ในโลกของเกมที่ผู้ชายถูกกีดกัน สิ่งที่ผมต้องทำนั้นจึงมีเพียงอย่างเดียว (เกิดใหม่เป็นผู้ชายในโลกเกมยูริ) 37 การประกาศชัยชนะของฮิอิโระคุง

Now you are reading ในโลกของเกมที่ผู้ชายถูกกีดกัน สิ่งที่ผมต้องทำนั้นจึงมีเพียงอย่างเดียว (เกิดใหม่เป็นผู้ชายในโลกเกมยูริ) Chapter 37 การประกาศชัยชนะของฮิอิโระคุง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

หลังจากที่ปลดอาวุธพวกเธอแล้ว ผมก็ตรวจสอบตราสัญลักษณ์ของสาวก

ไม่ผิดแน่ นี่คือตราของอาร์สฮาเรียแน่นอน

 

“……”

 

มันแปลกอย่างที่คิดเลย…สาวกดูมีจำนวนมากเกินไป…ถ้าเนื้อเรื่องยังคงเป็นไปตามเดิมละก็ อาร์สฮาเรียน่าจะยังไม่มีคนมากพอที่จะทำอะไร จนกว่าจะเกิด [สิ่งนั้น] ขึ้นในวันที่ 3 นี่นา…

 

ผมครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง ความคิดในหัวของผมมันวุ่นวายไปหมด

 

ระวังตัวไว้ก่อนก็น่าจะดี…แต่ผมก็ไม่อยากจะทำอะไรที่มันจะไปขวางอีเวนต์ที่จะทำให้พวกสึกิโอริเติบโตขึ้นได้เลย…ยังไงก็ต้องทำให้ค่ายนันทนาการนี้มันดำเนินต่อไปเหมือนเดิมล่ะ

 

“ฮิ…ฮิอิโระ?”

 

ลาพิสเรียกผมอย่างเขิน ๆ

 

“อันนี้…โน้ตที่นายทิ้งไว้ให้ฉันที่โต๊ะเมื่อกี้นี้น่ะ”

 

ลาพิสคว้าแขนซ้ายของผมเอาไว้ พร้อมหยิบโน้ตที่ผมเขียนไว้ว่า [ตามฉันมา] ออกมาด้วย

 

“ฮิอิโระรู้ตัวถึงผู้หญิงพวกนี้ด้วยเหรอ? แล้วแขนขวาล่ะเป็นอะไรรึเปล่า? “

 

“เพราะสังหรณ์ใจน่ะ ตอนที่ฉันได้ยินว่าลาพิสกับเรย์โดนโจมตีพร้อมกัน ฉันก็คิดไว้แล้วว่าพวกสาวกน่าจะมีกันเยอะแล้ว เพราะงั้นฉันก็เลยคิดมาตรการตอบโต้เอาไว้เผื่อในกรณีจำเป็นน่ะนะ”

 

“หรือว่าจะเป็นตอนนั้น?”

 

ผมพยักหน้าให้กับคำพูดของสึกิโอริ

 

“ตอนที่ฉันไปที่ห้องพยาบาลกับคุณหนู ฉันก็ได้บอกกับคุณหมอคนนั้นดูว่า [ถ้าเจอกับผมอีกรอบ ช่วยบอกว่าแขนขวากับซี่โครงผมหักทีนะครับ]…เธอน่ะเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนนะ เพราะแค่ฉันบอกว่า [แค่อยู่เฉย ๆ ก็โดนกลั่นแกล้งแล้ว เป็นผู้ชายนี่มันลำบากจริง ๆ อยากหนีออกไปจากค่ายนันทนาการนี่แล้ว เพราะงั้นขอความร่วมมือช่วยด้วยเถอะครับ] ไป เธอก็ยอมช่วยแต่โดยดีแล้ว”

 

“ถ้างั้นแขนขวาของท่านพี่นั่นก็…”

 

ผมแกว่งแขนขวาของผมไปมา

 

“ก็แค่บลัฟน่ะ จริง ๆ มันไม่ได้หักอะไรหรอก ก็ถ้าอาจจะยังมีสาวกคนอื่น ๆอยู่บนเรือลำนี้อีก ฉันคงนอนหลับไม่สนิทหรอก เพราะแบบนั้นก็เลยแกล้งทำแบบนี้เพื่อที่จะล่อออกมาไงล่ะ”

 

ทันใดนั้นเองลาพิสก็หน้าแดงทันที

พอจำได้ว่าได้ทำอะไรอย่าง [อ้าม] ไปแล้ว แต่ที่จริงคือมันไม่จำเป็นต้องทำเลย เธอก็รู้สึกเหมือนจะวูบด้วยความอายเลยทีเดียว

 

“งะ…งั้นเรื่องที่ปกป้องฉันเองก็ด้วยเหรอ?”

 

“ฉันจงใจรับการโจมตีก็เพื่อการนี้นี่แหละ”

 

“ถะ…ถ้างั้นฉันล่ะคะ?”

 

“ฉันก็บอกไปหลายรอบแล้วนี่ ว่านั่นสึกิโอริเป็นคนทำน่ะ”

 

“งั้นก็น่าจะบอกกันตั้งแต่แรกหน่อยสิ”

 

สึกิโอริถอนหายใจและมองมาทางผมด้วยความผิดหวัง

 

“โทษที…แต่มันก็มีสำนวนที่ว่าถ้าจะหลอกศัตรูให้ได้ ก็ต้องหลอกพวกเดียวกันให้ได้ซะก่อนอยู่ไม่ใช่รึไง?”

 

“ถึงจะอย่างงั้นก็เถอะ แต่นี่มาเรียกฉันกับเรย์ตอนที่กำลังวิ่งตามพวกนั้นอยู่แบบนี้มันจะไม่หุนหันไปหน่อยรึไง ถ้าพวกเรามาไม่ทันขึ้นมา นายจะทำยังไงล่ะ”

 

“แขนขวาฉันก็ยังใช้การได้ดี ยังไงฉันก็คงสามารถทำอะไรด้วยตัวคนเดียวเองได้อยู่แหละน่า”

 

ผมเมินสึกิโอริที่กำลังเมินอยู่ และชี้ดาบไปทางเหล่าสาวก

 

“ทำไมเธอถึงได้รู้เรื่องของฉันกันล่ะ?”

 

“พะ…พูดเรื่องอะไรน่ะ?”

 

ผมกดทริกเกอร์  

 

ใบมีดค่อย ๆ ยืดออกมาจากฝักดาบ และผมก็เอาปลายดาบไปจ่อไว้ใกล้ลูกตาของเธอ

เธอร้อง [อึ๋ย..!] ออกมาและเตะขาไปมาระหว่างที่กำลังถูกรวบตัวเอาไว้

 

“พวกสาวกที่ต่อสู้กับฉันตอนเช้ายังไม่เห็นจะรู้เรื่องของฉันเลย สิ่งที่พวกนั้นรู้มีเพียงงแค่ว่าต้องไปโจมตีลาพิสกับเรย์เท่านั้น และอีกอย่างที่พวกนั้นเอาแต่พูดถึงก็คือสึกิโอริด้วย…แถมทั้งสามคนที่ปล่อยให้รอดไปนั่นก็ไม่ได้อยู่บนเรือกันด้วย เพราะงั้นจะบอกว่าพวกนั้นไปบอกอะไรพวกเธอแล้วก็คงจะไม่ใช่ งั้นใครมันเป็นคนสั่งให้ฆ่าฉันล่ะ บอกมาซะ”

 

“บะ…บอกไม่ได้หรอก!! บอกไม่ได้จริง ๆ !! ตราบใดที่ยังมีตราสัญลักษณ์ของท่านอาร์สฮาเรียอยู่ เราก็ไม่สามารถพูดอะไรที่จะส่งผลเสียต่อท่านได้!!”

 

“อย่างงี้นี่เอง มีคนคอยสั่งการอยู่เบื้องหลังพวกเธออยู่จริง ๆ ด้วย ขอบใจที่บอกนะ”

 

ทันใดนั้นเองใบหน้าของเธอก็ซีดลง

 

“พรรคพวกล่ะ? มีกันกี่คน?”

 

“บะ…บอกไม่ได้!! บอกไม่ได้จริง ๆ !!!”

 

“ถ้าไม่ปฏิเสธแบบนี้ ก็แปลว่ายังมีคนอื่นอยู่สินะ ขอบใจสำหรับข้อมูล”

 

หน้าของเธอซีดลงยิ่งกว่าเดิม

ผมเอียงหัวและจ้องมองไปที่เธอ

 

“ฉันน่ะนะ…เฝ้ามอง เฝ้ามอง เฝ้ามองยูริอยู่ในทุก ๆ วัน…เพราะงั้นฉันเลยเข้าใจว่า…พวกเธอน่ะมันไม่ได้มีกลิ่นของความเป็นยูริอยู่เลย…เพราะยอมขายทุกสิ่งทุกอย่างให้ปีศาจไป อารมณ์เหล่านั้นเลยถูกควบคุมไปด้วย…หรือก็คือ การมีตัวตนอยู่ของพวกเธอน่ะ มันไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับฉันยังไงล่ะ…”

 

พอคมดาบขยับไปทีละนิด เธอก็เริ่มกรีดร้องออกมา

 

“พวกเธอน่ะ…เป็นศัตรูกับยูริงั้นเหรอ…? หรือว่าจะเป็นสหายที่จะคอยเฝ้ามองยูริเบิกบานอย่างสวยงามกันล่ะ…? หืม…? (ถอนหายใจเบา ๆ)”

 

ผมหันหน้าไปมองทั้งหกคนนั้นด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า แล้วพวกเธอก็เริ่มร้องไห้ออกมา 

ทั้งหกคนนั้นตัวสั่นและกอดกันเองด้วยความกลัวอย่างสุดขีด ดูเหมือนว่าพวกเธอคงจะสู้ต่อกันไม่ได้แล้วล่ะนะ 

ผมมองไปรอบ ๆ และถอนหายใจออกมา หลังจากที่สั่งสอนไป ดูเหมือนว่าพวกเธอจะดูเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันขึ้นมาบ้างแล้ว

 

“สึกิโอริ”

 

“อะไรเหรอ?”

 

“วันนี้เธอกับลาพิส แล้วก็เรย์ ควรจะนอนที่ห้องเดียวกันนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ฝากทั้งสองคนนั้นด้วยล่ะ เดี๋ยวฉันจะคอยเฝ้าระวังให้”

 

“แล้วพวกอาจารย์ล่ะ?”

 

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พวกเขาเองก็อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิปีศาจเหมือนกัน กลับกันแล้ว มันอาจจะทำให้เกิดเรื่องที่แย่กว่านี้ขึ้นก็ได้ เพราะงั้นทำตัวตามปกติต่อไปนั่นแหละดีแล้ว ถ้ามีอันตรายอะไรเกิดขึ้น ฉันจะเสี่ยงชีวิตปกป้องพวกเธอเอง เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอก”

 

ถ้าเป็นตามเนื้อเรื่องเดิม จะมีพวกลัทธิปีศาจแฝงตัวเข้ามาในโรงเรียนในฐานะอาจารย์ด้วยเหมือนกัน…เพราะแบบนั้นเด็กพวกนี้เลยต้องแฝงตัวเข้ามาเป็นนักเรียนด้วย…ต่อให้เราจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้ ยังไงก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี เพราะงั้นการที่ไม่ทำอะไรนี่แหละดีแแล้ว

 

“ถ้างั้นเราจะทำยังไงกับเด็กพวกนี้ดีล่ะฮิอิโระ?”

 

“ก็ว่าจะจับโยนลงทะเลน่ะ เดี๋ยวฉันจะให้เรือลำเล็กไว้ด้วย เพราะงั้นก็ไปเอาตราสัญลักษณืนั้นออกซะนะ ในเมืองยังมีสาวสวยอยู่อีกมากมาย เพราะงั้นก็ไปสนุกกับพวกผู้หญิงเหล่านั้นซะเถอะ อย่าเอาเวลาชีวิตมาเสียเปล่า ๆ แบบนี้”

 

“……”

 

“สึกิโอริ เรย์ ลาพิส อย่าไปใช้ห้องที่เราอยู่กันตอนนี้นะ ยังไงห้องว่างก็น่าจะยังมีเหลืออยู่แล้วด้วย เพราะงั้นเดี๋ยวฉันจะลองหาข้ออ้างขอคุณ A ให้หาห้องใหม่ให้ แต่สำหรับคุณหนู ก็คงจะสับสนนิดหน่อยอยู่ล่ะมั้งนะ”

 

“ถ้างั้นฉันจะบอกกับคนที่อยู่กลุ่มเดียวกั–“

 

“อย่าไปบอกเชียวนะ”

 

“เอ๊ะ?”

 

ผมกระซิบเรย์ที่กำลังรู้สึกแปลกใจอยู่

 

“ทั้งเรย์แล้วก็ลาพิสด้วย ห้ามบอกอะไรสมาชิกที่อยู่กลุ่มเดียวกันเป็นอันขาดนะ ถ้าเช็คว่าพวกเขาหลับแล้วก็ค่อยย้ายออกมาที่ห้องของสึกิโอริซะ แล้วพอเช้าก็ให้กลับห้องเร็วหน่อยละกันนะ”

 

“เอ๊ะ ทำไมล่ะฮิอิโระ…?”

 

“80%…ไม่สิ 90%…ฉันน่าจะคิดมากไปก็ได้…แต่ถึงอย่างงั้น ถ้ามันเกิดอันตรายขึ้นมา ต่อให้จะระวังตัวแค่ไหนมันก็ไม่พอหรอก…เพราะงั้นเพื่อความปลอดภัย ทำตัวให้เป็นปกติกันไว้นะ”

 

“ขะ…เข้าใจแล้ว”

 

“ลาพิส”

 

ผมยิ้มให้กับเธอ

 

“ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอกน่า ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อย ๆ วันพรุ่งนี้ก็คงจะยังไม่มีอะไรหรอก เพราะงั้นสนุกให้เต็มที่ไปเถอะ เธอตั้งตารอกับทริปนี้มากเลยไม่ใช่รึไง? เพราะงั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องพวกเธอได้เด็ดขาด พวกเธอสามคนน่ะนอนคุยเรื่องความรักกันอย่างสบายใจไปเถอะ”

 

“อะ…อื้ม…”

 

หลังจากแลกกับลาพิสและคนอื่น ๆ แล้ว ผมก็ได้พาพวกสาวกไปขึ้นเรือเล็กที่มีมินิคอนโซลติดอยู่มากมาย

 

“ลาก่อนนะ ดูแลตัวเองดีด้วยล่ะ ฉันตั้งค่าให้มันแล่นไปยังแผ่นดินใหญ่โดยอัตโนมัติแล้ว แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็ตรวจสอบในคู่มือซะนะ ในกรณีที่เลวร้ายก็อาจจะพอมีแค่คลื่นวิทยุผ่านมาบ้าง เพราะงั้นก็โทร 118 แล้วขอความช่วยเหลือซะ”

 

ในขณะที่ผมกำลังจะหันหลังเดินกลับไป ผมก็ถูกสาวกสาวคนหนึ่งรั้งตัวไว้

 

“…เดี๋ยวสิ อะไรเนี่ย?”

 

เธอพยายามจะดึงตัวผมลงไปในเรือด้วยสีหน้าทีเหมือนรู้สึกผิด…แต่แล้วอีกห้าคนที่เหลือก็หยุดเธอเอาไว้ จากนั้นเธอก็ปล่อยเสื้อผมไป

ในขณะนั้นเอง จากเหตุการณ์ที่เห็นมาจนถึงตอนนี้ ภายในใจของผมก็รับรู้และเข้าใจได้โดยสัญชาตญาณเลย

 

“โทษทีนะ”

 

ผมยิ้มให้กับเธอ

 

“แต่ฉันคือคนที่จะปกป้องยูริน่ะ”

 

เธอหยุดชะงักไปด้วยความงง แต่แล้วเธอก็กางมือทั้งสองข้างให้กับผม…จากนั้นเธอก็แล่นออกไปในทะเลพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังออกมา

 

“ท่านซันโจ”

 

ดูเหมือนว่าจะมีการตรวจพบการปล่อยเรือขนาดเล็กที่ติดมินิคอนโซลจำนวนมากไว้ คุณ A ก็เลยมาถึงที่นี่ด้วยความเงียบงัน

 

“ต้องขอเสียมารยาท แต่หากไม่ได้รับการอนุญาตจากคณะอาจารย์ จะแล่นเรือเล็กออกไปไหนแบบนี้ไม่ได้นะคะ ยิ่งในเวลากลางคืนแบบนี้ด้วยแล้ว”

 

“แหม เผลอทำไปซะแล้วสิครับเนี่ย…แต่เรือมันไปไหนแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับนั่น เพราะงั้นก็ช่วยไปเก็บเงินกับตระกูลซันโจเอานะครับ”

 

“…รับทราบแล้วค่ะ”

 

คิดว่าเธอคงน่าจะชินกับอะไรที่เห็นแก่ตัวแบบนี้แล้วล่ะมั้ง เธอจึงทำแค่วางมือไว้ข้างหน้าแล้วก้มหัวลง

 

ผมเดินไปอย่่างรวดเร็วจนมาหยุดตรงมุมที่ไม่ค่อยมีคน

 

“เจ๋งเป้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!! ไงล่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!”

 

ผมเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความยินดี

 

“เป็นยังไงล่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!! ฉันลดคะแนนความชอบของทุกคนที่มีต่อฉันลงไปสู่ระดับเดิมได้แล้ว!! นี่แหละคือพลังของคนที่มียูริไอคิวถึง 180 ยังไงล่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!”

 

ผมตะโกนลงไปในทะเลด้วยน้ำตาแห่งความสุขที่หลั่งไหลลงมาบนใบหน้า

 

“แขนขวาฉันน่ะมันหักจริง ๆ ล่ะเฟ้ยยยยยยยยยยย ไอบ้าเอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!”

 

ผมร้องด้วยความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บที่่แขนขวาและซี่โครง

แต่ว่า ความเจ็บแค่นี้น่ะ มันสู้ความรู้สึกยินดีตอนนี้ไม่ได้หรอก

 

เป็นไปตามกลอุบาย (แสยะยิ้ม)

 

ผมใส่เฝือกกลับเข้าไปที่แขนขวา

แล้วผมโกหกแค่ไหน หรือมันมีความจริงอยู่เท่าไหร่กันล่ะ?

 

อย่างแรกเลยก็คงเป็นเรื่องจำนวนสาวกที่มีอยู่อีกมาก

เพราะตอนที่ลาพิสอยู่ตรงโต๊ะอาหาร พวกสาวกคุยกันเสียงดังเกี่ยวกับแผนการ ก็เลยสงสัยอยู่แล้วว่ามันจะเป็นกับดักรึเปล่า

ถ้ายังมีสาวกคนอื่นคอยซุ่มอยู่บนเรือล่ะก็ ทางเราก็จะมีกำลังคนน้อยกว่า เพราะงั้นก็เลยเรียกสึกิโอริและคนอื่น ๆ มาอย่างรอบคอบ

 

ส่วนที่เหลือนอกจากนี้ก็คือเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดที่ผมแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้นแหละ

พอผมเห็นสาวกพวกนั้น เซลล์สมองยูริของผมก็เริ่มแล่นด้วยความเร็วสูงทันที

 

ด้วยยูริไอคิวของผมที่่สูงถึง 180 ผมได้แสดงพลังสมองอันสุดยอดออกมา และได้คิดคำโกหกนึงได้นั่นคือ [อาการบาดเจ็บนี่ก็เป็นแค่การหลอกล่อให้พวกสาวกออกมาเท่านั้นแหละ] ไงล่ะ

 

ถ้าคุณหนูไม่ล้มจนเจ็บก่อนหน้านี้ล่ะก็ คำโกหกนี้คงไม่ได้ผลไปแล้ว

สึกิโอริเองก็คอยเฝ้าดูผมอยู่ในตอนที่ผมพาคุณหนูไปห้องพยาบาลด้วย

 

เพราะแบบนั้นคำโกหกเกี่ยวกับการขอความช่วยเหลือจากคุณหมอจึงสมเหตุสมผล

และทีนี้มันก็ทำให้ภาพลวงตาที่คิดว่าผมปกป้องลาพิสกับเรย์หายไปได้ด้วย

 

และเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเหล่าสาวก ผมก็เลยมอบเรือเล็กนั่นให้เป็นของขวัญยังไงล่ะ

 

การราคาที่ต้องจ่ายตอบแทนแค่นี้น่ะมันไม่เท่าไหร่เลย กลับกันแล้ว ถือว่ายังไม่พอด้วยซ้ำ

ยังไงพวกยายแก่ตระกูลซันโจก็เป็นคนจ่ายอยู่แล้ว เพราะงั้นจะใช้เงินเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย

 

ผมยืนอยู่ที่หัวเรือแล้วกางแขนออกและสูดอากาศในทะเลเข้าทั้งที่หลับตาอยู่

 

ชนะแล้ว…

 

ในขณะที่ผมสัมผัสได้ถึงแสงตะวันยามเช้า ผมก็เริ่มจะรู้สึกเจ็บแขนขวาที่หักแล้ว

ฉัน…ไม่สิ ยูริน่ะชนะแล้ว…ไหนใครมันว่ายูริไอคิว 180 ของฉันมันเป็นแค่ขอปลอมกันฟะ…ขอขมามาเลยนะเฟ้ย…ขอขมาที่ต้องทำให้ฉันมาทำท่าเหมือนกับฉากในหนังเรื่องไท**นิคอยู่คนเดียวแบบนี้เลยนะเฟ้ย…กอดฉันเบา ๆ จากทางด้าหลังให้เหมือนกับคิแคพ**โอ้ พร้อมกระซิบหูฉันว่า [ขอโทษ] เลยนะเฟ้ย…

 

“แขนขวาของฉันน่ะ…”

 

ผมลืมตาขึ้นและตะโกนด้วยความรู้สึกอย่างผู้ชนะ

 

“มันหักจริง ๆ ต่างหากล่ะคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ!!”

 

พอรู้สึกพอใจแล้ว ผมก็หันกลับไปสบตากับสึกิโอริ ลาพิส แล้วก็เรย์ที่กำลังจ้องกลับมาที่ผมเหมือนกัน

 

“……”

 

“””……”””

 

“……”

 

“””……”””

 

“……”

 

เรือลำนี้…จะจมตอนนี้เลยมั้่ยนะ…

 

“สรุปแขนขวาก็หักจริง ๆ ด้วยสินะ ก็ลองไปยืนยันกับคุณหมอมาดูอีกทีแล้ว คุณหมอเองก็ยังบอกว่า [ไม่ว่าจะขอร้องแค่ไหน ฉันก็จะไม่มีทางบอกผลการวินิจฉัยที่ไม่เป็นจริงแน่นอนค่ะ] น่ะ”

 

“……”

 

“ฮิอิโระ ตอนที่กินข้าวนายก็ดูเหมือนจะเจ็บจริง ๆ ไม่ได้เหมือนแสดงเลยซักนิดเลยนี่”

 

“……”

 

“เพราะท่านพี่เป็นคนที่จิตใจอ่อนโยน ก็เลยตั้งใจโกหกแบบนั้นเพื่อให้พวกเราสบายใจสินะคะ”

 

“……”

 

“นายปกป้องฉันอย่างที่คิดไว้จริง ๆ นี่ ฮิอิโระ”

 

“นายคิดถึงเรื่องของฉัน ก็เลยพยายามจะให้ฉันได้อยู่กับลาพิสแล้วก็คนอื่น ๆ ใช่มั้ยล่ะ”

 

“ทั้งที่ยอมเสี่ยงชีวิตปกป้องฉันไว้…กลับไม่ยอมบอกมันออกมา แถมยังโกหกและพยายามปกปิดมันไว้อีก…”

 

“เอาแต่อดทนอยู่คนเดียวตลอดเลยนะ เจ้าบ้า”

 

“ถ้าพูดจะให้พูด ก็ถือว่าสมเป็นฮิอิโระคุงดีล่ะนะ”

 

“ท่านพี่คะ แขนเป็นแบบนั้นคงจะทำอะไรไม่สะดวกสินะคะ แล้วฉันก็ได้ยินมาด้วยว่า วันนี้น่าจะรู้สึกง่วงด้วย จะให้นอนคนเดียวก็น่าเป็นห่วงค่ะ แบบนี้จะไม่ให้คอยดูแลก็คงไม่ได้หรอกค่ะ”

 

ผมค่อย ๆ ถอดเฝือกออกจากแขนขวาอย่างเงียบ ๆ

 

“ไม่ได้หักซ้ากกะหน่อย”

 

ตรงอกของผมโดนแรงกดจากสามทิศทาง ทำให้ผมนั่งลงอย่างเงียบ ๆ

พวกเธอจับล็อคผมจากทั้งสองทางและเริ่มลากตัวผมไปอย่างช้า ๆ

 

“โลกนี้บ้าไปแล้ว…! แบบนี้มันเพี้ยนไปแล้ว…! ฉันน่ะ….ฉันมียูริไอคิวสูงถึง 180 เลยนะ…! ทำไมกัน…! ทำไมกันเล่า…!!”

 

จากนั้นผมถูกลากเข้าไปในความมืดเงียบงัน

 

[ติดตามเรื่องนี้ได้ที่เพจ Okuse-Translator]

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด