ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 8 2
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 8 ตอนที่ 2
เดมยังหันหน้าหนีไปด้วยรอยยิ้มแหย ๆ ดูทำหน้าเข้าสิ คิ้วของมารุกระตุกขึ้นเพราะความรำคาญ คราวนี้เขาจึงดึงเดมยังให้หันกลับมาหา เขาทำเรื่องอะไรแบบนี้ได้ค่อนข้างรวดเร็ว เพราะพ่อของเขาเป็นนักมวย มารุเองก็ได้เล่นกีฬาหลาย ๆ อย่างในช่วงวัยรุ่น แน่นอนว่าพอแก่ตัวลง เขาก็อ้วนลงพุง แต่ความเร็วของการตอบสนองนั้นยังไม่หายไป
“ถ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ” เพราะถ้าไม่บอกตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสหน้าอีกแล้ว
มารุรู้สึกสงสารเดมยัง ปีแรกของมัธยมปลายน่ะ เป็นปีที่นักเรียนจะได้เป็นอิสระ ช่วงเวลาที่จะสามารถจดจ่อและสนุกไปกับอะไรบางอย่างได้เต็มที่ มารุรู้สึกขอบคุณชีวิต ที่ทำให้เขาได้มีโอกาสที่สอง แต่เขารู้ว่าเดมยังไม่ได้มีโอกาสแบบนี้ เขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องใช้ชีวิตอยู่กับความอับอายและความหวาดกลัว เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
โชคดีที่เดมยังดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่มารุอยากสื่อได้ จากน้ำเสียง
“ฉันอยากเข้าชมรมการแสดง”
“แกด้วย?” โดจินตอบกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ ส่วนเดมยังก็พยักหน้ารับ
“ก็ พวกปีสองบอกเราไว้ไม่ใช่เหรอ? ว่าหน้าตาไม่เกี่ยงน่ะ”
มารุรู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มต้องรวบรวมความกล้ามามากถึงจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ มันทำให้เขารู้สึกภูมิใจนิด ๆ จริง ๆ แล้วการที่จะทำให้ใครสักคนเปลี่ยนแปลงไปได้นั้น มันยากเหลือเกิน มารุเองก็ไม่ค่อยชอบคนที่จมปลักไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น มารุจึงคิดว่าความกล้าหาญของเดมยังนั้นน่าชื่นชม
‘จะว่าไป กายุล เองก็น่าจะอายุประมาณนี้ล่ะมั้ง?’
ฮาน กายุล นั้นคือลูกสาวของมารุในชาติก่อน เขายังจำเรื่องนี้ได้ดีแม้ความทรงจำอื่น ๆ จะลบเลือนไปแล้ว
[พ่อ เด็กคนอื่นบอกว่าชื่อหนูเพราะด้วยแหละ]
ทันทีที่เขานึกถึงเสียงของลูกสาวขึ้นมา มารุก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่อก เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ? เธอจะหายไปพร้อมกับโลกเหรอ หรือเธอจะยังคงใช้ชีวิตต่อไปในโลกที่ไม่มีเขาแล้ว?
“เห้ย เป็นไร?” โดจินตบบ่าเขาเบา ๆ
มารุปัดมือเป็นท่าทางว่าไม่มีอะไร และใช้แขนทั้งสองข้างโอบคอของสองหนุ่มเอาไว้
“ไปกัน”
มารุยกเท้าขึ้นเล็กน้อย ทำให้ทั้งสองคนต้องทำหน้านิ่ว
“โอ้ย หนัก”
“ม-มารุ”
“ไปกันเลยเถอะ จะว่าไป พวกแกเคยรู้ชื่อกันรึยัง?” มารุหันไปถาม เดมยังพยักหน้า ส่วนโดจินส่ายหัว
“ฮาน โดจิน นี่ ปาร์ค เดมยัง ปาร์ค เดมยัง นี่ ฮาน โดจิน เยี่ยม ๆ เท่านี้ฉันก็ได้ลูกน้องหมายเลข 1 กับหมายเลข 2 มาแล้ว”
“เลิกพูดอะไรไร้สาระสักที”
“ลูกน้อง?”
มารุรัดคอทั้งคู่แน่นขึ้นอีก
‘สักวันฉันคงได้เจอพวกเขาอีก ทั้งภรรยาและลูกของฉัน’ เขาคิดในใจ
เพราะงั้น… ตอนนี้จดจ่ออยู่กับปัจจุบันดีกว่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินขึ้นไปบนชั้น 4 พร้อมกับโดจินและเดมยัง
* * *
ยูนจังรู้สึกประทับใจมากที่มีเด็กสนใจจะเข้าร่วมชมรมของเธอถึง 15 คน มันทำให้เธอดีใจสุด ๆ จนถึงขนาดที่อยากจะโดดเข้าไปกอดรายคนเลย เพราะก่อนหน้านี้เธอกังวลใจมาก ๆ ว่าถ้าไม่มีใครมาเลยล่ะ? ถ้าการเตรียมการทั้งหมดนี้มันสูญเปล่าล่ะ? แต่สุดท้ายพวกเขาก็มา มากันตั้ง 15 คนด้วย
‘เย้’ ยูนจังตะโกนกึกก้องอยู่ภายในจิตใจ เธอกระแอมเล็กน้อยเพื่อรวบรวมความสนใจก่อนจะก้าวออกไปด้านหน้า ปีหนึ่งทุกคนต่างหันมามองที่เธอด้วยท่าทีสนใจ
“พวกเธออยากเข้าชมรมใช่ไหม?” เธอถาม
“ใช่”
มีเสียงตอบรับกลับมาเพียงน้อยนิด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา พวกเขาแค่กำลังอาย ถ้าได้ฝึกสักหน่อย พวกเขาจะต้องหัวเราะร่าเริงได้เหมือนก่อนแน่ ๆ ใช่ เหมือนเมื่อก่อน
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเคยแนะนำตัวไปแล้วก็จริง แต่จะขอแนะนำตัวอีกครั้ง ฉันประธานชมรมการแสดง ลี ยูนจัง ปีสอง เอกคอมพิวเตอร์”
“…”
เหล่าปีหนึ่งดูท่าทางจะงงเล็กน้อยกับการแนะนำตัว ไม่ได้การ ยูนจังจึงเรียกให้ทั้งหมดเข้ามาในห้องก่อนบรรยากาศจะอึดอัดไปมากกว่านี้
“เข้ามาข้างในได้เลย นี่ห้องชมรมเรา”
ในห้องมีที่พอสำหรับคน 15 คนได้เพราะการทำความสะอาดที่เพิ่งเสร็จไปหยก ๆ การตัดสินใจเก็บกวาดห้องนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วจริง ๆ ตอนนั้นเองที่เธอดันเหลือบไปเห็นถุงน่องตาข่ายติดอยู่ที่พื้น มันเป็นอุปกรณ์ที่พวกเธอใช้ในการแสดงที่ผ่านมา
“ฮึบ” เธอเตะมันเข้าไปในซอกของห้องด้วยเท้า
ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรแบบนี้มาแสดงให้พวกปีหนึ่งดูหรอก โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิงด้วย
‘ผู้ชาย 6 ผู้หญิง 9 เหรอ… ไม่เลวเลย’
แถมทุกคนยังหน้าตาท่าทางแตกต่างกันชัดเจน แบบนี้แหละถึงจะดี เพราะยิ่งนักแสดงมีเอกลักษณ์ การแสดงก็จะยิ่งน่าสนใจ ยูนจังตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ามีเด็กพวกนี้มาเล่นด้วยต้องสนุกมากแน่ ๆ และด้วยจำนวนคนในชมรมถึง 19 คน… พวกเขาคงทำอะไรได้เยอะแยะ คนนั้นดูท่าจะพูดเก่ง คนนั้นคงงานฝีมือดี? คนนั้น…
“ขอโทษนะคะ” เด็กสาวคนหนึ่งยกมือขึ้น
“อ่า คะ มีคำถามเหรอ?” ยูนจังตอบ
“ค่ะ มีค่ะ”
“ถามมาได้เลยน้อง เดี๋ยวพี่ตอบให้”
“เห็นว่ามีประชุมทุกกันวันเสาร์ และก็มีการซ้อมประจำเดือนด้วย”
“ใช่”
“แล้วการซ้อมนี่ ปกติจะเลิกกันกี่โมงคะ?”
เด็กสาวมีท่าทีสงสัย คำถามนี้ทำเอาอารมณ์ของยูนจังตกวูบ ใช่ บ้าน กลับบ้านก็สำคัญนี่เนอะ แต่… มันควรเป็นคำถามแรกเหรอ? ถามจริง? ยังดีที่เดนมิตอบออกไปแทน
“ไม่ค่อยแน่นอนหรอก” เดนมิกล่าว
“ไม่แน่นอน?” นักเรียนหญิงคนนั้นดูมีท่าทีตกใจ
“ใช่ อย่างที่บอกไปว่าชมรมนี้น่ะ ต้องซ้อมกันหนักมาก นักแสดงก็ต้องแสดง ผู้กำกับเวทีก็ต้องทำฉากและกำกับเรื่องเวลา บางครั้งก็ต้องทำทั้งสองอย่างไปคู่กัน”
“แล้ว เลิกเมื่อไหร่เหรอคะ?”
“อ่า… เรื่องนั้น…”
“เลิกตามที่บอกรึเปล่าคะ? เขียนไว้ว่าวันเสาร์เลิก บ่าย 3 ส่วนวันซ้อมเลิก 5 โมงเย็น”
“มันไม่ค่อยจะตรงตามนั้นหรอก เพราะยิ่งการแสดงยากและละเอียดแค่ไหน เราก็ยิ่งต้องอยู่ล่วงเวลาไปเท่านั้น เพราะแบบนั้น…”
“อ่า เข้าใจแล้วค่ะ”
เด็กสาวถอยหลังกลับ เธอดูหมดความสนใจทันที จากนั้นเธอก้มลงเล่นโทรศัพท์พักหนึ่งก่อนจะขอตัวออกไป
“ขอโทษนะคะ คงไม่ไหว”
“งั้นเหรอ?”
“ก็อยากจะทำอยู่หรอกนะ แต่ขอโทษด้วย”
ยูนจังรู้สึกมีน้ำโหหลังได้ยินคำพูดนั้น อยากทำอยู่? ถ้าอยากทำจริง ๆ ก็ทิ้งทุกอย่างไปแล้วลงมือทำสิ คนที่อยากจะทำจริง ๆ คงไม่มาสนใจเรื่องเวลาเลิกหรอก
‘ไม่สิ’ ยูนจังหยุดความคิดตัวเอง ‘เราไม่ได้รู้จักชีวิตของเธอสักหน่อย เธออาจจะต้องไปช่วยงานพ่อแม่หลังเลิกเรียนก็ได้ หรือบางทีพ่อของเธออาจจะเข้มงวดมาก…’
เมื่อคิดได้แบบนั้น เธอก็ใจเย็นลง ใช่ ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ทุกคน…
“ฉันไม่อยากจะเสียเวลาชีวิตมากมายขนาดนั้นไปกับอีแค่ชมรมน่ะค่ะ” เด็กสาวกล่าวทิ้งท้าย
พอได้ยินแบบนั้นแก้มของยูนจังก็กระตุกขึ้นมาทันทีด้วยความเดือดดาล อีแค่ชมรม? งั้น… ชีวิตปีหนึ่งมันจะยังมีความหมายอะไรอีก? ยัยเด็กนี่มันรู้จักชมรมการแสดงแค่ไหนกันเชียว? กล้าดียังไง… ให้ตายสิ เครียดเป็นบ้า นี่รุ่นน้องสินะ และขณะที่ยูนจังกำลังจะระเบิดออกมานั้นเอง…
“งั้นก็เชิญ” มีเสียงใครบางคนพูดขึ้นมา
ดูเหมือนจะเป็นเสียงของเด็กปีหนึ่ง เขานั่งอยู่ระหว่างกลางของสองหนุ่มข้าง ๆ ใบหน้าของเขาช่างดูคุ้นตา เธอเคยเห็นเขาที่ไหนกันนะ? ใช่ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า
“การแสดงเดี่ยว”
ยูนจังชี้ไปที่เด็กหนุ่มผู้นั่งตรงกลาง ส่วนเด็กคนอื่นก็มองไปที่เธอด้วยความงุนงง
“อ่ะ ไม่มีอะไร ขอโทษที”
ยูนจังหัวเราะกลบเกลื่อนและก้าวถอยหลังไป ส่วนเด็กคนอื่นนั้นได้แต่หันมาหน้าของเด็กหนุ่มด้วยท่าทีไม่เข้าใจ
Comments
ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 8 2
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 8 ตอนที่ 2
เดมยังหันหน้าหนีไปด้วยรอยยิ้มแหย ๆ ดูทำหน้าเข้าสิ คิ้วของมารุกระตุกขึ้นเพราะความรำคาญ คราวนี้เขาจึงดึงเดมยังให้หันกลับมาหา เขาทำเรื่องอะไรแบบนี้ได้ค่อนข้างรวดเร็ว เพราะพ่อของเขาเป็นนักมวย มารุเองก็ได้เล่นกีฬาหลาย ๆ อย่างในช่วงวัยรุ่น แน่นอนว่าพอแก่ตัวลง เขาก็อ้วนลงพุง แต่ความเร็วของการตอบสนองนั้นยังไม่หายไป
“ถ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ” เพราะถ้าไม่บอกตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสหน้าอีกแล้ว
มารุรู้สึกสงสารเดมยัง ปีแรกของมัธยมปลายน่ะ เป็นปีที่นักเรียนจะได้เป็นอิสระ ช่วงเวลาที่จะสามารถจดจ่อและสนุกไปกับอะไรบางอย่างได้เต็มที่ มารุรู้สึกขอบคุณชีวิต ที่ทำให้เขาได้มีโอกาสที่สอง แต่เขารู้ว่าเดมยังไม่ได้มีโอกาสแบบนี้ เขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องใช้ชีวิตอยู่กับความอับอายและความหวาดกลัว เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
โชคดีที่เดมยังดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่มารุอยากสื่อได้ จากน้ำเสียง
“ฉันอยากเข้าชมรมการแสดง”
“แกด้วย?” โดจินตอบกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ ส่วนเดมยังก็พยักหน้ารับ
“ก็ พวกปีสองบอกเราไว้ไม่ใช่เหรอ? ว่าหน้าตาไม่เกี่ยงน่ะ”
มารุรู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มต้องรวบรวมความกล้ามามากถึงจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ มันทำให้เขารู้สึกภูมิใจนิด ๆ จริง ๆ แล้วการที่จะทำให้ใครสักคนเปลี่ยนแปลงไปได้นั้น มันยากเหลือเกิน มารุเองก็ไม่ค่อยชอบคนที่จมปลักไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น มารุจึงคิดว่าความกล้าหาญของเดมยังนั้นน่าชื่นชม
‘จะว่าไป กายุล เองก็น่าจะอายุประมาณนี้ล่ะมั้ง?’
ฮาน กายุล นั้นคือลูกสาวของมารุในชาติก่อน เขายังจำเรื่องนี้ได้ดีแม้ความทรงจำอื่น ๆ จะลบเลือนไปแล้ว
[พ่อ เด็กคนอื่นบอกว่าชื่อหนูเพราะด้วยแหละ]
ทันทีที่เขานึกถึงเสียงของลูกสาวขึ้นมา มารุก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่อก เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ? เธอจะหายไปพร้อมกับโลกเหรอ หรือเธอจะยังคงใช้ชีวิตต่อไปในโลกที่ไม่มีเขาแล้ว?
“เห้ย เป็นไร?” โดจินตบบ่าเขาเบา ๆ
มารุปัดมือเป็นท่าทางว่าไม่มีอะไร และใช้แขนทั้งสองข้างโอบคอของสองหนุ่มเอาไว้
“ไปกัน”
มารุยกเท้าขึ้นเล็กน้อย ทำให้ทั้งสองคนต้องทำหน้านิ่ว
“โอ้ย หนัก”
“ม-มารุ”
“ไปกันเลยเถอะ จะว่าไป พวกแกเคยรู้ชื่อกันรึยัง?” มารุหันไปถาม เดมยังพยักหน้า ส่วนโดจินส่ายหัว
“ฮาน โดจิน นี่ ปาร์ค เดมยัง ปาร์ค เดมยัง นี่ ฮาน โดจิน เยี่ยม ๆ เท่านี้ฉันก็ได้ลูกน้องหมายเลข 1 กับหมายเลข 2 มาแล้ว”
“เลิกพูดอะไรไร้สาระสักที”
“ลูกน้อง?”
มารุรัดคอทั้งคู่แน่นขึ้นอีก
‘สักวันฉันคงได้เจอพวกเขาอีก ทั้งภรรยาและลูกของฉัน’ เขาคิดในใจ
เพราะงั้น… ตอนนี้จดจ่ออยู่กับปัจจุบันดีกว่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินขึ้นไปบนชั้น 4 พร้อมกับโดจินและเดมยัง
* * *
ยูนจังรู้สึกประทับใจมากที่มีเด็กสนใจจะเข้าร่วมชมรมของเธอถึง 15 คน มันทำให้เธอดีใจสุด ๆ จนถึงขนาดที่อยากจะโดดเข้าไปกอดรายคนเลย เพราะก่อนหน้านี้เธอกังวลใจมาก ๆ ว่าถ้าไม่มีใครมาเลยล่ะ? ถ้าการเตรียมการทั้งหมดนี้มันสูญเปล่าล่ะ? แต่สุดท้ายพวกเขาก็มา มากันตั้ง 15 คนด้วย
‘เย้’ ยูนจังตะโกนกึกก้องอยู่ภายในจิตใจ เธอกระแอมเล็กน้อยเพื่อรวบรวมความสนใจก่อนจะก้าวออกไปด้านหน้า ปีหนึ่งทุกคนต่างหันมามองที่เธอด้วยท่าทีสนใจ
“พวกเธออยากเข้าชมรมใช่ไหม?” เธอถาม
“ใช่”
มีเสียงตอบรับกลับมาเพียงน้อยนิด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา พวกเขาแค่กำลังอาย ถ้าได้ฝึกสักหน่อย พวกเขาจะต้องหัวเราะร่าเริงได้เหมือนก่อนแน่ ๆ ใช่ เหมือนเมื่อก่อน
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเคยแนะนำตัวไปแล้วก็จริง แต่จะขอแนะนำตัวอีกครั้ง ฉันประธานชมรมการแสดง ลี ยูนจัง ปีสอง เอกคอมพิวเตอร์”
“…”
เหล่าปีหนึ่งดูท่าทางจะงงเล็กน้อยกับการแนะนำตัว ไม่ได้การ ยูนจังจึงเรียกให้ทั้งหมดเข้ามาในห้องก่อนบรรยากาศจะอึดอัดไปมากกว่านี้
“เข้ามาข้างในได้เลย นี่ห้องชมรมเรา”
ในห้องมีที่พอสำหรับคน 15 คนได้เพราะการทำความสะอาดที่เพิ่งเสร็จไปหยก ๆ การตัดสินใจเก็บกวาดห้องนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วจริง ๆ ตอนนั้นเองที่เธอดันเหลือบไปเห็นถุงน่องตาข่ายติดอยู่ที่พื้น มันเป็นอุปกรณ์ที่พวกเธอใช้ในการแสดงที่ผ่านมา
“ฮึบ” เธอเตะมันเข้าไปในซอกของห้องด้วยเท้า
ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรแบบนี้มาแสดงให้พวกปีหนึ่งดูหรอก โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิงด้วย
‘ผู้ชาย 6 ผู้หญิง 9 เหรอ… ไม่เลวเลย’
แถมทุกคนยังหน้าตาท่าทางแตกต่างกันชัดเจน แบบนี้แหละถึงจะดี เพราะยิ่งนักแสดงมีเอกลักษณ์ การแสดงก็จะยิ่งน่าสนใจ ยูนจังตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ามีเด็กพวกนี้มาเล่นด้วยต้องสนุกมากแน่ ๆ และด้วยจำนวนคนในชมรมถึง 19 คน… พวกเขาคงทำอะไรได้เยอะแยะ คนนั้นดูท่าจะพูดเก่ง คนนั้นคงงานฝีมือดี? คนนั้น…
“ขอโทษนะคะ” เด็กสาวคนหนึ่งยกมือขึ้น
“อ่า คะ มีคำถามเหรอ?” ยูนจังตอบ
“ค่ะ มีค่ะ”
“ถามมาได้เลยน้อง เดี๋ยวพี่ตอบให้”
“เห็นว่ามีประชุมทุกกันวันเสาร์ และก็มีการซ้อมประจำเดือนด้วย”
“ใช่”
“แล้วการซ้อมนี่ ปกติจะเลิกกันกี่โมงคะ?”
เด็กสาวมีท่าทีสงสัย คำถามนี้ทำเอาอารมณ์ของยูนจังตกวูบ ใช่ บ้าน กลับบ้านก็สำคัญนี่เนอะ แต่… มันควรเป็นคำถามแรกเหรอ? ถามจริง? ยังดีที่เดนมิตอบออกไปแทน
“ไม่ค่อยแน่นอนหรอก” เดนมิกล่าว
“ไม่แน่นอน?” นักเรียนหญิงคนนั้นดูมีท่าทีตกใจ
“ใช่ อย่างที่บอกไปว่าชมรมนี้น่ะ ต้องซ้อมกันหนักมาก นักแสดงก็ต้องแสดง ผู้กำกับเวทีก็ต้องทำฉากและกำกับเรื่องเวลา บางครั้งก็ต้องทำทั้งสองอย่างไปคู่กัน”
“แล้ว เลิกเมื่อไหร่เหรอคะ?”
“อ่า… เรื่องนั้น…”
“เลิกตามที่บอกรึเปล่าคะ? เขียนไว้ว่าวันเสาร์เลิก บ่าย 3 ส่วนวันซ้อมเลิก 5 โมงเย็น”
“มันไม่ค่อยจะตรงตามนั้นหรอก เพราะยิ่งการแสดงยากและละเอียดแค่ไหน เราก็ยิ่งต้องอยู่ล่วงเวลาไปเท่านั้น เพราะแบบนั้น…”
“อ่า เข้าใจแล้วค่ะ”
เด็กสาวถอยหลังกลับ เธอดูหมดความสนใจทันที จากนั้นเธอก้มลงเล่นโทรศัพท์พักหนึ่งก่อนจะขอตัวออกไป
“ขอโทษนะคะ คงไม่ไหว”
“งั้นเหรอ?”
“ก็อยากจะทำอยู่หรอกนะ แต่ขอโทษด้วย”
ยูนจังรู้สึกมีน้ำโหหลังได้ยินคำพูดนั้น อยากทำอยู่? ถ้าอยากทำจริง ๆ ก็ทิ้งทุกอย่างไปแล้วลงมือทำสิ คนที่อยากจะทำจริง ๆ คงไม่มาสนใจเรื่องเวลาเลิกหรอก
‘ไม่สิ’ ยูนจังหยุดความคิดตัวเอง ‘เราไม่ได้รู้จักชีวิตของเธอสักหน่อย เธออาจจะต้องไปช่วยงานพ่อแม่หลังเลิกเรียนก็ได้ หรือบางทีพ่อของเธออาจจะเข้มงวดมาก…’
เมื่อคิดได้แบบนั้น เธอก็ใจเย็นลง ใช่ ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ทุกคน…
“ฉันไม่อยากจะเสียเวลาชีวิตมากมายขนาดนั้นไปกับอีแค่ชมรมน่ะค่ะ” เด็กสาวกล่าวทิ้งท้าย
พอได้ยินแบบนั้นแก้มของยูนจังก็กระตุกขึ้นมาทันทีด้วยความเดือดดาล อีแค่ชมรม? งั้น… ชีวิตปีหนึ่งมันจะยังมีความหมายอะไรอีก? ยัยเด็กนี่มันรู้จักชมรมการแสดงแค่ไหนกันเชียว? กล้าดียังไง… ให้ตายสิ เครียดเป็นบ้า นี่รุ่นน้องสินะ และขณะที่ยูนจังกำลังจะระเบิดออกมานั้นเอง…
“งั้นก็เชิญ” มีเสียงใครบางคนพูดขึ้นมา
ดูเหมือนจะเป็นเสียงของเด็กปีหนึ่ง เขานั่งอยู่ระหว่างกลางของสองหนุ่มข้าง ๆ ใบหน้าของเขาช่างดูคุ้นตา เธอเคยเห็นเขาที่ไหนกันนะ? ใช่ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า
“การแสดงเดี่ยว”
ยูนจังชี้ไปที่เด็กหนุ่มผู้นั่งตรงกลาง ส่วนเด็กคนอื่นก็มองไปที่เธอด้วยความงุนงง
“อ่ะ ไม่มีอะไร ขอโทษที”
ยูนจังหัวเราะกลบเกลื่อนและก้าวถอยหลังไป ส่วนเด็กคนอื่นนั้นได้แต่หันมาหน้าของเด็กหนุ่มด้วยท่าทีไม่เข้าใจ
Comments