แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 837 ความก้าวหน้าในอาชีพไม่สำคัญเท่าผลิตลูก

Now you are reading แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย Chapter 837 ความก้าวหน้าในอาชีพไม่สำคัญเท่าผลิตลูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสี่ยวเชี่ยนตามผู้ชายคนนั้นไปยังห้องพักผู้ป่วยรวม ชายชราที่สภาพอิดโรยกำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง

 

 

พอไปถึงที่เตียงผู้ป่วย ผู้เป็นลูกชายก็พูดกับชายชรา

 

 

“พ่อ นี่คือ…”

 

 

“ฉันเป็นหมอดูมาจากในเมืองค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนทำปากชู่วให้ผู้ชายคนนั้น

 

 

เขาบอกว่าพ่อเป็นคนเชื่อเรื่องงมงาย สำหรับคนแก่ในวัยนี้แล้ว จิตแพทย์เป็นอาชีพที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ถ้าบอกไปก็ต้องเหนื่อยอธิบายกันนานหน่อย ไม่สู้บอกว่าเป็นหมอดู แบบนี้คนแก่จะเข้าใจง่ายกว่า

 

 

“ใช่ครับพ่อ เธอเป็นหมอดูจอมเทพจากในเมืองครับ เก่งสุดๆ” เขาให้ความร่วมมือกับเสี่ยวเชี่ยน

 

 

ชายชราลืมตามองเสี่ยวเชี่ยน ดวงตาที่ขุ่นมัวเต็มไปด้วยความสงสัย

 

 

เสี่ยวเชี่ยนลากเก้าอี้เข้ามานั่งข้างเตียงแล้วพูดกับชายชรา

 

 

“วันนี้ฉันผ่านโรงพยาบาลนี้เห็นท้องฟ้าดูแปลกไปเลยแวะเข้ามาดู แล้วก็เจอกับลูกชายของคุณลุงค่ะ…”

 

 

ชีอวี่เซวียนยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วยมองสาวน้อยหน้าตาสะสวยที่กำลังทำตัวเป็นแม่หมอนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยโรคร้ายแรง

 

 

เธอแต่งตัวพิถีพิถัน ถึงเสื้อผ้าจะเรียบง่ายแต่ไม่ดูเชย มองออกเลยว่าเป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตเป็น เธอดูเหมือนไม่เข้ากับห้องผู้ป่วยที่มีอยู่หกเตียงนี้ แต่เธอกลับนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยคุยอย่างเป็นกันเองกับชายชรา

 

 

“คุณหมอคะ…” คนที่ยืนอยู่กับศาสตราจารย์ชีเป็นผู้หญิงวัยกลางคน เธอเป็นลูกสะใภ้ของชายชราคนนั้น เมื่อครู่ตอนที่เธอนั่งร้องไห้อยู่ด้านนอกหมอคนนี้ได้มาถามเธอว่าเป็นอะไร หลังจากได้ฟังเธอเล่าจึงเดินตามเข้ามา แต่ทำไมไม่เข้าไปในห้องล่ะ?

 

 

ศาสตราจารย์ชีทำท่าบอกให้เงียบก่อน ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูด

 

 

เสี่ยวเชี่ยนทำตัวเป็นหมอดูคุยกับชายชรา เธอทำให้คนแก่ไว้ใจได้โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากผู้เป็นลูกชาย หลังจากที่ชายชราไว้ใจเธอแล้วเธอถึงจะเข้าสู่การสนทนาหลัก

 

 

“คุณลุงคะ ตอนนี้ตั้งสมาธิให้ดีนะคะ แล้วจินตนาการว่าสิ่งที่อยู่ในร่างกายที่ทำให้คุณลุงป่วยเป็นเพียงเมล็ดข้าวโพด”

 

 

เพื่อให้ชายชรายอมรับการรักษาจากเธอ เสี่ยวเชี่ยนถึงกับพูดด้วยภาษาถิ่น ใช้มือทำขนาดของเมล็ดข้าวโพด ศาสตราจารย์ชีเห็นแล้วก็ยิ้มเล็กน้อย

 

 

เด็กคนนี้ความรู้เยอะจริงๆ นี่เป็นวิธีรักษาของจิตแพทย์ที่ใช้กับผู้ป่วยโรคร้ายแรง จุดประสงค์ก็เพื่อเพิ่มความไว้วางใจจากผู้ป่วย ช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้น อีกทั้งเธอยังพูดภาษาถิ่นเพื่อให้คนแก่เข้าใจง่าย ใช้การเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดเจน

 

 

“ตอนนี้คุณลุงตั้งสมาธิ คิดว่าความเชื่อของคุณลุงเป็นรถบดถนนบดเมล็ดข้าวโพดเล็กๆเหล่านั้นจนแตกละเอียด ค่อยๆสูดลมหายใจนะคะ พอคุณลุงหายใจออก ผงละเอียดเหล่านั้นก็จะปลิวออกไปนอกร่างกายคุณลุงค่ะ…”

 

 

ความหวาดกลัววิตกกังวลจะทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งรู้สึกแย่ ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ เสี่ยวเชี่ยนใช้ความรู้กึ่งๆหลอกคนแก่เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความผ่อนคลาย มะเร็งระยะสุดท้ายที่ลุกลามไปทั่วเธอรักษาให้ไม่ได้ แต่เธอสามารถใช้วิธีในแบบของจิตแพทย์ช่วยคลายความวิตกกังวลของชายชราได้ ทำให้เขาได้ปลดปล่อยอารมณ์ เมื่อสภาพจิตใจดีขึ้นก็ส่งผลต่ออาการให้ดีขึ้นตามไปด้วย

 

 

สิ่งที่เธอทำในตอนนี้ก็คือสิ่งที่อีกสักพักศาสตราจารย์ชีจะบรรยาย

 

 

เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลารักษาไปเกือบสามสิบนาที เธอมีความอดทนมากตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจคนแก่ที่เป็นโรคร้ายแรงเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าห้องผู้ป่วยที่เคยมีเสียงนู่นนี่เริ่มเงียบตั้งแต่เมื่อไร คนไข้จากเตียงอื่นพากันล้อมเข้ามาฟังเสี่ยวเชี่ยนพูด

 

 

ศาสตราจารย์ชีรอจนกระทั่งเสี่ยวเชี่ยนพูดจบ เขามองด้วยแววตาที่อ่อนโยนและมีรอยยิ้ม

 

 

หลิวหลินหลินสอนเด็กมาดีมาก ความรู้แน่นอีกทั้งยังรู้จักพลิกแพลง ได้ยินว่าเด็กคนนี้ชอบเรียกเก็บเงินราคาแพง แต่เมื่อเจอกับคนยากจนเธอก็รักษาให้โดยไม่รังเกียจ อีกทั้งยังมีความอดทนสูง ซึ่งทำให้ศาสตราจารย์ชียิ่งประทับใจเสี่ยวเชี่ยนมากขึ้น เป็นเด็กดีจริงๆ

 

 

เขาช่างไม่รู้เลยว่า ‘เด็กดี’คนนี้นี่แหละที่มาตรงนี้ก็เพื่อจะหลบหน้าเขา

 

 

ประธานเชี่ยนเป็นคนนิสัยแบบนี้ เธอไม่รักษาให้ใครง่ายๆ แต่หากเป็นเคสที่เธอรับมาแล้วเธอก็จะพยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุด ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน นี่เป็นหน้าที่และเกียรติของหมอ

 

 

ในที่สุดเสี่ยวเชี่ยนก็เสร็จสิ้นการรักษา ชายชราหลับไปพร้อมกับใบหน้าที่อิ่มเอม ซึ่งทำให้ลูกชายของเขารู้สึกซาบซึ้งใจมาก

 

 

พ่อของเขาช่วงสองวันมานี้นอนไม่ค่อยหลับเพราะวิตกกังวล หมอที่อายุน้อยคนนี้เก่งไม่เบา

 

 

“ครั้งหน้าคุณหมอยังมาอีกไหมครับ?”

 

 

“นัดครั้งหน้าคืออีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ระหว่างนี้ก็ให้ท่านให้ความร่วมมือกับการรักษา ตอนนี้สภาพจิตใจของท่านเปลี่ยนไปแล้ว ขอให้ตั้งใจรักษาตัวนะคะ”

 

 

มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงทำอะไรไม่ได้มาก การรักษาของเสี่ยวเชี่ยนช่วยได้แค่ทำให้คนแก่คลายความกังวล ช่วยให้ผู้ป่วยมีความหวังที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อในช่วงโค้งสุดท้ายของชีวิต ส่วนจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยแล้ว

 

 

ชายวัยกลางคนรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยคนอื่นๆในห้องพักก็พลอยประทับใจไปด้วย พากันปรบมือให้เสี่ยวเชี่ยน

 

 

เสี่ยวเชี่ยนทำท่าบอกให้ทุกคนอย่าส่งเสียงดัง ไม่อย่างนั้นจะรบกวนการนอนของชายชรา จากนั้นเธอก็เดินออก

 

 

เธอเห็นศาสตราจารย์ชีที่ยืนอยู่ตรงประตู เสี่ยวเชี่ยนตกใจ

 

 

“คุณ…?”

 

 

“Hi เจอกันอีกแล้วนะ” ศาสตราจารย์ชีโบกมือให้เสี่ยวเชี่ยน

 

 

“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?” เสี่ยวเชี่ยนงง ทำไมไปที่ไหนเธอก็เจอเขา?

 

 

“ไม่ใช่เพราะคุณอยากเจอผมหรอกเหรอ?”

 

 

“อะไรนะ?” เสี่ยวเชี่ยนได้ยินไม่ชัด

 

 

ศาสตราจารย์ชียิ้มกว้าง

 

 

“เปล่า ผมมีธุระที่นี่ แล้วก็เห็นคุณกำลังรักษาคนไข้พอดี คุณเก่งมาก”

 

 

“ขอบคุณค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนคุยตามมารยาทจากนั้นก็เตรียมขอตัว

 

 

“ข้างบนมีงานบรรยายคุณไม่ไปฟังเหรอ?” ศาสตราจารย์ชีเรียกเธอไว้

 

 

“ฉันปวดเนื้อปวดตัวไปหมด ไม่มีอะไรน่าฟังหรอก…ตกลงคุณเป็นหมอประสาทหรือผู้ป่วยกันแน่คะ?” เสี่ยวเชี่ยนนึกไปถึงเรื่องคราวก่อนที่โรงพยาบาลประสาท แล้วก็นึกถึงงานบรรยายในครั้งนี้ที่มีแค่บุคลากรในแวดวงเดียวกันกับผู้ป่วยถึงจะเข้าไปฟังได้ เธอยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าตาคนนี้ไม่เหมือนคนไข้ ถึงสายตาที่เขามองมาจะดูกึ่งๆล้อเล่น แต่กลับมีประกายเฉียบคม

 

 

“ผมเป็นหมอประสาท แต่ก็เป็นผู้ป่วยด้วย”

 

 

เสี่ยวเชี่ยนจ้องเขาอยู่สักพัก เธอวินิจฉัยไม่ได้ว่าศาสตราจารย์ชีเป็นโรคอะไรกันแน่ แต่คิดๆดูตานี่ชอบเตร็ดเตร่ไปทั่ว เดี๋ยวก็ไปเป็นพ่อครัวเปิดร้านอาหาร เดี๋ยวก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาลประสาท ตอนนี้มาบอกว่าตัวเองเป็นจิตแพทย์อีก หรือว่าตาคนนี้…

 

 

“คุณคงไม่ได้เป็นโรคจิตเภทหรอกนะ?”

 

 

“ฮ่าๆๆ” ศาสตราจารย์ชีขำ “ผมดูเหมือนคนมีอาการทางประสาทเหรอ?”

 

 

“ค่ะ เหมือนมาก”

 

 

“ถ้าผมเป็นจริงแล้วคุณจะรักษาให้ผมได้ไหม?” ได้คุยกับเธอแล้วอารมณ์ดีจริงๆ

 

 

“ก่อนหน้านี้ฉันยินดี แต่ตอนนี้ไม่แล้วค่ะ” รู้สึกตานี่เหมือนกำลังปั่นหัวเธอเล่น ประธานเชี่ยนเกลียดคนแบบนี้ที่สุด

 

 

“ผมรวยนะ”

 

 

“รวยก็เท่านั้น บุคลิกคุณไม่เข้ากับฉัน ฉันยังมีธุระต่อขอตัวนะคะ”

 

 

เธอไม่อยากอยู่ที่นี่นาน ถ้าต้าอีมาตามเธอกลับไปฟังบรรยายจะทำไง?

 

 

เธอเข้าใจเหตุผลที่อาจารย์ตื๊อให้เธอมาเจอศาสตราจารย์ชีให้ได้ แต่เธอไม่อยากทำตาม

 

 

หลังจากที่เธอแต่งงานกับอวี๋หมิงหลางแล้วสถานะเธอก็เปลี่ยนไป ในฐานะที่เป็นครอบครัวทหาร อาชีพที่มีความพิเศษ การที่เธอจะเดินทางออกนอกประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก และวงการนี้ในประเทศนี้ หากมองตามหลักความเป็นจริง วุฒิการศึกษาในประเทศยังไม่มีค่าเท่ากับจบจากเมืองนอก แต่ถ้าได้อาจารย์ดังๆเป็นที่ปรึกษาชีวิตก็จะเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่กับตัวเสี่ยวเชี่ยนเอง การพัฒนาในวงการนี้ทางเขตภาคเหนือก็จะเกิดแรงผลักดันตามไปด้วย

 

 

น่าเสียดายที่ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนกำลังสร้างครอบครัว เธอจึงไม่ได้โฟกัสไปที่งานมากนัก

 

 

ขอโทษด้วยนะคะอาจารย์ เรื่องความก้าวหน้าในอาชีพไม่สำคัญเท่าผลิตลูก บายค่ะ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 837 ความก้าวหน้าในอาชีพไม่สำคัญเท่าผลิตลูก

Now you are reading แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย Chapter 837 ความก้าวหน้าในอาชีพไม่สำคัญเท่าผลิตลูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสี่ยวเชี่ยนตามผู้ชายคนนั้นไปยังห้องพักผู้ป่วยรวม ชายชราที่สภาพอิดโรยกำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง

 

 

พอไปถึงที่เตียงผู้ป่วย ผู้เป็นลูกชายก็พูดกับชายชรา

 

 

“พ่อ นี่คือ…”

 

 

“ฉันเป็นหมอดูมาจากในเมืองค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนทำปากชู่วให้ผู้ชายคนนั้น

 

 

เขาบอกว่าพ่อเป็นคนเชื่อเรื่องงมงาย สำหรับคนแก่ในวัยนี้แล้ว จิตแพทย์เป็นอาชีพที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ถ้าบอกไปก็ต้องเหนื่อยอธิบายกันนานหน่อย ไม่สู้บอกว่าเป็นหมอดู แบบนี้คนแก่จะเข้าใจง่ายกว่า

 

 

“ใช่ครับพ่อ เธอเป็นหมอดูจอมเทพจากในเมืองครับ เก่งสุดๆ” เขาให้ความร่วมมือกับเสี่ยวเชี่ยน

 

 

ชายชราลืมตามองเสี่ยวเชี่ยน ดวงตาที่ขุ่นมัวเต็มไปด้วยความสงสัย

 

 

เสี่ยวเชี่ยนลากเก้าอี้เข้ามานั่งข้างเตียงแล้วพูดกับชายชรา

 

 

“วันนี้ฉันผ่านโรงพยาบาลนี้เห็นท้องฟ้าดูแปลกไปเลยแวะเข้ามาดู แล้วก็เจอกับลูกชายของคุณลุงค่ะ…”

 

 

ชีอวี่เซวียนยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วยมองสาวน้อยหน้าตาสะสวยที่กำลังทำตัวเป็นแม่หมอนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยโรคร้ายแรง

 

 

เธอแต่งตัวพิถีพิถัน ถึงเสื้อผ้าจะเรียบง่ายแต่ไม่ดูเชย มองออกเลยว่าเป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตเป็น เธอดูเหมือนไม่เข้ากับห้องผู้ป่วยที่มีอยู่หกเตียงนี้ แต่เธอกลับนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยคุยอย่างเป็นกันเองกับชายชรา

 

 

“คุณหมอคะ…” คนที่ยืนอยู่กับศาสตราจารย์ชีเป็นผู้หญิงวัยกลางคน เธอเป็นลูกสะใภ้ของชายชราคนนั้น เมื่อครู่ตอนที่เธอนั่งร้องไห้อยู่ด้านนอกหมอคนนี้ได้มาถามเธอว่าเป็นอะไร หลังจากได้ฟังเธอเล่าจึงเดินตามเข้ามา แต่ทำไมไม่เข้าไปในห้องล่ะ?

 

 

ศาสตราจารย์ชีทำท่าบอกให้เงียบก่อน ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูด

 

 

เสี่ยวเชี่ยนทำตัวเป็นหมอดูคุยกับชายชรา เธอทำให้คนแก่ไว้ใจได้โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากผู้เป็นลูกชาย หลังจากที่ชายชราไว้ใจเธอแล้วเธอถึงจะเข้าสู่การสนทนาหลัก

 

 

“คุณลุงคะ ตอนนี้ตั้งสมาธิให้ดีนะคะ แล้วจินตนาการว่าสิ่งที่อยู่ในร่างกายที่ทำให้คุณลุงป่วยเป็นเพียงเมล็ดข้าวโพด”

 

 

เพื่อให้ชายชรายอมรับการรักษาจากเธอ เสี่ยวเชี่ยนถึงกับพูดด้วยภาษาถิ่น ใช้มือทำขนาดของเมล็ดข้าวโพด ศาสตราจารย์ชีเห็นแล้วก็ยิ้มเล็กน้อย

 

 

เด็กคนนี้ความรู้เยอะจริงๆ นี่เป็นวิธีรักษาของจิตแพทย์ที่ใช้กับผู้ป่วยโรคร้ายแรง จุดประสงค์ก็เพื่อเพิ่มความไว้วางใจจากผู้ป่วย ช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้น อีกทั้งเธอยังพูดภาษาถิ่นเพื่อให้คนแก่เข้าใจง่าย ใช้การเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดเจน

 

 

“ตอนนี้คุณลุงตั้งสมาธิ คิดว่าความเชื่อของคุณลุงเป็นรถบดถนนบดเมล็ดข้าวโพดเล็กๆเหล่านั้นจนแตกละเอียด ค่อยๆสูดลมหายใจนะคะ พอคุณลุงหายใจออก ผงละเอียดเหล่านั้นก็จะปลิวออกไปนอกร่างกายคุณลุงค่ะ…”

 

 

ความหวาดกลัววิตกกังวลจะทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งรู้สึกแย่ ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ เสี่ยวเชี่ยนใช้ความรู้กึ่งๆหลอกคนแก่เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความผ่อนคลาย มะเร็งระยะสุดท้ายที่ลุกลามไปทั่วเธอรักษาให้ไม่ได้ แต่เธอสามารถใช้วิธีในแบบของจิตแพทย์ช่วยคลายความวิตกกังวลของชายชราได้ ทำให้เขาได้ปลดปล่อยอารมณ์ เมื่อสภาพจิตใจดีขึ้นก็ส่งผลต่ออาการให้ดีขึ้นตามไปด้วย

 

 

สิ่งที่เธอทำในตอนนี้ก็คือสิ่งที่อีกสักพักศาสตราจารย์ชีจะบรรยาย

 

 

เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลารักษาไปเกือบสามสิบนาที เธอมีความอดทนมากตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจคนแก่ที่เป็นโรคร้ายแรงเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าห้องผู้ป่วยที่เคยมีเสียงนู่นนี่เริ่มเงียบตั้งแต่เมื่อไร คนไข้จากเตียงอื่นพากันล้อมเข้ามาฟังเสี่ยวเชี่ยนพูด

 

 

ศาสตราจารย์ชีรอจนกระทั่งเสี่ยวเชี่ยนพูดจบ เขามองด้วยแววตาที่อ่อนโยนและมีรอยยิ้ม

 

 

หลิวหลินหลินสอนเด็กมาดีมาก ความรู้แน่นอีกทั้งยังรู้จักพลิกแพลง ได้ยินว่าเด็กคนนี้ชอบเรียกเก็บเงินราคาแพง แต่เมื่อเจอกับคนยากจนเธอก็รักษาให้โดยไม่รังเกียจ อีกทั้งยังมีความอดทนสูง ซึ่งทำให้ศาสตราจารย์ชียิ่งประทับใจเสี่ยวเชี่ยนมากขึ้น เป็นเด็กดีจริงๆ

 

 

เขาช่างไม่รู้เลยว่า ‘เด็กดี’คนนี้นี่แหละที่มาตรงนี้ก็เพื่อจะหลบหน้าเขา

 

 

ประธานเชี่ยนเป็นคนนิสัยแบบนี้ เธอไม่รักษาให้ใครง่ายๆ แต่หากเป็นเคสที่เธอรับมาแล้วเธอก็จะพยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุด ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน นี่เป็นหน้าที่และเกียรติของหมอ

 

 

ในที่สุดเสี่ยวเชี่ยนก็เสร็จสิ้นการรักษา ชายชราหลับไปพร้อมกับใบหน้าที่อิ่มเอม ซึ่งทำให้ลูกชายของเขารู้สึกซาบซึ้งใจมาก

 

 

พ่อของเขาช่วงสองวันมานี้นอนไม่ค่อยหลับเพราะวิตกกังวล หมอที่อายุน้อยคนนี้เก่งไม่เบา

 

 

“ครั้งหน้าคุณหมอยังมาอีกไหมครับ?”

 

 

“นัดครั้งหน้าคืออีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ระหว่างนี้ก็ให้ท่านให้ความร่วมมือกับการรักษา ตอนนี้สภาพจิตใจของท่านเปลี่ยนไปแล้ว ขอให้ตั้งใจรักษาตัวนะคะ”

 

 

มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงทำอะไรไม่ได้มาก การรักษาของเสี่ยวเชี่ยนช่วยได้แค่ทำให้คนแก่คลายความกังวล ช่วยให้ผู้ป่วยมีความหวังที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อในช่วงโค้งสุดท้ายของชีวิต ส่วนจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยแล้ว

 

 

ชายวัยกลางคนรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยคนอื่นๆในห้องพักก็พลอยประทับใจไปด้วย พากันปรบมือให้เสี่ยวเชี่ยน

 

 

เสี่ยวเชี่ยนทำท่าบอกให้ทุกคนอย่าส่งเสียงดัง ไม่อย่างนั้นจะรบกวนการนอนของชายชรา จากนั้นเธอก็เดินออก

 

 

เธอเห็นศาสตราจารย์ชีที่ยืนอยู่ตรงประตู เสี่ยวเชี่ยนตกใจ

 

 

“คุณ…?”

 

 

“Hi เจอกันอีกแล้วนะ” ศาสตราจารย์ชีโบกมือให้เสี่ยวเชี่ยน

 

 

“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?” เสี่ยวเชี่ยนงง ทำไมไปที่ไหนเธอก็เจอเขา?

 

 

“ไม่ใช่เพราะคุณอยากเจอผมหรอกเหรอ?”

 

 

“อะไรนะ?” เสี่ยวเชี่ยนได้ยินไม่ชัด

 

 

ศาสตราจารย์ชียิ้มกว้าง

 

 

“เปล่า ผมมีธุระที่นี่ แล้วก็เห็นคุณกำลังรักษาคนไข้พอดี คุณเก่งมาก”

 

 

“ขอบคุณค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนคุยตามมารยาทจากนั้นก็เตรียมขอตัว

 

 

“ข้างบนมีงานบรรยายคุณไม่ไปฟังเหรอ?” ศาสตราจารย์ชีเรียกเธอไว้

 

 

“ฉันปวดเนื้อปวดตัวไปหมด ไม่มีอะไรน่าฟังหรอก…ตกลงคุณเป็นหมอประสาทหรือผู้ป่วยกันแน่คะ?” เสี่ยวเชี่ยนนึกไปถึงเรื่องคราวก่อนที่โรงพยาบาลประสาท แล้วก็นึกถึงงานบรรยายในครั้งนี้ที่มีแค่บุคลากรในแวดวงเดียวกันกับผู้ป่วยถึงจะเข้าไปฟังได้ เธอยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าตาคนนี้ไม่เหมือนคนไข้ ถึงสายตาที่เขามองมาจะดูกึ่งๆล้อเล่น แต่กลับมีประกายเฉียบคม

 

 

“ผมเป็นหมอประสาท แต่ก็เป็นผู้ป่วยด้วย”

 

 

เสี่ยวเชี่ยนจ้องเขาอยู่สักพัก เธอวินิจฉัยไม่ได้ว่าศาสตราจารย์ชีเป็นโรคอะไรกันแน่ แต่คิดๆดูตานี่ชอบเตร็ดเตร่ไปทั่ว เดี๋ยวก็ไปเป็นพ่อครัวเปิดร้านอาหาร เดี๋ยวก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาลประสาท ตอนนี้มาบอกว่าตัวเองเป็นจิตแพทย์อีก หรือว่าตาคนนี้…

 

 

“คุณคงไม่ได้เป็นโรคจิตเภทหรอกนะ?”

 

 

“ฮ่าๆๆ” ศาสตราจารย์ชีขำ “ผมดูเหมือนคนมีอาการทางประสาทเหรอ?”

 

 

“ค่ะ เหมือนมาก”

 

 

“ถ้าผมเป็นจริงแล้วคุณจะรักษาให้ผมได้ไหม?” ได้คุยกับเธอแล้วอารมณ์ดีจริงๆ

 

 

“ก่อนหน้านี้ฉันยินดี แต่ตอนนี้ไม่แล้วค่ะ” รู้สึกตานี่เหมือนกำลังปั่นหัวเธอเล่น ประธานเชี่ยนเกลียดคนแบบนี้ที่สุด

 

 

“ผมรวยนะ”

 

 

“รวยก็เท่านั้น บุคลิกคุณไม่เข้ากับฉัน ฉันยังมีธุระต่อขอตัวนะคะ”

 

 

เธอไม่อยากอยู่ที่นี่นาน ถ้าต้าอีมาตามเธอกลับไปฟังบรรยายจะทำไง?

 

 

เธอเข้าใจเหตุผลที่อาจารย์ตื๊อให้เธอมาเจอศาสตราจารย์ชีให้ได้ แต่เธอไม่อยากทำตาม

 

 

หลังจากที่เธอแต่งงานกับอวี๋หมิงหลางแล้วสถานะเธอก็เปลี่ยนไป ในฐานะที่เป็นครอบครัวทหาร อาชีพที่มีความพิเศษ การที่เธอจะเดินทางออกนอกประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก และวงการนี้ในประเทศนี้ หากมองตามหลักความเป็นจริง วุฒิการศึกษาในประเทศยังไม่มีค่าเท่ากับจบจากเมืองนอก แต่ถ้าได้อาจารย์ดังๆเป็นที่ปรึกษาชีวิตก็จะเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่กับตัวเสี่ยวเชี่ยนเอง การพัฒนาในวงการนี้ทางเขตภาคเหนือก็จะเกิดแรงผลักดันตามไปด้วย

 

 

น่าเสียดายที่ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนกำลังสร้างครอบครัว เธอจึงไม่ได้โฟกัสไปที่งานมากนัก

 

 

ขอโทษด้วยนะคะอาจารย์ เรื่องความก้าวหน้าในอาชีพไม่สำคัญเท่าผลิตลูก บายค่ะ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+