เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 204 ไม่ทราบว่าใช่งานฌาปนกิจของศาสตราจารย์เฉินหรือเปล่า
ทั้งสองคนสวมชุดสีดำ
คนทางซ้ายมีกรอบหน้าผอมตอบ ใบหน้าฉายความเคร่งขรึมจริงจัง ดวงตาคู่นั้นดูขุ่นมัว แต่ฝีก้าวมั่นคง
คนทางขวาเป็นชายชราแก่หง่อม ไรผมขาวหงอกเห็นแจ่มแจ้ง มีผ้าพันคอสีเทาคล้องคอ คิ้วบาง ดวงตาเปี่ยมเมตตาแลดูสงบ
อาจารย์ใหญ่สวีกับอาจารย์เว่ยนั่นเอง
ข้างนอกหิมะยังคงตกอยู่ ญาติถูกแจ้งให้ทราบหมดแล้ว แต่แท้จริงแล้วคนที่มาร่วมงานของเฉินซูหลานไม่เยอะแต่อย่างใด
ส่วนใหญ่มู่หนานก็รู้จัก
อาจารย์เว่ยคนนี้เขาเคยเจอในพิธีไหว้ครูของฉินหร่าน จึงจำได้ แต่อาจารย์ใหญ่สวีเขาไม่เคยเจอมาก่อน
น้อยครั้งที่อาจารย์ใหญ่สวีจะปรากฏตัวในโรงเรียน อาจารย์บางคนก็หาตัวเขาได้ยากยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเรียนมัธยมปลายปีสามธรรมดาอย่างเขา
เขาจึงเผลอมองฉินหร่านโดยไม่รู้ตัว
ฉินหร่านโค้งคำนับทั้งคู่ จากนั้นพูดกับมู่หนานว่า “ท่านนี้คืออาจารย์ใหญ่สวี”
มู่หนานพยักหน้า จากนั้นก้มหัว “อาจารย์เว่ย อาจารย์ใหญ่สวี”
อาจารย์เว่ยตบบ่ามู่หนานด้วยสีหน้าขึงขัง ในพิธีไหว้ครูคราวก่อน เขาก็ทำความรู้จักกับคนทั้งงานแล้ว จึงคุยกับเขาไม่กี่ประโยค “มู่หนาน ต่อไปหากมีเรื่องอะไร ก็บอกปู่เว่ยของนายได้เลย”
อาจารย์ใหญ่สวีก็จ้องมู่หนานอยู่ครู่ใหญ่เช่นกัน เพราะนี่เป็นญาติที่ฉินหร่านแนะนำให้ตนรู้จักอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อได้ยินอาจารย์เว่ยพูดเช่นนี้ เขาก็เงียบไปชั่วขณะ จึงแสดงท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตรของตัวเองด้วย “มู่หนาน ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรในโรงเรียน ไปหาฉันที่ห้องอาจารย์ใหญ่ได้เลย”
มีคนรออยู่ด้านหลัง ชายชราทั้งสองจึงไม่โอ้เอ้อยู่นาน ตรงเข้าไปในโถงพิธีแล้ว
ภายในโถงพิธีมีหนิงฉิง หนิงเวย มู่หยิงกับญาติๆ อีกไม่กี่คน
หนิงเวยเดินเหินไม่สะดวก จึงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างป้ายวิญญาณ
หลักๆ จะมีหนิงฉิงกับมู่หยิงคอยดูแลต้อนรับ
หนิงฉิงกำลังดูแลผู้เฒ่าหลินกับหลินฉี
ทั้งคู่ทำความเคารพเฉินซูหลานเสร็จแล้วก็ลุกขึ้น
ในตอนนั้นเอง อาจารย์เว่ยกับอาจารย์ใหญ่สวีก็เดินเข้ามา มู่หยิงหน้าซีดเผือด เธอโค้งตัวให้ทั้งสองคน แต่ไม่รู้จักพวกเขาแต่อย่างใด
รู้เพียงว่าสองคนที่สวมชุดสูทรองเท้าหนังไม่เหมือนญาติฝั่งสกุลหนิงเลยสักนิด มาดดูน่าเกรงขาม โดยเฉพาะชายชราทางซ้ายมือ น่ากลัวกว่าผู้เฒ่าหลินเสียอีก
มู่หยิงคิดว่าเป็นญาติทางฝั่งสกุลหลิน จึงขานเรียกหนิงฉิง
เมื่อหนิงฉิงหันมา ก็เห็นอาจารย์เว่ยกับอาจารย์ใหญ่สวี
สองคนนี้ ไม่ต้องพูดถึงอาจารย์ใหญ่สวี คนส่วนใหญ่ในโรงเรียนล้วนเคยได้ยินว่าภูมิหลังของอาจารย์ใหญ่ท่านนี้ไม่ธรรมดา
ส่วนอาจารย์เว่ยนั้น…
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนแรกที่ฉินอวี่เข้าเมืองหลวง ก็เพื่อไปหาอาจารย์เว่ย
อาจารย์ไต้ที่ฉินอวี่ฝากตัวเป็นศิษย์ในตอนนี้เทียบอาจารย์เว่ยไม่ได้
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เมื่อเห็นสองคนนี้ในงานศพของเฉินซูหลาน หนิงฉิงจะตกใจมากแค่ไหน
“อาจารย์ใหญ่สวี อาจารย์เว่ย ทำไมถึง…” เสียงของหนิงฉิงสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ไม่เพียงแต่ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ
หลินฉีกับผู้เฒ่าหลินที่อยู่ใกล้ที่สุดก็หันขวับ ทั้งคู่เพียงเคยได้ยินชื่อของอาจารย์เว่ย ไม่เคยพบเจอ
แต่หลินฉีรู้จักอาจารย์ใหญ่สวี
“อาจารย์ใหญ่สวี?” คนทำธุรกิจล้วนรู้จักกว้างขวาง หลังจากหลินฉีนิ่งไปชั่วอึดใจ ก็ได้สติกลับมา
อาจารย์เว่ยปฏิบัติกับคนเหล่านี้ไม่เป็นมิตรเท่าที่ปฏิบัติกับมู่หนาน
เมื่อก่อนเฉินซูหลานเคยเอ่ยถึงสภาพชีวิตในตอนนี้ของฉินหร่านให้ฟังอยู่บ้าง อาจารย์เว่ยไม่พอใจหนิงฉิงเป็นอย่างมาก
ยามพูดจาย่อมเย็นชาเป็นธรรมดา
ตั้งแต่อาจารย์เว่ยได้ฉินหร่านเป็นศิษย์โดยสมบูรณ์ อาจารย์ใหญ่สวีล้วนมีเขาเป็นต้นแบบทุกด้าน เห็นว่าอาจารย์เว่ยเฉยชากับหนิงฉิง เขาเองก็ไม่พูดอะไรมาก
หลังหลินฉีกับผู้เฒ่าหลินหายตกใจแล้ว ก็อยากจะผูกสัมพันธ์กับชายชราทั้งสองคน เพราะโอกาสเช่นนี้มีไม่มาก
แต่ทว่าทั้งสองค่อนข้างเข้าถึงยาก ผู้เฒ่าหลินจึงไม่พูดอะไร ตั้งใจว่าค่อยซักถามหนิงฉิงยามปลอดคน
“คุณหนิง อย่าเศร้าใจไปเลย” ขณะที่ทำความเคารพเฉินซูหลาน อาจารย์เว่ยก็มองหนิงเวยที่คุกเข่ากับพื้น ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เขานึกขึ้นได้ว่าเมื่อวันก่อนเขาถามเฉิงมู่ คำพูดที่เฉิงมู่บอกเขาคือ
ฉินหร่านไม่กินไม่นอน คุกเข่าข้างๆ เฉินซูหลานมาสามวันแล้ว
ด้านนอก ฉินหร่านให้มู่หนานเข้ามาดูแลผู้ทรงอิทธิพลทั้งสอง
“อาจารย์เว่ย อาจารย์ใหญ่สวี เชิญทางนี้ครับ” ใบหน้าของมู่หนานไร้อารมณ์ แต่กิริยากลับนอบน้อม เขาให้ทั้งคู่ไปอยู่อีกห้อง
นี่เป็นญาติที่ฉินหร่านแนะนำให้รู้จัก ทั้งคู่ย่อมแสดงความเป็นมิตรอย่างยิ่ง
ประหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว กำชับให้เขาตั้งใจเรียน อย่าเศร้าเสียใจจนเกินควร
กล่าวคือ สามารถมองท่าทีที่ชายชราทั้งสองมีต่อเขาออก
มู่หนานพาทั้งคู่ไปยังอีกห้อง
ฉากนี้ทำเอามู่หยิงยืนสับสนอยู่อีกมุม สองมือบีบแน่น ครั้งที่เข้าร่วมพิธีไหว้ครูของฉินอวี่ในเมืองหลวง สิ่งที่ได้ยินเยอะที่สุดในงานเลี้ยงก็คือชื่อของอาจารย์เว่ย
เธอย่อมรู้ดีว่า อาจารย์เว่ยเป็นบุคคลที่ฉกาจยิ่งกว่าอาจารย์คนปัจจุบันของฉินอวี่
หลังมู่หนานพาคนเข้าไปแล้ว ผู้เฒ่าหลินถึงได้มองหนิงฉิง เอ่ยถามเรื่องของชายชราทั้งสองกับเธอ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…” หนิงฉิงละสายตาจากมู่หนานแล้วสั่นหน้า
มู่หนานดูแลทั้งคู่เสร็จ ก็จะออกไปหาฉินหร่าน
ถูกหนิงฉิงรั้งไว้ มู่หยิงก็อยู่ด้วยเช่นกัน
“เสี่ยวหนาน เมื่อกี้อาจารย์ใหญ่สวีกับอาจารย์เว่ย…” หนิงฉิงเม้มปาก อยากถามมู่หนานว่ามันอย่างไรกันแน่
อีกด้านหนึ่ง ผู้เฒ่าหลินก็จ้องมู่หนานเช่นกัน เมื่อเทียบกับการมองข้ามมู่หนานกับญาติทางฝั่งหนิงเวยเมื่อก่อน วันนี้เขากลับมองมู่หนานด้วยสีหน้าอ่อนโยน
มู่หนานมองพวกเขาด้วยใบหน้าไม่บอกอารมณ์
ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีผู้ชายสองคนเดินเข้ามา ท่าทางอายุราวๆ สามสี่สิบปี
มองจากอากัปกิริยาและมาดแล้ว ล้วนดูต่อกรยาก
ผู้เฒ่าหลินกับหนิงฉิงรู้จักหนึ่งในสองคนนั้น
“นายคือมู่หนานสินะ เมื่อกี้พี่สาวเธอบอกฉันแล้ว” เจียงหุยมองข้ามคนอื่น สายตามองตรงไปที่มู่หนาน พยักหน้าให้เขา “ต่อไปคงได้เจอกันบ่อยๆ เรียกฉันว่าอาเจียงก็พอ”
ในใจเจียงหุยคิดว่า เมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็จะอาวุโสกว่าเฉิงเจวี้ยน
เฟิงโหลวเฉิงไม่ได้เจอมู่หนานเป็นครั้งแรก เขาพูดน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงพยักหน้าให้มู่หนาน ถือเป็นการทักทาย
จากนั้นก้าวไปยืนตรงหน้าเฉินซูหลาน โค้งคำนับอย่างนอบน้อมสามครั้ง
เจียงหุยที่อยู่ข้างๆ ใช่ว่าจะปะทะกับเฟิงโหลวเฉิงครั้งแรก แต่ก็ไม่เคยเห็นเฟิงโหลวเฉิงมีท่าทีนอบน้อมเช่นนี้มาก่อน
แน่นอนว่า ไม่ใช่แค่กับป้ายวิญญาณของเฉินซูหลานเท่านั้น ตอนที่อยู่ข้างนอกเมื่อครู่นี้ เจียงหุยก็สังเกตเห็นแล้วว่า ยามที่เฟิงโหลวเฉิงคุยกับฉินหร่าน ทุกอิริยาบถล้วนดู…นอบน้อม
เจียงหุยทำความเคารพเฉินซูหลานเสร็จ ก็ขมวดคิ้วมุ่น มองเฟิงโหลวเฉิงพลางทำท่าทางครุ่นคิด
เจียงหุยกับเฟิงโหลวเฉิงยุ่งมาก อยู่ต่อเหมือนอาจารย์ใหญ่สวีกับอาจารย์เว่ยไม่ได้ หลังทั้งคู่ทำความเคารพเสร็จ มู่หนานก็ส่งทั้งสองคนออกไป
ทุกสิ่งเหล่านี้ คนสกุลหลินกับหนิงฉิงไม่มีโอกาสสอดมือเข้าไปยุ่งด้วยซ้ำ
พวกหนิงฉิงไม่รู้จักเจียงหุย แต่รู้จักเฟิงโหลวเฉิง คนที่มีฐานะเท่าเทียมเฟิงโหลวเฉิง จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร
อาเจียง…
ผู้เฒ่าหลินนึกถึงอธิบดีเจียงคนนั้นได้อย่างง่ายดาย
ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่ใช่คนที่สกุลหลินจะคุยด้วยได้
ตอนที่มู่หนานส่งทั้งสองคนออกไป หนิงฉิง ผู้เฒ่าหลินและมู่หยิง ต่างก็ตามออกไปด้วย
ด้านนอก เว่ยจื่อหังกับพานหมิงเย่ว์ก็มาถึงแล้ว ทั้งคู่ก็สวมชุดสีดำดูภูมิฐานด้วยเช่นกัน
อาการของพานหมิงเย่ว์ไม่ค่อยสู้ดีนัก ดวงตาของเธอบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด สวมกอดฉินหร่านไปที เว่ยจื่อหังถือบุหรี่ยืนอยู่ข้างๆ หลุบตาต่ำ มองไม่เห็นสีหน้า
ฉินหร่านพยักพเยิด บ่งบอกว่าให้ทั้งคู่เข้าไป
ไม่พูดไม่จา แต่ทุกการเคลื่อนไหว ดูทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก
พอทั้งคู่เข้าไปแล้ว เธอถึงได้มองเจียงหุยกับเฟิงโหลวเฉิง พูดคุยกับทั้งคู่อย่างสุภาพ
เฟิงโหลวเฉิงค่อนข้างเงียบขรึม แต่มาดของเจียงหุยกลับดูชัดเจนกว่า ตระกูลของเขาอยู่ในเมืองหลวงเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่กล้าแตะต้อง ในเมืองอวิ๋นเฉิงยิ่งไม่มีใครทำอะไรเขาได้
ดวงตาคมกริบคู่นั้น แม้แต่จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างผู้เฒ่าหลินก็ไม่กล้าสบตา
แต่ทว่าฉินหร่านกลับทักทายทั้งคู่ประดุจปลาได้น้ำ วาจาเหมาะสม นัยน์ตาเป็นประกาย
ใบหน้างดงาม ซ่อนความคมคาย เจือความดุดัน ประหนึ่งมีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งสิงอยู่
นอกจากพิธีไหว้ครูครั้งนั้นแล้ว นี่เป็นการเจอฉินหร่านครั้งที่สอง รู้สึกว่าตอนนั้นสายตาของตนอาจจะมีปัญหา ทำไมถึงคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นกระต่ายไปได้ล่ะ
ทั้งที่เป็นหมาป่าแท้ๆ
ทั้งสองคนคุยกับฉินหร่านไม่กี่ประโยค ก็กลับขึ้นรถตัวเอง เฟิงโหลวเฉิงมองฉินหร่านอย่างกระอึกกระอัก สุดท้ายก็ถอนหายใจ จากไปทันที
ท่าทีของทั้งสองคน มู่หยิงกับพวกหนิงฉิงที่ตามอยู่ข้างหลังเข้าใจบางอย่างขึ้นมา เฟิงโหลวเฉิงกับเจียงหุยดีกับมู่หนานขนาดนั้น ร้อยทั้งร้อยเป็นเพราะเห็นแก่ฉินหร่าน
ผู้เฒ่าหลินเจอเฟิงโหลวเฉิงที่โรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อน ความรู้สึกที่มีต่อฉินหร่านก็ไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้อารมณ์สั่นคลอนกว่าเดิมเสียอีก…
ยิ่งไม่ต้องพูดต้องมู่หยิง เธอจิกฝ่ามือแน่น
อันที่จริงเมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉินหร่าน ไม่ต่างจากมู่หนานมากนัก…
พวกเขายังไม่ทันได้ถามอะไร ก็มีรถสีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดไม่ไกล ข้างหน้าแขวนป้ายทะเบียนของเมืองหลวง
มีชายชรากับชายวัยกลางคนลงมาจากที่นั่งทั้งสองฝั่ง
สวมชุดสูทรองเท้าหนัง แผ่ออร่านักวิชาการ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
ใครอีกล่ะเนี่ย
ผู้เฒ่าหลินมองหนิงฉิง หนิงฉิงมองดูแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่รู้จักสองคนนี้
ทั้งคู่หยุดยืนตรงหน้าฉินหร่าน ชายชรายืนมือไพล่หลัง ไม่พูดอะไร
ชายวัยกลางคนมองฉินหร่านแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่า ที่นี่ใช่งาน…งานฌาปนกิจของศาสตราจารย์เฉินหรือเปล่า”
Related
Comments
เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ 204 ไม่ทราบว่าใช่งานฌาปนกิจของศาสตราจารย์เฉินหรือเปล่า
ทั้งสองคนสวมชุดสีดำ
คนทางซ้ายมีกรอบหน้าผอมตอบ ใบหน้าฉายความเคร่งขรึมจริงจัง ดวงตาคู่นั้นดูขุ่นมัว แต่ฝีก้าวมั่นคง
คนทางขวาเป็นชายชราแก่หง่อม ไรผมขาวหงอกเห็นแจ่มแจ้ง มีผ้าพันคอสีเทาคล้องคอ คิ้วบาง ดวงตาเปี่ยมเมตตาแลดูสงบ
อาจารย์ใหญ่สวีกับอาจารย์เว่ยนั่นเอง
ข้างนอกหิมะยังคงตกอยู่ ญาติถูกแจ้งให้ทราบหมดแล้ว แต่แท้จริงแล้วคนที่มาร่วมงานของเฉินซูหลานไม่เยอะแต่อย่างใด
ส่วนใหญ่มู่หนานก็รู้จัก
อาจารย์เว่ยคนนี้เขาเคยเจอในพิธีไหว้ครูของฉินหร่าน จึงจำได้ แต่อาจารย์ใหญ่สวีเขาไม่เคยเจอมาก่อน
น้อยครั้งที่อาจารย์ใหญ่สวีจะปรากฏตัวในโรงเรียน อาจารย์บางคนก็หาตัวเขาได้ยากยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเรียนมัธยมปลายปีสามธรรมดาอย่างเขา
เขาจึงเผลอมองฉินหร่านโดยไม่รู้ตัว
ฉินหร่านโค้งคำนับทั้งคู่ จากนั้นพูดกับมู่หนานว่า “ท่านนี้คืออาจารย์ใหญ่สวี”
มู่หนานพยักหน้า จากนั้นก้มหัว “อาจารย์เว่ย อาจารย์ใหญ่สวี”
อาจารย์เว่ยตบบ่ามู่หนานด้วยสีหน้าขึงขัง ในพิธีไหว้ครูคราวก่อน เขาก็ทำความรู้จักกับคนทั้งงานแล้ว จึงคุยกับเขาไม่กี่ประโยค “มู่หนาน ต่อไปหากมีเรื่องอะไร ก็บอกปู่เว่ยของนายได้เลย”
อาจารย์ใหญ่สวีก็จ้องมู่หนานอยู่ครู่ใหญ่เช่นกัน เพราะนี่เป็นญาติที่ฉินหร่านแนะนำให้ตนรู้จักอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อได้ยินอาจารย์เว่ยพูดเช่นนี้ เขาก็เงียบไปชั่วขณะ จึงแสดงท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตรของตัวเองด้วย “มู่หนาน ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรในโรงเรียน ไปหาฉันที่ห้องอาจารย์ใหญ่ได้เลย”
มีคนรออยู่ด้านหลัง ชายชราทั้งสองจึงไม่โอ้เอ้อยู่นาน ตรงเข้าไปในโถงพิธีแล้ว
ภายในโถงพิธีมีหนิงฉิง หนิงเวย มู่หยิงกับญาติๆ อีกไม่กี่คน
หนิงเวยเดินเหินไม่สะดวก จึงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างป้ายวิญญาณ
หลักๆ จะมีหนิงฉิงกับมู่หยิงคอยดูแลต้อนรับ
หนิงฉิงกำลังดูแลผู้เฒ่าหลินกับหลินฉี
ทั้งคู่ทำความเคารพเฉินซูหลานเสร็จแล้วก็ลุกขึ้น
ในตอนนั้นเอง อาจารย์เว่ยกับอาจารย์ใหญ่สวีก็เดินเข้ามา มู่หยิงหน้าซีดเผือด เธอโค้งตัวให้ทั้งสองคน แต่ไม่รู้จักพวกเขาแต่อย่างใด
รู้เพียงว่าสองคนที่สวมชุดสูทรองเท้าหนังไม่เหมือนญาติฝั่งสกุลหนิงเลยสักนิด มาดดูน่าเกรงขาม โดยเฉพาะชายชราทางซ้ายมือ น่ากลัวกว่าผู้เฒ่าหลินเสียอีก
มู่หยิงคิดว่าเป็นญาติทางฝั่งสกุลหลิน จึงขานเรียกหนิงฉิง
เมื่อหนิงฉิงหันมา ก็เห็นอาจารย์เว่ยกับอาจารย์ใหญ่สวี
สองคนนี้ ไม่ต้องพูดถึงอาจารย์ใหญ่สวี คนส่วนใหญ่ในโรงเรียนล้วนเคยได้ยินว่าภูมิหลังของอาจารย์ใหญ่ท่านนี้ไม่ธรรมดา
ส่วนอาจารย์เว่ยนั้น…
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนแรกที่ฉินอวี่เข้าเมืองหลวง ก็เพื่อไปหาอาจารย์เว่ย
อาจารย์ไต้ที่ฉินอวี่ฝากตัวเป็นศิษย์ในตอนนี้เทียบอาจารย์เว่ยไม่ได้
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เมื่อเห็นสองคนนี้ในงานศพของเฉินซูหลาน หนิงฉิงจะตกใจมากแค่ไหน
“อาจารย์ใหญ่สวี อาจารย์เว่ย ทำไมถึง…” เสียงของหนิงฉิงสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ไม่เพียงแต่ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ
หลินฉีกับผู้เฒ่าหลินที่อยู่ใกล้ที่สุดก็หันขวับ ทั้งคู่เพียงเคยได้ยินชื่อของอาจารย์เว่ย ไม่เคยพบเจอ
แต่หลินฉีรู้จักอาจารย์ใหญ่สวี
“อาจารย์ใหญ่สวี?” คนทำธุรกิจล้วนรู้จักกว้างขวาง หลังจากหลินฉีนิ่งไปชั่วอึดใจ ก็ได้สติกลับมา
อาจารย์เว่ยปฏิบัติกับคนเหล่านี้ไม่เป็นมิตรเท่าที่ปฏิบัติกับมู่หนาน
เมื่อก่อนเฉินซูหลานเคยเอ่ยถึงสภาพชีวิตในตอนนี้ของฉินหร่านให้ฟังอยู่บ้าง อาจารย์เว่ยไม่พอใจหนิงฉิงเป็นอย่างมาก
ยามพูดจาย่อมเย็นชาเป็นธรรมดา
ตั้งแต่อาจารย์เว่ยได้ฉินหร่านเป็นศิษย์โดยสมบูรณ์ อาจารย์ใหญ่สวีล้วนมีเขาเป็นต้นแบบทุกด้าน เห็นว่าอาจารย์เว่ยเฉยชากับหนิงฉิง เขาเองก็ไม่พูดอะไรมาก
หลังหลินฉีกับผู้เฒ่าหลินหายตกใจแล้ว ก็อยากจะผูกสัมพันธ์กับชายชราทั้งสองคน เพราะโอกาสเช่นนี้มีไม่มาก
แต่ทว่าทั้งสองค่อนข้างเข้าถึงยาก ผู้เฒ่าหลินจึงไม่พูดอะไร ตั้งใจว่าค่อยซักถามหนิงฉิงยามปลอดคน
“คุณหนิง อย่าเศร้าใจไปเลย” ขณะที่ทำความเคารพเฉินซูหลาน อาจารย์เว่ยก็มองหนิงเวยที่คุกเข่ากับพื้น ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เขานึกขึ้นได้ว่าเมื่อวันก่อนเขาถามเฉิงมู่ คำพูดที่เฉิงมู่บอกเขาคือ
ฉินหร่านไม่กินไม่นอน คุกเข่าข้างๆ เฉินซูหลานมาสามวันแล้ว
ด้านนอก ฉินหร่านให้มู่หนานเข้ามาดูแลผู้ทรงอิทธิพลทั้งสอง
“อาจารย์เว่ย อาจารย์ใหญ่สวี เชิญทางนี้ครับ” ใบหน้าของมู่หนานไร้อารมณ์ แต่กิริยากลับนอบน้อม เขาให้ทั้งคู่ไปอยู่อีกห้อง
นี่เป็นญาติที่ฉินหร่านแนะนำให้รู้จัก ทั้งคู่ย่อมแสดงความเป็นมิตรอย่างยิ่ง
ประหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว กำชับให้เขาตั้งใจเรียน อย่าเศร้าเสียใจจนเกินควร
กล่าวคือ สามารถมองท่าทีที่ชายชราทั้งสองมีต่อเขาออก
มู่หนานพาทั้งคู่ไปยังอีกห้อง
ฉากนี้ทำเอามู่หยิงยืนสับสนอยู่อีกมุม สองมือบีบแน่น ครั้งที่เข้าร่วมพิธีไหว้ครูของฉินอวี่ในเมืองหลวง สิ่งที่ได้ยินเยอะที่สุดในงานเลี้ยงก็คือชื่อของอาจารย์เว่ย
เธอย่อมรู้ดีว่า อาจารย์เว่ยเป็นบุคคลที่ฉกาจยิ่งกว่าอาจารย์คนปัจจุบันของฉินอวี่
หลังมู่หนานพาคนเข้าไปแล้ว ผู้เฒ่าหลินถึงได้มองหนิงฉิง เอ่ยถามเรื่องของชายชราทั้งสองกับเธอ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…” หนิงฉิงละสายตาจากมู่หนานแล้วสั่นหน้า
มู่หนานดูแลทั้งคู่เสร็จ ก็จะออกไปหาฉินหร่าน
ถูกหนิงฉิงรั้งไว้ มู่หยิงก็อยู่ด้วยเช่นกัน
“เสี่ยวหนาน เมื่อกี้อาจารย์ใหญ่สวีกับอาจารย์เว่ย…” หนิงฉิงเม้มปาก อยากถามมู่หนานว่ามันอย่างไรกันแน่
อีกด้านหนึ่ง ผู้เฒ่าหลินก็จ้องมู่หนานเช่นกัน เมื่อเทียบกับการมองข้ามมู่หนานกับญาติทางฝั่งหนิงเวยเมื่อก่อน วันนี้เขากลับมองมู่หนานด้วยสีหน้าอ่อนโยน
มู่หนานมองพวกเขาด้วยใบหน้าไม่บอกอารมณ์
ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีผู้ชายสองคนเดินเข้ามา ท่าทางอายุราวๆ สามสี่สิบปี
มองจากอากัปกิริยาและมาดแล้ว ล้วนดูต่อกรยาก
ผู้เฒ่าหลินกับหนิงฉิงรู้จักหนึ่งในสองคนนั้น
“นายคือมู่หนานสินะ เมื่อกี้พี่สาวเธอบอกฉันแล้ว” เจียงหุยมองข้ามคนอื่น สายตามองตรงไปที่มู่หนาน พยักหน้าให้เขา “ต่อไปคงได้เจอกันบ่อยๆ เรียกฉันว่าอาเจียงก็พอ”
ในใจเจียงหุยคิดว่า เมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็จะอาวุโสกว่าเฉิงเจวี้ยน
เฟิงโหลวเฉิงไม่ได้เจอมู่หนานเป็นครั้งแรก เขาพูดน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงพยักหน้าให้มู่หนาน ถือเป็นการทักทาย
จากนั้นก้าวไปยืนตรงหน้าเฉินซูหลาน โค้งคำนับอย่างนอบน้อมสามครั้ง
เจียงหุยที่อยู่ข้างๆ ใช่ว่าจะปะทะกับเฟิงโหลวเฉิงครั้งแรก แต่ก็ไม่เคยเห็นเฟิงโหลวเฉิงมีท่าทีนอบน้อมเช่นนี้มาก่อน
แน่นอนว่า ไม่ใช่แค่กับป้ายวิญญาณของเฉินซูหลานเท่านั้น ตอนที่อยู่ข้างนอกเมื่อครู่นี้ เจียงหุยก็สังเกตเห็นแล้วว่า ยามที่เฟิงโหลวเฉิงคุยกับฉินหร่าน ทุกอิริยาบถล้วนดู…นอบน้อม
เจียงหุยทำความเคารพเฉินซูหลานเสร็จ ก็ขมวดคิ้วมุ่น มองเฟิงโหลวเฉิงพลางทำท่าทางครุ่นคิด
เจียงหุยกับเฟิงโหลวเฉิงยุ่งมาก อยู่ต่อเหมือนอาจารย์ใหญ่สวีกับอาจารย์เว่ยไม่ได้ หลังทั้งคู่ทำความเคารพเสร็จ มู่หนานก็ส่งทั้งสองคนออกไป
ทุกสิ่งเหล่านี้ คนสกุลหลินกับหนิงฉิงไม่มีโอกาสสอดมือเข้าไปยุ่งด้วยซ้ำ
พวกหนิงฉิงไม่รู้จักเจียงหุย แต่รู้จักเฟิงโหลวเฉิง คนที่มีฐานะเท่าเทียมเฟิงโหลวเฉิง จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร
อาเจียง…
ผู้เฒ่าหลินนึกถึงอธิบดีเจียงคนนั้นได้อย่างง่ายดาย
ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่ใช่คนที่สกุลหลินจะคุยด้วยได้
ตอนที่มู่หนานส่งทั้งสองคนออกไป หนิงฉิง ผู้เฒ่าหลินและมู่หยิง ต่างก็ตามออกไปด้วย
ด้านนอก เว่ยจื่อหังกับพานหมิงเย่ว์ก็มาถึงแล้ว ทั้งคู่ก็สวมชุดสีดำดูภูมิฐานด้วยเช่นกัน
อาการของพานหมิงเย่ว์ไม่ค่อยสู้ดีนัก ดวงตาของเธอบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด สวมกอดฉินหร่านไปที เว่ยจื่อหังถือบุหรี่ยืนอยู่ข้างๆ หลุบตาต่ำ มองไม่เห็นสีหน้า
ฉินหร่านพยักพเยิด บ่งบอกว่าให้ทั้งคู่เข้าไป
ไม่พูดไม่จา แต่ทุกการเคลื่อนไหว ดูทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก
พอทั้งคู่เข้าไปแล้ว เธอถึงได้มองเจียงหุยกับเฟิงโหลวเฉิง พูดคุยกับทั้งคู่อย่างสุภาพ
เฟิงโหลวเฉิงค่อนข้างเงียบขรึม แต่มาดของเจียงหุยกลับดูชัดเจนกว่า ตระกูลของเขาอยู่ในเมืองหลวงเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่กล้าแตะต้อง ในเมืองอวิ๋นเฉิงยิ่งไม่มีใครทำอะไรเขาได้
ดวงตาคมกริบคู่นั้น แม้แต่จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างผู้เฒ่าหลินก็ไม่กล้าสบตา
แต่ทว่าฉินหร่านกลับทักทายทั้งคู่ประดุจปลาได้น้ำ วาจาเหมาะสม นัยน์ตาเป็นประกาย
ใบหน้างดงาม ซ่อนความคมคาย เจือความดุดัน ประหนึ่งมีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งสิงอยู่
นอกจากพิธีไหว้ครูครั้งนั้นแล้ว นี่เป็นการเจอฉินหร่านครั้งที่สอง รู้สึกว่าตอนนั้นสายตาของตนอาจจะมีปัญหา ทำไมถึงคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นกระต่ายไปได้ล่ะ
ทั้งที่เป็นหมาป่าแท้ๆ
ทั้งสองคนคุยกับฉินหร่านไม่กี่ประโยค ก็กลับขึ้นรถตัวเอง เฟิงโหลวเฉิงมองฉินหร่านอย่างกระอึกกระอัก สุดท้ายก็ถอนหายใจ จากไปทันที
ท่าทีของทั้งสองคน มู่หยิงกับพวกหนิงฉิงที่ตามอยู่ข้างหลังเข้าใจบางอย่างขึ้นมา เฟิงโหลวเฉิงกับเจียงหุยดีกับมู่หนานขนาดนั้น ร้อยทั้งร้อยเป็นเพราะเห็นแก่ฉินหร่าน
ผู้เฒ่าหลินเจอเฟิงโหลวเฉิงที่โรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อน ความรู้สึกที่มีต่อฉินหร่านก็ไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้อารมณ์สั่นคลอนกว่าเดิมเสียอีก…
ยิ่งไม่ต้องพูดต้องมู่หยิง เธอจิกฝ่ามือแน่น
อันที่จริงเมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉินหร่าน ไม่ต่างจากมู่หนานมากนัก…
พวกเขายังไม่ทันได้ถามอะไร ก็มีรถสีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดไม่ไกล ข้างหน้าแขวนป้ายทะเบียนของเมืองหลวง
มีชายชรากับชายวัยกลางคนลงมาจากที่นั่งทั้งสองฝั่ง
สวมชุดสูทรองเท้าหนัง แผ่ออร่านักวิชาการ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
ใครอีกล่ะเนี่ย
ผู้เฒ่าหลินมองหนิงฉิง หนิงฉิงมองดูแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่รู้จักสองคนนี้
ทั้งคู่หยุดยืนตรงหน้าฉินหร่าน ชายชรายืนมือไพล่หลัง ไม่พูดอะไร
ชายวัยกลางคนมองฉินหร่านแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่า ที่นี่ใช่งาน…งานฌาปนกิจของศาสตราจารย์เฉินหรือเปล่า”
Related
Comments