Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1199 วสันต์สารทชั่วพริบตา
จี้ซิงเหยากล่าว “เช่นนั้นก็ดี หลังจากนี้สิบวันพวกเราจะออกเดินทาง”
สามารถเดินทางร่วมกับหลินสวินก็เท่ากับได้เพื่อนร่วมทางที่แข็งแกร่งมาอีกคน ยามมุ่งหน้าสู่เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกก็จะได้การคุ้มครองมาอีกอย่าง
“หลังจากนี้สิบวันรึ” หลินสวินมุ่นคิ้ว
จี้ซิงเหยาชะงัก ตอนนี้ถึงได้ตระหนักว่าหลินสวินไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกเลย
นางกล่าวอธิบาย “ทุกสิบวันจึงจะมีโอกาสเข้าไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาอื่นเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกจะถูกพลังประหลาดชั้นหนึ่งปกคลุม ทันทีที่เข้าใกล้จะประสบเคราะห์อัปมงคล ตายสถานเดียว”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?
ตอนนั้นเขาเคยเดินทางอยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกหนึ่งวันหนึ่งคืน ผ่านความอันตรายถึงชีวิตไม่รู้เท่าไหร่
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีพลังประหลาดและอัปมงคลอะไรเกินไป
‘ดูท่าภายในนั้นยังมีความเร้นลับและสิ่งต้องห้ามมากมายที่ข้าไม่เข้าใจ’
ใจหลินสวินพลันหนักอึ้ง
เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกยิ่งอันตรายและแปลกประหลาด ความเป็นไปได้ที่เจ้าคางคกจะประสบอันตรายก็ยิ่งมาก
แต่ต่อให้หลินสวินร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ ต้องรออีกสิบวันค่อยออกเดินทาง
‘เจ้าหมอนี่เป็นคนโชคดีฟ้าคุ้มครอง ทั้งได้รับมรดกของเซียนผลาญเฉินหลินคงแล้ว น่าจะไม่ตายง่ายๆ’
หลินสวินได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้
จี้ซิงเหยาไม่รั้งอยู่นาน นัดเวลาและสถานที่พบเจอกับหลินสวินดีแล้วก็จากไป
อันที่จริงการที่นางมาบอกเรื่องเจ้าคางคกประสบภัยด้วยตนเองครั้งนี้ ก็ทำให้หลินสวินรู้ว่านางมองข้าม ‘เรื่องเข้าใจผิด’ ในปีนั้นไปแล้วจริงๆ ไม่ขุ่นเคืองเขาอีก
ไม่อย่างนั้นนางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินยินดีที่ได้พบอย่างยิ่ง
…
เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกคือ ‘แดนหายนะ’ ที่ผู้คนในแดนอัคคีทักษิณต่างรู้จัก
รอบนอกเป็นผืนป่าดึกดำบรรพ์กว้างขวาง ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าบดบังนภาคลุมตะวัน ถูกปกคลุมอยู่ในความมืดมิดมานานปี
หลินสวินมาแล้วยืนอยู่ตรงป่าเขารอบนอก
จิตรับรู้ของเขาแผ่ขยายออก เมื่อรุกเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์กว้างใหญ่นั่นก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายทะมึนไหลบ่ากดดันมาทันที ทำให้ลมหายใจเขาหยุดชะงักเพราะมัน
แต่นี่ไม่ได้มีผลกระทบต่อหลินสวิน
หลังโคจรเคล็ดเวทบริกรรม จิตรับรู้ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลนั้นของเขาก็แผ่ไปยังส่วนลึกของป่าเขาราวกระแสน้ำ ยืดขยายออกไปไม่หยุด…
ในขั้นตอนนี้กลิ่นอายกดดันและอึมครึมนั่นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าก็ยิ่งแปลกประหลาด
นี่ทำให้แรงกดดันในใจหลินสวินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกร็งไปทั้งตัวราวสายธนูที่ง้างไว้ พลังขับเคลื่อนทั่วร่างโคจรอย่างไร้สุ้มเสียงถึงได้จึงสามารถต้านทานไว้ได้
ตูม!
มองจากไกลๆ ผมดำของหลินสวินแผ่สยาย แสงมรรคไหลวนไปทั่วร่าง จิตต่อสู้อันดุดันทะลวงแหวกห้วงอากาศดั่งรุ้งเทพ ทำให้เมฆทั่วทิศสลายตัว น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ
เหมือนกำลังห้ำหั่นกับศัตรูที่ทรงพลังที่สุด
หากถูกมกุฎราชันคนอื่นเห็นเข้า จะต้องถูกอานุภาพพลังที่หลินสวินแผ่ออกมาทำให้หวาดหวั่นแน่ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ประหนึ่งเทพมารค้ำจุนฟ้าดิน!
พร้อมกันนี้ในจิตวิญญาณหลินสวินกำลังสั่นคลอนรุนแรง เหมือนมีเสียงเทพผีร่ำไห้ อริยะครวญคร่ำดังกระหึ่ม
ในห้วงนิมิตเต็มไปด้วยภาพชวนประหวั่นอย่างกระดูกขาวราวภูเขา ศพมากมายดุจห้วงสมุทร ฟ้าดินพังทลาย สรรพสิ่งดับสลาย
ทุกอย่างล้วนกำลังสั่นคลอนจิตใจ โจมตีเจตจำนงของเขา!
กระทั่งต่อมาในห้วงนิมิตเต็มไปด้วยเสียงคำรามอลหม่าน ภาพวาดเลือดหลั่งชโลม คล้ายจะม้วนกลืนจิตวิญญาณเขาให้จมดิ่งลงไปในนั้น
‘นี่คือ!?’
ทันใดนั้นห้วงนิมิตหลินสวินก็ปรากฏแม่น้ำสายหนึ่ง เลือดไหลบ่า ภายในมีซากศพประหลาดและอัปมงคลมากมายผลุบโผล่อยู่รางๆ
บ้างเป็นภิกษุที่ละกิเลส หว่างคิ้วถูกทะลวงเป็นรูโหว่รูหนึ่ง เผยสีหน้าโกรธแค้น
บ้างรูปร่างคล้ายมังกรฟ้าที่ถูกสะบั้นทุกอณู มองเห็นเป็นระยะๆ อยู่ในธารโลหิต คดเคี้ยวประมาณหลายหมื่นจั้ง
บ้างเป็นอริยะสวมเสื้อขนนกประดับเกี้ยวสูง…
บ้างเป็นสัตว์ปีศาจแปลกประหลาดที่ตรงหน้าผากแฝงลายมรรคแต่กำเนิด…
ทั้งหมดล้วนสิ้นชีพโดยไม่มีข้อยกเว้น!
ผลุบโผล่อยู่ในธารโลหิตราวจุดหมายแห่งความตาย
ตูม!
ไม่รอให้หลินสวินได้เห็นชัด ห้วงนิมิตก็พลันเจ็บปวดสาหัส ถูกพลังเยียบเย็นน่าหวาดกลัวสายหนึ่งโจมตี ทำให้เขาร้องเสียงอึดอัด เก็บจิตรับรู้คืนโดยไม่ลังเล
จากนั้นปรากฏการณ์ประหลาดที่เห็นก่อนหน้านี้จึงถดถอยหายไปราวกระแสน้ำ
และตอนนี้ทั่วร่างหลินสวินก็ชุ่มเหงื่อ สีหน้าค่อนข้างซีดเผือด ในดวงตาล้ำลึกฉายแววตระหนก
ธารโลหิตสายนั้น… ก็คือ ‘แม่น้ำนรก’ หรือ
ถึงตอนนี้หลินสวินจึงได้เข้าใจว่าที่จี้ซิงเหยากล่าวมาทั้งหมดล้วนไม่ผิด เวลานี้หากเข้าไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนั่นจะต้องเจอเรื่องไม่คาดฝันแน่
พลังที่ครอบคลุมอยู่ภายในแปลกประหลาดและอัปมงคลเกินไป ทำให้เขาไร้แรงต้านทาน!
ฟู่…
ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินจึงผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เก็บพลังทั่วร่างลงไป
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง เงาร่างก็พริบไหวหายเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์นั่น
ป่าเขาแถบนี้เป็นเพียงรอบนอกของเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก แม้มีอันตรายมากมายกระจายอยู่ทั่ว แต่สำหรับหลินสวินแล้วยังไม่อาจสร้างภัยคุกคามมากนัก
‘นับจากวันนี้ไปก็ฝึกปราณอยู่ที่นี่แล้วกัน…’
หลินสวินตัดสินใจเด็ดขาด
เวลาสิบวัน หากใช้อย่างคุ้มค่าก็เพียงพอให้ตนยกระดับพลังต่อสู้ขึ้นอีกขั้น
ในป่าดึกดำบรรพ์นี้อันตรายซ่อนอยู่รอบทิศ แต่สำหรับหลินสวินแล้วกลับเป็นสถานที่ชั้นยอดในการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์ หยั่งรู้วิชามรรคแห่งหนึ่ง
…
ระดับราชันแบ่งเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายสามขั้น
เมื่อถึงระดับราชันขั้นสมบูรณ์ เมล็ดพันธุ์แห่งมรรคภายในร่างก็จะใกล้สมบูรณ์ตามไปด้วย ยามนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของอมตะเคราะห์
ก้าวผ่านไปได้ก็จะเรียกว่าระดับอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่ง เมล็ดพันธุ์แห่งมรรคภายในร่างก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ก่อเกิดเป็น ‘รากฐานมรรค’ !
รากฐานมรรค ถูกมองเป็นรากฐานแห่งฟ้าดิน เกี่ยวพันกับหนทางอมตะ เหมือนการก้าวสู่ระดับใหม่ทั้งหมดบนอมตะมรรคา
ก้าวไม่พ้น หากไม่ใช่พลังปราณหยุดอยู่กับที่ หมดหวังจะเลื่อนระดับอีก
ก็ร่างแหลกมรรคสลาย!
นี่ก็คือความเสี่ยงและบททดสอบที่ต้องแบกรับในการบำเพ็ญ ‘อมตะ’
ถึงแม้ระดับราชันจะหยั่งรู้ความเป็นตาย ไม่หวาดกลัวการกัดกร่อนของเวลา จิตวิญญาณไม่ดับสลาย ชีวิตไม่ดับสิ้น แต่หากข้ามเคราะห์ไม่พ้นก็ป่วยการ
ตอนนี้ปราณของหลินสวินบรรลุถึงขั้นต้นสมบูรณ์แล้ว สามารถก้าวสู่ขั้นกลางได้ทุกเมื่อ
เพียงแต่ระดับมกุฎราชันไม่ใช่สิ่งที่สามารถอาศัยปราณมาวัดความสูงต่ำของพลังต่อสู้ได้
หรือพูดได้ว่าความสูงต่ำของพลังต่อสู้ในระดับมกุฎราชัน จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถกำหนดมาตรฐานแบ่งแยกโดยละเอียดได้
ด้วยขอบเขตระดับนี้ไม่เคยมีมาก่อน อริยะก็ไม่กล้าให้คำนิยาม!
ผ่านไปสามวัน
ในป่าเขาหลินสวินนั่งขัดสมาธิ พลังทั่วร่างดุจเตาหลอม เลื่อนสู่ขั้นสูงกว่าในชั่วพริบตา พลังที่แผ่ออกมาทั้งมวลทำให้ผืนป่าแถบนี้สั่นสะเทือนดังสวบสาบ
มรรคราชันขั้นกลาง!
การทะลวงปราณครั้งนี้ไม่ถึงกับยากลำบาก สุกงอมตามครรลอง เดิมก็อยู่ในการคาดเดาของหลินสวิน
หึ่งๆๆ
ในความมืดมิดรอบๆ ป่าเขา เสียงหึ่งๆ กึกก้องดังขึ้น
ทันใดนั้นยุงโลหิตที่มีหกปีกแต่กำเนิด ขนาดเท่ากำปั้น สีแดงชาดตลอดตัวฝูงหนึ่งก็แห่ออกมา กลิ่นอายอำมหิตเหี้ยมเกรียมพุ่งมาทางหลินสวิน
ยุงโลหิตหกปีก!
หลินสวินลืมตาขึ้น ไม่ตระหนกวิตก
นี่คือสิ่งมีชีวิตน่ากลัวซึ่งกระจายอยู่รอบป่าเขาดึกดำบรรพ์นี่ เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหวเพียงเสี้ยวก็จะดึงดูดความสนใจของพวกมัน รับมือได้ยากยิ่ง
ตอนที่เขาเข้าสู่แดนอัคคีทักษิณครั้งแรกก็เคยถูกยุงโลหิตหกปีกตามล่าไล่บี้ไม่ปล่อย บนตัวไม่เพียงแต่ถูกเจาะเกิดรูโหว่ชุ่มเลือดมากมาย ยังถูกพิษร้ายแรงแทรกซึม น่าอเนจอนาถเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ครั้งนี้ต่างไปจากเดิมแล้ว
ร่างหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิกับพื้นไม่ขยับ ยื่นนิ้วชี้ข้างขวาออกไปวาดวงโคจรบางเบาเร้นลับวงหนึ่งกลางอากาศ
พร้อมกันนี้พลังอันแข็งแกร่งทั่วร่างเขาก็เคลื่อนตามไปด้วย ใช้วิธีประหลาดทำการโคจรมารวมกันที่ปลายนิ้วเสียงเลื่อนลั่น
จากนั้นก็ดีดนิ้วเบาๆ
ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ เถาวัลย์ที่ใหญ่โตราวงูเหลือม ดอกไม้ใบหญ้าที่สูงเท่าตัวคน… ล้วนกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เต็มไปด้วยพลังชีวิตดั่งอยู่ในกาลเวลาหมื่นสมัย
ชั่วขณะที่หลินสวินชี้นิ้วออกไป ต้นไม้เก่าแก่ เถาวัลย์ ดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้ก็แห้งเหี่ยวหมด กลายเป็นเถ้าละอองลอยละล่อง
พริบตานั้นฤดูกาลหมุนเวียนล้มล้างสรรพสิ่ง ราวกับประวัติศาสตร์หมื่นสมัยปรากฏรวมอยู่ในดรรชนีเดียว เป็นภาพที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง
ยุงโลหิตหกปีกที่พุ่งเข้ามาใกล้พลังชีวิตพลันแห้งเหือด ร่างเหี่ยวแห้งราวถูกสูบพลังชีวิตไปจนหมด จากนั้นก็ร่วงกราวลงไปกองกับพื้น
เมื่อมองไปอีกครั้ง ในรัศมีพันจั้งไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโต สรรพสิ่งกลายเป็นว่างเปล่าเตียนโล่งเหมือนถูกลบล้างไป
ภาพนี้ทำให้ในดวงตาหลินสวินฉายแววอัศจรรย์
กระบวนท่าแรกของดรรชนีมหาอุดมสลายมายา วสันต์สารทชั่วพริบตา!
หนึ่งดรรชนีหมุนเปลี่ยนฤดูกาล ช่วงชิงศุภโชค ตัดสินเป็นตาย
การโจมตีนี้เหมือนหลอมรวมความยิ่งใหญ่แห่งฤดูกาลหมื่นสมัยไว้ในหนึ่งดรรชนี สามารถล้มล้างฟ้าดิน ย้อนพลิกความรุ่งโรจน์และโรยร่วง อาศัยพลานุภาพยิ่งใหญ่กดข่มสรรพสิ่ง!
หลินสวินเพิ่งทำการหยั่งรู้ ยึดกุมได้เพียงขนผิวเศษเสี้ยวของกระบวนท่านี้ แต่ความแข็งแกร่งของอานุภาพที่สำแดงออกมากลับเหนือการคาดเดาของหลินสวินสิ้นเชิง!
ไม่เพียงแค่แข็งแกร่ง แต่พลิกฟ้าจริงๆ!
วิชามรรคนี้คือมรดกที่ได้มาจาก ‘ภาพตกปลาบนฟ้าดารา’ รวมแล้วมีสามกระบวนท่า
แต่ละกระบวนท่าล้วนครอบจักรวาลลึกลับไร้สิ้นสุด เป็นวิชามรรคอมตะที่สามารถสะเทือนอดีตจวบจนปัจจุบัน
หึ่งๆ
ในจุดที่ห่างออกไปยุงโลหิตหกปีกพุ่งเข้ามาอีกครั้ง สาเหตุที่สิ่งมีชีวิตพวกนี้รับมือยากก็ด้วยพวกมันแกล้วกล้าไม่กลัวตาย เกาะกลุ่มเป็นขบวนฆ่าอย่างไรก็ไม่หมด ทำให้คนปวดกบาลยิ่งนัก
เห็นดังนี้หลินสวินพลันตวัดนิ้วอีกครั้ง
ต่างจากครั้งก่อน พลังของดรรชนีนี้เผยอานุภาพยิ่งใหญ่ประดุจไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้ ทรงพลานุภาพไร้จำกัด พลังทำลายล้างรุนแรงยิ่งใหญ่ไพศาล
เหล่ายุงโลหิตหกปีกที่พุ่งมานั้นล้วนถูกกำจัดไม่ผิดจากที่คาด
‘ครั้งก่อนใช้กฎเกณฑ์ธาตุไฟ คราวนี้ใช้กฎเกณฑ์ธาตุน้ำ แม้ลักษณะพลังจะแตกต่าง แต่อานุภาพกลับไม่ได้ต่างกันอย่างชัดเจน…’
‘เพียงแต่ดรรชนีมหาอุดมสลายมายานี้ล้ำลึกสุดหยั่ง ข้าเพิ่งหยั่งรู้เพียงผิวเผิน หลังจากนี้เมื่อหยั่งรู้เพิ่มเติมอานุภาพก็น่าจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ’
‘ทว่าจะกินพลังกันเกินไปแล้ว’
หลินสวินพลันจนปัญญา แค่สองดรรชนีถึงกับผลาญพลังของเขาไปหนึ่งในสามส่วน!
แม้วิชามรรคนี้จะทรงอานุภาพหาใดเปรียบ แต่การผลาญพลังก็น่าตะลึงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่อาจใช้ในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ
‘บางทีคงได้แค่รอพลังปราณข้าเลื่อนขั้นถึงจุดไหนสักแห่ง จึงจะสามารถโคจรวิชามรรคนี้อย่างง่ายดาย สำแดงอานุภาพของมันออกมาถึงขีดสุด’
หลินสวินขบคิด
สามวัน พลังปราณเลื่อนขั้นสู่มรรคราชันขั้นกลาง ทั้งหยั่งรู้นัยเร้นลับเสี้ยวหนึ่งของวสันต์สารทชั่วพริบตา ทำให้พลังต่อสู้ของหลินสวินพัฒนาไปก้าวหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่การผลาญพลังก็ค่อนข้างน่าตกตะลึง เวลาสามวันแค่โอสถราชันที่ใช้หลอมปราณก็มีมากถึงห้าต้น!
นี่ก็คือระดับมกุฎราชัน พลังต่อสู้เหนือโลกหล้า แต่ทรัพยากรที่ต้องใช้ฝึกปราณก็เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอยู่โข
และมกุฎมรรคาของหลินสวินก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนระดับมกุฎราชันคนอื่น ทรัพยากรที่ใช้ฝึกปราณยิ่งต้องมากกว่า
ยังดีที่ก่อนหน้านี้เขากวาดล้างอาณาเขตของขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง เก็บเกี่ยวทรัพย์หลังศึกมามาก ปัจจุบันจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
ผ่านไปเจ็ดวัน
หลินสวินทะลวงขั้นอีกครั้ง!
………………………
Comments
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1199 วสันต์สารทชั่วพริบตา
จี้ซิงเหยากล่าว “เช่นนั้นก็ดี หลังจากนี้สิบวันพวกเราจะออกเดินทาง”
สามารถเดินทางร่วมกับหลินสวินก็เท่ากับได้เพื่อนร่วมทางที่แข็งแกร่งมาอีกคน ยามมุ่งหน้าสู่เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกก็จะได้การคุ้มครองมาอีกอย่าง
“หลังจากนี้สิบวันรึ” หลินสวินมุ่นคิ้ว
จี้ซิงเหยาชะงัก ตอนนี้ถึงได้ตระหนักว่าหลินสวินไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกเลย
นางกล่าวอธิบาย “ทุกสิบวันจึงจะมีโอกาสเข้าไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาอื่นเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกจะถูกพลังประหลาดชั้นหนึ่งปกคลุม ทันทีที่เข้าใกล้จะประสบเคราะห์อัปมงคล ตายสถานเดียว”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?
ตอนนั้นเขาเคยเดินทางอยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกหนึ่งวันหนึ่งคืน ผ่านความอันตรายถึงชีวิตไม่รู้เท่าไหร่
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีพลังประหลาดและอัปมงคลอะไรเกินไป
‘ดูท่าภายในนั้นยังมีความเร้นลับและสิ่งต้องห้ามมากมายที่ข้าไม่เข้าใจ’
ใจหลินสวินพลันหนักอึ้ง
เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกยิ่งอันตรายและแปลกประหลาด ความเป็นไปได้ที่เจ้าคางคกจะประสบอันตรายก็ยิ่งมาก
แต่ต่อให้หลินสวินร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ ต้องรออีกสิบวันค่อยออกเดินทาง
‘เจ้าหมอนี่เป็นคนโชคดีฟ้าคุ้มครอง ทั้งได้รับมรดกของเซียนผลาญเฉินหลินคงแล้ว น่าจะไม่ตายง่ายๆ’
หลินสวินได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้
จี้ซิงเหยาไม่รั้งอยู่นาน นัดเวลาและสถานที่พบเจอกับหลินสวินดีแล้วก็จากไป
อันที่จริงการที่นางมาบอกเรื่องเจ้าคางคกประสบภัยด้วยตนเองครั้งนี้ ก็ทำให้หลินสวินรู้ว่านางมองข้าม ‘เรื่องเข้าใจผิด’ ในปีนั้นไปแล้วจริงๆ ไม่ขุ่นเคืองเขาอีก
ไม่อย่างนั้นนางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินยินดีที่ได้พบอย่างยิ่ง
…
เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกคือ ‘แดนหายนะ’ ที่ผู้คนในแดนอัคคีทักษิณต่างรู้จัก
รอบนอกเป็นผืนป่าดึกดำบรรพ์กว้างขวาง ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าบดบังนภาคลุมตะวัน ถูกปกคลุมอยู่ในความมืดมิดมานานปี
หลินสวินมาแล้วยืนอยู่ตรงป่าเขารอบนอก
จิตรับรู้ของเขาแผ่ขยายออก เมื่อรุกเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์กว้างใหญ่นั่นก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายทะมึนไหลบ่ากดดันมาทันที ทำให้ลมหายใจเขาหยุดชะงักเพราะมัน
แต่นี่ไม่ได้มีผลกระทบต่อหลินสวิน
หลังโคจรเคล็ดเวทบริกรรม จิตรับรู้ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลนั้นของเขาก็แผ่ไปยังส่วนลึกของป่าเขาราวกระแสน้ำ ยืดขยายออกไปไม่หยุด…
ในขั้นตอนนี้กลิ่นอายกดดันและอึมครึมนั่นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าก็ยิ่งแปลกประหลาด
นี่ทำให้แรงกดดันในใจหลินสวินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกร็งไปทั้งตัวราวสายธนูที่ง้างไว้ พลังขับเคลื่อนทั่วร่างโคจรอย่างไร้สุ้มเสียงถึงได้จึงสามารถต้านทานไว้ได้
ตูม!
มองจากไกลๆ ผมดำของหลินสวินแผ่สยาย แสงมรรคไหลวนไปทั่วร่าง จิตต่อสู้อันดุดันทะลวงแหวกห้วงอากาศดั่งรุ้งเทพ ทำให้เมฆทั่วทิศสลายตัว น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ
เหมือนกำลังห้ำหั่นกับศัตรูที่ทรงพลังที่สุด
หากถูกมกุฎราชันคนอื่นเห็นเข้า จะต้องถูกอานุภาพพลังที่หลินสวินแผ่ออกมาทำให้หวาดหวั่นแน่ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ประหนึ่งเทพมารค้ำจุนฟ้าดิน!
พร้อมกันนี้ในจิตวิญญาณหลินสวินกำลังสั่นคลอนรุนแรง เหมือนมีเสียงเทพผีร่ำไห้ อริยะครวญคร่ำดังกระหึ่ม
ในห้วงนิมิตเต็มไปด้วยภาพชวนประหวั่นอย่างกระดูกขาวราวภูเขา ศพมากมายดุจห้วงสมุทร ฟ้าดินพังทลาย สรรพสิ่งดับสลาย
ทุกอย่างล้วนกำลังสั่นคลอนจิตใจ โจมตีเจตจำนงของเขา!
กระทั่งต่อมาในห้วงนิมิตเต็มไปด้วยเสียงคำรามอลหม่าน ภาพวาดเลือดหลั่งชโลม คล้ายจะม้วนกลืนจิตวิญญาณเขาให้จมดิ่งลงไปในนั้น
‘นี่คือ!?’
ทันใดนั้นห้วงนิมิตหลินสวินก็ปรากฏแม่น้ำสายหนึ่ง เลือดไหลบ่า ภายในมีซากศพประหลาดและอัปมงคลมากมายผลุบโผล่อยู่รางๆ
บ้างเป็นภิกษุที่ละกิเลส หว่างคิ้วถูกทะลวงเป็นรูโหว่รูหนึ่ง เผยสีหน้าโกรธแค้น
บ้างรูปร่างคล้ายมังกรฟ้าที่ถูกสะบั้นทุกอณู มองเห็นเป็นระยะๆ อยู่ในธารโลหิต คดเคี้ยวประมาณหลายหมื่นจั้ง
บ้างเป็นอริยะสวมเสื้อขนนกประดับเกี้ยวสูง…
บ้างเป็นสัตว์ปีศาจแปลกประหลาดที่ตรงหน้าผากแฝงลายมรรคแต่กำเนิด…
ทั้งหมดล้วนสิ้นชีพโดยไม่มีข้อยกเว้น!
ผลุบโผล่อยู่ในธารโลหิตราวจุดหมายแห่งความตาย
ตูม!
ไม่รอให้หลินสวินได้เห็นชัด ห้วงนิมิตก็พลันเจ็บปวดสาหัส ถูกพลังเยียบเย็นน่าหวาดกลัวสายหนึ่งโจมตี ทำให้เขาร้องเสียงอึดอัด เก็บจิตรับรู้คืนโดยไม่ลังเล
จากนั้นปรากฏการณ์ประหลาดที่เห็นก่อนหน้านี้จึงถดถอยหายไปราวกระแสน้ำ
และตอนนี้ทั่วร่างหลินสวินก็ชุ่มเหงื่อ สีหน้าค่อนข้างซีดเผือด ในดวงตาล้ำลึกฉายแววตระหนก
ธารโลหิตสายนั้น… ก็คือ ‘แม่น้ำนรก’ หรือ
ถึงตอนนี้หลินสวินจึงได้เข้าใจว่าที่จี้ซิงเหยากล่าวมาทั้งหมดล้วนไม่ผิด เวลานี้หากเข้าไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนั่นจะต้องเจอเรื่องไม่คาดฝันแน่
พลังที่ครอบคลุมอยู่ภายในแปลกประหลาดและอัปมงคลเกินไป ทำให้เขาไร้แรงต้านทาน!
ฟู่…
ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินจึงผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เก็บพลังทั่วร่างลงไป
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง เงาร่างก็พริบไหวหายเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์นั่น
ป่าเขาแถบนี้เป็นเพียงรอบนอกของเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก แม้มีอันตรายมากมายกระจายอยู่ทั่ว แต่สำหรับหลินสวินแล้วยังไม่อาจสร้างภัยคุกคามมากนัก
‘นับจากวันนี้ไปก็ฝึกปราณอยู่ที่นี่แล้วกัน…’
หลินสวินตัดสินใจเด็ดขาด
เวลาสิบวัน หากใช้อย่างคุ้มค่าก็เพียงพอให้ตนยกระดับพลังต่อสู้ขึ้นอีกขั้น
ในป่าดึกดำบรรพ์นี้อันตรายซ่อนอยู่รอบทิศ แต่สำหรับหลินสวินแล้วกลับเป็นสถานที่ชั้นยอดในการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์ หยั่งรู้วิชามรรคแห่งหนึ่ง
…
ระดับราชันแบ่งเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายสามขั้น
เมื่อถึงระดับราชันขั้นสมบูรณ์ เมล็ดพันธุ์แห่งมรรคภายในร่างก็จะใกล้สมบูรณ์ตามไปด้วย ยามนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของอมตะเคราะห์
ก้าวผ่านไปได้ก็จะเรียกว่าระดับอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่ง เมล็ดพันธุ์แห่งมรรคภายในร่างก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ก่อเกิดเป็น ‘รากฐานมรรค’ !
รากฐานมรรค ถูกมองเป็นรากฐานแห่งฟ้าดิน เกี่ยวพันกับหนทางอมตะ เหมือนการก้าวสู่ระดับใหม่ทั้งหมดบนอมตะมรรคา
ก้าวไม่พ้น หากไม่ใช่พลังปราณหยุดอยู่กับที่ หมดหวังจะเลื่อนระดับอีก
ก็ร่างแหลกมรรคสลาย!
นี่ก็คือความเสี่ยงและบททดสอบที่ต้องแบกรับในการบำเพ็ญ ‘อมตะ’
ถึงแม้ระดับราชันจะหยั่งรู้ความเป็นตาย ไม่หวาดกลัวการกัดกร่อนของเวลา จิตวิญญาณไม่ดับสลาย ชีวิตไม่ดับสิ้น แต่หากข้ามเคราะห์ไม่พ้นก็ป่วยการ
ตอนนี้ปราณของหลินสวินบรรลุถึงขั้นต้นสมบูรณ์แล้ว สามารถก้าวสู่ขั้นกลางได้ทุกเมื่อ
เพียงแต่ระดับมกุฎราชันไม่ใช่สิ่งที่สามารถอาศัยปราณมาวัดความสูงต่ำของพลังต่อสู้ได้
หรือพูดได้ว่าความสูงต่ำของพลังต่อสู้ในระดับมกุฎราชัน จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถกำหนดมาตรฐานแบ่งแยกโดยละเอียดได้
ด้วยขอบเขตระดับนี้ไม่เคยมีมาก่อน อริยะก็ไม่กล้าให้คำนิยาม!
ผ่านไปสามวัน
ในป่าเขาหลินสวินนั่งขัดสมาธิ พลังทั่วร่างดุจเตาหลอม เลื่อนสู่ขั้นสูงกว่าในชั่วพริบตา พลังที่แผ่ออกมาทั้งมวลทำให้ผืนป่าแถบนี้สั่นสะเทือนดังสวบสาบ
มรรคราชันขั้นกลาง!
การทะลวงปราณครั้งนี้ไม่ถึงกับยากลำบาก สุกงอมตามครรลอง เดิมก็อยู่ในการคาดเดาของหลินสวิน
หึ่งๆๆ
ในความมืดมิดรอบๆ ป่าเขา เสียงหึ่งๆ กึกก้องดังขึ้น
ทันใดนั้นยุงโลหิตที่มีหกปีกแต่กำเนิด ขนาดเท่ากำปั้น สีแดงชาดตลอดตัวฝูงหนึ่งก็แห่ออกมา กลิ่นอายอำมหิตเหี้ยมเกรียมพุ่งมาทางหลินสวิน
ยุงโลหิตหกปีก!
หลินสวินลืมตาขึ้น ไม่ตระหนกวิตก
นี่คือสิ่งมีชีวิตน่ากลัวซึ่งกระจายอยู่รอบป่าเขาดึกดำบรรพ์นี่ เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหวเพียงเสี้ยวก็จะดึงดูดความสนใจของพวกมัน รับมือได้ยากยิ่ง
ตอนที่เขาเข้าสู่แดนอัคคีทักษิณครั้งแรกก็เคยถูกยุงโลหิตหกปีกตามล่าไล่บี้ไม่ปล่อย บนตัวไม่เพียงแต่ถูกเจาะเกิดรูโหว่ชุ่มเลือดมากมาย ยังถูกพิษร้ายแรงแทรกซึม น่าอเนจอนาถเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ครั้งนี้ต่างไปจากเดิมแล้ว
ร่างหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิกับพื้นไม่ขยับ ยื่นนิ้วชี้ข้างขวาออกไปวาดวงโคจรบางเบาเร้นลับวงหนึ่งกลางอากาศ
พร้อมกันนี้พลังอันแข็งแกร่งทั่วร่างเขาก็เคลื่อนตามไปด้วย ใช้วิธีประหลาดทำการโคจรมารวมกันที่ปลายนิ้วเสียงเลื่อนลั่น
จากนั้นก็ดีดนิ้วเบาๆ
ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ เถาวัลย์ที่ใหญ่โตราวงูเหลือม ดอกไม้ใบหญ้าที่สูงเท่าตัวคน… ล้วนกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เต็มไปด้วยพลังชีวิตดั่งอยู่ในกาลเวลาหมื่นสมัย
ชั่วขณะที่หลินสวินชี้นิ้วออกไป ต้นไม้เก่าแก่ เถาวัลย์ ดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้ก็แห้งเหี่ยวหมด กลายเป็นเถ้าละอองลอยละล่อง
พริบตานั้นฤดูกาลหมุนเวียนล้มล้างสรรพสิ่ง ราวกับประวัติศาสตร์หมื่นสมัยปรากฏรวมอยู่ในดรรชนีเดียว เป็นภาพที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง
ยุงโลหิตหกปีกที่พุ่งเข้ามาใกล้พลังชีวิตพลันแห้งเหือด ร่างเหี่ยวแห้งราวถูกสูบพลังชีวิตไปจนหมด จากนั้นก็ร่วงกราวลงไปกองกับพื้น
เมื่อมองไปอีกครั้ง ในรัศมีพันจั้งไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโต สรรพสิ่งกลายเป็นว่างเปล่าเตียนโล่งเหมือนถูกลบล้างไป
ภาพนี้ทำให้ในดวงตาหลินสวินฉายแววอัศจรรย์
กระบวนท่าแรกของดรรชนีมหาอุดมสลายมายา วสันต์สารทชั่วพริบตา!
หนึ่งดรรชนีหมุนเปลี่ยนฤดูกาล ช่วงชิงศุภโชค ตัดสินเป็นตาย
การโจมตีนี้เหมือนหลอมรวมความยิ่งใหญ่แห่งฤดูกาลหมื่นสมัยไว้ในหนึ่งดรรชนี สามารถล้มล้างฟ้าดิน ย้อนพลิกความรุ่งโรจน์และโรยร่วง อาศัยพลานุภาพยิ่งใหญ่กดข่มสรรพสิ่ง!
หลินสวินเพิ่งทำการหยั่งรู้ ยึดกุมได้เพียงขนผิวเศษเสี้ยวของกระบวนท่านี้ แต่ความแข็งแกร่งของอานุภาพที่สำแดงออกมากลับเหนือการคาดเดาของหลินสวินสิ้นเชิง!
ไม่เพียงแค่แข็งแกร่ง แต่พลิกฟ้าจริงๆ!
วิชามรรคนี้คือมรดกที่ได้มาจาก ‘ภาพตกปลาบนฟ้าดารา’ รวมแล้วมีสามกระบวนท่า
แต่ละกระบวนท่าล้วนครอบจักรวาลลึกลับไร้สิ้นสุด เป็นวิชามรรคอมตะที่สามารถสะเทือนอดีตจวบจนปัจจุบัน
หึ่งๆ
ในจุดที่ห่างออกไปยุงโลหิตหกปีกพุ่งเข้ามาอีกครั้ง สาเหตุที่สิ่งมีชีวิตพวกนี้รับมือยากก็ด้วยพวกมันแกล้วกล้าไม่กลัวตาย เกาะกลุ่มเป็นขบวนฆ่าอย่างไรก็ไม่หมด ทำให้คนปวดกบาลยิ่งนัก
เห็นดังนี้หลินสวินพลันตวัดนิ้วอีกครั้ง
ต่างจากครั้งก่อน พลังของดรรชนีนี้เผยอานุภาพยิ่งใหญ่ประดุจไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้ ทรงพลานุภาพไร้จำกัด พลังทำลายล้างรุนแรงยิ่งใหญ่ไพศาล
เหล่ายุงโลหิตหกปีกที่พุ่งมานั้นล้วนถูกกำจัดไม่ผิดจากที่คาด
‘ครั้งก่อนใช้กฎเกณฑ์ธาตุไฟ คราวนี้ใช้กฎเกณฑ์ธาตุน้ำ แม้ลักษณะพลังจะแตกต่าง แต่อานุภาพกลับไม่ได้ต่างกันอย่างชัดเจน…’
‘เพียงแต่ดรรชนีมหาอุดมสลายมายานี้ล้ำลึกสุดหยั่ง ข้าเพิ่งหยั่งรู้เพียงผิวเผิน หลังจากนี้เมื่อหยั่งรู้เพิ่มเติมอานุภาพก็น่าจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ’
‘ทว่าจะกินพลังกันเกินไปแล้ว’
หลินสวินพลันจนปัญญา แค่สองดรรชนีถึงกับผลาญพลังของเขาไปหนึ่งในสามส่วน!
แม้วิชามรรคนี้จะทรงอานุภาพหาใดเปรียบ แต่การผลาญพลังก็น่าตะลึงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่อาจใช้ในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ
‘บางทีคงได้แค่รอพลังปราณข้าเลื่อนขั้นถึงจุดไหนสักแห่ง จึงจะสามารถโคจรวิชามรรคนี้อย่างง่ายดาย สำแดงอานุภาพของมันออกมาถึงขีดสุด’
หลินสวินขบคิด
สามวัน พลังปราณเลื่อนขั้นสู่มรรคราชันขั้นกลาง ทั้งหยั่งรู้นัยเร้นลับเสี้ยวหนึ่งของวสันต์สารทชั่วพริบตา ทำให้พลังต่อสู้ของหลินสวินพัฒนาไปก้าวหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่การผลาญพลังก็ค่อนข้างน่าตกตะลึง เวลาสามวันแค่โอสถราชันที่ใช้หลอมปราณก็มีมากถึงห้าต้น!
นี่ก็คือระดับมกุฎราชัน พลังต่อสู้เหนือโลกหล้า แต่ทรัพยากรที่ต้องใช้ฝึกปราณก็เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอยู่โข
และมกุฎมรรคาของหลินสวินก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนระดับมกุฎราชันคนอื่น ทรัพยากรที่ใช้ฝึกปราณยิ่งต้องมากกว่า
ยังดีที่ก่อนหน้านี้เขากวาดล้างอาณาเขตของขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง เก็บเกี่ยวทรัพย์หลังศึกมามาก ปัจจุบันจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
ผ่านไปเจ็ดวัน
หลินสวินทะลวงขั้นอีกครั้ง!
………………………
Comments