Immortal and Martial Dual Cultivation 133 พบเฟิงเฟยเสวียอีกครั้ง

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 133 พบเฟิงเฟยเสวียอีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 133 พบเฟิงเฟยเสวียอีกครั้ง

 

TL: เฟิงเฟยเสวียคือเฟิงเฟยซูนะครับ แก้ชื่อ

 

หากเซี่ยวเฉินบินไปตามแผนที่ เขาอาจจะจบลงด้วยการที่วนไปเวียนมาในแคว้นตงหมิง ท้องนภาและผืนปฐพี่แตกต่างกันเกินไป มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสํารวจผืนนภาด้วยแผนที่ที่ออกแบบมาเพื่อภาคพื้นดิน

 

สถานีขนส่งทางอากาศของแคว้นตงหมิงเป็นลานขนาดใหญ่ ในลานมีสัตว์อสูรวิญญาณขนาดใหญ่ทุกชนิดที่พักอยู่ เซียวเฉินเดินตรงไปที่ช่องขายตั๋วและจ่ายหนึ่งพันเหรียญทองเพื่อตั๋วที่แพงที่สุด

 

ตั๋วเช่นนี้จะให้เขาขี่สัตว์อสูรวิญญาณเพียงคนเดียว เขาไม่จําเป็นต้องโดยสารไปกับผู้อื่น มันไม่เพียงแค่สะดวกสบายแต่ยังรวดเร็วขึ้นอีกด้วย

 

เซี่ยวเฉินถือตั๋วและเดินตรงไปที่แท่นหินในลาน มีอินทรีย์ทองคําสามตัวกําลังพักผ่อนอยู่บนแท่นหิน

 

อินทรีย์ทองคําเป็นสัตว์อสูรวิญญาณปีกระดับ 5 ในบรรดาสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 5 มันเป็นหนึ่งในตัวที่เร็วที่สุด มีมนุษย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะฝึกให้มันเชื่องได้

 

ในข่าวลือตําหนักฝึกสัตว์อสูรในอาณาจักรต้าถังสามารถฝึกสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 7 ได้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครทราบว่าข่าวลือนี้เป็นจริงมากเพียงใด

 

เซี่ยวเฉินส่งตั๋วออกไปและมุ่งหน้าขึ้นไปที่แท่นหิน มีนักฝึกอสูรนั่งอยู่บนหนึ่งในอินทรีย์ทองคํา เซี่ยวเฉินไม่ได้คิดอะไรมากมายและเดินเข้าไปในทันที

 

นักฝึกอสูรสวมชุดคลุมยาวสีเทาพร้อมกับผ้าคลุมหัวที่ครอบคลุมทั้งศีรษะ ส่งผลให้ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นรูปร่าง และหน้าตาของเขาได้ หลังจากเซียวเฉินนั่งลง อินทรีย์ทอง คําร้องเสียงดังและกางปีกออกมีสายลมรุนแรงโผออกมา และยกตัวมันขึ้นจากพื้นดิน

 

ในไม่ช้า อินทรีย์ทองคําก็อยู่ในระดับความสูงหนึ่งพันเมตร ทันใดนั้น นักฝึกอสูรก็นําผ้าคลุมหัวออกและมองไปที่ เซี่ยวเฉิน คนผู้นั้นยิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้น “พี่ชายเตี๋ยว ไม่ได้พบกันเสียนาน”

 

เมื่อเซี่ยวเฉินเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใครเขาก็ตกใจเป็นอย่างมากจนเขาเกือบจะตกจากอินทรีย์ทองคํา ไม่มีทางที่เขาจะคาดคิดได้ว่าจะได้พบเจอคนผู้นี้ในสถานที่เช่นนี้ เขาไม่อาจ เข้าใจได้ว่าคนผู้นี้จําเขาได้เช่นไร

 

“เฟิงเฟยเสวี่ย! ทําไมเจ้าอยู่ที่นี่? เจ้าจําข้าได้เช่นไร?” เซี่ยวเฉินอุทานออกมาด้วยความตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

 

เฟิงเฟยเสวี่ยโยนผ้าคลุมหัวออกไป นางยิ้มออกมาเล็กน้อย ทําให้ใบหน้าที่สง่างามของนางเหมือนดั่งบุปผาบานนางกล่าว “ข้ามาเพื่อส่งเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะแปรรูปลักษณ์เป็นเช่นไร ข้าก็ยังสามารถจดจําเจ้าได้”

 

หลังจากเซียวเฉินคืนสติจากความตกใจ เขาก็ค่อยๆกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง เขาเผยรอยยิ้มผ่อนคลายและทําอะไรไม่ ถูกแต่ก็รู้สึกได้ถึงความปิติเต็มหัวใจออกมา เขาถาม “ลูกพี่ ลูกน้องอี้หลานและคนอื่นเดินทางไปยังสํานักฉินสวรรค์หรือยัง?”

 

*TL: อี้หลานเปลี่ยนมาจากอวี่หลันนะครับเทียบจีนมา 

 

เฟิงเฟยเสวี่ยเปลี่ยนท่าที ตอนนี้นางหันหน้าเข้าหาเซี่ยวเฉินและขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย นางเผยรอยยิ้มที่ซุกซนและกล่าว “พวกเขาไปถึงแล้ว ทุกอย่างสมควรไปได้ราบรื่นสําหรับพวกเขา นางฝากให้ข้ามาบอกเจ้าให้ดูแลตนเอง นางจะออกตามหาเจ้าหลังจากสี่ปี”

 

เมื่อเซี่ยวเฉินได้ฟังเขาก็ตกตะลึง ลูกพี่ลูกน้องอี้หลานจะตามหาข้าหลังจากสี่ปี เขาอดไม่ได้ที่จะถามใจตนเอง ข้ามันไร้ใจเกินไปหรือไม่ที่จากมาเช่นนั้น?

 

แม้ว่าเซี่ยวเฉินจะไม่ประสีประสาเมื่อเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์รักใคร่ เห็นได้ชัดว่าเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของลูกพี่ ลูกน้องอีหลานที่มีต่อเขามากกว่าความสัมพันธ์ปกติ

 

อย่างไรก็ตาม ภายในใจของเขา เขาไม่เคยคิดว่าตระกูลเซี่ยวเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเขา เนื่องจากเขาตัดสินใจมานานแล้วว่าจะออกจากตระกูลเซี่ยวดังนั้นเขาจึง ไม่ต้องการจะทิ้งภาระหรือความสัมพันธ์อันใดไว้เบื้องหลัง

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซี่ยวเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ย้อนกลับไปตอนที่เขาจากมา เขาดูเหมือนมั่นใจและมีชีวิตชีวาอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขาจะลืมผู้คนที่เขาพบเจอและ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?

 

มนุษย์มิใช่ต้นไม้ มิมีใครสามารถปราศจากอารมณ์ได้สมบูรณ์ มีผู้ใดบ้างที่ไร้อารมณ์อย่างแท้จริง? มีผู้ใดบ้างที่มีความสุขอย่างแท้จริงโดยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นศัตรูกับทั้งโลก และสังหารทุกสิ่งบนเส้นทางของเขา?

 

เฟิงเฟยเสวี่ยยื่นมือสีขาวดอกลิลลี่ออกมา มันมีจดหมายแนะนําตัวอยู่ในมือนาง นางกล่าว “การสอบประจําปี ของศาลากระปสวรรค์สมควรจบลงไปแล้ว ถ้าเจ้าต้องการเป็นศิษย์สายในเจ้าจะต้องเริ่มจากเป็นศิษย์สายนอก และไต่อันดับขึ้นไป”

 

“มันเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาเป็นอย่างยิ่ง จดหมายแนะนําตัวฉบับนี้สมควรช่วยเหลือเจ้าได้”

 

เซี่ยวเฉินไม่ได้รับมันไป เขากลับมองไปที่ดวงตาของเพิ่งเฟยเสวี่ยแทน ราวกับว่าเขาสามารถอ่านความคิด นางได้หลังจากนั้นไม่นาน เขากล่าวเสียงเบา “เฟิงเฟยเสวี่ย ข้าเชื่อว่ามันถึงเวลาที่เจ้าจะมอบคําอธิบายให้แก่ข้า เจ้าเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยวของข้าเช่นไร? ทําไมเจ้าถึงเป็นห่วงเป็นใยข้ามากนัก?”

 

ครั้งแรกที่เซียวเฉินพบเฟิงเฟยเสวี่ยในร้านฮั่นถี่ นางขายเตาปรุงยามังกรฟ้าในราคาแสนถูกให้แก่เขา และหลังจากที่ได้พบกันอีกสองสามครั้ง เฟิงเฟยเสวี่ยก็มักจะแสดงความปรารถนาดีต่อเขาเสมอ

เซี่ยวเฉินไม่เชื่อว่าจะมีใครผู้หนึ่งที่ดีกับคนอีกผู้หนึ่งโดยไร้ เหตุผลเว้นเพียงแต่คนผู้นั้นจะเป็นญาติกันแม้แต่ในหมู่ญาติ มีเพียงแค่บิดามารดาเท่านั้นที่จะทําดีกับบุตรธิดาของตนโดยไรเงื่อนไข

 

เมื่อเฟิงเฟยเสวี่ยได้ยินนางก็ตกตะลึง จากนั้นนางก็ยิ้ม และกล่าว “เรื่องนี้สําคัญหรือ? ถ้าเจ้าอยากจะทราบจริงๆ เจ้าไปที่เมืองหลวงอาณาจักร เจ้าจะพบคําตอบที่นั่น”

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกสงสัย “ทําไมข้าจะต้องไปเมืองหลวงอาณาจักร? เจ้าบอกข้าตอนนี้มิได้หรือ?”

 

เฟิงเฟยเสวี่ยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เขากล่าวกันว่าคําพูดที่ออกจากปากมิสามารถนํามาเป็นหลักฐานได้ เนื่องจากไร้หลักฐาน ถ้าข้าหากใจสร้างเหตุผลขึ้นมา เจ้าก็จะหาข้อบกพร่องในนั้นไม่พบ”

 

“มีบางสิ่งที่ข้าอธิบายให้แก่เจ้าไม่ได้หากเจ้าไม่ไปที่เมืองหลวงอาณาจักร มันจะเหมาะสมมากกว่าหากให้ผู้เกี่ยวข้องอธิบายแก่ท่านด้วยตนเอง”

 

เซี่ยวเฉินขมวดคิ้วและคิดอย่างรอบครอบว่าสิ่งที่เฟิงเฟย เสวี่ยพูดหมายถึงอะไร มันเชื่อมโยงกันในหลากหลายเส้นทาง เหมือนกับใยแมงมุม มันไม่มีทางที่เขาจะได้รับเบาะแสอะไรเลย

 

เซียวเฉินไม่สามารถเข้าใจในคําพูดของเฟิงเฟยเสวี่ยได้ ทําไมข้าจะต้องไปเมืองหลวงอาณาจักร? มีใครบางคนที่ข้าจะต้องไปพบ?

 

เฟิงเฟยเสวี่ยผลักจดหมายแนะนําในมือของนางไปให้ เซี่ยวเฉินและกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะคิดเช่นไร ลองพิจารณาดูไม่ว่าเจ้าจะตอบแทนความกตัญญูหรือตอบแทนด้วยหนี้สิน ตระกูลเฟิงจะไม่บังคับให้เจ้าทําอะไร แม้ว่าจะไม่มีที่ยืน สําหรับเจ้าในโลกใบนี้ ประตูของตระกูลเฟิงก็จะเปิดรับเจ้าเสมอ”

 

“นี่คือไกลที่สุดเท่าที่ข้าส่งเจ้าได้ แม้ว่าข้าจะต้องการไป พร้อมกับเจ้าแค่ไหน แต่ข้าไม่สามารถไปแคว้นซีเหอได้จริงๆ ลาก่อน! ไม่มีอะไรต้องกังวล อินทรีย์ทองคําจะไปส่งเจ้าถึงที่นั่นด้วยตนเอง”

 

TL เปลี่ยนจากเขตซีเขอเป็น แคว้นซีเหอนะครับ

 

เฟิงเฟยเสวี่ยจากไปพร้อมกับทิ้งเสียงหัวเราะอันเพราะพริ้งไว้ นางกระโดดลงจากอินทรีย์ทองคํา และดอกบัวสีแดงเพลิงก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้านาง รองรับนางเอาไว้ขณะที่ ลอยออกไปไกล

 

เซี่ยวเฉินมองไปที่จดหมายแนะนําที่อยู่ในมือของเขา จากนั้นก็มองไปที่เฟิงเฟยเสวี่ยที่ลอยไปไกล เขาส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขืน “นางยังคงทําตัวลึกลับ เช่นไรก็ตาม มันก็ ยังเป็นเรื่องดีที่ได้ยินข่าวคราวของลูกพี่ลูกน้องอี้หลาน”

 

ในขณะที่อินทรีย์ทองคําบินต่อไป เซี่ยวเฉินรู้สึกเบื่อหน่าย เขานํากระดิ่งทองแดงขนาดเล็กอันประณีตที่เขาซื้อก่อนหน้านี้ออกมา เขาวุ่นอยู่กับการฝึกคาถาแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์และลืมมันไปสนิท

 

ถือกระดิ่งไว้บนมือของเขา เซียวเฉินเคาะมันเบาๆ กระดิ่งทองแดงก็ปลดปล่อยเสียงอันไพเราะ มันทําให้เขารู้สึกสบายเมื่อได้ยิน แต่มันก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาดเกิดขึ้น

 

เซี่ยวเฉินมั่นใจว่านี่เป็นสมบัติลับ น่าเสียดายที่ค่ายกล และเฝ้าที่อยู่ข้างในได้รับความเสียหายทั้งหมด มิติภายในสมบัติลับจึงเต็มไปได้ความวุ่นวาย สัมผัสจิตวิญญาณของเซี่ยว เฉินไม่สามารถเข้าไปได้ ครั้งล่าสุดที่เขาตรวจสอบมันอย่างไม่ตั้งใจ ทําให้เขาได้รับบาดเจ็บ ผลก็คือทําให้เซี่ยวเฉินไม่ กล้าลองอีกครั้ง

 

เนื่องจากไม่มีทางที่สามารถส่งสัมผัสจิตวิญญาณเข้าไป เขาจึงไม่สามารถตรวจสอบระดับความเสียหายในค่ายกลได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้วิธีในการซ่อมมัน กระดิ่งทองแดงอันนี้ สมควรจะเป็นสมบัติลับที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก มันช่างเป็นเรื่องโชคร้ายที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

 

ทันใดนั้นก็มีลมหนาวเย็นอันรุนแรงพัดมา ลมหนาวกลายเป็นพายุอันน่ากลัวในทันที เขาสามารถเห็นร่างของมังกรขาวที่อยู่ภายในได้ เสียงที่ออกมาจากมันเป็นดังเสียงกรีดร้องของผู้คนจํานวนมาก

 

“Pu Ci!”

 

เซี่ยวเฉินที่กําลังคิดเกี่ยวกับกระดิ่งทองแดง ไม่ได้สังเกตเห็นมัน ไม่นานเมื่อเขารู้สึกตัวสายลมอันรุนแรงก็ได้มาล้อมรอบตัวเขาและดึงตัวเขาออกจากอินทรีย์ทองคํา

 

“เกิดบ้าอะไรขึ้น!” เซี่ยวเฉินประหลาดใจ สายลมอันนี้รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง เซี่ยวเฉินไม่สามารถหมุนเวียนพลังปราณ ของเขาในขณะที่อยู่ในสายลมได้ เขาดิ้นลนอยู่ในอากาศอย่างไร้ประโยชน์โดยการโยกไปทางซ้ายและขวา

 

บางครั้งร่างกายของเขาก็ถูกโยนขึ้นไปบนอากาศ บางครั้งมันก็จะเหวียงเขาลงมาด้วยความเร็วสูงราวกับว่าเขา กําลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ เปลี่ยนทิศทางได้ในทันทีโดย ปราศจากการต่อต้าน

 

ลมหนาวอันเย็นเยือกตัดเข้าไปในร่างของเขาดั่งใบมีด มันทรมานอย่างไม่น่าเชื่อ เซียวเฉินร้องออกมาเสียงดัง แต่ภายใต้พลังธรรมชาติ เขาไม่มีทางต่อต้านมันได้เลย

 

ท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บ เซียวเฉินที่ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องได้เห็นสายตาอันเย็นชา ภายในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจอันไร้ที่สิ้นสุด เป็นดั่งลมหนาวที่เจาะเข้ามาในใจของเขา

 

เมื่ออินทรีย์ทองคําเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็ร้องออกมาและบินวนไปมา มันมุ่งหน้าไปยังสายลมเชี่ยวต้องการที่จะจับตัวเซี่ยวเฉิน

 

อย่างไรก็ตาม อินทรีย์ทองคําไม่คุ้นเคยกับเซี่ยวเฉินเป็นอย่างมาก ร่างขนาดใหญ่ของอินทรีย์ทองคําบุกฝาเข้าไปในสายลมและชนเข้ากับเซียวเฉินด้วยแรงอันมหาศาล

 

เซี่ยวเฉินที่มีนงงตกลงสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายโดยการถูกชน เขาหมดสติในสายลมและตกลงไป เหมือนดั่งว่าวที่สายป่านขาด ในขณะที่เขาไม่สามารถหมุนเวียนพลังปราณได้ 

 

“โธ่เว้ย! ที่จริงแล้วข้าหลุดเข้ามาในพายุมังกรขาว ชีวิตของข้าจะต้องจบลงด้วยการตกลงไปตาม?” เซี่ยวเฉินตื่นตนก และต้องการนําเรือสงครามเงินออกมาโดยใช้สัมผัสจิตวิญญาณอย่างไรก็ตาม สายลมหนาวอันแปลกประหลาดก็ได้ แทรกซึมเข้าไปในจิตใจของเซียวเฉิน

 

เมื่อเซี่ยวเฉินพยายามใช้สัมผัสจิตวิญญาณ เขาจะรู้สึก ได้ถึงความเจ็บปวดในจิตใจ เหมือนดั่งเข็มที่แทงไปยังสมอง ของเขา มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ทําให้เขารวบรวมสมาธิไม่ได้

 

ที่เรียกว่าพายุมังกรขาวเป็นเพราะพายุเกิดขึ้นในท้องฟ้าระดับสูง ในน่านฟ้าระหว่างแคว้นตงหมิงและแคว้นซีเหอ มันยังคงเป็นปริศนาว่าพายุก่อตัวได้เช่นไร

 

ตามตํานาน มังกรขาวตายในการต่อสู้ในยุคบรรพกาลที่นี่ หลังจากมันตาย จิตวิญญาณของมันก็ได้ล่องลอยไปตามท้องฟ้าในบริเวณนี้

 

พายุนี้ถูกกล่าวว่าถูกสร้างโดยมังกรขาว เพราะผู้คนเคยเห็นมังกรขาวขนาดใหญ่ภายในพายุ ผู้คนจึงเรียกพายุนี้ว่าพายุมังกรขาว

 

ระหว่างทาง เซี่ยวเฉินเคยได้ยินตํานานของพายุมังกรขาวอย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้สนใจมันมากนัก แม้ว่าพายุมังกรขาวจะน่าหวาดผวา แต่มันก็ไม่ได้ปรากฏมาหลายสิบปีแล้ว เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะดวงซวยถึงเพียงนี้

 

เซี่ยวเฉินสังเกตเห็นแม่น้ําใสที่กําลังไหลอยู่บนพื้นดิน สิ่งนี้ทําให้ใบหน้าที่สิ้นหวังในตอนแรกของเขาเปลี่ยนเป็นมีความสุข

 

อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดในหัวของเขาก็ยังคงแรงขึ้นเรื่อยๆ พลังปราณอันไร้ขอบเขตและขีดจํากัดยังคงติดอยู่ที่หน้าอกของเขา ความแค้นนี้ดูเหมือนจะตกต้างมาจากหลายหมื่นปีก่อน มันเหมือนกับก้อนหินหนักขนาดใหญ่หลายพันกิโลกดทับเขาทําให้เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก

 

มีเสียง ‘ตุ้ม’ ดังขึ้น เซี่ยวเฉินตกจากความสูงหลายพันเมตรลงไปในแม่น้ำ แม้ว่าเขาจะตกลงไปในน้ําที่อ่อนนุ่ม เขาก็ตกลงมาจากที่สูงมาก ส่งผลให้เซียวเฉินบาดเจ็บเป็นอย่างหนัก

 

แม้ว่าร่างกายของเซียวเฉินจะสงบเป็นอย่างมาก แต่อวัยวะภายในของเขาปั่นป่วนเป็นอย่างยิ่ง เขากระอักเลือดออกมาเต็มปากและสลบไป

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 133 พบเฟิงเฟยเสวียอีกครั้ง

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 133 พบเฟิงเฟยเสวียอีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 133 พบเฟิงเฟยเสวียอีกครั้ง

 

TL: เฟิงเฟยเสวียคือเฟิงเฟยซูนะครับ แก้ชื่อ

 

หากเซี่ยวเฉินบินไปตามแผนที่ เขาอาจจะจบลงด้วยการที่วนไปเวียนมาในแคว้นตงหมิง ท้องนภาและผืนปฐพี่แตกต่างกันเกินไป มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสํารวจผืนนภาด้วยแผนที่ที่ออกแบบมาเพื่อภาคพื้นดิน

 

สถานีขนส่งทางอากาศของแคว้นตงหมิงเป็นลานขนาดใหญ่ ในลานมีสัตว์อสูรวิญญาณขนาดใหญ่ทุกชนิดที่พักอยู่ เซียวเฉินเดินตรงไปที่ช่องขายตั๋วและจ่ายหนึ่งพันเหรียญทองเพื่อตั๋วที่แพงที่สุด

 

ตั๋วเช่นนี้จะให้เขาขี่สัตว์อสูรวิญญาณเพียงคนเดียว เขาไม่จําเป็นต้องโดยสารไปกับผู้อื่น มันไม่เพียงแค่สะดวกสบายแต่ยังรวดเร็วขึ้นอีกด้วย

 

เซี่ยวเฉินถือตั๋วและเดินตรงไปที่แท่นหินในลาน มีอินทรีย์ทองคําสามตัวกําลังพักผ่อนอยู่บนแท่นหิน

 

อินทรีย์ทองคําเป็นสัตว์อสูรวิญญาณปีกระดับ 5 ในบรรดาสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 5 มันเป็นหนึ่งในตัวที่เร็วที่สุด มีมนุษย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะฝึกให้มันเชื่องได้

 

ในข่าวลือตําหนักฝึกสัตว์อสูรในอาณาจักรต้าถังสามารถฝึกสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 7 ได้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครทราบว่าข่าวลือนี้เป็นจริงมากเพียงใด

 

เซี่ยวเฉินส่งตั๋วออกไปและมุ่งหน้าขึ้นไปที่แท่นหิน มีนักฝึกอสูรนั่งอยู่บนหนึ่งในอินทรีย์ทองคํา เซี่ยวเฉินไม่ได้คิดอะไรมากมายและเดินเข้าไปในทันที

 

นักฝึกอสูรสวมชุดคลุมยาวสีเทาพร้อมกับผ้าคลุมหัวที่ครอบคลุมทั้งศีรษะ ส่งผลให้ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นรูปร่าง และหน้าตาของเขาได้ หลังจากเซียวเฉินนั่งลง อินทรีย์ทอง คําร้องเสียงดังและกางปีกออกมีสายลมรุนแรงโผออกมา และยกตัวมันขึ้นจากพื้นดิน

 

ในไม่ช้า อินทรีย์ทองคําก็อยู่ในระดับความสูงหนึ่งพันเมตร ทันใดนั้น นักฝึกอสูรก็นําผ้าคลุมหัวออกและมองไปที่ เซี่ยวเฉิน คนผู้นั้นยิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้น “พี่ชายเตี๋ยว ไม่ได้พบกันเสียนาน”

 

เมื่อเซี่ยวเฉินเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใครเขาก็ตกใจเป็นอย่างมากจนเขาเกือบจะตกจากอินทรีย์ทองคํา ไม่มีทางที่เขาจะคาดคิดได้ว่าจะได้พบเจอคนผู้นี้ในสถานที่เช่นนี้ เขาไม่อาจ เข้าใจได้ว่าคนผู้นี้จําเขาได้เช่นไร

 

“เฟิงเฟยเสวี่ย! ทําไมเจ้าอยู่ที่นี่? เจ้าจําข้าได้เช่นไร?” เซี่ยวเฉินอุทานออกมาด้วยความตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

 

เฟิงเฟยเสวี่ยโยนผ้าคลุมหัวออกไป นางยิ้มออกมาเล็กน้อย ทําให้ใบหน้าที่สง่างามของนางเหมือนดั่งบุปผาบานนางกล่าว “ข้ามาเพื่อส่งเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะแปรรูปลักษณ์เป็นเช่นไร ข้าก็ยังสามารถจดจําเจ้าได้”

 

หลังจากเซียวเฉินคืนสติจากความตกใจ เขาก็ค่อยๆกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง เขาเผยรอยยิ้มผ่อนคลายและทําอะไรไม่ ถูกแต่ก็รู้สึกได้ถึงความปิติเต็มหัวใจออกมา เขาถาม “ลูกพี่ ลูกน้องอี้หลานและคนอื่นเดินทางไปยังสํานักฉินสวรรค์หรือยัง?”

 

*TL: อี้หลานเปลี่ยนมาจากอวี่หลันนะครับเทียบจีนมา 

 

เฟิงเฟยเสวี่ยเปลี่ยนท่าที ตอนนี้นางหันหน้าเข้าหาเซี่ยวเฉินและขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย นางเผยรอยยิ้มที่ซุกซนและกล่าว “พวกเขาไปถึงแล้ว ทุกอย่างสมควรไปได้ราบรื่นสําหรับพวกเขา นางฝากให้ข้ามาบอกเจ้าให้ดูแลตนเอง นางจะออกตามหาเจ้าหลังจากสี่ปี”

 

เมื่อเซี่ยวเฉินได้ฟังเขาก็ตกตะลึง ลูกพี่ลูกน้องอี้หลานจะตามหาข้าหลังจากสี่ปี เขาอดไม่ได้ที่จะถามใจตนเอง ข้ามันไร้ใจเกินไปหรือไม่ที่จากมาเช่นนั้น?

 

แม้ว่าเซี่ยวเฉินจะไม่ประสีประสาเมื่อเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์รักใคร่ เห็นได้ชัดว่าเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของลูกพี่ ลูกน้องอีหลานที่มีต่อเขามากกว่าความสัมพันธ์ปกติ

 

อย่างไรก็ตาม ภายในใจของเขา เขาไม่เคยคิดว่าตระกูลเซี่ยวเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเขา เนื่องจากเขาตัดสินใจมานานแล้วว่าจะออกจากตระกูลเซี่ยวดังนั้นเขาจึง ไม่ต้องการจะทิ้งภาระหรือความสัมพันธ์อันใดไว้เบื้องหลัง

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซี่ยวเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ย้อนกลับไปตอนที่เขาจากมา เขาดูเหมือนมั่นใจและมีชีวิตชีวาอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขาจะลืมผู้คนที่เขาพบเจอและ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?

 

มนุษย์มิใช่ต้นไม้ มิมีใครสามารถปราศจากอารมณ์ได้สมบูรณ์ มีผู้ใดบ้างที่ไร้อารมณ์อย่างแท้จริง? มีผู้ใดบ้างที่มีความสุขอย่างแท้จริงโดยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นศัตรูกับทั้งโลก และสังหารทุกสิ่งบนเส้นทางของเขา?

 

เฟิงเฟยเสวี่ยยื่นมือสีขาวดอกลิลลี่ออกมา มันมีจดหมายแนะนําตัวอยู่ในมือนาง นางกล่าว “การสอบประจําปี ของศาลากระปสวรรค์สมควรจบลงไปแล้ว ถ้าเจ้าต้องการเป็นศิษย์สายในเจ้าจะต้องเริ่มจากเป็นศิษย์สายนอก และไต่อันดับขึ้นไป”

 

“มันเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาเป็นอย่างยิ่ง จดหมายแนะนําตัวฉบับนี้สมควรช่วยเหลือเจ้าได้”

 

เซี่ยวเฉินไม่ได้รับมันไป เขากลับมองไปที่ดวงตาของเพิ่งเฟยเสวี่ยแทน ราวกับว่าเขาสามารถอ่านความคิด นางได้หลังจากนั้นไม่นาน เขากล่าวเสียงเบา “เฟิงเฟยเสวี่ย ข้าเชื่อว่ามันถึงเวลาที่เจ้าจะมอบคําอธิบายให้แก่ข้า เจ้าเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยวของข้าเช่นไร? ทําไมเจ้าถึงเป็นห่วงเป็นใยข้ามากนัก?”

 

ครั้งแรกที่เซียวเฉินพบเฟิงเฟยเสวี่ยในร้านฮั่นถี่ นางขายเตาปรุงยามังกรฟ้าในราคาแสนถูกให้แก่เขา และหลังจากที่ได้พบกันอีกสองสามครั้ง เฟิงเฟยเสวี่ยก็มักจะแสดงความปรารถนาดีต่อเขาเสมอ

เซี่ยวเฉินไม่เชื่อว่าจะมีใครผู้หนึ่งที่ดีกับคนอีกผู้หนึ่งโดยไร้ เหตุผลเว้นเพียงแต่คนผู้นั้นจะเป็นญาติกันแม้แต่ในหมู่ญาติ มีเพียงแค่บิดามารดาเท่านั้นที่จะทําดีกับบุตรธิดาของตนโดยไรเงื่อนไข

 

เมื่อเฟิงเฟยเสวี่ยได้ยินนางก็ตกตะลึง จากนั้นนางก็ยิ้ม และกล่าว “เรื่องนี้สําคัญหรือ? ถ้าเจ้าอยากจะทราบจริงๆ เจ้าไปที่เมืองหลวงอาณาจักร เจ้าจะพบคําตอบที่นั่น”

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกสงสัย “ทําไมข้าจะต้องไปเมืองหลวงอาณาจักร? เจ้าบอกข้าตอนนี้มิได้หรือ?”

 

เฟิงเฟยเสวี่ยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เขากล่าวกันว่าคําพูดที่ออกจากปากมิสามารถนํามาเป็นหลักฐานได้ เนื่องจากไร้หลักฐาน ถ้าข้าหากใจสร้างเหตุผลขึ้นมา เจ้าก็จะหาข้อบกพร่องในนั้นไม่พบ”

 

“มีบางสิ่งที่ข้าอธิบายให้แก่เจ้าไม่ได้หากเจ้าไม่ไปที่เมืองหลวงอาณาจักร มันจะเหมาะสมมากกว่าหากให้ผู้เกี่ยวข้องอธิบายแก่ท่านด้วยตนเอง”

 

เซี่ยวเฉินขมวดคิ้วและคิดอย่างรอบครอบว่าสิ่งที่เฟิงเฟย เสวี่ยพูดหมายถึงอะไร มันเชื่อมโยงกันในหลากหลายเส้นทาง เหมือนกับใยแมงมุม มันไม่มีทางที่เขาจะได้รับเบาะแสอะไรเลย

 

เซียวเฉินไม่สามารถเข้าใจในคําพูดของเฟิงเฟยเสวี่ยได้ ทําไมข้าจะต้องไปเมืองหลวงอาณาจักร? มีใครบางคนที่ข้าจะต้องไปพบ?

 

เฟิงเฟยเสวี่ยผลักจดหมายแนะนําในมือของนางไปให้ เซี่ยวเฉินและกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะคิดเช่นไร ลองพิจารณาดูไม่ว่าเจ้าจะตอบแทนความกตัญญูหรือตอบแทนด้วยหนี้สิน ตระกูลเฟิงจะไม่บังคับให้เจ้าทําอะไร แม้ว่าจะไม่มีที่ยืน สําหรับเจ้าในโลกใบนี้ ประตูของตระกูลเฟิงก็จะเปิดรับเจ้าเสมอ”

 

“นี่คือไกลที่สุดเท่าที่ข้าส่งเจ้าได้ แม้ว่าข้าจะต้องการไป พร้อมกับเจ้าแค่ไหน แต่ข้าไม่สามารถไปแคว้นซีเหอได้จริงๆ ลาก่อน! ไม่มีอะไรต้องกังวล อินทรีย์ทองคําจะไปส่งเจ้าถึงที่นั่นด้วยตนเอง”

 

TL เปลี่ยนจากเขตซีเขอเป็น แคว้นซีเหอนะครับ

 

เฟิงเฟยเสวี่ยจากไปพร้อมกับทิ้งเสียงหัวเราะอันเพราะพริ้งไว้ นางกระโดดลงจากอินทรีย์ทองคํา และดอกบัวสีแดงเพลิงก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้านาง รองรับนางเอาไว้ขณะที่ ลอยออกไปไกล

 

เซี่ยวเฉินมองไปที่จดหมายแนะนําที่อยู่ในมือของเขา จากนั้นก็มองไปที่เฟิงเฟยเสวี่ยที่ลอยไปไกล เขาส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขืน “นางยังคงทําตัวลึกลับ เช่นไรก็ตาม มันก็ ยังเป็นเรื่องดีที่ได้ยินข่าวคราวของลูกพี่ลูกน้องอี้หลาน”

 

ในขณะที่อินทรีย์ทองคําบินต่อไป เซี่ยวเฉินรู้สึกเบื่อหน่าย เขานํากระดิ่งทองแดงขนาดเล็กอันประณีตที่เขาซื้อก่อนหน้านี้ออกมา เขาวุ่นอยู่กับการฝึกคาถาแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์และลืมมันไปสนิท

 

ถือกระดิ่งไว้บนมือของเขา เซียวเฉินเคาะมันเบาๆ กระดิ่งทองแดงก็ปลดปล่อยเสียงอันไพเราะ มันทําให้เขารู้สึกสบายเมื่อได้ยิน แต่มันก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาดเกิดขึ้น

 

เซี่ยวเฉินมั่นใจว่านี่เป็นสมบัติลับ น่าเสียดายที่ค่ายกล และเฝ้าที่อยู่ข้างในได้รับความเสียหายทั้งหมด มิติภายในสมบัติลับจึงเต็มไปได้ความวุ่นวาย สัมผัสจิตวิญญาณของเซี่ยว เฉินไม่สามารถเข้าไปได้ ครั้งล่าสุดที่เขาตรวจสอบมันอย่างไม่ตั้งใจ ทําให้เขาได้รับบาดเจ็บ ผลก็คือทําให้เซี่ยวเฉินไม่ กล้าลองอีกครั้ง

 

เนื่องจากไม่มีทางที่สามารถส่งสัมผัสจิตวิญญาณเข้าไป เขาจึงไม่สามารถตรวจสอบระดับความเสียหายในค่ายกลได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้วิธีในการซ่อมมัน กระดิ่งทองแดงอันนี้ สมควรจะเป็นสมบัติลับที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก มันช่างเป็นเรื่องโชคร้ายที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

 

ทันใดนั้นก็มีลมหนาวเย็นอันรุนแรงพัดมา ลมหนาวกลายเป็นพายุอันน่ากลัวในทันที เขาสามารถเห็นร่างของมังกรขาวที่อยู่ภายในได้ เสียงที่ออกมาจากมันเป็นดังเสียงกรีดร้องของผู้คนจํานวนมาก

 

“Pu Ci!”

 

เซี่ยวเฉินที่กําลังคิดเกี่ยวกับกระดิ่งทองแดง ไม่ได้สังเกตเห็นมัน ไม่นานเมื่อเขารู้สึกตัวสายลมอันรุนแรงก็ได้มาล้อมรอบตัวเขาและดึงตัวเขาออกจากอินทรีย์ทองคํา

 

“เกิดบ้าอะไรขึ้น!” เซี่ยวเฉินประหลาดใจ สายลมอันนี้รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง เซี่ยวเฉินไม่สามารถหมุนเวียนพลังปราณ ของเขาในขณะที่อยู่ในสายลมได้ เขาดิ้นลนอยู่ในอากาศอย่างไร้ประโยชน์โดยการโยกไปทางซ้ายและขวา

 

บางครั้งร่างกายของเขาก็ถูกโยนขึ้นไปบนอากาศ บางครั้งมันก็จะเหวียงเขาลงมาด้วยความเร็วสูงราวกับว่าเขา กําลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ เปลี่ยนทิศทางได้ในทันทีโดย ปราศจากการต่อต้าน

 

ลมหนาวอันเย็นเยือกตัดเข้าไปในร่างของเขาดั่งใบมีด มันทรมานอย่างไม่น่าเชื่อ เซียวเฉินร้องออกมาเสียงดัง แต่ภายใต้พลังธรรมชาติ เขาไม่มีทางต่อต้านมันได้เลย

 

ท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บ เซียวเฉินที่ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องได้เห็นสายตาอันเย็นชา ภายในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจอันไร้ที่สิ้นสุด เป็นดั่งลมหนาวที่เจาะเข้ามาในใจของเขา

 

เมื่ออินทรีย์ทองคําเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็ร้องออกมาและบินวนไปมา มันมุ่งหน้าไปยังสายลมเชี่ยวต้องการที่จะจับตัวเซี่ยวเฉิน

 

อย่างไรก็ตาม อินทรีย์ทองคําไม่คุ้นเคยกับเซี่ยวเฉินเป็นอย่างมาก ร่างขนาดใหญ่ของอินทรีย์ทองคําบุกฝาเข้าไปในสายลมและชนเข้ากับเซียวเฉินด้วยแรงอันมหาศาล

 

เซี่ยวเฉินที่มีนงงตกลงสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายโดยการถูกชน เขาหมดสติในสายลมและตกลงไป เหมือนดั่งว่าวที่สายป่านขาด ในขณะที่เขาไม่สามารถหมุนเวียนพลังปราณได้ 

 

“โธ่เว้ย! ที่จริงแล้วข้าหลุดเข้ามาในพายุมังกรขาว ชีวิตของข้าจะต้องจบลงด้วยการตกลงไปตาม?” เซี่ยวเฉินตื่นตนก และต้องการนําเรือสงครามเงินออกมาโดยใช้สัมผัสจิตวิญญาณอย่างไรก็ตาม สายลมหนาวอันแปลกประหลาดก็ได้ แทรกซึมเข้าไปในจิตใจของเซียวเฉิน

 

เมื่อเซี่ยวเฉินพยายามใช้สัมผัสจิตวิญญาณ เขาจะรู้สึก ได้ถึงความเจ็บปวดในจิตใจ เหมือนดั่งเข็มที่แทงไปยังสมอง ของเขา มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ทําให้เขารวบรวมสมาธิไม่ได้

 

ที่เรียกว่าพายุมังกรขาวเป็นเพราะพายุเกิดขึ้นในท้องฟ้าระดับสูง ในน่านฟ้าระหว่างแคว้นตงหมิงและแคว้นซีเหอ มันยังคงเป็นปริศนาว่าพายุก่อตัวได้เช่นไร

 

ตามตํานาน มังกรขาวตายในการต่อสู้ในยุคบรรพกาลที่นี่ หลังจากมันตาย จิตวิญญาณของมันก็ได้ล่องลอยไปตามท้องฟ้าในบริเวณนี้

 

พายุนี้ถูกกล่าวว่าถูกสร้างโดยมังกรขาว เพราะผู้คนเคยเห็นมังกรขาวขนาดใหญ่ภายในพายุ ผู้คนจึงเรียกพายุนี้ว่าพายุมังกรขาว

 

ระหว่างทาง เซี่ยวเฉินเคยได้ยินตํานานของพายุมังกรขาวอย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้สนใจมันมากนัก แม้ว่าพายุมังกรขาวจะน่าหวาดผวา แต่มันก็ไม่ได้ปรากฏมาหลายสิบปีแล้ว เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะดวงซวยถึงเพียงนี้

 

เซี่ยวเฉินสังเกตเห็นแม่น้ําใสที่กําลังไหลอยู่บนพื้นดิน สิ่งนี้ทําให้ใบหน้าที่สิ้นหวังในตอนแรกของเขาเปลี่ยนเป็นมีความสุข

 

อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดในหัวของเขาก็ยังคงแรงขึ้นเรื่อยๆ พลังปราณอันไร้ขอบเขตและขีดจํากัดยังคงติดอยู่ที่หน้าอกของเขา ความแค้นนี้ดูเหมือนจะตกต้างมาจากหลายหมื่นปีก่อน มันเหมือนกับก้อนหินหนักขนาดใหญ่หลายพันกิโลกดทับเขาทําให้เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก

 

มีเสียง ‘ตุ้ม’ ดังขึ้น เซี่ยวเฉินตกจากความสูงหลายพันเมตรลงไปในแม่น้ำ แม้ว่าเขาจะตกลงไปในน้ําที่อ่อนนุ่ม เขาก็ตกลงมาจากที่สูงมาก ส่งผลให้เซียวเฉินบาดเจ็บเป็นอย่างหนัก

 

แม้ว่าร่างกายของเซียวเฉินจะสงบเป็นอย่างมาก แต่อวัยวะภายในของเขาปั่นป่วนเป็นอย่างยิ่ง เขากระอักเลือดออกมาเต็มปากและสลบไป

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+