Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 65 ภายในตรอกซอย 2

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 65 ภายในตรอกซอย 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผมเปิดช่องเก็บของและหยิบเอาดาบใหญ่ ที่เรียกได้ว่าเป็นดาบสองมือออกมา ใบดาบนั้นคมจนดูเหมือนจะตัดก้อนหินที่แข็งที่สุดได้สบายๆ 

ตัวโลหะที่เอามาเป็นวัตถุดิบถูกย้อมด้วยสีดำราวกับความมืดมิดของค่ำคืน จนเหมือนว่ามันจะดูดกลืนแสงสว่างรอบๆเข้ามาได้ แต่ปัจจัยที่โดดเด่นที่สุดไม่ใช้ทั้งสีและความคม แต่เป็นน้ำหนัก

 

เจ้าดาบใหญ่นี้มันหนักแบบสุดๆจนกระทั้งผมยังลำบากเวลาที่จะยกมัน ผมต้องเอากำลังทั้งหมดมาไว้ที่เอวและแขนเพื่อจะเหวี่ยงเจ้าสิ่งนี้ ถึงจะใหญ่จนผิดปกติ แต่ตัวดาบก็ยังคงมีความงดงาม ที่ผสมผสานกับความยิ่งใหญ่ได้อย่างลงตัว ตอนออกแบบวางหลักไว้ประมาณนั้นละนะ

 

ค่าสถานะก็ตามนี้

 

***

 

ชื่อ: ฮาไซ,ฮาซาอิ [Hasai] [TL:ใครรู้ว่าอ่านแบบไหนถูกบอกได้นะจิ ผมจะใช้อันแรกเป็นหลักไปก่อน]

คำอธิบาย: ดาบใหญ่สีดำสนิทที่ถูกสร้างโดยจอมมารนามยูกิ น้ำหนักที่หนักผิดปกติทำใหม่ไม่สามารถยกหรือเหวี่ยงได้โดยผู้คนธรรมดา

คุณภาพ: A+

 

***

 

ตามที่ชื่อมันสื่อ ฮาไซ ได้รับการพัฒนาโดยคำนึงถึงสองแนวคิด คือ การขัดขวางและทำล้ายล้าง ตัวอาวุธต้องแข็ง หนัก และคมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  แต่มันไม่มีพลังเวทอะไรอยู่ในตัว เพราะผมยังทำไม่เป็น

 

ผมได้ทำทุกอย่างที่จะทำให้มันแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และนี้คือที่สุดที่ผมสามารถทำได้

 

ถึงจะผิดหวังไปหน่อยที่ผมไม่สามารถเสริมพลังเวทให้มันได้ แต่มันก็ยังถือเป็นดาบที่ดี

 

“เข้ามาเลยพวก” ผมเผยรอยยิ้มอันไร้ความหวาดกลัว และตั้งท่าเตรียมดาบ “อาวุธเสริมพลังงั้นหรอ? บัฟบ้าบัฟบออะไรละ? เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นเองว่ามันเปล่าประโยชน์ขนาดไหน”

 

“ระวังปากหน่อยไอเด็กเปรต!” เจ้ากล้ามโต้สถบออกมาก่อนจะถีบตัวพุ่งเข้ามาหาผมราวกับกระสุน มันโห่ร้องก่อนจะเหวี่ยงขวานหมายจะผ่าหัวผมให้เป็นสองส่วน

 

เป็นการเหวี่ยงลงแบบตรงไปตรงมา ไม่มีเทคนิคอันใด

 

ผมสวนการโจมตีด้วยการเหวี่ยงแบบตรงๆเหมือนกัน ผมวางเท้าทั้งสองข้างบนพื้นดินด้านล่าง บิดสะโพก แล้วเหวี่ยงดาบใหญ่ตรงไปที่อาวุธของมัน สกัดกั้นไว้ก่อนที่มันจะไปถึงเป้าหมาย ทำให้เกิดคลื่นเสียงจากการกระทบ และกระแสลมที่รุนแรงพัดไปทั่วซอยที่อยู่

 

เป็นการประทะกันตรงๆของดาบและขวานโดยใช้พละกำลังล้วนๆ

 

และผมก็เหนือกว่า

 

“อะไรกัน!?” เจ้ากล้ามโตตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ด้วยพละกำลังที่เขาภาคภูมิใจ และอาวุธต้องสาบที่มี เมื่อเอามารวมกับการโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ทำให้เขามั่นใจในชัยชนะ แต่อนิจจา อาวุธของเขานั้นกลับถูกปัดออกไปได้

 

ต้นตอที่ทำให้เขาแพ้เป็นเพราะเขาใช้แต่พละกำลังไม่ใช้เทคนิคที่มี สำหรับคนที่ขาดเทคนิคอย่างผมก็คงงานช้างเหมือนกันถ้าต้องประทะกับคนที่รู้วิธีเหวี่ยงอาวุธอย่างมีประสิทธิภาพ

 

“โถ่เอ้ย?” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ได้แค่นี้เองหรอ? อะไรกันเนี่ยพวก? นี้แทบจะยังไม่ได้เริ่มอะไรกันเลยนะ”

“ไอสัดนิ!”

 

เสียงของเจ้ากล้ามเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ผมจึงเสยะยิ้มและเหวี่ยงดาบที่รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ออกไป

 

เขาแทบจะไม่มีเวลาตอบโต้กลับ จึงทำได้แค่ยกอาวุธขึ้นมาป้องกัน แต่ด้วยความร้อนลน ท่าทางของเขาจึงไม่สมบูรณ์ จนป้องกันได้ไม่ทั้งหมด ดาบของผมพุ่งผ่านไปปาดข้างแขน ทำให้เลือดกระจายไปเปราะกำแพง

 

“อ้ากกกก! ปัดโถ่เว้ยยย!!”

 

ผมทำการโจมตีต่อเนื่องทันที จากสองเป็นสาม จากสามเป็นสี่ การโจมตีของผมกลายเป็นพายุโหมกระหน่ำที่พร้อมจะฉีกกระซากร่างของมันได้ทันทีถ้าการป้องกันตกลงมา แต่ตัวอาวุธ ยังคงสภาพดีอยู่ ถึงจะผ่านการปะทะกับดาบของผมมาหลายครั้งแล้วก็ตาม

 

เจ้ากล้ามโดนไปหลายสิบแผลกว่าที่จะรู้ตัวว่าตนนั้นเสียเปรียบ เขาจึงล้มเลิกการเข้าสู้ระยะประชิด และไปหยิบของบางอย่างตรงเองก่อนจะเสยะยิ้มใส่ผม “เอานี้ไปกิน!”

 

ร่างกายผมขยับก่อนที่จะรู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นเป็นอะไร ใบดาบตัดสิ่งของที่ถูกโยนเข้ามา เจ้าสิ่งนั้นกระจายควันออกมาบดบังวิสัยทัศน์ของผม

 

หมอนี้ใช้เทคนิดม่านควันงั้นหรอ ถึงจะบ้าคลั้งไปแล้วก็ก็ยังมีสติมากพอจะทำทริคเก่าๆแบบนี้ได้อยู่แหะ

 

เจ้ากล้ามหายเข้าไปในม่านควันทันที คงจะพยายามคุมสถานการณ์สินะ ถ้าผมเป็นคนธรรมดาคงจะแย่น่าดู

 

“แกนี้ซวยจริงๆเลยนะ” ผมหันไปรับการโจมตีที่พุ่งมาจากควันได้อย่างง่ายดาย ถึงตาเปล่าผมจะมองไม่เห็น แต่ด้วยตาเวทมนต์ทำให้ผมจับการเคลื่อนไหวของอาวุธแต่ตัวมันได้

 

“บ้าอะไรเน—!?” เจ้ากล้ามร้องด้วยความตกตระลึกที่ขวานถูกปัดออก แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ ผมก็แทงสวนไปก่อน

 

ผมรู้สึกได้ถึงใบดาบที่ตัดผ่านเนื้อและกระดูกช่วงตัวที่ไร้ซึ่งการป้องกัน ทั้งฮาไซและเลือดพุ่งออกจากหลังของเขา  

 

“ทำไม…” ของเหลวสีแดงไหลออกมาจากปากของมัน “ทำไม… ข้าถึงแพ้…?”

“มันก็ชัดเจนไม่ใช่หรอ? แกแพ้เพราะแกอ่อนแอเกินกว่าที่จะชนะได้ยังไงล่ะ”

 

ในจังหวะที่ผมดึงดาบออกมา เขาก็เสียความสามารถในการยืน เขาลงไปคุกเข่าพยายามต่อต้านความตายก่อนจะล้มลงไปพร้อมกับใบหน้าอันไร้ชีวิต  และกลายเป็นศพในที่สุด

 

ด้ามขวานที่เขากำเอาไว้คลายออก ร่วงหล่นลงไปข้างๆศพเจ้านายมัน ผมสะดับเลือดออกจากดาบก่อนจะเป็นเขาช่องเก็บของ พลางมองไปที่ขวานที่หล่นอยู่ เป็นขวานที่ไม่จำเป็นต้องใช้สกิลหรืออุปกรณ์อะไรก็รู้ได้ว่ามันอัตรายจริงๆ พลังร้ายที่ห้อมล้อมมันไว้แน่นหนาซะจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ว่า…

 

 

 

“เลฟี่”

“อะไรรึ?”  

“ถ้าชั้นเริ่มมีอาการแปลกๆ หยุดชั้นให้ได้ถึงแม้จะต้องตัดแขนชั้นก็ตาม”

“เข้าใจแล้ว” เลฟี่พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน “เราจะทำตามที่เห็นสมควร”

 

พึ่งพาได้จริงๆ

 

“นายจะทำ…” ดวงตาของผู้กล้าเบิกกว้างเมื่อรู้ถึงแผนของผม “เดี๋ยวก่อน! อย่าบอกนะว่านายจะจับมันนะ!? นายอย่าทำดีกว่านะ! Tเจ้านั้นมันอันตรายมากเลยนะ!”

 

เธอพยายามจะพูดหยุดผม แต่ผมไม่สนใจและเอื้อมมือไปแตะมัน

 

ความอาฆาตพยาบาทไหลเข้ามาในตัวผมทันทีที่นิ้วสัมผัสมัน บ้าอะไรว่ะเนี่ย!? Iอย่างกับว่าเจ้านี้มันพยายามจะแหกกระโหลกผมเลย!

 

ความโกรธ ความขุ่นเคือง และความคร่ำครวญมากมายหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของผม ความเกลียดชังย้อมความคิดทั้งหมดของผมด้วยม่านสีแดง ผมรู้สึกอยากที่จะทำลายทุกอย่างที่ผมทำได้ ความอยากที่จะดูดซับความแค้นของผู้ที่ผมสังหารและใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อเติบโตต่อไป

 

มันต้องการให้ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันอยู่ในวังวนของความตาย ความแค้น และการทำลายล้าง

 

หุบปาก ผมปิดเสียงคร่ำครวญที่เต็มไปด้วยความแค้นที่ทำร้ายจิตใจของผมด้วยพลังเวทต์จำนวนมหาศาลและบังคับให้มันยอมจำนน ให้ตายสิ ตายไปและยังจะมาเจ้าคิดเจ้าแค้นกันอีก บ้าบอ ชั้นไม่สนเว้ย จะเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้แหละ แต่แกเป็นของชั้นแล้ว พวกแกทุกตัวนั้นแหละ เป็นแค่หนึ่งในของสะสมของชั้นก็ช่วยทำตัวให้สมกับสถานะตัวเองด้วย ดังนั้นหุบปากและปล่อยให้ชั้นใช้แกได้แล้ว ถ้ายอมแล้วชั้นจะช่วยปลดปล่อยพวกแกให้เอง

 

การระงับเจตจำนงของอาวุธด้วยพลังเวทย์มนตร์ของผมทำให้ผมนึกถึงการฝึกสัตว์ร้ายเลยแหะ เสียงคร่ำครวญของมันเริ่มสงบลงจนความมุ่งร้ายของมันไม่มีภัยอะไรอีกต่อไป

 

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจก่อนจะเก็บอาวุธเข้ากระเป๋า กลับบ้านไปผมจะใช้ปรับเปลี่ยนอาวุธกับเจ้านี้ให้เต็มที่เลย จะเอาพวกผีบ้าๆนั้นออกไปให้หมดแล้วเปลี่ยนเป็นของเท่ๆแทน

 

“ฟู่ว จบล่ะ เจ้าตรอกนี้มันพาปัญหามาได้ดีจริงๆเลยนะ?”

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า?” เนลล์ถาม “นายแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร? ไม่ได้โดนผลกระทบอะไรใช่ไหม?”

“ชั้นไม่เป็นไร ชั้นเป็นจอมมารนะ พวกพลังงานด้านลบหรือคำสาปอะไรพวกนี้ควรจะเป็นสิ่งที่ชั้นถนัดอยู่แล้ว”

“เอ่อ… ฉันว่านั้นน่าจะเป็นทางเรามากกว่านะ” เนลล์พูด

 

อ้อออ จริงสิ พวกโบสท์ต้องเก่งในด้านนี้อยู่แล้วนิเนอะ เกือบลืมไปเลยว่าเนลล์เป็นคนของโบสท์ ไม่ใช่ความผิดชั้นที่ลืมนะ ก็เธอไม่ให้ความรู้สึกของทางนั้นซักเท่าไหร่นี้น่า

 

“เขาไม่เป็นอะไร คำสาปไม่ได้ดูดกลืนเขา” เลฟี่พูด “แต่เรื่องนั้นมิสำคัญ เราอยากจะยืนยันเจตนาเบื้องหลังคำพูดที่เจ้าพูด ยูกิ”

“คำอะไรหรอ?”

“เราหมายถึงคำที่เจ้าแอบอ้างว่าเราเป็นผู้หญิงของเจ้ายังไงล่ะ เป็นคำพูดที่อาจหาญมากเลยล่ะ”

“ชั้นพูดอะไรนะ!?”

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้ตัวสินะ ก็ได้ เดี๋ยวเราจะพูดซ้ำให้เจ้าฟัง” เลฟี่ยิ้ม 

“เจ้าพูดว่า ‘ช่วยพูดมาชัดๆอีกซักทีสิว่ะ ว่าแกคิดจะทำอะไรกับผู้หญิงของชั้นกัน?’ เป็นภาพที่น่าสนใจมากเลยล่ะล่าสุดที่เราเห็นเจ้าโกรธขนาดนั้นก็ตอนที่เรามาที่นี้เป็นครั้งแรกสินะ”

การได้ยินเลฟี่พูดเลียนแบบผมทำให้สมองผมหยุดการประมวณผลไป เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวเดี๋ยว ชั้นพูดแบบนั้นไปหรอ? ชิหายแล้วววววววว

 

“ช-ชั้นพูดแบบนั้นไปจริงๆหรอ?” ผมหันไปทางผู้กล้าในสภาพตาค้าง ปากพะงาบๆ

“นายพูด และก็เหมือนจะจริงจังกับความหมายมันด้วย”

 

เอาจริงดิ…? เชี่ย ตอนนั้นมัวแต่โกรธก็เลย…

 

“อ-เอ่ออ… ใช่แล้ว โทษที ชั้นต้องหมายถึงพรรคพวกร่วมเดินทางอะไรแบบนั้นแหละ แค่พูดผิดไปหน่อยนั้นแหละ โทษทีนะถ้ามันไปรบกวนธูอออ” ผมเริ่มจะโวยวายและใช้ข้ออ้างอย่างกระวนกระวาย จนกระทั้งเลฟี่ปิดปากผมด้วยการเอามือมาวางบนแก้มของผมและกดเข้าหากัน

 

ฝ่ามือของเธอให้ความรู้สึกดีเมื่อ เมื่อมองไปยังเธอ ผมก็รับรู้ว่าเธอไม่ได้โกรธ แต่มันตรงกันข้าม ดวงตาของเธอที่จ้องมองมายังผม เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ผมมองได้เป็นอย่างเดียว คือ ความ ชื่นชอบ

 

“อย่าได้ขอโทษ ยูกิ” มังกรสาวยิ้มอย่างเขินอายในขณะที่พูด “มันเป็นคำพูดที่เราดีใจที่ได้ยิน”  

 

ผมอึ้งไปทันที ผมพบว่าตัวเองกำลังจ้องมองไปที่ใบหน้าที่แดงก่ำและมีเสน่ห์ของเธอ ไม่มีที่ว่างให้คิด ไม่ต้องพูดถึงลมหายใจ

 

“เอ่อออ… เราไปกันได้ยัง…?” ผู้กล้าพูดขึ้น

“จ-จริงด้วย โทษที” ผมถอยห่างออกจากเลฟี่อย่างเร่งรีบพลางพยักหน้าตอบผู้กล้า “เราควรจะไปกันได้แล้ว เสียเวลากับที่นี้มากเกินไปแล้ว”

“เราก็คิดเช่นนั้น” เลฟี่พูด หลังจากใบหน้ากลับไปเป็นปกติแล้ว “เราต้องการเนื้อย่างซักไม้จัง”

 

ฟังดูดีนะ ผมที่กำลังจะพูดตอบเลฟี่นั้น ถูกหยุดลงโดยคนติดอาวุธจำนวนมากที่โถมเข้ามาจากทางเข้าของซอย

 

“เราเป็นทหารของเอลฟิโร ถ้ามีการขัดขื่นเราจะถือว่าพวกคุณมีความผิดและเริ่มใช้กำลังในทันที!”

 

อืม ใช้เวลาในที่นี้มากเกินไปจริงๆด้วย

 

ผมเบือนหน้าหนีทหารติดอาวุธที่เข้ามาทักพวกเรา ก่อนที่จะไปสังเกตเห็นชายคนนึงที่ค่อนข้างคุ้นตา

 

“หือ? โอ้! นายมันคนจากในป่าเมื่อตอนนั้นนี้น่า?”

“ห๊ะ!? แล้วนายคือ—”

“หยุดเดี๋ยวก่อน” ผมพูดตัดบทเขา “มันจะดีกว่าถ้านายไม่พูดสิ่งที่คิดออกมา เพื่อประโยชน์ของเราทั้งคู่ละนะ”

 

ทหารที่ผมทักเป็นคนเดียวกับที่หนีออกมาจากการสังหารหมู่ของผมได้ และเป็นเพียงทหารในกองทัพคนเดียวที่ผมยุ่งเกี่ยวด้วย

 

“…คุณมาทอะไรที่นี้?” ทหารถาม เขาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ แต่น้ำเสียงก็มีความกังวลออกมาอย่างชัดเจน

“ก็นะ มีธุระนิดหน่อยนะ กำลังคิดว่าจะไปทักทายกับเจ้าเมืองอยู่พอดีด้วย”

“นั้นเป็นเหตุผลที่นายอยากมาเอลฟิโร่หรอ ยูกิ?” เนลล์ถาม

“ก็ ชั้นรู้จักกับเขาอยู่ระดับนึงละนะ”

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว แล้วพวกนี้เป็นใครกัน?”  

“ไม่รู้สิ จู่ๆก็เข้ามาโจมตีกันเฉยเลย ชั้นก็เลยป้องกันตัวไป”

“หัวหน้าครับ” มีทหารคนนึงวิ่งมากระซิบข้างหูเขา

“พวกนี้เป็นคนร้ายที่ก่อคดีอยู่หลายคดีอยู่ครับท่าน”

 

หัวหน้าหน่วยพยักหน้าก่อนจะออกคำสั่ง “ทหารทุกนาย ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ารับผิดชอบเก็บกวาดพื้นที่นี้ตามที่เห็นสมควร”

 

จากนั้นเขาก็หันมาหาผมและเริ่มพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อยในขณะที่เก็บอาวุธ “ดูเหมือนว่าคุณต้องมาจัดการกับแขกที่หยาบคายสองสามคน ปกติผมอยากจะพาคุณไปที่สำนักงานของเราและขอรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ดูเหมือนว่าคุณกำลังมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ของท่านเจ้าเมือง ดังนั้นผมจะพาคุณไปที่นั่นแทน ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”

 

ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฎิเสธนี้นะ ผมมองไปยังเพื่อนร่วมทางทั้งสองว่าจะมีปัญหาอะไรไหม แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไร  

 

“เราอยากจะไปกินเนื้อย่างต่อซะมากกว่า…” เลฟี่พึมพำ โอเค ผมขอถอนคำพูด ดูเหมือนจะมีคนต่อต้านแหะ

 

แย่หน่อยที่ผมตัดสินใจไปแล้ว เดี๋ยวชั้นจะซื้อให้ที่หลังแล้วกัน ดังนั้นช่วยอดทนรอต่อไปอีกซักหน่อยนะ

 

TL:พอแปลตอนนี้จบแล้วทำไมถึงรู้สึกว่าน้ำตาลในเลือดมันสูงขึ้นกันนะจิ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 65 ภายในตรอกซอย 2

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 65 ภายในตรอกซอย 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผมเปิดช่องเก็บของและหยิบเอาดาบใหญ่ ที่เรียกได้ว่าเป็นดาบสองมือออกมา ใบดาบนั้นคมจนดูเหมือนจะตัดก้อนหินที่แข็งที่สุดได้สบายๆ 

ตัวโลหะที่เอามาเป็นวัตถุดิบถูกย้อมด้วยสีดำราวกับความมืดมิดของค่ำคืน จนเหมือนว่ามันจะดูดกลืนแสงสว่างรอบๆเข้ามาได้ แต่ปัจจัยที่โดดเด่นที่สุดไม่ใช้ทั้งสีและความคม แต่เป็นน้ำหนัก

 

เจ้าดาบใหญ่นี้มันหนักแบบสุดๆจนกระทั้งผมยังลำบากเวลาที่จะยกมัน ผมต้องเอากำลังทั้งหมดมาไว้ที่เอวและแขนเพื่อจะเหวี่ยงเจ้าสิ่งนี้ ถึงจะใหญ่จนผิดปกติ แต่ตัวดาบก็ยังคงมีความงดงาม ที่ผสมผสานกับความยิ่งใหญ่ได้อย่างลงตัว ตอนออกแบบวางหลักไว้ประมาณนั้นละนะ

 

ค่าสถานะก็ตามนี้

 

***

 

ชื่อ: ฮาไซ,ฮาซาอิ [Hasai] [TL:ใครรู้ว่าอ่านแบบไหนถูกบอกได้นะจิ ผมจะใช้อันแรกเป็นหลักไปก่อน]

คำอธิบาย: ดาบใหญ่สีดำสนิทที่ถูกสร้างโดยจอมมารนามยูกิ น้ำหนักที่หนักผิดปกติทำใหม่ไม่สามารถยกหรือเหวี่ยงได้โดยผู้คนธรรมดา

คุณภาพ: A+

 

***

 

ตามที่ชื่อมันสื่อ ฮาไซ ได้รับการพัฒนาโดยคำนึงถึงสองแนวคิด คือ การขัดขวางและทำล้ายล้าง ตัวอาวุธต้องแข็ง หนัก และคมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  แต่มันไม่มีพลังเวทอะไรอยู่ในตัว เพราะผมยังทำไม่เป็น

 

ผมได้ทำทุกอย่างที่จะทำให้มันแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และนี้คือที่สุดที่ผมสามารถทำได้

 

ถึงจะผิดหวังไปหน่อยที่ผมไม่สามารถเสริมพลังเวทให้มันได้ แต่มันก็ยังถือเป็นดาบที่ดี

 

“เข้ามาเลยพวก” ผมเผยรอยยิ้มอันไร้ความหวาดกลัว และตั้งท่าเตรียมดาบ “อาวุธเสริมพลังงั้นหรอ? บัฟบ้าบัฟบออะไรละ? เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นเองว่ามันเปล่าประโยชน์ขนาดไหน”

 

“ระวังปากหน่อยไอเด็กเปรต!” เจ้ากล้ามโต้สถบออกมาก่อนจะถีบตัวพุ่งเข้ามาหาผมราวกับกระสุน มันโห่ร้องก่อนจะเหวี่ยงขวานหมายจะผ่าหัวผมให้เป็นสองส่วน

 

เป็นการเหวี่ยงลงแบบตรงไปตรงมา ไม่มีเทคนิคอันใด

 

ผมสวนการโจมตีด้วยการเหวี่ยงแบบตรงๆเหมือนกัน ผมวางเท้าทั้งสองข้างบนพื้นดินด้านล่าง บิดสะโพก แล้วเหวี่ยงดาบใหญ่ตรงไปที่อาวุธของมัน สกัดกั้นไว้ก่อนที่มันจะไปถึงเป้าหมาย ทำให้เกิดคลื่นเสียงจากการกระทบ และกระแสลมที่รุนแรงพัดไปทั่วซอยที่อยู่

 

เป็นการประทะกันตรงๆของดาบและขวานโดยใช้พละกำลังล้วนๆ

 

และผมก็เหนือกว่า

 

“อะไรกัน!?” เจ้ากล้ามโตตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ด้วยพละกำลังที่เขาภาคภูมิใจ และอาวุธต้องสาบที่มี เมื่อเอามารวมกับการโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ทำให้เขามั่นใจในชัยชนะ แต่อนิจจา อาวุธของเขานั้นกลับถูกปัดออกไปได้

 

ต้นตอที่ทำให้เขาแพ้เป็นเพราะเขาใช้แต่พละกำลังไม่ใช้เทคนิคที่มี สำหรับคนที่ขาดเทคนิคอย่างผมก็คงงานช้างเหมือนกันถ้าต้องประทะกับคนที่รู้วิธีเหวี่ยงอาวุธอย่างมีประสิทธิภาพ

 

“โถ่เอ้ย?” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ได้แค่นี้เองหรอ? อะไรกันเนี่ยพวก? นี้แทบจะยังไม่ได้เริ่มอะไรกันเลยนะ”

“ไอสัดนิ!”

 

เสียงของเจ้ากล้ามเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ผมจึงเสยะยิ้มและเหวี่ยงดาบที่รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ออกไป

 

เขาแทบจะไม่มีเวลาตอบโต้กลับ จึงทำได้แค่ยกอาวุธขึ้นมาป้องกัน แต่ด้วยความร้อนลน ท่าทางของเขาจึงไม่สมบูรณ์ จนป้องกันได้ไม่ทั้งหมด ดาบของผมพุ่งผ่านไปปาดข้างแขน ทำให้เลือดกระจายไปเปราะกำแพง

 

“อ้ากกกก! ปัดโถ่เว้ยยย!!”

 

ผมทำการโจมตีต่อเนื่องทันที จากสองเป็นสาม จากสามเป็นสี่ การโจมตีของผมกลายเป็นพายุโหมกระหน่ำที่พร้อมจะฉีกกระซากร่างของมันได้ทันทีถ้าการป้องกันตกลงมา แต่ตัวอาวุธ ยังคงสภาพดีอยู่ ถึงจะผ่านการปะทะกับดาบของผมมาหลายครั้งแล้วก็ตาม

 

เจ้ากล้ามโดนไปหลายสิบแผลกว่าที่จะรู้ตัวว่าตนนั้นเสียเปรียบ เขาจึงล้มเลิกการเข้าสู้ระยะประชิด และไปหยิบของบางอย่างตรงเองก่อนจะเสยะยิ้มใส่ผม “เอานี้ไปกิน!”

 

ร่างกายผมขยับก่อนที่จะรู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นเป็นอะไร ใบดาบตัดสิ่งของที่ถูกโยนเข้ามา เจ้าสิ่งนั้นกระจายควันออกมาบดบังวิสัยทัศน์ของผม

 

หมอนี้ใช้เทคนิดม่านควันงั้นหรอ ถึงจะบ้าคลั้งไปแล้วก็ก็ยังมีสติมากพอจะทำทริคเก่าๆแบบนี้ได้อยู่แหะ

 

เจ้ากล้ามหายเข้าไปในม่านควันทันที คงจะพยายามคุมสถานการณ์สินะ ถ้าผมเป็นคนธรรมดาคงจะแย่น่าดู

 

“แกนี้ซวยจริงๆเลยนะ” ผมหันไปรับการโจมตีที่พุ่งมาจากควันได้อย่างง่ายดาย ถึงตาเปล่าผมจะมองไม่เห็น แต่ด้วยตาเวทมนต์ทำให้ผมจับการเคลื่อนไหวของอาวุธแต่ตัวมันได้

 

“บ้าอะไรเน—!?” เจ้ากล้ามร้องด้วยความตกตระลึกที่ขวานถูกปัดออก แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ ผมก็แทงสวนไปก่อน

 

ผมรู้สึกได้ถึงใบดาบที่ตัดผ่านเนื้อและกระดูกช่วงตัวที่ไร้ซึ่งการป้องกัน ทั้งฮาไซและเลือดพุ่งออกจากหลังของเขา  

 

“ทำไม…” ของเหลวสีแดงไหลออกมาจากปากของมัน “ทำไม… ข้าถึงแพ้…?”

“มันก็ชัดเจนไม่ใช่หรอ? แกแพ้เพราะแกอ่อนแอเกินกว่าที่จะชนะได้ยังไงล่ะ”

 

ในจังหวะที่ผมดึงดาบออกมา เขาก็เสียความสามารถในการยืน เขาลงไปคุกเข่าพยายามต่อต้านความตายก่อนจะล้มลงไปพร้อมกับใบหน้าอันไร้ชีวิต  และกลายเป็นศพในที่สุด

 

ด้ามขวานที่เขากำเอาไว้คลายออก ร่วงหล่นลงไปข้างๆศพเจ้านายมัน ผมสะดับเลือดออกจากดาบก่อนจะเป็นเขาช่องเก็บของ พลางมองไปที่ขวานที่หล่นอยู่ เป็นขวานที่ไม่จำเป็นต้องใช้สกิลหรืออุปกรณ์อะไรก็รู้ได้ว่ามันอัตรายจริงๆ พลังร้ายที่ห้อมล้อมมันไว้แน่นหนาซะจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ว่า…

 

 

 

“เลฟี่”

“อะไรรึ?”  

“ถ้าชั้นเริ่มมีอาการแปลกๆ หยุดชั้นให้ได้ถึงแม้จะต้องตัดแขนชั้นก็ตาม”

“เข้าใจแล้ว” เลฟี่พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน “เราจะทำตามที่เห็นสมควร”

 

พึ่งพาได้จริงๆ

 

“นายจะทำ…” ดวงตาของผู้กล้าเบิกกว้างเมื่อรู้ถึงแผนของผม “เดี๋ยวก่อน! อย่าบอกนะว่านายจะจับมันนะ!? นายอย่าทำดีกว่านะ! Tเจ้านั้นมันอันตรายมากเลยนะ!”

 

เธอพยายามจะพูดหยุดผม แต่ผมไม่สนใจและเอื้อมมือไปแตะมัน

 

ความอาฆาตพยาบาทไหลเข้ามาในตัวผมทันทีที่นิ้วสัมผัสมัน บ้าอะไรว่ะเนี่ย!? Iอย่างกับว่าเจ้านี้มันพยายามจะแหกกระโหลกผมเลย!

 

ความโกรธ ความขุ่นเคือง และความคร่ำครวญมากมายหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของผม ความเกลียดชังย้อมความคิดทั้งหมดของผมด้วยม่านสีแดง ผมรู้สึกอยากที่จะทำลายทุกอย่างที่ผมทำได้ ความอยากที่จะดูดซับความแค้นของผู้ที่ผมสังหารและใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อเติบโตต่อไป

 

มันต้องการให้ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันอยู่ในวังวนของความตาย ความแค้น และการทำลายล้าง

 

หุบปาก ผมปิดเสียงคร่ำครวญที่เต็มไปด้วยความแค้นที่ทำร้ายจิตใจของผมด้วยพลังเวทต์จำนวนมหาศาลและบังคับให้มันยอมจำนน ให้ตายสิ ตายไปและยังจะมาเจ้าคิดเจ้าแค้นกันอีก บ้าบอ ชั้นไม่สนเว้ย จะเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้แหละ แต่แกเป็นของชั้นแล้ว พวกแกทุกตัวนั้นแหละ เป็นแค่หนึ่งในของสะสมของชั้นก็ช่วยทำตัวให้สมกับสถานะตัวเองด้วย ดังนั้นหุบปากและปล่อยให้ชั้นใช้แกได้แล้ว ถ้ายอมแล้วชั้นจะช่วยปลดปล่อยพวกแกให้เอง

 

การระงับเจตจำนงของอาวุธด้วยพลังเวทย์มนตร์ของผมทำให้ผมนึกถึงการฝึกสัตว์ร้ายเลยแหะ เสียงคร่ำครวญของมันเริ่มสงบลงจนความมุ่งร้ายของมันไม่มีภัยอะไรอีกต่อไป

 

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจก่อนจะเก็บอาวุธเข้ากระเป๋า กลับบ้านไปผมจะใช้ปรับเปลี่ยนอาวุธกับเจ้านี้ให้เต็มที่เลย จะเอาพวกผีบ้าๆนั้นออกไปให้หมดแล้วเปลี่ยนเป็นของเท่ๆแทน

 

“ฟู่ว จบล่ะ เจ้าตรอกนี้มันพาปัญหามาได้ดีจริงๆเลยนะ?”

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า?” เนลล์ถาม “นายแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร? ไม่ได้โดนผลกระทบอะไรใช่ไหม?”

“ชั้นไม่เป็นไร ชั้นเป็นจอมมารนะ พวกพลังงานด้านลบหรือคำสาปอะไรพวกนี้ควรจะเป็นสิ่งที่ชั้นถนัดอยู่แล้ว”

“เอ่อ… ฉันว่านั้นน่าจะเป็นทางเรามากกว่านะ” เนลล์พูด

 

อ้อออ จริงสิ พวกโบสท์ต้องเก่งในด้านนี้อยู่แล้วนิเนอะ เกือบลืมไปเลยว่าเนลล์เป็นคนของโบสท์ ไม่ใช่ความผิดชั้นที่ลืมนะ ก็เธอไม่ให้ความรู้สึกของทางนั้นซักเท่าไหร่นี้น่า

 

“เขาไม่เป็นอะไร คำสาปไม่ได้ดูดกลืนเขา” เลฟี่พูด “แต่เรื่องนั้นมิสำคัญ เราอยากจะยืนยันเจตนาเบื้องหลังคำพูดที่เจ้าพูด ยูกิ”

“คำอะไรหรอ?”

“เราหมายถึงคำที่เจ้าแอบอ้างว่าเราเป็นผู้หญิงของเจ้ายังไงล่ะ เป็นคำพูดที่อาจหาญมากเลยล่ะ”

“ชั้นพูดอะไรนะ!?”

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้ตัวสินะ ก็ได้ เดี๋ยวเราจะพูดซ้ำให้เจ้าฟัง” เลฟี่ยิ้ม 

“เจ้าพูดว่า ‘ช่วยพูดมาชัดๆอีกซักทีสิว่ะ ว่าแกคิดจะทำอะไรกับผู้หญิงของชั้นกัน?’ เป็นภาพที่น่าสนใจมากเลยล่ะล่าสุดที่เราเห็นเจ้าโกรธขนาดนั้นก็ตอนที่เรามาที่นี้เป็นครั้งแรกสินะ”

การได้ยินเลฟี่พูดเลียนแบบผมทำให้สมองผมหยุดการประมวณผลไป เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวเดี๋ยว ชั้นพูดแบบนั้นไปหรอ? ชิหายแล้วววววววว

 

“ช-ชั้นพูดแบบนั้นไปจริงๆหรอ?” ผมหันไปทางผู้กล้าในสภาพตาค้าง ปากพะงาบๆ

“นายพูด และก็เหมือนจะจริงจังกับความหมายมันด้วย”

 

เอาจริงดิ…? เชี่ย ตอนนั้นมัวแต่โกรธก็เลย…

 

“อ-เอ่ออ… ใช่แล้ว โทษที ชั้นต้องหมายถึงพรรคพวกร่วมเดินทางอะไรแบบนั้นแหละ แค่พูดผิดไปหน่อยนั้นแหละ โทษทีนะถ้ามันไปรบกวนธูอออ” ผมเริ่มจะโวยวายและใช้ข้ออ้างอย่างกระวนกระวาย จนกระทั้งเลฟี่ปิดปากผมด้วยการเอามือมาวางบนแก้มของผมและกดเข้าหากัน

 

ฝ่ามือของเธอให้ความรู้สึกดีเมื่อ เมื่อมองไปยังเธอ ผมก็รับรู้ว่าเธอไม่ได้โกรธ แต่มันตรงกันข้าม ดวงตาของเธอที่จ้องมองมายังผม เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ผมมองได้เป็นอย่างเดียว คือ ความ ชื่นชอบ

 

“อย่าได้ขอโทษ ยูกิ” มังกรสาวยิ้มอย่างเขินอายในขณะที่พูด “มันเป็นคำพูดที่เราดีใจที่ได้ยิน”  

 

ผมอึ้งไปทันที ผมพบว่าตัวเองกำลังจ้องมองไปที่ใบหน้าที่แดงก่ำและมีเสน่ห์ของเธอ ไม่มีที่ว่างให้คิด ไม่ต้องพูดถึงลมหายใจ

 

“เอ่อออ… เราไปกันได้ยัง…?” ผู้กล้าพูดขึ้น

“จ-จริงด้วย โทษที” ผมถอยห่างออกจากเลฟี่อย่างเร่งรีบพลางพยักหน้าตอบผู้กล้า “เราควรจะไปกันได้แล้ว เสียเวลากับที่นี้มากเกินไปแล้ว”

“เราก็คิดเช่นนั้น” เลฟี่พูด หลังจากใบหน้ากลับไปเป็นปกติแล้ว “เราต้องการเนื้อย่างซักไม้จัง”

 

ฟังดูดีนะ ผมที่กำลังจะพูดตอบเลฟี่นั้น ถูกหยุดลงโดยคนติดอาวุธจำนวนมากที่โถมเข้ามาจากทางเข้าของซอย

 

“เราเป็นทหารของเอลฟิโร ถ้ามีการขัดขื่นเราจะถือว่าพวกคุณมีความผิดและเริ่มใช้กำลังในทันที!”

 

อืม ใช้เวลาในที่นี้มากเกินไปจริงๆด้วย

 

ผมเบือนหน้าหนีทหารติดอาวุธที่เข้ามาทักพวกเรา ก่อนที่จะไปสังเกตเห็นชายคนนึงที่ค่อนข้างคุ้นตา

 

“หือ? โอ้! นายมันคนจากในป่าเมื่อตอนนั้นนี้น่า?”

“ห๊ะ!? แล้วนายคือ—”

“หยุดเดี๋ยวก่อน” ผมพูดตัดบทเขา “มันจะดีกว่าถ้านายไม่พูดสิ่งที่คิดออกมา เพื่อประโยชน์ของเราทั้งคู่ละนะ”

 

ทหารที่ผมทักเป็นคนเดียวกับที่หนีออกมาจากการสังหารหมู่ของผมได้ และเป็นเพียงทหารในกองทัพคนเดียวที่ผมยุ่งเกี่ยวด้วย

 

“…คุณมาทอะไรที่นี้?” ทหารถาม เขาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ แต่น้ำเสียงก็มีความกังวลออกมาอย่างชัดเจน

“ก็นะ มีธุระนิดหน่อยนะ กำลังคิดว่าจะไปทักทายกับเจ้าเมืองอยู่พอดีด้วย”

“นั้นเป็นเหตุผลที่นายอยากมาเอลฟิโร่หรอ ยูกิ?” เนลล์ถาม

“ก็ ชั้นรู้จักกับเขาอยู่ระดับนึงละนะ”

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว แล้วพวกนี้เป็นใครกัน?”  

“ไม่รู้สิ จู่ๆก็เข้ามาโจมตีกันเฉยเลย ชั้นก็เลยป้องกันตัวไป”

“หัวหน้าครับ” มีทหารคนนึงวิ่งมากระซิบข้างหูเขา

“พวกนี้เป็นคนร้ายที่ก่อคดีอยู่หลายคดีอยู่ครับท่าน”

 

หัวหน้าหน่วยพยักหน้าก่อนจะออกคำสั่ง “ทหารทุกนาย ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ารับผิดชอบเก็บกวาดพื้นที่นี้ตามที่เห็นสมควร”

 

จากนั้นเขาก็หันมาหาผมและเริ่มพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อยในขณะที่เก็บอาวุธ “ดูเหมือนว่าคุณต้องมาจัดการกับแขกที่หยาบคายสองสามคน ปกติผมอยากจะพาคุณไปที่สำนักงานของเราและขอรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ดูเหมือนว่าคุณกำลังมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ของท่านเจ้าเมือง ดังนั้นผมจะพาคุณไปที่นั่นแทน ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”

 

ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฎิเสธนี้นะ ผมมองไปยังเพื่อนร่วมทางทั้งสองว่าจะมีปัญหาอะไรไหม แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไร  

 

“เราอยากจะไปกินเนื้อย่างต่อซะมากกว่า…” เลฟี่พึมพำ โอเค ผมขอถอนคำพูด ดูเหมือนจะมีคนต่อต้านแหะ

 

แย่หน่อยที่ผมตัดสินใจไปแล้ว เดี๋ยวชั้นจะซื้อให้ที่หลังแล้วกัน ดังนั้นช่วยอดทนรอต่อไปอีกซักหน่อยนะ

 

TL:พอแปลตอนนี้จบแล้วทำไมถึงรู้สึกว่าน้ำตาลในเลือดมันสูงขึ้นกันนะจิ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+