ในโลกของเกมที่ผู้ชายถูกกีดกัน สิ่งที่ผมต้องทำนั้นจึงมีเพียงอย่างเดียว (เกิดใหม่เป็นผู้ชายในโลกเกมยูริ) 29 เพื่อที่จะผลิกชะตา (จบเล่ม 2)

Now you are reading ในโลกของเกมที่ผู้ชายถูกกีดกัน สิ่งที่ผมต้องทำนั้นจึงมีเพียงอย่างเดียว (เกิดใหม่เป็นผู้ชายในโลกเกมยูริ) Chapter 29 เพื่อที่จะผลิกชะตา (จบเล่ม 2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

เพดานลูกคลื่น ที่เหมือนทะเลสีขาวนขยับไปตามเสียงเท้าของผู้คน

 

ชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมายที่ขยับไปมาในอากาศ

หนังสือเวทย์ข้างในกำลังบินไปมารอบ ๆ และกำลังถูกจัดระเบียบ

 

หนังสือเวทย์ส่องแสงจาง ๆ ออกมา และฉายตัวอักษรขึ้นไปบนอากาศและสลายไปกลายเป็นฝุ่น

 

ทรงกลมสีขาวที่ที่ตรงกลางบนอากาศดวงดาวค่อย ๆ หมุนไปอย่างช้า ๆ

ทรงกลมสีขาวที่อยู่บนอากาศนั่นก็คืออุปกรณ์เวทย์คอนสตรัคเตอร์ชนิดหนึ่งของโรงเรียนหญิงโอโตริที่ชื่อว่า [ซิลเวอร์ สเฟียร์]

 

ถ้าวางฝ่ามือลงบนสิ่งนั้น มันจะปล่อยให้พลังเวทย์หลั่งไหลเข้ามาและถ้าสิ่งนั้นจำคนนั้นได้ว่าเป็นนักเรียน มันก็จะนำหนังสือที่ตรงกับในจินตนาการมาให้

 

ผมผู้ทิ้งปัญหาทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อมาแก้ไขปัญหาของนีลแอร์โรว์ ก็ได้ทำการเอามือวางลงบนซิลว่าสเฟียร์

 

ไม่รู้ว่ามาตามหาหนังสือเหมือนกันรึเปล่า แต่ว่าก็มีนักเรียนอยู่หลายคนเลย ที่กำลังหลับตาเพื่อตามหนังสือร่วมกันอยู่ตรงกลาง  

 

“……”

 

ผมเองก็หลับตาลงแล้วตั้งสมาธิ

 

ศร…ศร…ศร…ศรล่องหน [โน้ตการยิงธนู] [พื้นฐานของคิวโด] [ทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็น] [เมต้าเมทีเรียล] [โครงสร้างหน้าไม้] [พื้นฐาน~ศรเวทมนตร์] [ทฤษฎีเวทมนตร์ขั้นพื้นฐาน] [ศรที่เอลฟ์ใช้คืออะไร?] [อัลฟ์ไฮม์~เมืองโบราณที่เต็มไปด้วยปริศนา~] [เทคนิคในการแสดงพลังของแคนน่อน] [หนังสือดวงตาเวทย์ครบชุด]

 

เดี๋ยวดิ ๆ เริ่มออกทะเลไปเรื่อย ๆ แล้วเนี่ย

 

ผมขมวดคิ้วและพยายามเรียกสติกลับมา

 

เพราะผมพยายามจินตนาการถึงสิ่งต่าง ๆ ด้วยการขดค้นความทรงจำ ผมก็เลยออกทะเลไปพอสมควร

ผมอยากรู้วิธีการสร้างธนู ถ้าให้ดีก็อยากรู้วิธีทำให้ศรมันพุ่งออกไปตรง ๆ ด้วย

 

ครั้งนี้ถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี มีหนังสือหลายเล่มอยู่ในอ้อมแขนผมเลยทีเดียว

 

“โอ๊ะ ๆ ๆ !”

 

หลังจากที่ได้หนังสือมาผมก็รีบไปที่ห้องอ่านหนังสือทันที

 

ด้วยคะแนนผมที่มีแค่ 0 ผมจึงสามารถใช้ได้แค่ห้องส่วนตัวเล็ก ๆ เท่านั้น ในขณะที่พวกนักเรียนที่มีคะแนนสูง ๆ จะได้ห้องที่สามารถดูหนังได้เลย

 

ห้องกั้นเสียงได้อย่างสมบูรณ์ มีโต๊ะ เก้าอี้ และเตียงสำหรับการงีบ พร้อมมีบรรณารักษ์คอยบริการเพียงแค่เรียก

 

ในคลังเอกสารนี้ยังมีนางรองที่แฟน ๆ เอสโก้บอกด้วยว่ามีคนทีเป็นซึนเดเระแบบ [เย็นยะเยือกกับร้อนรุอุ] อยู่ด้วย…

แต่แน่นอนว่าผู้ชายอย่างผมน่ะ ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่แล้วล่ะ

 

ผมเปิดหน้าต่างจอขึ้นมา แล้วค้นหาห้องว่างของที่นี่ และเพราะที่นี่กว้างมาก การที่จะหาห้องว่างสำหรับคะแนนต่ำ ๆ จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก

 

“เบอร์ 32…เบอร์ 32…”

 

ในขณะที่ผมกำลังมองหาห้องเบอร์ 32 พวกนักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมา พอได้เห็นผมก็ทำหน้าตารังเกียจแล้วเดินหนีกันหมด

 

มาคิด ๆ ดูแล้ว ผมก็แทบไม่เคยเห็นผู้ชายคนในไหนโรงเรียนหญิงโอโตริเลยซักคนแฮะ

แต่เดิมทีการจะเข้าเรียนได้มันก็ไม่ใช่ง่าย ๆ อยู่แล้วแหละ

 

ดูเหมือนว่าผู้ชายทุกคนที่เหลือนอกจากผม จะอ่านบรรยากาศกันได้แล้วหายตัวกันไปหมด…หรือพวกนั้นจะเป็นนินจาหว่า?

 

บอกตามตรงแล้ว ผมก็อยากเรียนรู้วิธีนั้นเหมือนกันนะ เพราะปกติแล้ว ผมไม่ควรจะได้เข้าไปพัวพันกับพวกตัวเอกเลยด้วยซ้ำ

 

แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ ตอนนี้มันก็สายไปแล้วล่ะถ้าจะมาแยกกันตอนนี้ ทำไปมันจะมีแต่แย่กับแย่ลงเท่านั้นแหละ

เอาเถอะ ต่อให้คิดว่าจะทำได้ก็คงทำไม่ได้อยู่ดีน่ะแหละ

 

ก่อนอื่นตอนนี้ผมต้องหาวิธีเพิ่มพลังให้ได้กับการที่จะได้ไปค่ายปฐมนิเทศก่อนล่ะ…

ถึงจะคิดว่าถ้าเป็นสึกิโอริล่ะก็ คงไม่มีปัญหาอะไรก็เถอะ แต่ผมก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่า ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเหมือนในเกมเป๊ะ ๆ

 

ถ้าเพื่ออนาคตยูริแล้วล่ะก็ ต่อให้ต้องเอาตัวเองเป็นโล่เพื่อปกป้องไม่ให้ตัวเอกตาย ผมก็ยอมล่ะ

ผมต้องรีบเรียนรู้เกี่ยวกับนีลแอร์โรว์ให้เร็วที่สุด จะได้เคลื่อนไหวในตอนที่เกิดเหตุสุดวิสัยได้

 

“โอ๊ะ ห้อง 32!”

 

ในที่สุดก็เจอแล้ว ห้องเบอร์ 32

 

“……”

 

ผมมารู้ตัวเองว่าตอนนี้มือผมมันของเต็มไปหมด ทำให้ผมเปิดประตูไม่ได้

ถึงมันจะยุ่งยาก แต่ผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องวางหนังสือลงก่อนแหละ

ผมถอนหายใจและกำลังจะวางหนังสือลง…แต่ทันใดนั้นก็มีแขนยื่นมาจากด้านข้างแล้วก็เปิดประตูให้ผม

 

“เชิญเลย”

 

เสียงที่ฟังดูแหบแห้ง แขนที่ดูโปร่งใส

ผมเงยหน้าขึ้นและสบตากับรอยยิ้มของเธอแบบไม่คิดอะไร

 

“สวัสดีจ้ะคุณซันโจ ฮิอิโระ”

 

ผู้ดูแลหอพักสีฟ้า ฟิวรี่ โฟรมา ฟรีเกนซ์

เธอสวมชุดที่มีผ้าคลุมสีขาวบริสุทธิ์ และดวงตาใส ๆ ของเธอก็แผ่รังสีความเย็นออกมาผ่านร่างกายที่โปร่งใสของเธอ

 

“…ขอบคุณครับ”

 

มีอีเวนต์ที่ฮิอิโระกับฟิวรี่จะได้มาเจอกันในที่แบบนี้ด้วยงั้นเหรอ?

 

เอสโก้ดำเนินเรื่องไปคนละมุมมองกับสึกิโอริ (ตัวเอก) เพราะงั้นผมถึงไม่รู้ว่าฮิอิโระไปเจอใครหรือที่ไหนมาบ้าง…

แต่การที่ได้มายุ่งเกี่ยวกับฟิวรี่แบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่

 

แหงล่ะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผมไม่ได้อยากยุ่งกับฟิวรี่อยู่แล้ว!! ยิ่งเจอคนที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ โอกาสม่องเท่งก็ยิ่งเยอะขึ้นด้วยน่ะเส้!!

ถ้าจะให้เจ้าหมามาตายในที่ที่ไม่มีตัวละครหลักอยู่ด้วยแบบนี้ล่ะก็ ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ!!

 

ผมพยายามรีบเข้าห้อง แต่แล้วผมก็ถูกมือที่โปร่งใสขวางเอาไว้

 

“ขอโทษนะ แต่ขอเวลาคุยด้วยซักเดี๋ยวได้รึเปล่า?”

 

“ขอโทษครับ แต่ว่าผมกำลังรีบอยู่น่ะ”

 

“ตายจริง นี่หรือว่าฉันจะโดนเกลียดตั้งแต่ที่ยังไม่ได้รู้จักกันเลยเหรอคะเนี่ย?”

 

“ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น”

 

“งั้นก็ขอเวลาหน่อยสิ…ได้ใช่มั้ย”

 

“เอ๊ะ เดี๋ยวสิ คือว่า!”

 

ผมถูกผลักเข้ามาในห้อง

 

หมอกที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสำหรับเธอในเผ่าวิญญาณนั้น ผมสัมผัสความรู้สึกได้เลย

แล้วตอนนี้ผมก็กำลังอยู่กับสาวสุดสวยคนนี้ในห้องแคบ ๆ กัน สองต่อสองด้วย

 

เธอจ้องมองมาที่ผม

 

“ขอเรียกว่าฮีคุงได้รึเปล่า?”

 

“…ครับ?”

 

เธอกอดอกแล้วเอามือวางบนแก้ม ทำให้หน้าอกอันเย้ายวนของเธอชิดเข้าหากันแบบไม่ได้ตั้งใจ

 

“ก็นั่นไง ฉันน่ะ จะตั้งชื่อเล่นให้กับทุกคนในหอพักใช่มั้ยล่ะ? นั่นก็เพราะว่าฉันไม่อยากจะเรียกคนที่สนิทกันแค่ชื่อน่ะ แล้วฉันก็เรียกลาพิสจังว่า [ลาปี้] ด้วยนะ”

 

“ฟังดูเหมือนปลาหางนกยูง (กุ้ปปี้) ยังไงก็ไม่รู้…ดูแล้วเธอคงไม่ชอบแหงม ๆ เลยสินะครับ…?”

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันน่ะเป็นพวกชอบใบหน้าที่ดูรังเกียจของเหล่าสาว ๆ อยู่แล้วน่ะนะ”

 

ไม่เป็นไรบ้านพี่ดิครับ

 

“จะว่าไปแล้ว ผมน่ะเป็นผู้ชายนะครับ…ไม่รังเกียจหรอครับ…?”

 

“ถ้าจะพูดแบบนั้น ฉันเองก็เป็นวิญญาณนะ ไม่รังเกียจเหรอ?”

 

ฟิวรี่ทำหน้าแบบ [กำลังสนใจอีกฝ่าย] แล้วเข้าหาผมต่อไปทั้งแบบนั้น

 

“ฮีคุงเนี่ย หน้าตาน่ารักจนน่าตกใจเลยนะเนี่ย…ใช้โลชั่นอะไรงั้นเหรอ…?”

 

“มะ…ไม่ครับ ไม่ได้ใช้นะครับ”

 

“โกหกแล้ว ทั้งที่ผิวดูเนียนนุ่มขนาดนี้เนี่ยนะ”

 

เธอเอามือทั้งสองข้างจับหน้าผมและบีบแก้มไปมา

 

“แต่ว่านะ ฮีคุง”

 

เธอมองมาที่ผมด้วยสายตา

 

“มีรางร้ายแผ่ออกมาด้วย…บางทีแล้ว อาจต้องตายในเร็ว ๆ นี้ก็ได้นะ…น่าสงสารจัง”

 

“เอ๊ะ จริงเหรอครับ”

 

ฟิวรี่นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำนายดวงชะตา อย่างโหราศาสตร์หรือโหงวเฮ้งอะไรแบบนี้ด้วย

 

ในเกมนั้น เธอทำนายดวงได้อยู่หลายครั้งด้วย…อย่างการที่เธอทำนายว่าฮิอิโระจะตาย  

ในวันรุ่งขึ้นฮิอิโระก็ถูกรถบรรทุกคันใหญ่ชนจนตายเลย จากนั้นผู้คนรอบตัวฟิวรี่ก็เริ่มที่จะนับถือเธอกันมากขึ้นเลยล่ะ

 

“เอาเถอะ เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ได้แหละ”

 

เป็นยังไงก็ได้ที่ไหนกันเล่า

 

“วันนี้น่ะ ฮีคุงมีสิ่งที่ต้องทำอยู่นะ”

 

“สิ่งที่ต้องทำ…?”

 

“ฉันอยากให้คุณบอกกับลาปี้ให้ชัดเจนว่าจะเข้าหอพักฟลาวุมน่ะนะ”

 

อ๋อ งี้นี่เอง หมายถึงแบบนี้นี่เองสินะ

 

พอผมโล่งใจ ผมก็เบือนหน้าหนีไปจากเธอในขณะที่เธอเดินเข้ามาหา

 

“ลาพิสบอกว่าจะไม่เข้าหอพักสินะครับ?”

 

“ใช่ เธอยืนกรานจะอยู่กับคุณน่ะนะ”

 

เธอจ้องผมแบบใกล้ ๆ

 

“เมื่อวานนี้ฉันไปเห็นเข้าน่ะ ก็เลยมั่นใจแล้ว เพราะงั้นถ้าคุณบอกเธอว่าจะเข้าหอฟลาวุม เธอก็น่าจะยอมแพ้แล้วเข้าหอพักซีรูเลียมน่ะนะ”

 

“เข้าใจแล้วครับ เดี๋ยวผมจะรีบแจ้งให้ทราบเลยครับ เพราะงั้น ช่วยถอยไปหน่อยได้มั้ยครับ?”

 

“อืม…เสียดายจัง…”

 

เธอค่อย ๆ ลูบต้นขาของผมเบา ๆ

 

“เดี๋ยวสิครับ!? นี่คุณจับตรงไหนอยู่กันน่ะครับ!?”

 

“อา ขอโทษด้วยนะจ๊ะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์เท่าไหร่น่ะ แต่ถ้าจับแถว ๆ นี้ มันคงไม่ดีสินะ”

 

เธอปล่อยมือ แล้วก็ยิ้มออกมา

 

“ฝึกฝนมาอย่างดีเลยสินะ เสียดายจริง ๆ”

 

“…เสียดายเพราะผมกำลังจะตายน่ะเหรอครับ?”

 

“อืม ก็คุณน่ะ คงไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะตายรึเปล่าใช่มั้ยล่ะ? มีบางสิ่งที่มันสำคัญกว่าชีวิตของตัวเอง ซึ่งคุณเป็นประเภทที่จะยอมสละชีวิตเพื่อบางอย่างนั่น เผลอ ๆ แล้ว คงคิดว่าจะดีกว่า ถ้าตัวเองไม่มีชีวิตอยู่ใช่มั้ยล่ะ?”

 

ถูกเผงเลย…หลอนวุ้ย…!

 

“ก็คงจะไม่มีทางอายุยืนอยู่แล้วล่ะนะ…ชีวิตตัวเองก็ยังไม่สนใจเลยนี่นา แต่ว่านะ”

 

ฟิวรี่จับแก้มทั้งสองข้างของผมแล้วมองตรงมาที่ผม

 

“ฉันก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะคะ ก็มันเป็นสิทธิ์ของมนุษย์อยู่แล้วนี่นา…การที่จะทุ่มเททุกอย่างให้กับบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตนั่นน่ะ…ก็ดูโรแมนติกดีนะ”

 

หลังจากที่ใช้นิ้วลูบแก้มผมแล้ว ฟิวรี่ก็ขยับตัวออกไป

 

“บางครั้งฉันก็อยากให้การทำนายดวงชะตาของฉันมันผิดพลาดบ้างเหมือนกันนะ ถ้าคุณอยากที่จะพลิกชะตาตัวเองดูล่ะก็…แต่คุณมีบางสิ่งที่ต้องปกป้อง แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตตัวเองก็ตามอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ ท่านอัศวิน”

 

ผู้ดูแลหอพักซีรูเลียมเดินจากไปพร้อมกับทิ้งอากาศที่หนาวเย็นไว้ข้างหลัง

 

หลังจากที่ตกตะลึงไปซักพัก ผมก็ดึงสติอารมณ์กลับมาได้

 

ผมหันไปมองกองหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ

ผมรู้สึกเหมือนว่าความตั้งใจของผมทั้งหมดมันมุ่งเป้าไปยังที่ตรงนั้น

 

ผมอ่านหนังสือ ซึมซับความรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้น เอามาเติมเต็มนีลแอร์โรว์ให้สมบูรณ์

 

ชะตากรรม–เพื่อจะพลิกสิ่งที่เธอเรียกว่าชะตากรรมนั้น

ก่อนที่จะรู้ตัว เวลามันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้ว

 

“อืม”

 

พระอาทิตย์ก็กำลังขึ้น

 

แล้วอาจารย์พยักหน้า

 

“ยอดเยี่ยมมาก”

 

พระอาทิตย์ส่องแสงไปยังส่วนมืดของต้นไม้ มันเป็นหลุมที่เกิดขึ้นตามที่ผมได้เล็งเป้าไว้

 

“……”

 

ผมมองไปที่มือของตัวเอง

 

มือที่สภาพโทรม เปื้อนไปด้วยหยดเลือดหลายต่อหลายครั้ง และยังสั่นเทาจากความเหนื่อยล้า

 

ผมจับมือตัวเองเบา ๆ

 

“…อาจารย์”

 

อาจารย์แอสเทมีร์พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ

 

“คุณแข็งแกร่งขึ้นแล้วล่ะ”

 

ผมส่งเสียงออกไป

 

“ครับ…”

 

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะปกป้องเอง

สิ่งที่ผมหวัง นั่นก็คือโลกที่ตัวเอกและนางเอกสามารถหัวเราะกันได้ยังไงล่ะ

 

“ไปก่อนนะครับ”

 

“ไปดีมาดีนะ”

 

ผมค่อย ๆ เดินทางไปยังจุดนัดพบ

และในตอนที่ผมมาถถึง ทุกคนก็มารวมตัวกันหมดแล้ว

สึกิโอริ โอฟิเลีย ลาพิส เรย์…ทุกคนจ้องมาที่ผม

 

ผมยิ้มและเงยหน้าขึ้น มองเรือโดยสารหรูหราลำใหญ่ที่ลอยอยู่ในทะเล

 

มันเริ่มขึ้นแล้วสินะ

จุดเปลี่ยนของเหล่าตัวเอก–ค่ายปฐมนิเทศ

 

(จบเล่ม 2 แล้วครับ)

 

[ติดตามเรื่องนี้ได้ที่เพจ Okuse-Translator]

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด