน!” จิ่นเฟยร้องตะโกน เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+