Immortal and Martial Dual Cultivation 151 ความเดียวดายแห่งยอดเขาฉิงหยุน

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 151 ความเดียวดายแห่งยอดเขาฉิงหยุน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 151 ความเดียวดายแห่งยอดเขาฉิงหยุน

 

ป่าไม้หนาแน่นปกคลุมไปทั่วยอดเขาบางครั้ง, จะมีสิ่งปลูกสร้างซ่อนอยู่ในปาเขียวชอุ่ม วิหคสีเขียวพาพวกเขาขึ้นไปบนภูเขาก่อนที่จะหยุดลง

 

หลิวหรูเยว่กระโดดลงมาก่อนที่จะกล่าวกับเซี่ยวเฉิน “ที่นี่คือยอดเขาฉิงหยุน นับแต่นี้ไปเจ้าคือคนของยอดเขานิ่งหยุนของข้า ก่อนอื่น,ข้าจะให้คนไปพาเจ้าเดินทําความคุ้นเคยกับสถานที่”

 

เซี่ยวเฉินพยักหน้าและเริ่มมองสํารวจไปรอบตัว พวกเขาถูกรอบล้อมด้วยต้นไม้สูงและสิ่งปลูกสร้างที่ทอดยาวไปไม่สิ้นสุดบนฐานเล็กๆข้างหน้า

 

มีชายหนุ่มวิ่งอย่างเร่งรีบมาจากข้างหน้าเขาเคลื่อนไหวมาอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้า,เขาก็ได้มาถึงตรงหน้าของทั้งสอง

 

“หลิวสุยเฟิง,เจ้ามาทําอะไรที่นี่!” เซี่ยวเฉินอุทานขึ้นอย่างตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขาชัดเจน

 

หลิวสุยเฟิงตกใจเช่นกันที่เห็นเซียวเฉิน “เย่เฉินเจ้ามาทําอะไรที่ยอดเขาฉิงหยุน?”

 

หลิวหรูเยว่มีความงุนงงบนใบหน้าอันงดงามของนางเมื่อนางเห็นว่าทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อน นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “ดีแล้วที่พวกเจ้ารู้จักกันมาก่อนสุยเฟิง,พาเย่เฉินไปทําความคุ้นเคยกับยอดเขาฉิงหยุน ขณะเดียวกัน ก็ไปจัดเตรียมที่พักให้กับเขา คนผู้นี้คือศิษย์ที่พี่สาวของเจ้าเพิ่งรับเข้ามา”

 

หลิวสุยเฟิงมีความไม่อยากจะเชื่อบนดวงตาของเขา “ไม่อยากจะเชื่อ! พี่สาวเจ้ารับศิษย์เข้ามาแล้วจริงๆ! เป็นไปไม่ได้”

 

“เจ้าอยากจะโดนทุบหรือไร? ไปทํางานได้แล้ว!” หลิวหรูเยว่คิ้วขมวดเล็กน้อยพร้อมกับดุเขาอย่างหยอกล้อ

 

หลิวสุยเฟิงยิ้มขึ้น “ช่างเถอะ,พี่น้องเย่ให้ข้าพาเจ้าไปเดินดูรอบๆก่อน มีคนเพียงสองสามคนอาศัยอยู่ที่ยอดเขาฉิงหยุน เป็นไปได้ที่เจ้าจะหลงทางและไม่มีใครชี้ทางให้เจ้าได้”

 

เซี่ยวเฉินไม่คาดคิดว่าหลิวสุยเฟิงและหลิวหรูเยว่จะเป็นพี่น้องกัน – ช่างบังเอิญ หลิวสุยเชิงพาเซี่ยวเฉินไปเดินเล่นดูรอบๆ

 

ทั้งสองคนเดินไปพูดคุยไปและหลิวสุยเฟิงบอกเซียวเฉินทุกอย่างเกี่ยวกับยอดเขาฉิงหยุนโดยไม่มีการปิดซ่อนยี่สิบปีก่อน,ทั่วทั้งศาลากระบี่สวรรคประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ แม้แต่ท่านเจ้าศาลายังต้องตกตายไปในภัยพิบัติครั้งนั้น

 

ในเจ็ดยอดเขา ยอดเขาฉิงหยุนได้รับความเสียหายมากที่สุดจากภัยพิบัติ ผู้อาวุโสและรุ่นใหญ่ของยอดเขาฉิงหยุน เกือบทั้งหมดต้องตายลง และท่านเจ้ายอดเขาผู้ที่เป็นบิดาของหลิวสุยเฟิง, จิตวิญญาณยุทธของเขาถูกทําลายและต้องกลายเป็นพิการจากภัยพิบัติครั้งนั้น

 

นั้นหมายความว่ายอดเขาฉิงหยุนเสื่อมถอยลงไปอย่างสมบูรณ์ เมื่อไม่มีรุ่นอาวุโสคอยเหนี่ยวรั้ง,รุ่นเยาว์ทั้งหลายก็แตกกระจายกันไป

 

เหล่าสานุศิษย์ที่เข้ามาในศาลากระบี่สวรรค์ต่างรู้ถึงสถานการณ์ ปราศจากระดับขอบเขตกษัตริย์ปกครองยอดเขาเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครเลือกเข้ามาที่นี่

 

มีบางคนที่ไม่แข็งแกร่งนักและอยากจะใช้โอกาสจากสถานการณ์นี้แต่พวกเขาก็ไม่อาจทําให้นางพอใจได้ นี่เป็นผลให้ไม่มีคนเข้าใหม่ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาไม่มีศิษย์อย่างเป็นทางการแม้แต่คนเดียว

 

เซี่ยวเฉินถามขึ้นอย่างงุนงง “ภัยพิบัตินั้นมันคืออะไรกัน? ที่นําพารุ่นอาวุโสทั้งหมด รวมไปถึงท่านเจ้าศาลากระบีสวรรค์ไปสู่ความตาย ช่างน่าหวาดกลัว”

 

หลิวสุยเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่มีปัญหาที่จะเล่าให้เจ้าฟัง ถึงอย่างไร มันก็ไม่ใช่ความลับ ในแต่ละนิกายใหญ่ภายในอาณาจักรต้าฉิน,จะมีช่องแยกมิติที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ ผนึกพวกนั้นโดยปกติจะไม่สามารถทําลายได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อหนึ่งพันปีก่อน,จักรพรรดิอัสนีชางมู่ได้มาที่ศาลากระบี่สวรรค์และได้ประมือกับท่านเจ้าศาลาของช่วงเวลานั้น”

 

ในตอนนั้น ทั้งซางมู่และท่านเจ้าศาลาอยู่ระดับขอบเขตนักปราชญ์ขั้นสูงสุด คลื่นพลังของการปะทะสามารถยกยอดเขาขึ้นไปอย่างง่ายดาย การต่อสู้ครั้งนั้นส่งผลต่อผนึกที่สามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทิ้งเอาไว้

 

“หลังจากที่ผนึกได้รับความเสียหาย,คนจากสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ามาซ่อมแซมมันเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม เมื่อยี่สิบปีก่อน เมื่อถึงคราวที่ประตูยุทธศักดิ์สิทธิ์เข้ามาบํารุงรักษาผนึก,มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นและพวกเขามาช้าไป”

 

 หลิวสุยเฟิงหยุดพักครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าน่าจะพอคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น อสูรปีศาจทุกชนิดออกมาจากโลกปีศาจ,มีแม้แต่เจ้าแห่งปีศาจ ตามคําบอกเล่าของรุ่นอาวุโส,พวกเขาบอกว่าทั่วทุกพื้นที่ของภูเขาหลิงหยุนปกคลุมไปด้วยพลังฉีปีศาจ หลังจากศึกครั้งใหญ่,ศาลากระบี่สวรรค์ก็กลายมาเป็นอย่างที่เจ้าเห็นในวันนี้”

 

ตามจริง,หลิวสุยเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกไปกว่านั้น ยี่สิบปีก่อน เขายังไม่ได้เกิดมา เขารู้เรื่องราวพวกนี้มาจากรุ่นอาวุโส ดังนั้น,บางอย่างของเรื่องราวจึงกํากวมและคลุมเครือ

 

เมื่อเซี่ยวเฉินมองไปที่กระบี่เงาจันทร์ในมือของเขา,หน้าอกของเขาก็บีบแน่น ไม่สงสัยเลยว่าทําไมตาแก่ที่นอกเมืองถึงกล่าวว่าหากคนของศาลากระบีสวรรค์รู้ว่าเขาคือผู้สืบทอดมรดกของจักรพรรดิอัสนี, จะมีจุดจบไม่สวยงามสําหรับเขา

 

เหตุผลมันก็เป็นเช่นนี้เองถ้าหากมันไม่ใช่เพราะจักรพรรดิอัสนี,ศาลากระบี่สวรรค์คงจะไม่ประสบภัยพิบัติเช่นนี้ ทันใดนั้น เซี่ยวเฉินก็นึกอะไรขึ้นได้ “จริงด้วย แล้วบิดาของเจ้าไปอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้? เขายังอยู่ที่ยอดเขาฉิงหยุนหรือไม่?”

 

หลิวสุยเฟิงชี้ไปที่จุดบนสุดของยอดเขา”เขามักจะไปอยู่ที่จุดบนสุดของยอดเขา เขาเชื่อในการเก็บตัวฝึกฝน แม้แต่ข้ายังได้เจอเขาเพียงสองสามครั้งต่อปี”

 

เซี่ยวเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก ตาแก่นอกเมืองดูเหมือนจะไม่มีจิตวิญญาณยุทธเช่นกัน มันจึงเป็นไปได้ที่จะมีความเกี่ยวข้องกัน ในตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้เกี่ยวกัน

 

พวกเขาทั้งสองเดินต่อไปและมีเสียงตะโกนเสียงดังออกมาทางด้านหน้าของเขา เซี่ยวเฉินหันไปมองและพบว่าเป็นชายหนุ่มกล้าหาญที่เขาพบในครั้งก่อน มีแผ่นเหล็กติดอยู่ที่แขนและขาของเขาขณะที่เขากําลังฝึกชกหมัด

 

ที่ด้านข้างของเขา,มีสาวน้อยตัวบางกําลังฝึกทักษะหมัดที่ดูน่าสนใจ ความเร็วของมันช่างเชื่องช้าแต่ท่าทางสง่างาม เซียวเฉินมองอย่างละเอียดและพบว่ามันคล้ายคลึงกับหมัดหย่งชุนในชีวิตก่อนของเขา

 

หลิวสุยเฟิงอธิบาย “ทางนี้คือช่าวหยางและเสี่ยวเมิ่ง พวกเขาเป็นลูกๆของเพื่อนเก่าของพ่อข้า พวกเขาโตมาด้วยกันกับข้า อย่างไรก็ตาม พวกเขามีร่างกายที่พิเศษเป็นผลให้พวกเขาไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณยุทธได้”

 

“พวกเขากําลังฝึกทักษะต่อสู้อะไร? ข้าคิดว่าข้าไม่เคยเห็นมาก่อน” เซียวเฉินถามออกไปอย่างสงสัย ปราศจากจิตวิญญาณยุทธ ผู้นั้นก็เปรียบได้เท่ากับพิการ ในตอนนั้นเป็นเพราะเขาไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณยุทธได้ เขาจึงถูกเยาะเย้ยจากผู้คนในตระกูลเซี่ยวมาหลายปี

 

หลิวสุยเฟิงยิ้มขึ้น “มันสืบทอดมาในครอบครัวของพวกเขา อย่าได้ดูถูก แม้แต่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธทั่วไปก็ไม่อาจเทียบได้กับช่าวหยาง”

 

เมื่อช่าวหยางได้ยินเสียงของพวกเขาทั้งสองเขาเพ่งมองดูดีๆก่อนที่จะเผยรอยยิมเป็นสุขอย่างประหลาดใจ เขาปลดแผ่นเหล็กที่ขาและแขนของเขาออกก่อนที่จะวิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“พี่สุยเฟิง,หรือผู้มีพระคุณจะได้เข้าร่วมนิกายชั้นใน?”

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกอึดอัดแต่เขาก็ยิ้มขึ้นบางๆ “มันก็แค่เรื่องเล็ก ช่าวหยางเจ้าเรียกข้าเยู่เฉินก็พอ พวกเราต่างอายุใกล้เคียงกันดังนั้นพวกเจ้าไม่จําเป็นต้องสุภาพ”

 

ช่าวหยางเผยรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าซื่อตรงของเขา เขาพูดขึ้นอย่างจริงจัง “เจ้าช่วยชีวิตข้าและเสี่ยวเมิ่ง,นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน”

 

หลิวสุยเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “เย่เฉินถูกพี่สาวของข้ารับเข้ามาเป็นศิษย์ของนาง เขาจะอยู่ที่ยอดเขาฉิงหยุนับตั้งแต่นี้”

 

เมื่อช่าวหยางได้ยินเช่นนั้นเขาประหลาดใจและปลาบปลื้ม เขาพูดขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนั้นเสี่ยวเมิ่งและข้าจะไปช่วยจัดเตรียมห้อง ในอานาคต, หากมีอะไรที่เจ้าต้องการ,ขอให้เรียกใช้พวกเรา”

 

หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็พาเสี่ยวเมิ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หลิวสุยเฟิงไม่อาจหยุดพวกเขาไว้ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มขมๆออกมา “เจ้าสองคนนั้น…ทําไมข้ารู้สึกว่าจะขยันเกินคนธรรมดาไปหน่อยแล้ว”

 

พวกเขาทั้งสองมุ่งหน้าต่อไปที่จุดสูงของยอดเขา ตลอดทาง,พวกเจ้าเห็นสิ่งปลูกสร้างสูงหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม,พวกมันทั้งหมดล้วนว่างเปล่า,ปราศจากผู้คน

 

ในที่สุด,หลิวสุยเฟิงก็พาเซียวเฉินมาถึงศาลาที่ตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งกลางภูเขา มีลําธารเล็กๆไหลอยู่ด้านข้างศาลาและมันก็ล้อมรอบไปด้วยป่าเขียวขจีไม่มีสิ้นสุด มีเสียงน้ําไหลดังขึ้นมาโดยรอบ

 

ภายในศาลา,มีลมเย็นพัดผ่านเข้ามา หลังจากที่เดินมาเป็นเวลานาน,เนื้อตัวของพวกเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อสายลมเย็นพัดมา มันช่างรู้สึกสดชื่น

 

หลิวสุยเฟิงพูดขึ้น “หากเจ้ามุ่งหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ เจ้าจะไปถึงส่วนที่สําคัญที่สุดของยอดเขาฉิงหยุน ห้องหนังสือ และศาลาฉิงหยุนจะตั้งอยู่ตรงนั้น โดยปกติจะมีคนจากโถง หลักมาเฝ้าที่นั้นเอาไว้ มันจะดีที่สุดหากเจ้าไม่ขึ้นไปที่นั้นโดยไม่มีความจําเป็น

 

“ใช่แล้ว เย่เฉิน,มีบางอย่างที่ข้าสงสัยเล็กน้อย ในเจ็ดยอดเขาของนิกายชั้นใน,ทําไมเจ้าถึงได้เลือกยอดเขาฉิงหยุน? ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าน่าจะสามารถเข้าไปที่ยอดเขาอื่นได้”

 

เซี่ยวเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนที่จะตัดสินใจกล่าวไปตามจริง “ที่ข้ามาที่ยอดเขาฉิงหยุน,ก็เพื่อร่ําเรียนฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน”

 

“ฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน? เช่นนั้นเจ้าได้มาถูกที่แล้ว ทั่วทั้งศาลากระบี่สวรรค์,มีเพียงพี่สาวของข้าและเหลิ่งหลิวซูที่บรรลุการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน อย่างไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่มองเห็นได้เลือนลาง,มันต้องพึ่งพาความเข้าใจและพรสวรรค์เป็นอย่างมาก

 

หลิวสุยเชิงประหลาดใจเล็กน้อย,เขาไม่คาดคิดว่าเซี่ยวเฉินมาที่ยอดเขาฉิงหยุนด้วยเหตุผลเช่นนี้

 

เซี่ยวเฉินคิดว่าเขาที่เป็นน้องชายของหลิวหรูเยว่เขาจะต้องมีความเข้าใจถึงการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันมากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นเขาจึงถามขึ้น “ข้าได้ยินบางคนบอกเล่ากันมาว่าการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันเป็นของที่สืบทอดกันมา หากผู้นั้นไม่ได้เกิดมาพร้อมกับมันแล้ว ไม่ว่าจะพยายามถึงเพียงใด,พวกเขาไม่อาจจะบรรลุถึงมันได้มันเป็นเช่นนั้น?”

 

หลิวสุยเฟิงยิ้มบางเบา “นั้นมันไร้สาระ พี่สาวของข้าไม่ได้รับมันมาโดยกําเนิด อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีใครรู้ว่านางทําได้เช่นไร”

 

ประกายระยิบระยับปรากฏขึ้นในดวงตาของเซียวเฉิน ฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันของหลิวหรูเยว่นางได้บรรลุมันมาด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม,เขารู้สึกได้ว่ามันแข็งแกร่งกว่าของเหลิ่งหลิวซูอย่างชัดเจน

 

“อย่างไรก็ตาม,การฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน เป็นสิ่งที่อาจค้นพบได้โดยไม่ตั้งใจ หากเจ้าจดจ่อกับมันเกินไป เป็นไปได้ว่าเจ้าจะเสียเวลาเปล่าไปทั้งชีวิต เป็นการดีที่สุดหากไม่ไปกดดันเร่งรัด มิฉะนั้น มันอาจจะจบลงที่ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะพลังของเจ้า”

 

เซี่ยวเฉินยิ้มบางๆเป็นนัยว่าเขาเข้าใจแล้ว หลังจากเข้าใจถึงการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน มันจะช่วยได้อย่างมากเมื่อเขาลองร่ําเรียนอาวุธชนิดใดก็ตาม

 

สําหรับการฝึกทักษะต่อสู้ ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปอาจจะต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายเดือนเพื่อเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม,สําหรับผู้ที่เข้าใจถึงการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน เป็นไปได้ว่าจะสามารถเรียนรู้ได้ภายในหนึ่งวันและสามารถเข้าใจถึงมันได้ในระดับลึกซึ้ง”

 

อย่างไรก็ตามความเข้าใจเช่นนี้มันเลื่อนลอยเกินไป หลายคนใช้เวลามากมายตามหามันแต่ก็ไม่อาจบรรลุถึงได้ในท้ายที่สุด กลับกัน,การบ่มเพาะพลังของพวกเขาได้ล่าช้าลง มีตัวอย่างเช่นนี้ให้เห็นมากมาย

 

กุมกระบี่เงาจันทร์ไว้แน่นในมือของเขา,เซี่ยวเฉินรู้สึกขัดแย้งในใจของเขา เขาไม่รู้ว่าเขาอาจจะจบลงเหมือนกับคนพวกนั้น;คว้าอะไรไว้ไม่ได้สักอย่างและจบลงด้วยมือที่ว่างเปล่า

 

อย่างไรก็ตาม,เป็นเพราะคําสาบานของเขา อย่างน้อยเขาต้องลองลงมือทําดู หากเขาไม่แม้แต่จะมีความกล้าที่จะลอง,เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาเป็นเพียงพวกขี้ขลาด

 

หลังจากนั้น,หลิวสุยเฟิงนําทางเซี่ยวเฉินไปยังที่พักของเขา มีคนเพียงเล็กน้อยบนยอดเขาฉิงหยุน,ดังนั้นเซี่ยวเฉินจึงได้รับลานบ้านขนาดใหญ่มา ช่าวหยางและเสี่ยวเมิ่งได้ช่วยเขาปัดถูสถานที่,ทําความสะอาดล้างฝุ่นและเก็บขยะ

 

หลังจากที่ทุกคนจากไป,มันก็พลบค่ําแล้ว มันช่างงดงามเป็นพิเศษเมื่อดวงอาทิตย์กําลังจมลงไปในหุบเขา

 

เซี่ยวเฉินไม่ได้ใช้เวลาพักผ่อนนานนัก หลังจากที่เขากลับมาที่ห้อง,เขาได้เข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลังทันที ทักษะอัสนี ม่วงศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา พลังจิตวิญญาณโดยรอบถูกสูบเข้าไปในร่างของเขาราวกับหมอก

 

“พลังงานจิตวิญญาณหนาแน่นอะไรเช่นนี้!” เซี่ยวเฉินถอนหายใจ พลังงานวิญญาณแข็งแกร่งกว่าที่ตีนเขาถึงสองเท่า มันแข็งแกร่งกว่าถ้ําแปลกๆด้านหลังน้ําตกที่แม่น้ําจ้วงเสียอีก

 

ไม่น่าแปลกใจที่การแข่งขันเข้าเป็นศิษย์ชั้นในถึงได้เข้มข้นนัก สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะพลังมันเยี่ยมยอดกว่ามาก

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 151 ความเดียวดายแห่งยอดเขาฉิงหยุน

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 151 ความเดียวดายแห่งยอดเขาฉิงหยุน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 151 ความเดียวดายแห่งยอดเขาฉิงหยุน

 

ป่าไม้หนาแน่นปกคลุมไปทั่วยอดเขาบางครั้ง, จะมีสิ่งปลูกสร้างซ่อนอยู่ในปาเขียวชอุ่ม วิหคสีเขียวพาพวกเขาขึ้นไปบนภูเขาก่อนที่จะหยุดลง

 

หลิวหรูเยว่กระโดดลงมาก่อนที่จะกล่าวกับเซี่ยวเฉิน “ที่นี่คือยอดเขาฉิงหยุน นับแต่นี้ไปเจ้าคือคนของยอดเขานิ่งหยุนของข้า ก่อนอื่น,ข้าจะให้คนไปพาเจ้าเดินทําความคุ้นเคยกับสถานที่”

 

เซี่ยวเฉินพยักหน้าและเริ่มมองสํารวจไปรอบตัว พวกเขาถูกรอบล้อมด้วยต้นไม้สูงและสิ่งปลูกสร้างที่ทอดยาวไปไม่สิ้นสุดบนฐานเล็กๆข้างหน้า

 

มีชายหนุ่มวิ่งอย่างเร่งรีบมาจากข้างหน้าเขาเคลื่อนไหวมาอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้า,เขาก็ได้มาถึงตรงหน้าของทั้งสอง

 

“หลิวสุยเฟิง,เจ้ามาทําอะไรที่นี่!” เซี่ยวเฉินอุทานขึ้นอย่างตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขาชัดเจน

 

หลิวสุยเฟิงตกใจเช่นกันที่เห็นเซียวเฉิน “เย่เฉินเจ้ามาทําอะไรที่ยอดเขาฉิงหยุน?”

 

หลิวหรูเยว่มีความงุนงงบนใบหน้าอันงดงามของนางเมื่อนางเห็นว่าทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อน นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “ดีแล้วที่พวกเจ้ารู้จักกันมาก่อนสุยเฟิง,พาเย่เฉินไปทําความคุ้นเคยกับยอดเขาฉิงหยุน ขณะเดียวกัน ก็ไปจัดเตรียมที่พักให้กับเขา คนผู้นี้คือศิษย์ที่พี่สาวของเจ้าเพิ่งรับเข้ามา”

 

หลิวสุยเฟิงมีความไม่อยากจะเชื่อบนดวงตาของเขา “ไม่อยากจะเชื่อ! พี่สาวเจ้ารับศิษย์เข้ามาแล้วจริงๆ! เป็นไปไม่ได้”

 

“เจ้าอยากจะโดนทุบหรือไร? ไปทํางานได้แล้ว!” หลิวหรูเยว่คิ้วขมวดเล็กน้อยพร้อมกับดุเขาอย่างหยอกล้อ

 

หลิวสุยเฟิงยิ้มขึ้น “ช่างเถอะ,พี่น้องเย่ให้ข้าพาเจ้าไปเดินดูรอบๆก่อน มีคนเพียงสองสามคนอาศัยอยู่ที่ยอดเขาฉิงหยุน เป็นไปได้ที่เจ้าจะหลงทางและไม่มีใครชี้ทางให้เจ้าได้”

 

เซี่ยวเฉินไม่คาดคิดว่าหลิวสุยเฟิงและหลิวหรูเยว่จะเป็นพี่น้องกัน – ช่างบังเอิญ หลิวสุยเชิงพาเซี่ยวเฉินไปเดินเล่นดูรอบๆ

 

ทั้งสองคนเดินไปพูดคุยไปและหลิวสุยเฟิงบอกเซียวเฉินทุกอย่างเกี่ยวกับยอดเขาฉิงหยุนโดยไม่มีการปิดซ่อนยี่สิบปีก่อน,ทั่วทั้งศาลากระบี่สวรรคประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ แม้แต่ท่านเจ้าศาลายังต้องตกตายไปในภัยพิบัติครั้งนั้น

 

ในเจ็ดยอดเขา ยอดเขาฉิงหยุนได้รับความเสียหายมากที่สุดจากภัยพิบัติ ผู้อาวุโสและรุ่นใหญ่ของยอดเขาฉิงหยุน เกือบทั้งหมดต้องตายลง และท่านเจ้ายอดเขาผู้ที่เป็นบิดาของหลิวสุยเฟิง, จิตวิญญาณยุทธของเขาถูกทําลายและต้องกลายเป็นพิการจากภัยพิบัติครั้งนั้น

 

นั้นหมายความว่ายอดเขาฉิงหยุนเสื่อมถอยลงไปอย่างสมบูรณ์ เมื่อไม่มีรุ่นอาวุโสคอยเหนี่ยวรั้ง,รุ่นเยาว์ทั้งหลายก็แตกกระจายกันไป

 

เหล่าสานุศิษย์ที่เข้ามาในศาลากระบี่สวรรค์ต่างรู้ถึงสถานการณ์ ปราศจากระดับขอบเขตกษัตริย์ปกครองยอดเขาเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครเลือกเข้ามาที่นี่

 

มีบางคนที่ไม่แข็งแกร่งนักและอยากจะใช้โอกาสจากสถานการณ์นี้แต่พวกเขาก็ไม่อาจทําให้นางพอใจได้ นี่เป็นผลให้ไม่มีคนเข้าใหม่ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาไม่มีศิษย์อย่างเป็นทางการแม้แต่คนเดียว

 

เซี่ยวเฉินถามขึ้นอย่างงุนงง “ภัยพิบัตินั้นมันคืออะไรกัน? ที่นําพารุ่นอาวุโสทั้งหมด รวมไปถึงท่านเจ้าศาลากระบีสวรรค์ไปสู่ความตาย ช่างน่าหวาดกลัว”

 

หลิวสุยเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่มีปัญหาที่จะเล่าให้เจ้าฟัง ถึงอย่างไร มันก็ไม่ใช่ความลับ ในแต่ละนิกายใหญ่ภายในอาณาจักรต้าฉิน,จะมีช่องแยกมิติที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ ผนึกพวกนั้นโดยปกติจะไม่สามารถทําลายได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อหนึ่งพันปีก่อน,จักรพรรดิอัสนีชางมู่ได้มาที่ศาลากระบี่สวรรค์และได้ประมือกับท่านเจ้าศาลาของช่วงเวลานั้น”

 

ในตอนนั้น ทั้งซางมู่และท่านเจ้าศาลาอยู่ระดับขอบเขตนักปราชญ์ขั้นสูงสุด คลื่นพลังของการปะทะสามารถยกยอดเขาขึ้นไปอย่างง่ายดาย การต่อสู้ครั้งนั้นส่งผลต่อผนึกที่สามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทิ้งเอาไว้

 

“หลังจากที่ผนึกได้รับความเสียหาย,คนจากสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ามาซ่อมแซมมันเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม เมื่อยี่สิบปีก่อน เมื่อถึงคราวที่ประตูยุทธศักดิ์สิทธิ์เข้ามาบํารุงรักษาผนึก,มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นและพวกเขามาช้าไป”

 

 หลิวสุยเฟิงหยุดพักครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าน่าจะพอคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น อสูรปีศาจทุกชนิดออกมาจากโลกปีศาจ,มีแม้แต่เจ้าแห่งปีศาจ ตามคําบอกเล่าของรุ่นอาวุโส,พวกเขาบอกว่าทั่วทุกพื้นที่ของภูเขาหลิงหยุนปกคลุมไปด้วยพลังฉีปีศาจ หลังจากศึกครั้งใหญ่,ศาลากระบี่สวรรค์ก็กลายมาเป็นอย่างที่เจ้าเห็นในวันนี้”

 

ตามจริง,หลิวสุยเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกไปกว่านั้น ยี่สิบปีก่อน เขายังไม่ได้เกิดมา เขารู้เรื่องราวพวกนี้มาจากรุ่นอาวุโส ดังนั้น,บางอย่างของเรื่องราวจึงกํากวมและคลุมเครือ

 

เมื่อเซี่ยวเฉินมองไปที่กระบี่เงาจันทร์ในมือของเขา,หน้าอกของเขาก็บีบแน่น ไม่สงสัยเลยว่าทําไมตาแก่ที่นอกเมืองถึงกล่าวว่าหากคนของศาลากระบีสวรรค์รู้ว่าเขาคือผู้สืบทอดมรดกของจักรพรรดิอัสนี, จะมีจุดจบไม่สวยงามสําหรับเขา

 

เหตุผลมันก็เป็นเช่นนี้เองถ้าหากมันไม่ใช่เพราะจักรพรรดิอัสนี,ศาลากระบี่สวรรค์คงจะไม่ประสบภัยพิบัติเช่นนี้ ทันใดนั้น เซี่ยวเฉินก็นึกอะไรขึ้นได้ “จริงด้วย แล้วบิดาของเจ้าไปอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้? เขายังอยู่ที่ยอดเขาฉิงหยุนหรือไม่?”

 

หลิวสุยเฟิงชี้ไปที่จุดบนสุดของยอดเขา”เขามักจะไปอยู่ที่จุดบนสุดของยอดเขา เขาเชื่อในการเก็บตัวฝึกฝน แม้แต่ข้ายังได้เจอเขาเพียงสองสามครั้งต่อปี”

 

เซี่ยวเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก ตาแก่นอกเมืองดูเหมือนจะไม่มีจิตวิญญาณยุทธเช่นกัน มันจึงเป็นไปได้ที่จะมีความเกี่ยวข้องกัน ในตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้เกี่ยวกัน

 

พวกเขาทั้งสองเดินต่อไปและมีเสียงตะโกนเสียงดังออกมาทางด้านหน้าของเขา เซี่ยวเฉินหันไปมองและพบว่าเป็นชายหนุ่มกล้าหาญที่เขาพบในครั้งก่อน มีแผ่นเหล็กติดอยู่ที่แขนและขาของเขาขณะที่เขากําลังฝึกชกหมัด

 

ที่ด้านข้างของเขา,มีสาวน้อยตัวบางกําลังฝึกทักษะหมัดที่ดูน่าสนใจ ความเร็วของมันช่างเชื่องช้าแต่ท่าทางสง่างาม เซียวเฉินมองอย่างละเอียดและพบว่ามันคล้ายคลึงกับหมัดหย่งชุนในชีวิตก่อนของเขา

 

หลิวสุยเฟิงอธิบาย “ทางนี้คือช่าวหยางและเสี่ยวเมิ่ง พวกเขาเป็นลูกๆของเพื่อนเก่าของพ่อข้า พวกเขาโตมาด้วยกันกับข้า อย่างไรก็ตาม พวกเขามีร่างกายที่พิเศษเป็นผลให้พวกเขาไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณยุทธได้”

 

“พวกเขากําลังฝึกทักษะต่อสู้อะไร? ข้าคิดว่าข้าไม่เคยเห็นมาก่อน” เซียวเฉินถามออกไปอย่างสงสัย ปราศจากจิตวิญญาณยุทธ ผู้นั้นก็เปรียบได้เท่ากับพิการ ในตอนนั้นเป็นเพราะเขาไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณยุทธได้ เขาจึงถูกเยาะเย้ยจากผู้คนในตระกูลเซี่ยวมาหลายปี

 

หลิวสุยเฟิงยิ้มขึ้น “มันสืบทอดมาในครอบครัวของพวกเขา อย่าได้ดูถูก แม้แต่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธทั่วไปก็ไม่อาจเทียบได้กับช่าวหยาง”

 

เมื่อช่าวหยางได้ยินเสียงของพวกเขาทั้งสองเขาเพ่งมองดูดีๆก่อนที่จะเผยรอยยิมเป็นสุขอย่างประหลาดใจ เขาปลดแผ่นเหล็กที่ขาและแขนของเขาออกก่อนที่จะวิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“พี่สุยเฟิง,หรือผู้มีพระคุณจะได้เข้าร่วมนิกายชั้นใน?”

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกอึดอัดแต่เขาก็ยิ้มขึ้นบางๆ “มันก็แค่เรื่องเล็ก ช่าวหยางเจ้าเรียกข้าเยู่เฉินก็พอ พวกเราต่างอายุใกล้เคียงกันดังนั้นพวกเจ้าไม่จําเป็นต้องสุภาพ”

 

ช่าวหยางเผยรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าซื่อตรงของเขา เขาพูดขึ้นอย่างจริงจัง “เจ้าช่วยชีวิตข้าและเสี่ยวเมิ่ง,นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน”

 

หลิวสุยเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “เย่เฉินถูกพี่สาวของข้ารับเข้ามาเป็นศิษย์ของนาง เขาจะอยู่ที่ยอดเขาฉิงหยุนับตั้งแต่นี้”

 

เมื่อช่าวหยางได้ยินเช่นนั้นเขาประหลาดใจและปลาบปลื้ม เขาพูดขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนั้นเสี่ยวเมิ่งและข้าจะไปช่วยจัดเตรียมห้อง ในอานาคต, หากมีอะไรที่เจ้าต้องการ,ขอให้เรียกใช้พวกเรา”

 

หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็พาเสี่ยวเมิ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หลิวสุยเฟิงไม่อาจหยุดพวกเขาไว้ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มขมๆออกมา “เจ้าสองคนนั้น…ทําไมข้ารู้สึกว่าจะขยันเกินคนธรรมดาไปหน่อยแล้ว”

 

พวกเขาทั้งสองมุ่งหน้าต่อไปที่จุดสูงของยอดเขา ตลอดทาง,พวกเจ้าเห็นสิ่งปลูกสร้างสูงหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม,พวกมันทั้งหมดล้วนว่างเปล่า,ปราศจากผู้คน

 

ในที่สุด,หลิวสุยเฟิงก็พาเซียวเฉินมาถึงศาลาที่ตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งกลางภูเขา มีลําธารเล็กๆไหลอยู่ด้านข้างศาลาและมันก็ล้อมรอบไปด้วยป่าเขียวขจีไม่มีสิ้นสุด มีเสียงน้ําไหลดังขึ้นมาโดยรอบ

 

ภายในศาลา,มีลมเย็นพัดผ่านเข้ามา หลังจากที่เดินมาเป็นเวลานาน,เนื้อตัวของพวกเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อสายลมเย็นพัดมา มันช่างรู้สึกสดชื่น

 

หลิวสุยเฟิงพูดขึ้น “หากเจ้ามุ่งหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ เจ้าจะไปถึงส่วนที่สําคัญที่สุดของยอดเขาฉิงหยุน ห้องหนังสือ และศาลาฉิงหยุนจะตั้งอยู่ตรงนั้น โดยปกติจะมีคนจากโถง หลักมาเฝ้าที่นั้นเอาไว้ มันจะดีที่สุดหากเจ้าไม่ขึ้นไปที่นั้นโดยไม่มีความจําเป็น

 

“ใช่แล้ว เย่เฉิน,มีบางอย่างที่ข้าสงสัยเล็กน้อย ในเจ็ดยอดเขาของนิกายชั้นใน,ทําไมเจ้าถึงได้เลือกยอดเขาฉิงหยุน? ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าน่าจะสามารถเข้าไปที่ยอดเขาอื่นได้”

 

เซี่ยวเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนที่จะตัดสินใจกล่าวไปตามจริง “ที่ข้ามาที่ยอดเขาฉิงหยุน,ก็เพื่อร่ําเรียนฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน”

 

“ฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน? เช่นนั้นเจ้าได้มาถูกที่แล้ว ทั่วทั้งศาลากระบี่สวรรค์,มีเพียงพี่สาวของข้าและเหลิ่งหลิวซูที่บรรลุการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน อย่างไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่มองเห็นได้เลือนลาง,มันต้องพึ่งพาความเข้าใจและพรสวรรค์เป็นอย่างมาก

 

หลิวสุยเชิงประหลาดใจเล็กน้อย,เขาไม่คาดคิดว่าเซี่ยวเฉินมาที่ยอดเขาฉิงหยุนด้วยเหตุผลเช่นนี้

 

เซี่ยวเฉินคิดว่าเขาที่เป็นน้องชายของหลิวหรูเยว่เขาจะต้องมีความเข้าใจถึงการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันมากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นเขาจึงถามขึ้น “ข้าได้ยินบางคนบอกเล่ากันมาว่าการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันเป็นของที่สืบทอดกันมา หากผู้นั้นไม่ได้เกิดมาพร้อมกับมันแล้ว ไม่ว่าจะพยายามถึงเพียงใด,พวกเขาไม่อาจจะบรรลุถึงมันได้มันเป็นเช่นนั้น?”

 

หลิวสุยเฟิงยิ้มบางเบา “นั้นมันไร้สาระ พี่สาวของข้าไม่ได้รับมันมาโดยกําเนิด อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีใครรู้ว่านางทําได้เช่นไร”

 

ประกายระยิบระยับปรากฏขึ้นในดวงตาของเซียวเฉิน ฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมันของหลิวหรูเยว่นางได้บรรลุมันมาด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม,เขารู้สึกได้ว่ามันแข็งแกร่งกว่าของเหลิ่งหลิวซูอย่างชัดเจน

 

“อย่างไรก็ตาม,การฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน เป็นสิ่งที่อาจค้นพบได้โดยไม่ตั้งใจ หากเจ้าจดจ่อกับมันเกินไป เป็นไปได้ว่าเจ้าจะเสียเวลาเปล่าไปทั้งชีวิต เป็นการดีที่สุดหากไม่ไปกดดันเร่งรัด มิฉะนั้น มันอาจจะจบลงที่ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะพลังของเจ้า”

 

เซี่ยวเฉินยิ้มบางๆเป็นนัยว่าเขาเข้าใจแล้ว หลังจากเข้าใจถึงการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน มันจะช่วยได้อย่างมากเมื่อเขาลองร่ําเรียนอาวุธชนิดใดก็ตาม

 

สําหรับการฝึกทักษะต่อสู้ ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปอาจจะต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายเดือนเพื่อเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม,สําหรับผู้ที่เข้าใจถึงการฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน เป็นไปได้ว่าจะสามารถเรียนรู้ได้ภายในหนึ่งวันและสามารถเข้าใจถึงมันได้ในระดับลึกซึ้ง”

 

อย่างไรก็ตามความเข้าใจเช่นนี้มันเลื่อนลอยเกินไป หลายคนใช้เวลามากมายตามหามันแต่ก็ไม่อาจบรรลุถึงได้ในท้ายที่สุด กลับกัน,การบ่มเพาะพลังของพวกเขาได้ล่าช้าลง มีตัวอย่างเช่นนี้ให้เห็นมากมาย

 

กุมกระบี่เงาจันทร์ไว้แน่นในมือของเขา,เซี่ยวเฉินรู้สึกขัดแย้งในใจของเขา เขาไม่รู้ว่าเขาอาจจะจบลงเหมือนกับคนพวกนั้น;คว้าอะไรไว้ไม่ได้สักอย่างและจบลงด้วยมือที่ว่างเปล่า

 

อย่างไรก็ตาม,เป็นเพราะคําสาบานของเขา อย่างน้อยเขาต้องลองลงมือทําดู หากเขาไม่แม้แต่จะมีความกล้าที่จะลอง,เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาเป็นเพียงพวกขี้ขลาด

 

หลังจากนั้น,หลิวสุยเฟิงนําทางเซี่ยวเฉินไปยังที่พักของเขา มีคนเพียงเล็กน้อยบนยอดเขาฉิงหยุน,ดังนั้นเซี่ยวเฉินจึงได้รับลานบ้านขนาดใหญ่มา ช่าวหยางและเสี่ยวเมิ่งได้ช่วยเขาปัดถูสถานที่,ทําความสะอาดล้างฝุ่นและเก็บขยะ

 

หลังจากที่ทุกคนจากไป,มันก็พลบค่ําแล้ว มันช่างงดงามเป็นพิเศษเมื่อดวงอาทิตย์กําลังจมลงไปในหุบเขา

 

เซี่ยวเฉินไม่ได้ใช้เวลาพักผ่อนนานนัก หลังจากที่เขากลับมาที่ห้อง,เขาได้เข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลังทันที ทักษะอัสนี ม่วงศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา พลังจิตวิญญาณโดยรอบถูกสูบเข้าไปในร่างของเขาราวกับหมอก

 

“พลังงานจิตวิญญาณหนาแน่นอะไรเช่นนี้!” เซี่ยวเฉินถอนหายใจ พลังงานวิญญาณแข็งแกร่งกว่าที่ตีนเขาถึงสองเท่า มันแข็งแกร่งกว่าถ้ําแปลกๆด้านหลังน้ําตกที่แม่น้ําจ้วงเสียอีก

 

ไม่น่าแปลกใจที่การแข่งขันเข้าเป็นศิษย์ชั้นในถึงได้เข้มข้นนัก สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะพลังมันเยี่ยมยอดกว่ามาก

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+