I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 31 คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์พูด

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 31 คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์พูด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เพราะอะไร พวกเธอมีสิทธิ์ถามแบบนี้ด้วยเหรอ” ผู้คุมสอบเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน

หานจี้จวินไม่ได้ตื่นตระหนกเพราะคำถามของผู้คุมสอบ ตรงกันข้าม เขาพูดอธิบายด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็นว่า “ไม่ใช่ว่าการสอบจบลงแล้วเหรอครับ ผู้คุมสอบอธิบายไว้ตอนเริ่มต้นแล้วว่า ขอเพียงเรามาถึงเส้นชัยก็หมายความว่าการสอบความเร็วและความอดทนสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นพวกเรามีสิทธิปฏิเสธคำสั่งของคุณครับ”

หานจี้จวินรู้ว่าทุกคนต่างอยู่ในจุดร่อแร่แล้ว มีหลายคนที่แม้กระทั่งทำท่าทางที่เรียบง่ายอย่างการยืนก็ยังต้องอาศัยความแน่วแน่ของตัวประคับประคองไว้ ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงไปโจมตีผู้คุมสอบเลย ขนาดจะก้าวเท้าสักก้าว พวกเขาก็ทำไม่ได้แล้ว

ผู้คุมสอบจ้องมองไปที่หานจี้จวิน ในแววตาของเขามีความชมเชยฉายขึ้นมาแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว เด็กคนนี้เยือกเย็นเด็ดเดี่ยว ไม่ทิ้งความคิดของตัวเองเพราะความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม เข้าใจเรื่องการต่อสู้ด้วยเหตุผล นอกจากนี้ความสามารถในการคิดอ่านก็ยอดเยี่ยมมาก มีเหตุผลชัดเจน เชี่ยวชาญการจับประเด็นเรื่องราว สังเกตเห็นช่องโหว่ของคำพูด เขา ต้องเป็นหน่ออ่อนที่ดีสำหรับเสนาธิการทหารแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะชื่นชอบหานจี้จวินอีกสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาได้ มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มเยาะหยันบางๆ กล่าวว่า “ไอ้หนู วันนี้ผู้คุมสอบอย่างฉันจะทำให้พวกเธอรู้ว่าบนโลกใบนี้มีกฎเกณฑ์ข้อแรกที่ต้องเข้าใจ นั่นก็คือคนอ่อนแอไม่มีสิทธิพูด”

เขากวาดสายตาเข้มงวดไปยังเด็กๆ ที่มีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความโกรธขึ้งเนื่องจากคำพูดของเขา สายตาทั้งสิบคู่มีความอำมหิตและเต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้ทำให้เขาพอใจมาก ถ้าหากไม่มีความกล้าสักนิด ก็ถือว่าพวกเขาถูกพ่อแม่เลี้ยงดูสั่งสอนมาอย่างสูญเปล่าแล้ว

ในตอนที่ผู้คุมสอบกวาดสายตาเข้มงวดไปที่หลิงหลานนั้น เขาก็ร้องเอ๊ะด้วยความตกใจ เพราะว่าสายตาของหลิงหลานดูเยือกเย็นมากที่สุดในหมู่เด็กทั้งสิบคน มันสงบราวกับน้ำนิ่งก็ไม่ปาน ทำให้คนอื่นไม่สามารถล้วงลึกได้ กลัวจนเซ่อซ่าไปแล้ว? หรือว่ามองออก? หรือว่าไม่สะทกสะท้านกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย? หัวคิ้วของผู้คุมสอบขมวดเข้าหากันเล็กน้อยและจ้องมองหลิงหลานอย่างใคร่ครวญอยู่สักพัก

ผู้คุมสอบย่อมไม่รู้ว่าสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของเขาไม่มีผลอะไรต่อหลิงหลานเลย หลิงหลานเติบโตขึ้นมาภายใต้แรงกดดันอันน่าเกรงขามที่กดขี่ผู้คนของหมายเลขหนึ่ง การข่มขู่แบบผิวเผินเช่นนี้ไม่ได้ทำให้หลิงหลานรู้สึกกดดันมากมายเลยจริงๆ

“พวกเธอปฏิเสธคำสั่งของฉันก็ได้ แต่ว่าผลสอบความเร็วกับความอดทนของพวกเธอ ขอโทษทีนะ พวกเธอทำได้แค่สอบไม่ผ่านแล้ว” ผู้คุมสอบเก็บความสงสัยที่มีต่อหลิงหลานกลับไป แวบเดียวเขาก็เปลี่ยนสีหน้า จิตสังหารหายไปไม่เหลือ ชั่วพริบตาเดียวเขาก็แสยะยิ้มราวกับว่าจิตสังหารเมื่อสักครู่นี้เป็นแค่การเข้าใจผิดของพวกเขา ทว่าปากกลับกล่าววาจาโหดเหี้ยมที่ทำลายความหวังของพวกเด็กๆ

คำพูดประโยคนี้ทำให้สีหน้าของพวกหลิงหลานเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้สุดขีด พวกเขาเข้ามาที่สถาบันลูกเสือที่ดีที่สุดแห่งนี้โดยที่กอดความมั่นใจว่าจะต้องได้รับชัยชนะแน่นอน ไม่ใช่เอาความอับอายที่สอบไม่ผ่านกลับไปนะ

“พวกเรามีสิทธิ์ร้องเรียน” ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของหานจี้จวินปกคลุมไปด้วยความเย็นชา เขาเป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ นะ แต่ว่าต่อให้ฉลาดอีกแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถรับมือกับทหาร***ที่ไร้เหตุผลสุดขีดแบบนี้ได้ เขารู้สึกว่าความโกรธสายหนึ่งปะทุขึ้นมาที่อก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงความโกรธเกรี้ยวและความอัดอั้นตันใจของการเป็นผู้อ่อนแอ

“No! No! No! พวกเธอไม่ได้อ่านกฎเกณฑ์ของผู้เข้าสอบกันเลยหรือไง เด็กที่ยื่นเรื่องฟ้องร้องจะถูกยกเลิกผลการสอบของปีนี้ พวกเธออยากรอสอบใหม่อีกทีในปีหน้าเหรอ” ผู้คุมสอบยิ้มพลางส่ายศีรษะ เขาเดินไปที่เบื้องหน้าหานจี้จวินช้าๆ ก่อนจะก้มตัวลงน้อยๆ จ้องมองเด็กชายที่กำลังเดือดดาลด้วยสายตาที่ดูเยาะหยันและแฝงไปด้วยความหยอกล้อเล็กน้อย เขากล่าวออกมาทีละคำอย่างช้าๆ ว่า “นักเรียนซ้ำชั้นที่เฉลียวฉลาด!”

สีหน้าท่าทางนี้ คำพูดพวกนี้ แววตาที่ดูถูกโดยสิ้นเชิงแบบนี้ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกอารมณ์เสียจริงๆ แม่งเอ๊ย ผู้คุมสอบคนนี้กวนตีนมากเกินไปแล้ว

กวนตีน? ใบหน้าของหลิงหลานเต็มไปด้วยขีดดำ เธอตะโกนเหมือนสิงโตดุร้ายในสมองทันทีว่า “เสี่ยวซื่อ เธอเข้ามาวุ่นวายในหัวฉันอีกแล้วเหรอ”

ในที่สุดเสี่ยวซื่อก็เดินเนิบๆ ออกมาจากในมุมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขาย่นดวงหน้าน้อยๆ ที่ดูน่ารัก จนใบหน้าซาลาเปากลายเป็นใบหน้าเสี่ยวหลงเปาแทน เขาเบะปากกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “เขาน่ารังเกียจเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะรังแกเด็กตัวเล็กๆ ได้ลงคอ!”

เอาเถอะ หลิงหลานยังไม่ได้โกรธเคือง เสี่ยวซื่อที่มีสติปัญญาแค่ห้าหกขวบในสมองเธอกลับถูกผู้คุมสอบยั่วโมโหไปแล้ว “นายท่าน ช่วยฉันตีเขาให้ที”

หลิงหลานเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา “ได้ประโยชน์อะไร”

เสี่ยวซื่อตะลึงไป เขาไม่คาดคิดว่าสหายหลิงหลานจะฉวยโอกาสตั้งเงื่อนไขออกมา เธอไม่รู้หรือไงว่าเขาโกรธเพื่อเธอนะ

“เพราะอะไร” เสี่ยวซื่อรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือว่าโฮสต์ของเขาจะไม่ได้โมโห?

“เธอบอกว่า อยากให้ฉันช่วยเธอตีเขา ในเมื่อเป็นการช่วยเหลือ ก็ต้องมีผลประโยชน์มอบให้อยู่แล้วสิ” ท่าทางยิ้มกริ่มของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อรู้สึกว่าเธอก็รังแกเด็กตัวเล็กๆ ไม่ได้แตกต่างอะไรกับผู้คุมสอบด้านนอกเลย

“เขากำลังรังแกเธอนะ เธอไม่โกรธเลยเหรอ” เสี่ยวซื่อไม่เข้าใจ ผู้คุมสอบกลั่นแกล้งคนขนาดนี้ ขนาดเขายังรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ แล้วทำไมหลิงหลานยังนิ่งได้ขนาดนี้ล่ะ

“รังแก? ฉันไม่เห็นรู้สึกเลย” ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คุมสอบถึงทำแบบนี้ แต่เธอก็ไม่รู้สึกว่าตัวเขาจะมีเจตนาร้ายอะไรต่อพวกเธอ

หลิงหลานซาบซึ้งใจกับการกดขี่ของอาจารย์หมายเลขหนึ่งกับหมายเลขเก้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มันทำให้เธอมีความสามารถที่ไม่นับว่าเป็นความสามารถซึ่งสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายหรือว่าจิตสังหารที่มีต่อเธอได้รางๆ แน่นอนว่า จากคำกล่าวของอาจารย์หมายเลขหนึ่ง ความสามารถข้อนี้ของหลิงหลานยังเป็นแค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ความจริงแล้วมันเป็นของที่ไร้สาระมาก ไม่มีประสิทธิผลอะไรอย่างแท้จริง ถ้าหากเจอยอดฝีมือหรือนักฆ่าที่ร้ายกาจ หลิงหลานยังไม่ทันได้รู้สึกถึงจิตสังหารสักนิดเดียวก็ตายแล้ว

คำพูดของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อกระทืบเท้าทันที โฮสต์ของเขาอืดอาดเกินไปหรือเปล่า โดนเหยียบถึงหน้าแล้วยังพูดว่าไม่รู้สึกอะไร

หลิงหลานเพิ่งจะคิดปลอบใจเสี่ยวซื่อ ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของฉีหลงที่อยู่ในโลกภายนอกมีความผิดปกติบางอย่าง พลังจิตเริ่มสั่นคลอนขึ้นมาอย่างรุนแรง

“ช่วยฉันคิดหาวิธีจัดการเรื่องการสอบของอาจารย์หมายเลขหนึ่งในอีกสามวันให้หลัง!” หลิงหลานทิ้งเงื่อนไขของเธอลงไปตรงๆ จากนั้นเธอก็ถอนตัวออกมาจากในห้วงสติโดยไม่สนใจการประท้วงของเสี่ยวซื่อ สถานการณ์ของฉีหลงดูไม่ดีอยู่บ้าง เธอต้องใส่ใจด้วยความระมัดระวัง

เวลานี้ประสาทของหลิงหลานรู้สึกตึงเครียดแล้ว ร่างกายโน้มไปข้างหน้านิดหน่อย สองมือห้อยลงมาและงอมือเล็กน้อย ข้างหนึ่งอยู่ด้านบน ข้างหนึ่งอยู่ด้านล่างกลายเป็นรูปไม้กางเขนได้รางๆ ขาขวาขยับไปด้านหลัง ฝ่าเท้ากดที่พื้น นี่เป็นท่วงท่าที่ระเบิดพลังทั้งหมดของร่างกายได้ง่ายที่สุด มันเป็นท่าเทคนิคการต่อสู้พื้นฐานที่เธอได้เรียนจากหมายเลขเก้าในปีนี้ ใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน

เวลานี้เอง ฉีหลงที่เดิมทีก้มหน้าลงก็พลันเงยหน้าขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคนคือดวงตาสีแดงฉานที่เต็มไปด้วยจิตสังหารคู่นั้นของเขา อย่างไรก็ตาม จิตสังหารนี้พุ่งไปยังผู้คุมสอบเท่านั้น ดูท่า การที่ผู้คุมสอบหยอกล้อหานจี้จวินจะยั่วโมโหฉีหลงแล้ว ทำให้เขาระเบิดออกมาด้วยเหตุนี้เอง

ผู้คุมสอบสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากตัวฉีหลง แววตาแสดงความประหลาดใจออกมาแวบหนึ่ง เขากระโดดถอยหลังทันที ชั่วพริบตาที่เขาร่อนลงพื้นก็เปลี่ยนท่วงท่าและกลิ่นอายของเขา ดวงตาทั้งสองข้างมีเจตนาต่อสู้อย่างรุนแรง

ฉีหลงคำรามเสียงดัง ทั่วทั้งร่างพุ่งเข้าไปราวกับลูกระเบิด หมัดที่กำแน่นเหวี่ยงออกไปต่อยผู้คุมสอบอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็ได้ยินเสียงปังดังลั่น ฝุ่นละอองตลบอบอวลจนแทบจะบดบังทัศนวิสัยของทุกคน

หรือว่าฉีหลงโจมตีผู้คุมสอบได้แล้ว? ทำให้ผู้คุมสอบล้มอย่างรุนแรงลงไปที่พื้น เพราะว่าเด็กคนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน พวกเขาเลยมองหน้ากันเองด้วยใบหน้ามึนงง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

มีเพียงหลิงหลานคนเดียวเท่านั้นที่สีหน้าเคร่งเครียด คิ้วเลิกขึ้นน้อยๆ เนื่องจากเด็กคนอื่นๆ มองเห็นสถานการณ์บนสนามได้ไม่ชัด ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าหลิงหลานกลับมองเห็นชัดเจนมาก เสี่ยวซื่อช่วยเธอแสดงภาพของฉีหลงกับผู้คุมสอบในเวลานี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากพวกฝุ่นละอองที่อยู่ด้านนอกเลย

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 31 คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์พูด

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 31 คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์พูด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เพราะอะไร พวกเธอมีสิทธิ์ถามแบบนี้ด้วยเหรอ” ผู้คุมสอบเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน

หานจี้จวินไม่ได้ตื่นตระหนกเพราะคำถามของผู้คุมสอบ ตรงกันข้าม เขาพูดอธิบายด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็นว่า “ไม่ใช่ว่าการสอบจบลงแล้วเหรอครับ ผู้คุมสอบอธิบายไว้ตอนเริ่มต้นแล้วว่า ขอเพียงเรามาถึงเส้นชัยก็หมายความว่าการสอบความเร็วและความอดทนสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นพวกเรามีสิทธิปฏิเสธคำสั่งของคุณครับ”

หานจี้จวินรู้ว่าทุกคนต่างอยู่ในจุดร่อแร่แล้ว มีหลายคนที่แม้กระทั่งทำท่าทางที่เรียบง่ายอย่างการยืนก็ยังต้องอาศัยความแน่วแน่ของตัวประคับประคองไว้ ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงไปโจมตีผู้คุมสอบเลย ขนาดจะก้าวเท้าสักก้าว พวกเขาก็ทำไม่ได้แล้ว

ผู้คุมสอบจ้องมองไปที่หานจี้จวิน ในแววตาของเขามีความชมเชยฉายขึ้นมาแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว เด็กคนนี้เยือกเย็นเด็ดเดี่ยว ไม่ทิ้งความคิดของตัวเองเพราะความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม เข้าใจเรื่องการต่อสู้ด้วยเหตุผล นอกจากนี้ความสามารถในการคิดอ่านก็ยอดเยี่ยมมาก มีเหตุผลชัดเจน เชี่ยวชาญการจับประเด็นเรื่องราว สังเกตเห็นช่องโหว่ของคำพูด เขา ต้องเป็นหน่ออ่อนที่ดีสำหรับเสนาธิการทหารแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะชื่นชอบหานจี้จวินอีกสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาได้ มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มเยาะหยันบางๆ กล่าวว่า “ไอ้หนู วันนี้ผู้คุมสอบอย่างฉันจะทำให้พวกเธอรู้ว่าบนโลกใบนี้มีกฎเกณฑ์ข้อแรกที่ต้องเข้าใจ นั่นก็คือคนอ่อนแอไม่มีสิทธิพูด”

เขากวาดสายตาเข้มงวดไปยังเด็กๆ ที่มีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความโกรธขึ้งเนื่องจากคำพูดของเขา สายตาทั้งสิบคู่มีความอำมหิตและเต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้ทำให้เขาพอใจมาก ถ้าหากไม่มีความกล้าสักนิด ก็ถือว่าพวกเขาถูกพ่อแม่เลี้ยงดูสั่งสอนมาอย่างสูญเปล่าแล้ว

ในตอนที่ผู้คุมสอบกวาดสายตาเข้มงวดไปที่หลิงหลานนั้น เขาก็ร้องเอ๊ะด้วยความตกใจ เพราะว่าสายตาของหลิงหลานดูเยือกเย็นมากที่สุดในหมู่เด็กทั้งสิบคน มันสงบราวกับน้ำนิ่งก็ไม่ปาน ทำให้คนอื่นไม่สามารถล้วงลึกได้ กลัวจนเซ่อซ่าไปแล้ว? หรือว่ามองออก? หรือว่าไม่สะทกสะท้านกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย? หัวคิ้วของผู้คุมสอบขมวดเข้าหากันเล็กน้อยและจ้องมองหลิงหลานอย่างใคร่ครวญอยู่สักพัก

ผู้คุมสอบย่อมไม่รู้ว่าสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของเขาไม่มีผลอะไรต่อหลิงหลานเลย หลิงหลานเติบโตขึ้นมาภายใต้แรงกดดันอันน่าเกรงขามที่กดขี่ผู้คนของหมายเลขหนึ่ง การข่มขู่แบบผิวเผินเช่นนี้ไม่ได้ทำให้หลิงหลานรู้สึกกดดันมากมายเลยจริงๆ

“พวกเธอปฏิเสธคำสั่งของฉันก็ได้ แต่ว่าผลสอบความเร็วกับความอดทนของพวกเธอ ขอโทษทีนะ พวกเธอทำได้แค่สอบไม่ผ่านแล้ว” ผู้คุมสอบเก็บความสงสัยที่มีต่อหลิงหลานกลับไป แวบเดียวเขาก็เปลี่ยนสีหน้า จิตสังหารหายไปไม่เหลือ ชั่วพริบตาเดียวเขาก็แสยะยิ้มราวกับว่าจิตสังหารเมื่อสักครู่นี้เป็นแค่การเข้าใจผิดของพวกเขา ทว่าปากกลับกล่าววาจาโหดเหี้ยมที่ทำลายความหวังของพวกเด็กๆ

คำพูดประโยคนี้ทำให้สีหน้าของพวกหลิงหลานเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้สุดขีด พวกเขาเข้ามาที่สถาบันลูกเสือที่ดีที่สุดแห่งนี้โดยที่กอดความมั่นใจว่าจะต้องได้รับชัยชนะแน่นอน ไม่ใช่เอาความอับอายที่สอบไม่ผ่านกลับไปนะ

“พวกเรามีสิทธิ์ร้องเรียน” ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของหานจี้จวินปกคลุมไปด้วยความเย็นชา เขาเป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ นะ แต่ว่าต่อให้ฉลาดอีกแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถรับมือกับทหาร***ที่ไร้เหตุผลสุดขีดแบบนี้ได้ เขารู้สึกว่าความโกรธสายหนึ่งปะทุขึ้นมาที่อก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงความโกรธเกรี้ยวและความอัดอั้นตันใจของการเป็นผู้อ่อนแอ

“No! No! No! พวกเธอไม่ได้อ่านกฎเกณฑ์ของผู้เข้าสอบกันเลยหรือไง เด็กที่ยื่นเรื่องฟ้องร้องจะถูกยกเลิกผลการสอบของปีนี้ พวกเธออยากรอสอบใหม่อีกทีในปีหน้าเหรอ” ผู้คุมสอบยิ้มพลางส่ายศีรษะ เขาเดินไปที่เบื้องหน้าหานจี้จวินช้าๆ ก่อนจะก้มตัวลงน้อยๆ จ้องมองเด็กชายที่กำลังเดือดดาลด้วยสายตาที่ดูเยาะหยันและแฝงไปด้วยความหยอกล้อเล็กน้อย เขากล่าวออกมาทีละคำอย่างช้าๆ ว่า “นักเรียนซ้ำชั้นที่เฉลียวฉลาด!”

สีหน้าท่าทางนี้ คำพูดพวกนี้ แววตาที่ดูถูกโดยสิ้นเชิงแบบนี้ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกอารมณ์เสียจริงๆ แม่งเอ๊ย ผู้คุมสอบคนนี้กวนตีนมากเกินไปแล้ว

กวนตีน? ใบหน้าของหลิงหลานเต็มไปด้วยขีดดำ เธอตะโกนเหมือนสิงโตดุร้ายในสมองทันทีว่า “เสี่ยวซื่อ เธอเข้ามาวุ่นวายในหัวฉันอีกแล้วเหรอ”

ในที่สุดเสี่ยวซื่อก็เดินเนิบๆ ออกมาจากในมุมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขาย่นดวงหน้าน้อยๆ ที่ดูน่ารัก จนใบหน้าซาลาเปากลายเป็นใบหน้าเสี่ยวหลงเปาแทน เขาเบะปากกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “เขาน่ารังเกียจเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะรังแกเด็กตัวเล็กๆ ได้ลงคอ!”

เอาเถอะ หลิงหลานยังไม่ได้โกรธเคือง เสี่ยวซื่อที่มีสติปัญญาแค่ห้าหกขวบในสมองเธอกลับถูกผู้คุมสอบยั่วโมโหไปแล้ว “นายท่าน ช่วยฉันตีเขาให้ที”

หลิงหลานเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา “ได้ประโยชน์อะไร”

เสี่ยวซื่อตะลึงไป เขาไม่คาดคิดว่าสหายหลิงหลานจะฉวยโอกาสตั้งเงื่อนไขออกมา เธอไม่รู้หรือไงว่าเขาโกรธเพื่อเธอนะ

“เพราะอะไร” เสี่ยวซื่อรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือว่าโฮสต์ของเขาจะไม่ได้โมโห?

“เธอบอกว่า อยากให้ฉันช่วยเธอตีเขา ในเมื่อเป็นการช่วยเหลือ ก็ต้องมีผลประโยชน์มอบให้อยู่แล้วสิ” ท่าทางยิ้มกริ่มของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อรู้สึกว่าเธอก็รังแกเด็กตัวเล็กๆ ไม่ได้แตกต่างอะไรกับผู้คุมสอบด้านนอกเลย

“เขากำลังรังแกเธอนะ เธอไม่โกรธเลยเหรอ” เสี่ยวซื่อไม่เข้าใจ ผู้คุมสอบกลั่นแกล้งคนขนาดนี้ ขนาดเขายังรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ แล้วทำไมหลิงหลานยังนิ่งได้ขนาดนี้ล่ะ

“รังแก? ฉันไม่เห็นรู้สึกเลย” ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คุมสอบถึงทำแบบนี้ แต่เธอก็ไม่รู้สึกว่าตัวเขาจะมีเจตนาร้ายอะไรต่อพวกเธอ

หลิงหลานซาบซึ้งใจกับการกดขี่ของอาจารย์หมายเลขหนึ่งกับหมายเลขเก้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มันทำให้เธอมีความสามารถที่ไม่นับว่าเป็นความสามารถซึ่งสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายหรือว่าจิตสังหารที่มีต่อเธอได้รางๆ แน่นอนว่า จากคำกล่าวของอาจารย์หมายเลขหนึ่ง ความสามารถข้อนี้ของหลิงหลานยังเป็นแค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ความจริงแล้วมันเป็นของที่ไร้สาระมาก ไม่มีประสิทธิผลอะไรอย่างแท้จริง ถ้าหากเจอยอดฝีมือหรือนักฆ่าที่ร้ายกาจ หลิงหลานยังไม่ทันได้รู้สึกถึงจิตสังหารสักนิดเดียวก็ตายแล้ว

คำพูดของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อกระทืบเท้าทันที โฮสต์ของเขาอืดอาดเกินไปหรือเปล่า โดนเหยียบถึงหน้าแล้วยังพูดว่าไม่รู้สึกอะไร

หลิงหลานเพิ่งจะคิดปลอบใจเสี่ยวซื่อ ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของฉีหลงที่อยู่ในโลกภายนอกมีความผิดปกติบางอย่าง พลังจิตเริ่มสั่นคลอนขึ้นมาอย่างรุนแรง

“ช่วยฉันคิดหาวิธีจัดการเรื่องการสอบของอาจารย์หมายเลขหนึ่งในอีกสามวันให้หลัง!” หลิงหลานทิ้งเงื่อนไขของเธอลงไปตรงๆ จากนั้นเธอก็ถอนตัวออกมาจากในห้วงสติโดยไม่สนใจการประท้วงของเสี่ยวซื่อ สถานการณ์ของฉีหลงดูไม่ดีอยู่บ้าง เธอต้องใส่ใจด้วยความระมัดระวัง

เวลานี้ประสาทของหลิงหลานรู้สึกตึงเครียดแล้ว ร่างกายโน้มไปข้างหน้านิดหน่อย สองมือห้อยลงมาและงอมือเล็กน้อย ข้างหนึ่งอยู่ด้านบน ข้างหนึ่งอยู่ด้านล่างกลายเป็นรูปไม้กางเขนได้รางๆ ขาขวาขยับไปด้านหลัง ฝ่าเท้ากดที่พื้น นี่เป็นท่วงท่าที่ระเบิดพลังทั้งหมดของร่างกายได้ง่ายที่สุด มันเป็นท่าเทคนิคการต่อสู้พื้นฐานที่เธอได้เรียนจากหมายเลขเก้าในปีนี้ ใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน

เวลานี้เอง ฉีหลงที่เดิมทีก้มหน้าลงก็พลันเงยหน้าขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคนคือดวงตาสีแดงฉานที่เต็มไปด้วยจิตสังหารคู่นั้นของเขา อย่างไรก็ตาม จิตสังหารนี้พุ่งไปยังผู้คุมสอบเท่านั้น ดูท่า การที่ผู้คุมสอบหยอกล้อหานจี้จวินจะยั่วโมโหฉีหลงแล้ว ทำให้เขาระเบิดออกมาด้วยเหตุนี้เอง

ผู้คุมสอบสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากตัวฉีหลง แววตาแสดงความประหลาดใจออกมาแวบหนึ่ง เขากระโดดถอยหลังทันที ชั่วพริบตาที่เขาร่อนลงพื้นก็เปลี่ยนท่วงท่าและกลิ่นอายของเขา ดวงตาทั้งสองข้างมีเจตนาต่อสู้อย่างรุนแรง

ฉีหลงคำรามเสียงดัง ทั่วทั้งร่างพุ่งเข้าไปราวกับลูกระเบิด หมัดที่กำแน่นเหวี่ยงออกไปต่อยผู้คุมสอบอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็ได้ยินเสียงปังดังลั่น ฝุ่นละอองตลบอบอวลจนแทบจะบดบังทัศนวิสัยของทุกคน

หรือว่าฉีหลงโจมตีผู้คุมสอบได้แล้ว? ทำให้ผู้คุมสอบล้มอย่างรุนแรงลงไปที่พื้น เพราะว่าเด็กคนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน พวกเขาเลยมองหน้ากันเองด้วยใบหน้ามึนงง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

มีเพียงหลิงหลานคนเดียวเท่านั้นที่สีหน้าเคร่งเครียด คิ้วเลิกขึ้นน้อยๆ เนื่องจากเด็กคนอื่นๆ มองเห็นสถานการณ์บนสนามได้ไม่ชัด ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าหลิงหลานกลับมองเห็นชัดเจนมาก เสี่ยวซื่อช่วยเธอแสดงภาพของฉีหลงกับผู้คุมสอบในเวลานี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากพวกฝุ่นละอองที่อยู่ด้านนอกเลย

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+