วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน 914 คิดมาก
หลังจากที่ดื่มยาในถ้วยเล็กจนหมด กู้ซือเฉียนก็เรียกแม่บ้านให้มายกถ้วยออกไป
จากนั้นเขาก็กลับมานั่งที่ข้างเตียงอีกครั้ง พร้อมกับมองดูเฉียวฉี แล้วเอ่ยถามขึ้น “ความทรงจำของคุณในช่วงที่ผ่านมา คุณจำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน?”
พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าของเฉียวฉีก็ซีดลงทันที
เธอมองไปทางกู้ซือเฉียน ดวงตาที่สว่างไสวคู่นั้น แสดงอาการงุนงงเล็กน้อย
นัยน์ตาของกู้ซือเฉียนหม่นแสงลง
ทันทีที่เห็นท่าทางของเธอแบบนั้น เขาก็รู้ในทันทีว่า ความทรงจำในช่วงที่ผ่านมานั้น แม้กระทั่งตัวเองกลัวอะไรเธอยังจำไม่ได้เลย
อันที่จริงพูดไปพูดมาเรื่องนี้ก็ค่อนข้างแปลก ในช่วงที่ผ่านมา เฉียวฉีถูกคนพวกนั้นจับขังเอาไว้ ปกติแล้วก็แทบจะไม่มีใครสนใจเธอด้วยซ้ำ
จากที่เธอเล่ามาทั้งหมด คนพวกนั้นไม่ได้ข่มเหงเธอ แล้วก็ไม่ได้ทรมานเธอด้วย
แต่นอกจากสองประเด็นนี้แล้ว เธอก็ไม่สามารถบอกเล่าอะไรเกี่ยวกับความทรงจำในช่วงที่ผ่านมาได้เลย
ตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ส่วนกู้ซือเฉียนก็ยิ่งไม่รู้ว่าช่วงที่ผ่านมาเธอผ่านอะไรมาบ้างใน ยิ่งเป็นธรรมดาที่เขาก็จะไม่รู้เหมือนกัน
ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้บอกปัญหานี้กับใครสักคน แม้แต่ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงก็ยังไม่รู้
อันที่จริงยังมีประเด็นสำคัญอีกอย่างก็คือ
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่เฉียวฉีกลับมาแล้ว เธอก็ยังเป็นเธอเหมือนเมื่อก่อน รูปร่างหน้าตาก็ไม่มีตรงไหนเปลี่ยน
แต่กู้ซือเฉียนกลับแอบรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเฉียวฉีในปัจจุบัน มีบางอย่างที่แตกต่างกับเฉียวฉีในอดีต
มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่อธิบายไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าตัวเขาคิดไปเอง แต่มันเป็นสิ่งที่เขาสัมผัสได้จริง ๆ ทั้งในแววตาและท่าทางต่าง ๆ
เขาไม่ได้บอกประเด็นนี้กับใคร เพราะว่ากลัวทุกคนจะคิดมาก
เพราะนี่มันก็เป็นแค่สัญชาติณาณในตัวเขาเท่านั้น ซึ่งมันก็ยืนยันอะไรไม่ได้อยู่ดี ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะเขาคิดมากไปเองก็ได้
ดังนั้น ในตอนนี้โดยพื้นฐานแล้วเขามั่นใจได้เลยว่า ช่วงที่เฉียวฉีหมดสติไปเธอต้องเจออะไรบางอย่างมาแน่ ๆ แต่เขาก็ยังไม่ได้บอกความรู้สึกในใจนี้ให้ใครฟังอยู่ดี
หลังจากที่ดื่มยาในถ้วยเล็กจนหมด กู้ซือเฉียนก็เรียกแม่บ้านให้มายกถ้วยออกไป
จากนั้นเขาก็กลับมานั่งที่ข้างเตียงอีกครั้ง พร้อมกับมองดูเฉียวฉี แล้วเอ่ยถามขึ้น “ความทรงจำของคุณในช่วงที่ผ่านมา คุณจำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน?”
พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าของเฉียวฉีก็ซีดลงทันที
เธอมองไปทางกู้ซือเฉียน ดวงตาที่สว่างไสวคู่นั้น แสดงอาการงุนงงเล็กน้อย
นัยน์ตาของกู้ซือเฉียนหม่นแสงลง
ทันทีที่เห็นท่าทางของเธอแบบนั้น เขาก็รู้ในทันทีว่า ความทรงจำในช่วงที่ผ่านมานั้น แม้กระทั่งตัวเองกลัวอะไรเธอยังจำไม่ได้เลย
อันที่จริงพูดไปพูดมาเรื่องนี้ก็ค่อนข้างแปลก ในช่วงที่ผ่านมา เฉียวฉีถูกคนพวกนั้นจับขังเอาไว้ ปกติแล้วก็แทบจะไม่มีใครสนใจเธอด้วยซ้ำ
จากที่เธอเล่ามาทั้งหมด คนพวกนั้นไม่ได้ข่มเหงเธอ แล้วก็ไม่ได้ทรมานเธอด้วย
แต่นอกจากสองประเด็นนี้แล้ว เธอก็ไม่สามารถบอกเล่าอะไรเกี่ยวกับความทรงจำในช่วงที่ผ่านมาได้เลย
ตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ส่วนกู้ซือเฉียนก็ยิ่งไม่รู้ว่าช่วงที่ผ่านมาเธอผ่านอะไรมาบ้างใน ยิ่งเป็นธรรมดาที่เขาก็จะไม่รู้เหมือนกัน
ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้บอกปัญหานี้กับใครสักคน แม้แต่ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงก็ยังไม่รู้
อันที่จริงยังมีประเด็นสำคัญอีกอย่างก็คือ
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่เฉียวฉีกลับมาแล้ว เธอก็ยังเป็นเธอเหมือนเมื่อก่อน รูปร่างหน้าตาก็ไม่มีตรงไหนเปลี่ยน
แต่กู้ซือเฉียนกลับแอบรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเฉียวฉีในปัจจุบัน มีบางอย่างที่แตกต่างกับเฉียวฉีในอดีต
มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่อธิบายไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าตัวเขาคิดไปเอง แต่มันเป็นสิ่งที่เขาสัมผัสได้จริง ๆ ทั้งในแววตาและท่าทางต่าง ๆ
เขาไม่ได้บอกประเด็นนี้กับใคร เพราะว่ากลัวทุกคนจะคิดมาก
เพราะนี่มันก็เป็นแค่สัญชาติณาณในตัวเขาเท่านั้น ซึ่งมันก็ยืนยันอะไรไม่ได้อยู่ดี ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะเขาคิดมากไปเองก็ได้
ดังนั้น ในตอนนี้โดยพื้นฐานแล้วเขามั่นใจได้เลยว่า ช่วงที่เฉียวฉีหมดสติไปเธอต้องเจออะไรบางอย่างมาแน่ ๆ แต่เขาก็ยังไม่ได้บอกความรู้สึกในใจนี้ให้ใครฟังอยู่ดี
ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะมองไปที่นาฬิกาข้อมือตัวเอง แล้วพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “นอนอีกแล้วเหรอ?”
“อืม”
จิ่งหนิงเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
เธออดไม่ได้ที่จะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เธอไม่สบายเหรอ? ไม่ใช่ว่าเพิ่งตื่น ทำไมถึงหลับไปอีกแล้ว?”
กู้ซือเฉียนมองดูรอยยิ้มของเธอ ด้วยท่าทีกังวลเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาลึกล้ำ ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาในร่างกายเธอที่มันยังไม่ถูกขับออกไปไม่หมด เมื่อวานคุณหมอบอกว่าเธออาจจะมีอาการแบบนี้ติดต่อกันไปอีกประมาณสองสามวัน”
พอทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ก็ค่อยวางใจลงหน่อย
“แค่เธอไม่เป็นอะไรไปก็ดีแล้ว ครั้งนี้ที่เธอกลับมาได้ ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน หลังจากนี้เธอก็แค่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ”
กู้ซือเฉียนพยักหน้า
ทั้งสามคนนั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับพูดคุยกันคร่าว ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงแผนการต่อไป
กลุ่มชาวจีนอันยิ่งใหญ่ ตอนนี้กำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เมื่อมาอยู่ในจุดนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็คงไม่ยอมแพ้ทั้งนั้น
ลู่จิ่งเซินได้ติดต่อกับทางจี้หลินยวนแล้วเมื่อเช้า จิ่งหนิงเองก็ได้ติดต่อกับทางตระกูลจื่อจินด้วยเช่นกัน ความเห็นของพวกเขาในสถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก มันทำให้อาณาเขตของกลุ่มชาวจีนตกมาอยู่ในมือพวกเขาโดยตรงเลย
ส่วนจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร แต่เพื่อป้องกันความเสี่ยง ก็เลยให้พวกเขาช่วยตรวจสอบช่วงที่ผ่านมาอีกครั้ง แล้วก็บอกเล่าเรื่องตระกูลหนานที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสกปรกนี้ด้วยนิดหน่อย
จี้หลินยวนและจูเก่อเฟิง ถึงแม้จะดูประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก
เพราะถึงยังไง ตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นตระกูลไหนไปต่อกรกับตระกูลหนาน แต่เป็นพวกเขาทุกคนร่วมมือกันต่างหาก ถ้าตอนนี้ตระกูลหนานต้องการเคลื่อนไหวอะไร พวกเขาก็คงต้องชั่งน้ำหนักให้แน่ใจก่อนว่า พวกเขาจะสามารถกลืนกินพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้ได้ภายในลมหายใจเดียว
หลังจากที่ดื่มยาในถ้วยเล็กจนหมด กู้ซือเฉียนก็เรียกแม่บ้านให้มายกถ้วยออกไป
จากนั้นเขาก็กลับมานั่งที่ข้างเตียงอีกครั้ง พร้อมกับมองดูเฉียวฉี แล้วเอ่ยถามขึ้น “ความทรงจำของคุณในช่วงที่ผ่านมา คุณจำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน?”
พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าของเฉียวฉีก็ซีดลงทันที
เธอมองไปทางกู้ซือเฉียน ดวงตาที่สว่างไสวคู่นั้น แสดงอาการงุนงงเล็กน้อย
นัยน์ตาของกู้ซือเฉียนหม่นแสงลง
ทันทีที่เห็นท่าทางของเธอแบบนั้น เขาก็รู้ในทันทีว่า ความทรงจำในช่วงที่ผ่านมานั้น แม้กระทั่งตัวเองกลัวอะไรเธอยังจำไม่ได้เลย
อันที่จริงพูดไปพูดมาเรื่องนี้ก็ค่อนข้างแปลก ในช่วงที่ผ่านมา เฉียวฉีถูกคนพวกนั้นจับขังเอาไว้ ปกติแล้วก็แทบจะไม่มีใครสนใจเธอด้วยซ้ำ
จากที่เธอเล่ามาทั้งหมด คนพวกนั้นไม่ได้ข่มเหงเธอ แล้วก็ไม่ได้ทรมานเธอด้วย
แต่นอกจากสองประเด็นนี้แล้ว เธอก็ไม่สามารถบอกเล่าอะไรเกี่ยวกับความทรงจำในช่วงที่ผ่านมาได้เลย
ตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ส่วนกู้ซือเฉียนก็ยิ่งไม่รู้ว่าช่วงที่ผ่านมาเธอผ่านอะไรมาบ้างใน ยิ่งเป็นธรรมดาที่เขาก็จะไม่รู้เหมือนกัน
ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้บอกปัญหานี้กับใครสักคน แม้แต่ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงก็ยังไม่รู้
อันที่จริงยังมีประเด็นสำคัญอีกอย่างก็คือ
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่เฉียวฉีกลับมาแล้ว เธอก็ยังเป็นเธอเหมือนเมื่อก่อน รูปร่างหน้าตาก็ไม่มีตรงไหนเปลี่ยน
แต่กู้ซือเฉียนกลับแอบรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเฉียวฉีในปัจจุบัน มีบางอย่างที่แตกต่างกับเฉียวฉีในอดีต
มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่อธิบายไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าตัวเขาคิดไปเอง แต่มันเป็นสิ่งที่เขาสัมผัสได้จริง ๆ ทั้งในแววตาและท่าทางต่าง ๆ
เขาไม่ได้บอกประเด็นนี้กับใคร เพราะว่ากลัวทุกคนจะคิดมาก
เพราะนี่มันก็เป็นแค่สัญชาติณาณในตัวเขาเท่านั้น ซึ่งมันก็ยืนยันอะไรไม่ได้อยู่ดี ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะเขาคิดมากไปเองก็ได้
ดังนั้น ในตอนนี้โดยพื้นฐานแล้วเขามั่นใจได้เลยว่า ช่วงที่เฉียวฉีหมดสติไปเธอต้องเจออะไรบางอย่างมาแน่ ๆ แต่เขาก็ยังไม่ได้บอกความรู้สึกในใจนี้ให้ใครฟังอยู่ดี
Comments