Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 66 การเยี่ยมชมคฤหาสน์ของเจ้าเมืองครั้งที่สอง
“ว่าไง ตาแก่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“คุณกลับมาสินะครับ…นี้คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ”
ผมกับเลฟีพบว่าตัวเองอยู่ในห้องรับแขกที่ดูคุ้นเคย เป็นแบบเดียวกับที่เราเคยมาตอนที่เกิดเรื่องของอิลูน่า สิ่งที่ต่างออกไปคือ เรามีผู้กล้ามาด้วย
และก็มีรายละเอียดเล็กน้อยที่ต่างออกไปด้วย เช่น เจ้าเมืองที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเรา เหมือนจะดูแก่ขึ้นจากรอบก่อนที่เจอกัน เหมือนว่าผมจะหายไปแทบนึง รอยตีนกาบนหน้าก็เพิ่มขึ้น หน้าก็ดูเครียดๆ สงสัยเป็นเรื่องทางสังคมมั้ง แต่ไม่ต้องห่วงนะพวก ชั้นเข้าใจนายดี รู้ว่าผ่านอะไรมาเยอะละสิ ดังนั้นชั้นจะไม่พูดชี้จุดหรอกนะ เดี๋ยวก่อนนะ หมอนี้มันชื่ออะไรหว่า?เรย์โลวละมั้ง…? ไหนดูสิ…..โอเค เรย์โลวถูกล่ะ ขอบคุณนะวิเคราะณ์
“ผมคาดเอาไว้แล้วว่าคุณมาเพื่อการแก้แค้น”
“เอ่อ… อะไรนะ?”
“ผมทำเท่าที่ทำได้เพื่อห้ามไม่ให้พวกเขาบุกป่าต้องห้ามแล้ว แต่อย่างคุณรู้ครับ ผมล้มเหลว เป็นความผิดของผมคนเดียว ผมเข้าใจว่าคุณต้องโกรธ คุณจะปลิดชีวิตผมก็ได้ถ้ามันจะทำให้ความโกรธของคุณสงบลง ผมเต็มใจที่จะสละตัวเองจากความผิดพลาดของตัวเอง แต่ได้โปรด โปรดไว้ชีวิตชาวเมืองด้วยเถอะครับ”
ตาแก่หลับตา ประสานมือเข้าด้วยกัน และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมแต่มั่นคง
“จ-ใจเย็นก่อนพวก” ผมพูดติดอ่าง “นายเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ชั้นไม่ได้มีความคิดจะทำอะไรแบบนั้นซะหน่อย ชั้นมาที่นี้เพื่อคุยแค่นั้นเอง”
ดูเหมือนตาแก่นี้จะคิดว่าผมเป็นพวกชอบการฆ่าฟันไปซะแล้ว ไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหนกันเนี่ย? ให้ตายสิ คิดเองเออเองกันเกินไปแล้ว
“คุณไม่ได้มาเพื่อแก้แค้นหรอครับ?”
“ไม่ใช่”
เมื่อต่าแก่ได้ยินคำตอบของผม เขาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“รู้สึกดีจริงๆที่ได้ยินอย่างนั้น และผมต้องขอโทษด้วยที่ด่วนสรุปไป”
“ขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าชั้นไม่ได้ชอบการฆ่าฟัน นายกับชั้นเราก็ไม่ได้ต่างกันหรอก ที่ต้องการจะใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่ก็มีบางพวกที่ไม่คิดแบบนั้น และก็พยายามจะมายุ่งเรื่องของคนอื่นเขาไปทั่ว ชั้นเลยมาที่นี้เพื่อหาตัวว่าเป็นใคร และที่ชั้นรู้คือต้องเป็นพวกที่ราชการต้องรู้จัก และมีสัมพันธ์กันระดับนึงเลยด้วย”
“…และเหตุผลอะไรกันที่นำคุณไปสู่ข้อสรุปนั้นกันครับ?” ตาแก่เลือกใช้คำอย่างระมันระวังเพื่อไม่ให้เป็นการปฏิเสธหรือยืนยันข้อสันนิษฐานของผม
“ก็แน่นอนอยู่แล้ว ชั้นถูกบุกโจมตีอยู่สองครั้ง ครั้งแรกมาในรูปแบบกองทัพ ส่วนรอบสองมาในรูปแบบผู้กล้า หรือก็คือ ไอคนที่ซักใยอยู่เบื้องหลังต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากพอที่ไม่ใช่แค่ขับเคลื่อนกองทัพได้ แต่ยังสามารถกดดันให้โบสท์ส่งนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ด้วย ปกติพวกโบสท์หรือกลุ่มลัทธิจะมีอำนาจของตัวเองที่สูงอยู่แล้ว ทำให้มีแต่อำนาจที่มากกว่าเท่านั้นที่จะกดดันทางโบสท์ได้ และสิ่งเดียวที่ชั้นนึกออกก็คือพวกรัฐบาล”
“ผู้กล้า?” เรย์โลวถามโดยน้ำเสียงที่แปลกใจ
“อะไรกัน ไม่รู้หรอกหรอ? ก็ เธอยืนอยู่ตรงนี้ไง งั้น… ทำไมเธอไม่แนะนำตัวเองซักหน่อยละ เนลล์?”
“…นี้นายจำเป็นต้องใช้ฉันจริงๆหรอ? ฉันไม่ชอบที่นายทำแบบนี้เลยนะ” ผู้กล้าส่งสายตาตำหนิผม ก่อนจะหันหน้าไปทางเจ้าเมือง
“สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้พูดอะไรก่อนหน้านี้ แต่ฉันเป็นสมาชิกของ ภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ฟอลเดียน และเป็นผู้กล้าของยุคนี้ค่ะ”
“อะไรนะ!?” เจ้าเมืองตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “อะแฮ้ม ขอโทษด้วยครับ”
ตาแก่หลี่ตาลงและเพ่งความสนใจไปที่ผู้กล้าอยู่พักนึง ถ้าสังเกตใบหน้าดูดีๆก็จะรู้ได้ว่าเขาใช้วิเคราะห์เพื่อดูข้อมูลของเธออยู่ ถึงจะเป็นการกระทำเพื่อบ้านเมืองก็เถอะ แต่การไปแอบดูข้อมูลส่วนตัวของคนอื่นเขาก็เป็นเรื่องที่ไม่งามเท่าไหร่นา
“เป็นเรื่องจริงสินะครับ…แต่ช่วยบอกผมทีท่านผู้กล้า ทำไมถึงได้มากับจอมมารได้กันละ?”
“ก็นะ…” ผู้กล้าไหล่ตกพร้อมกับเริ่มเล่าเรื่องของเธอ “จะให้สรุปสั้นๆก็ ฉันถูกส่งไปกำจัดเขา แต่แทนที่จะฆ่าฉัน เขากับเข้ามาคุยกับฉันแทน และสิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับข้อมูลที่ฉันได้รับมา ฉันเลยตัดสินใจมาที่นี้เพื่อหาความจริงด้วยตัวเอง แต่เขาบอกว่าอยากจะติดมาด้วย ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น…”
“น่าสงสารจริงๆ” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเห็นใจ “ต้องเป็นการเดินทางที่เคร่งเครียดมากแน่ๆ”
“อืมม…” ผู้กล้าพูดเบาๆพร้อมกับดวงตาที่มองไปยังที่ห่างไกล “เครียดจริงๆนั้นแหละ…”
อะไรกันพวก? ทำอย่างกับว่าชั้นเป็นต้นเหตุของความเครียดไปได้
“แต่ต้องขอพูดเลยนะ การให้ผู้กล้าเคลื่อนไหวกับเรื่องแค่นี้มันยอมรับไม่ได้ พวกนั้นไม่เข้าใจหรือไงว่าเราต้องดูแลคุณให้ปลอดภัยและเรียกใช้ในยามเกิดวิกฤตระดับประเทศเท่านั้น? เจ้าพวกโง่พวกนั้น! เป็นบ้าอะไรของมันกัน!?”
เขาเริ่มจากการพูดแบบเงียบๆมาเป็นเกรี้ยวกราดอย่างไวเลย แถมมีการทุบโต๊ะเพิ่มไปอีก เหมือนจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้แหะ ความเครียดสะสมแหละนะ
“ใจเย็นก่อนตาแก่” ผมพูด “ถ้านายไม่คุมอารมณ์ตัวเอง เดี๋ยวเราก็ไม่ได้ไปไหนกันพอดี”
“…ขอโทษด้วย” เขาใจเย็นลงหลังจากถอนหายใจเฮื้อกใหญ่ ให้ตายสิ ทำไมชั้นต้องเป็นคนค่อยคุมสติเขาด้วยเนี่ย?
“แล้วใครกันที่เป็นคนรับผิดชอบเรื่องกองทพกับผู้กล้าละ?”
“นั้น… ผมพูดไม่ได้ครับ”
“นายพูดไม่ได้? มันหมายความว่ายังไง?” ผมจ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็นและปล่อยพลังเวทออกมากดดัน
เลฟี่ไม่ได้มีท่าทีอะไรกับพลังเวทที่พวยพุ่งออกมา แต่ผู้กล้าพุ่งตัวออกจากโซฟาและเตรียมตั่งท่ารับมือ เจ้าเมืองมองไปทางผู้กล้าเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตามาทางผมและให้คำตอบตรงๆกับผม ถึงแม้จะมีเหงื่อไหลอาบใบหน้าก็ตาม.
“ความภักดีของผมอยู่กับประเทศนี้ จอมมาร มันเป็นบ้านเกิดของผม ผมไม่สามารถมอบข้อมูลที่จะเป็นการนำภัยมาสู่ประเทศได้ ไม่ว่ามันจะทำให้คุณโกรธแค่ไหนก็ตาม”
“ถึงแม้มันจะทำให้ชั้นลบเมืองๆนี้ทิ้งไปก็ได้งั้นหรอ?”
“ถึงอย่างงั้น คำตอบของผมก็ยังคงเหมือนเดิม” คำตอบของเขานั้นเด็ดขาด เขาเริ่มบทสนทนาโดยบอกว่าชีวิตของประชาชนสำคัญกว่าตัวเขาเอง และตอนนี้เขาก็ยอมที่จะเสียสละพวกเขาเพื่อประเทศ เพื่อแสดงถึงจุดยืนที่ชัดเจนของเขา แม้มันจะนำพาความตายมาให้ก็ตามที
ช่วงเวลาแห่งความเงียบครอบคุมพวกเรา
“ก็ได้ นายชนะ” ผมถอนหายใจเบาๆ หยักไหล่ และลดพลังเวทลง “ขอบคุณที่ต้อนรับพวกเรา ไปกันเถอะเลฟี่ ไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่ที่นี้อีกแล้ว”
“เจ้าแน่ใจนะ?” เลฟี่ถาม
“อา ไปหาเนื้อย่างกินกันไหม? ชั้นจำได้ว่าเธอบ่นอย่างกินนิ”
“เป็นคำแนะนำที่ยอดเยี่ยม เราอยากจะลิ้มรสของพวกนั้นอยู่พอดีด้วย”
“คุณจะไม่… โจมตีพวกเราจริงๆหรอ?” เจ้าเมืองถามผมในสภาพที่กำลังตกตะลึงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของผม
“ก็ตามนั้นแหละ มันจะได้อะไรล่ะ? ยังไงนายก็ไม่คิดจะพูดอยู่แล้วไม่ว่าชั้นจะทำอะไร นอกจากชมวิว ที่นี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว ชั้นก็อยากจะทำเรื่องให้จบๆและกลับบ้านแล้วด้วย”
ส่วนหนึ่งผมก็ประทับใจในความมั่นคงของเขานะ การที่ยังยึดถือความเชื่อมั่นของตัวเองเอาไว้ได้แม้จะโดนแรงกดดันขนาดนั้น เป็นอะไรที่ผมต้องยอมรับในฐานะลูกผู้ชายจริงๆ
“แล้วต่อจากนี้เธอมีแผนอะไรละ เนลล์?” ผมหันไปถามผู้กล้า
“เอ่ออ… ฉันหรอ? ก็…” เธอผ่อนคลายตัวเองลงและย้ายมือจากด้ามดาบมาที่คาง
“ฉันว่าจะอยู่ที่นี้อีกพักนึงนะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเจ้าเมืองเขา”
“โอเค แต่ชั้นยังอยากให้เธอเป็นไกลด์นำเที่ยวให้อยู่ งั้นพรุ่งนี้มานัดเจอกันซักที่ได้ไหม?”
“เอ่ออ… ได้สิ”
Comments
Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 66 การเยี่ยมชมคฤหาสน์ของเจ้าเมืองครั้งที่สอง
“ว่าไง ตาแก่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“คุณกลับมาสินะครับ…นี้คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ”
ผมกับเลฟีพบว่าตัวเองอยู่ในห้องรับแขกที่ดูคุ้นเคย เป็นแบบเดียวกับที่เราเคยมาตอนที่เกิดเรื่องของอิลูน่า สิ่งที่ต่างออกไปคือ เรามีผู้กล้ามาด้วย
และก็มีรายละเอียดเล็กน้อยที่ต่างออกไปด้วย เช่น เจ้าเมืองที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเรา เหมือนจะดูแก่ขึ้นจากรอบก่อนที่เจอกัน เหมือนว่าผมจะหายไปแทบนึง รอยตีนกาบนหน้าก็เพิ่มขึ้น หน้าก็ดูเครียดๆ สงสัยเป็นเรื่องทางสังคมมั้ง แต่ไม่ต้องห่วงนะพวก ชั้นเข้าใจนายดี รู้ว่าผ่านอะไรมาเยอะละสิ ดังนั้นชั้นจะไม่พูดชี้จุดหรอกนะ เดี๋ยวก่อนนะ หมอนี้มันชื่ออะไรหว่า?เรย์โลวละมั้ง…? ไหนดูสิ…..โอเค เรย์โลวถูกล่ะ ขอบคุณนะวิเคราะณ์
“ผมคาดเอาไว้แล้วว่าคุณมาเพื่อการแก้แค้น”
“เอ่อ… อะไรนะ?”
“ผมทำเท่าที่ทำได้เพื่อห้ามไม่ให้พวกเขาบุกป่าต้องห้ามแล้ว แต่อย่างคุณรู้ครับ ผมล้มเหลว เป็นความผิดของผมคนเดียว ผมเข้าใจว่าคุณต้องโกรธ คุณจะปลิดชีวิตผมก็ได้ถ้ามันจะทำให้ความโกรธของคุณสงบลง ผมเต็มใจที่จะสละตัวเองจากความผิดพลาดของตัวเอง แต่ได้โปรด โปรดไว้ชีวิตชาวเมืองด้วยเถอะครับ”
ตาแก่หลับตา ประสานมือเข้าด้วยกัน และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมแต่มั่นคง
“จ-ใจเย็นก่อนพวก” ผมพูดติดอ่าง “นายเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ชั้นไม่ได้มีความคิดจะทำอะไรแบบนั้นซะหน่อย ชั้นมาที่นี้เพื่อคุยแค่นั้นเอง”
ดูเหมือนตาแก่นี้จะคิดว่าผมเป็นพวกชอบการฆ่าฟันไปซะแล้ว ไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหนกันเนี่ย? ให้ตายสิ คิดเองเออเองกันเกินไปแล้ว
“คุณไม่ได้มาเพื่อแก้แค้นหรอครับ?”
“ไม่ใช่”
เมื่อต่าแก่ได้ยินคำตอบของผม เขาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“รู้สึกดีจริงๆที่ได้ยินอย่างนั้น และผมต้องขอโทษด้วยที่ด่วนสรุปไป”
“ขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าชั้นไม่ได้ชอบการฆ่าฟัน นายกับชั้นเราก็ไม่ได้ต่างกันหรอก ที่ต้องการจะใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่ก็มีบางพวกที่ไม่คิดแบบนั้น และก็พยายามจะมายุ่งเรื่องของคนอื่นเขาไปทั่ว ชั้นเลยมาที่นี้เพื่อหาตัวว่าเป็นใคร และที่ชั้นรู้คือต้องเป็นพวกที่ราชการต้องรู้จัก และมีสัมพันธ์กันระดับนึงเลยด้วย”
“…และเหตุผลอะไรกันที่นำคุณไปสู่ข้อสรุปนั้นกันครับ?” ตาแก่เลือกใช้คำอย่างระมันระวังเพื่อไม่ให้เป็นการปฏิเสธหรือยืนยันข้อสันนิษฐานของผม
“ก็แน่นอนอยู่แล้ว ชั้นถูกบุกโจมตีอยู่สองครั้ง ครั้งแรกมาในรูปแบบกองทัพ ส่วนรอบสองมาในรูปแบบผู้กล้า หรือก็คือ ไอคนที่ซักใยอยู่เบื้องหลังต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากพอที่ไม่ใช่แค่ขับเคลื่อนกองทัพได้ แต่ยังสามารถกดดันให้โบสท์ส่งนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ด้วย ปกติพวกโบสท์หรือกลุ่มลัทธิจะมีอำนาจของตัวเองที่สูงอยู่แล้ว ทำให้มีแต่อำนาจที่มากกว่าเท่านั้นที่จะกดดันทางโบสท์ได้ และสิ่งเดียวที่ชั้นนึกออกก็คือพวกรัฐบาล”
“ผู้กล้า?” เรย์โลวถามโดยน้ำเสียงที่แปลกใจ
“อะไรกัน ไม่รู้หรอกหรอ? ก็ เธอยืนอยู่ตรงนี้ไง งั้น… ทำไมเธอไม่แนะนำตัวเองซักหน่อยละ เนลล์?”
“…นี้นายจำเป็นต้องใช้ฉันจริงๆหรอ? ฉันไม่ชอบที่นายทำแบบนี้เลยนะ” ผู้กล้าส่งสายตาตำหนิผม ก่อนจะหันหน้าไปทางเจ้าเมือง
“สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้พูดอะไรก่อนหน้านี้ แต่ฉันเป็นสมาชิกของ ภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ฟอลเดียน และเป็นผู้กล้าของยุคนี้ค่ะ”
“อะไรนะ!?” เจ้าเมืองตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “อะแฮ้ม ขอโทษด้วยครับ”
ตาแก่หลี่ตาลงและเพ่งความสนใจไปที่ผู้กล้าอยู่พักนึง ถ้าสังเกตใบหน้าดูดีๆก็จะรู้ได้ว่าเขาใช้วิเคราะห์เพื่อดูข้อมูลของเธออยู่ ถึงจะเป็นการกระทำเพื่อบ้านเมืองก็เถอะ แต่การไปแอบดูข้อมูลส่วนตัวของคนอื่นเขาก็เป็นเรื่องที่ไม่งามเท่าไหร่นา
“เป็นเรื่องจริงสินะครับ…แต่ช่วยบอกผมทีท่านผู้กล้า ทำไมถึงได้มากับจอมมารได้กันละ?”
“ก็นะ…” ผู้กล้าไหล่ตกพร้อมกับเริ่มเล่าเรื่องของเธอ “จะให้สรุปสั้นๆก็ ฉันถูกส่งไปกำจัดเขา แต่แทนที่จะฆ่าฉัน เขากับเข้ามาคุยกับฉันแทน และสิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับข้อมูลที่ฉันได้รับมา ฉันเลยตัดสินใจมาที่นี้เพื่อหาความจริงด้วยตัวเอง แต่เขาบอกว่าอยากจะติดมาด้วย ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น…”
“น่าสงสารจริงๆ” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเห็นใจ “ต้องเป็นการเดินทางที่เคร่งเครียดมากแน่ๆ”
“อืมม…” ผู้กล้าพูดเบาๆพร้อมกับดวงตาที่มองไปยังที่ห่างไกล “เครียดจริงๆนั้นแหละ…”
อะไรกันพวก? ทำอย่างกับว่าชั้นเป็นต้นเหตุของความเครียดไปได้
“แต่ต้องขอพูดเลยนะ การให้ผู้กล้าเคลื่อนไหวกับเรื่องแค่นี้มันยอมรับไม่ได้ พวกนั้นไม่เข้าใจหรือไงว่าเราต้องดูแลคุณให้ปลอดภัยและเรียกใช้ในยามเกิดวิกฤตระดับประเทศเท่านั้น? เจ้าพวกโง่พวกนั้น! เป็นบ้าอะไรของมันกัน!?”
เขาเริ่มจากการพูดแบบเงียบๆมาเป็นเกรี้ยวกราดอย่างไวเลย แถมมีการทุบโต๊ะเพิ่มไปอีก เหมือนจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้แหะ ความเครียดสะสมแหละนะ
“ใจเย็นก่อนตาแก่” ผมพูด “ถ้านายไม่คุมอารมณ์ตัวเอง เดี๋ยวเราก็ไม่ได้ไปไหนกันพอดี”
“…ขอโทษด้วย” เขาใจเย็นลงหลังจากถอนหายใจเฮื้อกใหญ่ ให้ตายสิ ทำไมชั้นต้องเป็นคนค่อยคุมสติเขาด้วยเนี่ย?
“แล้วใครกันที่เป็นคนรับผิดชอบเรื่องกองทพกับผู้กล้าละ?”
“นั้น… ผมพูดไม่ได้ครับ”
“นายพูดไม่ได้? มันหมายความว่ายังไง?” ผมจ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็นและปล่อยพลังเวทออกมากดดัน
เลฟี่ไม่ได้มีท่าทีอะไรกับพลังเวทที่พวยพุ่งออกมา แต่ผู้กล้าพุ่งตัวออกจากโซฟาและเตรียมตั่งท่ารับมือ เจ้าเมืองมองไปทางผู้กล้าเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตามาทางผมและให้คำตอบตรงๆกับผม ถึงแม้จะมีเหงื่อไหลอาบใบหน้าก็ตาม.
“ความภักดีของผมอยู่กับประเทศนี้ จอมมาร มันเป็นบ้านเกิดของผม ผมไม่สามารถมอบข้อมูลที่จะเป็นการนำภัยมาสู่ประเทศได้ ไม่ว่ามันจะทำให้คุณโกรธแค่ไหนก็ตาม”
“ถึงแม้มันจะทำให้ชั้นลบเมืองๆนี้ทิ้งไปก็ได้งั้นหรอ?”
“ถึงอย่างงั้น คำตอบของผมก็ยังคงเหมือนเดิม” คำตอบของเขานั้นเด็ดขาด เขาเริ่มบทสนทนาโดยบอกว่าชีวิตของประชาชนสำคัญกว่าตัวเขาเอง และตอนนี้เขาก็ยอมที่จะเสียสละพวกเขาเพื่อประเทศ เพื่อแสดงถึงจุดยืนที่ชัดเจนของเขา แม้มันจะนำพาความตายมาให้ก็ตามที
ช่วงเวลาแห่งความเงียบครอบคุมพวกเรา
“ก็ได้ นายชนะ” ผมถอนหายใจเบาๆ หยักไหล่ และลดพลังเวทลง “ขอบคุณที่ต้อนรับพวกเรา ไปกันเถอะเลฟี่ ไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่ที่นี้อีกแล้ว”
“เจ้าแน่ใจนะ?” เลฟี่ถาม
“อา ไปหาเนื้อย่างกินกันไหม? ชั้นจำได้ว่าเธอบ่นอย่างกินนิ”
“เป็นคำแนะนำที่ยอดเยี่ยม เราอยากจะลิ้มรสของพวกนั้นอยู่พอดีด้วย”
“คุณจะไม่… โจมตีพวกเราจริงๆหรอ?” เจ้าเมืองถามผมในสภาพที่กำลังตกตะลึงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของผม
“ก็ตามนั้นแหละ มันจะได้อะไรล่ะ? ยังไงนายก็ไม่คิดจะพูดอยู่แล้วไม่ว่าชั้นจะทำอะไร นอกจากชมวิว ที่นี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว ชั้นก็อยากจะทำเรื่องให้จบๆและกลับบ้านแล้วด้วย”
ส่วนหนึ่งผมก็ประทับใจในความมั่นคงของเขานะ การที่ยังยึดถือความเชื่อมั่นของตัวเองเอาไว้ได้แม้จะโดนแรงกดดันขนาดนั้น เป็นอะไรที่ผมต้องยอมรับในฐานะลูกผู้ชายจริงๆ
“แล้วต่อจากนี้เธอมีแผนอะไรละ เนลล์?” ผมหันไปถามผู้กล้า
“เอ่ออ… ฉันหรอ? ก็…” เธอผ่อนคลายตัวเองลงและย้ายมือจากด้ามดาบมาที่คาง
“ฉันว่าจะอยู่ที่นี้อีกพักนึงนะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเจ้าเมืองเขา”
“โอเค แต่ชั้นยังอยากให้เธอเป็นไกลด์นำเที่ยวให้อยู่ งั้นพรุ่งนี้มานัดเจอกันซักที่ได้ไหม?”
“เอ่ออ… ได้สิ”
Comments