พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 231 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 22)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 231 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 22) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พระชายาคะ! ”

ทั้งที่การเข้าเฝ้ายังไม่จบลงด้วยซ้ำ แต่อยู่ๆ ลิเป้ก็เดินเข้ามาขอเวลาคุยด้วยอย่างเร่งรีบ นั่นทำให้อาเรียเอียงคอสงสัยและถามเธอว่ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ

แม้สีหน้าจะดูร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่ลิเป้กลับไม่ตอบออกมาง่ายๆ อาเรียจึงให้ข้ารับใช้ทุกคนออกไปก่อน

“ดื่มชาสักหน่อยไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ…หนู คือ คือว่า…! ”

จะเริ่มพูดยังไงดีล่ะเนี่ย ถ้าจะเปิดโปงแผนการงี่เง่าของบลิสออกไป ก็ต้องบอกความจริงเรื่องที่ตัวเองมาจากอนาคตด้วย เพราะเช่นนั้นลิเป้จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปอย่างไรดี

ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องสารภาพความจริงทุกอย่างรวมทั้งเรื่องที่อาเรียป่วยด้วย

ถ้าทำอย่างนั้นก็จะไม่ต่างไปจากแผนการที่บลิสตั้งใจเอาไว้เลย

แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปละก็ สุดท้ายทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่บลิสตั้งใจในขณะที่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย

จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง

ลิเป้พยายามทำใจให้สงบ เธอกำหมัดแน่นพร้อมกับหลับตาแน่นและตะโกนออกไปว่า

“ยะ อย่าทิ้งพวกหนูนะคะ! ”

“…! ”

เสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาฉับพลัน ทำเอาอาเรียเบิกตาโพลงขึ้นมา

แม้จะรู้ว่านั่นหมายถึงอะไรก็ตาม แต่เห็นทีคงจะต้องคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียแล้ว

แต่จะคุยกันโดยปล่อยให้เด็กน้อยที่กำลังประหม่ายืนอยู่ทั้งอย่างนั้นไม่ได้ อาเรียจึงเรียกลิเป้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเป็นอย่างมาก

“มานี่มา มานั่งตรงนี้เถอะ”

“คะ…”

ในตอนนั้นเองที่ลิเป้ค่อยลืมตาทั้งสองข้างออกมาอย่างระมัดระวัง

จากนั้นสิ่งที่ลิเป้เห็นอยู่ข้างหน้าก็คืออาเรียที่ยิ้มบางๆ พร้อมกับทำมือชี้ให้เธอมานั่งตรงหน้า

‘ทะ ท่านแม่…’

ใบหน้าอันแสนอ่อนโยนทำให้คิดถึงอาเรียในอนาคตขึ้นมา และโดยที่ไม่รู้ตัวลิเป้ก็ได้ไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอาเรียราวกับว่าเธอต้องมนตร์อย่างไรอย่างนั้น

อาเรียยื่นน้ำชาของตัวเองให้กับเด็กน้อยตรงหน้า และเริ่มพูดกับลิเป้ที่กำลังจ้องหน้าเธออย่างไม่วางตาออกมาว่า

“ไม่ต้องกังวลหรอกนะ เพราะฉันไม่คิดจะทิ้งพวกเธออยู่แล้ว”

“คะ คะ…! ”

ท่าทางจะลืมเรื่องตัวเองพูดไปเสียแล้ว ลิเป้ถึงได้สะดุ้งขึ้นมา

“ฉันจะปล่อยพวกเธอไปง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ”

ดังนั้นอาเรียจึงพูดเพิ่มขึ้นมา ในตอนนั้นเองที่ลิเป้เข้าใจว่านั่นเป็นคำตอบต่อคำถามของตน ลิเป้ไม่สามารถหุบปากที่อ้าค้างเอาไว้ได้

“ระ หรือว่ารู้ทุกอย่าง…! ”

อยู่แล้วงั้นเหรอ! ลิเป้ไม่สามารถซ่อนความตกใจเอาไว้ได้ ก่อนจะตระหนักได้ว่าอาเรียใช้เวลาอยู่กับบลิสมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

‘ถ้าอยู่กับยัยซื่อบื้อนั่นละก็ ไม่มีทางที่จะไม่รู้หรอก…’

เพราะยัยเป็นประเภทที่แสดงทุกอย่างออกมาทางสีหน้า

ลิเป้ทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะครุ่นคิดถึงคำตอบของอาเรียและเบิกตาโตขึ้นมา

“แน่นอนว่าฉันก็ไม่อยากจะเสียสละร่างกายของฉันหรอก เพราะอย่างนั้นเลยคิดจะหาทุกวิถีทางละนะ ถ้าพลิกแผ่นดินหาละก็ ต้องเจอทางออกอยู่ที่ไหนสักที่แน่ๆ จริงไหม”

หากเป็นคนทั่วไปแล้วละก็ นั่นเป็นคำตอบที่ฟังดูไม่จริงจังสักเท่าไหร่ แต่อาเรียไม่ใช่แบบนั้น

ถ้าเธอพูดออกมาแบบนั้น แสดงว่าเธอจะหาวิธีที่ทำให้ทุกคนมีความสุขให้ได้จริงๆ

ลิเป้คิดเช่นนั้น และพยักหน้าอย่างแข็งขันโดยที่ยังอ้าปากค้างอยู่เช่นเดิม

แม้จะดูน่าขำไปบ้าง แต่เป็นใบหน้าที่ดูสมกับเป็นเด็กมาก ดูใช้ได้กว่าตอนที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่เสียอีก

เพราะอย่างนั้นอาเรียจึงพูดขึ้นมาอีกว่า

“เพราะฉะนั้นแล้วเธอก็หัดเล่นสนุกให้เหมือนกับเด็กเสียบ้าง กินของว่างที่บลิสสั่งเอาไว้ให้เต็มที่ แล้วก็เที่ยวงานเทศกาลให้สนุกด้วย”

ในครู่นั้นลิเป้ก็นึกถึงสิ่งที่ตัวอาเรียในอนาคตมักจะพูดกับเธออยู่บ่อยๆ ขึ้นมา

‘ลิเป้ หนูน่ะวางตัวได้ดีเยี่ยมมากพอแล้ว จะทำตัวให้สมกับเป็นเด็กมากกว่านี้หน่อยก็ได้ ยังไงสักวันหนูก็ต้องกลายเป็นผู้ใหญ่อยู่ดี ไม่จำเป็นต้องรีบหรอก’

ทุกครั้งที่อาเรียพูดแบบนั้น เธอก็มักจะส่ายหน้าออกมาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ไขว้เขวเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่พอมาได้ยินคำนั้นที่นี่แล้ว ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าอยากจะร้องไห้ขึ้นมา

“จะว่าอะไรไหม…”

เพราะอย่างนั้นเอง ลิเป้จึงเรียกอาเรียขึ้นมาเบาๆ

ท่าทางของเธอดูเหมือนจะร้องขออะไรสักอย่าง อาเรียจึงพยักหน้าเชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร

ดังนั้นลิเป้ที่ลังเลพร้อมกับส่ายตาไปมาก็ได้กำมือแน่นขึ้นอีกครั้งและพูดต่อไปว่า

“หนูขอกอดสักครั้ง…”

ทว่าเธอกลับอายที่จะพูดให้จบประโยค

และตั้งใจว่าจะยกเลิกคำขอนั้น-

“มานี่สิ”

อาเรียตอบรับคำขอของลิเป้ในทันที

“จะ จริงเหรอคะ”

ลิเป้ย้อนถามอย่างตะกุกตะกักด้วยสงสัยว่าตนเองไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ อาเรียหลุดหัวเราะออกมา

“จริงสิ”

อาเรียตั้งใจจะบอกให้ลิเป้กอดเธอได้เต็มที่ แต่ลิเป้กลับลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเข้าไปกอดอาเรียไวกว่าที่เธอจะทันได้พูดอะไรออกมา

“ขอโทษค่ะ ที่หนูเห็นแก่ตัว หนูขอโทษที่คิดถึงตัวเองก่อน…”

หนูขอโทษที่พูดว่าอย่าทิ้งหนูออกมาก่อน แทนที่จะพูดว่าไม่อยากให้แม่ป่วย ลิเป้พูดออกมาเช่นนั้นและมุดหน้าลงบนไหล่อาเรีย

“จะเห็นแก่ตัวอีกหน่อยก็ได้ ถ้าฉันไม่ปกป้องเธอแล้วใครจะทำเล่า”

แม้เธอจะพูดออกมาเพื่อปลอบใจ แต่เมื่อเห็นว่าจู่ๆ ลิเป้ก็ร้องไห้สะอื้นขึ้นมา อาเรียจึงได้แต่ฝืนยิ้มออกมาและลูบผมสั้นๆ ของเด็กน้อยไปด้วย

เห็นทีคงต้องใช้กำลังคนออกตามหาข้อมูลให้เร็วที่สุดเสียแล้วสิ

***

‘ลิเป้…นี่เธอไม่สบายรึเปล่า’

บลิสถามออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นลิเป้ก็กลืนเค้กที่มีอยู่เต็มปากดังเอื๊อกและย้อนถามกลับไปว่า

“เปล่านี่ ทำไมล่ะ”

“จริงเหรอ แล้วทำไมถึงกินเค้กเยอะขนาดนั้นล่ะ ปกติเธอไม่กินอะไรแบบนี้นี่นา”

อ้ำ ทันทีที่บลิสถามจบลิเป้ก็ตักเชอร์เบทมะนาวเข้าปากทันที

ไม่สิ ยัยนั่นไม่ได้ชอบเชอร์เบทมะนาวเลยนี่นา แล้วทำไมถึงกินมันเข้าไปล่ะ

บลิสเบิกตาโพลง ดวงตากลมโตของเธอมองตามมือที่กำลังสาละวนอยู่กับขนมหวาน

แต่ถึงอย่างนั้นลิเป้ก็ยังตักตวงขนมหวานต่อไปอีกสักพัก ก่อนจะวางช้อนลงบนโต๊ะและพูดคำตอบที่แท้จริงออกมา

“ก็เพราะว่าภาพลักษณ์ตอนกินเค้กน่ารักๆ มันดูเหมือนเด็กที่เชื่อคนง่ายไงล่ะ แล้วก็ดูไม่สง่าด้วย”

“ขนมหวานเนี่ยนะ ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย…กินเยอะๆ ก็ได้นี่นา…ว่าแต่ทำไมตอนนี้เธอถึงกินมันล่ะ”

“เพราะว่าที่นี่ไม่มีใครรู้จักฉันไงล่ะ ฉันเลยอนุญาตให้กินได้สักสองสามวัน อนุญาตตัวฉันเองนี่แหละ”

และเพราะว่าอาเรียบอกให้ทำตัวให้สมกับเป็นเด็กด้วยนั่นแหละ

ถ้ากลับไปแล้วละก็ ฉันจะไม่ทำแบบนี้เป็นอันขาด ฉันจะทำตัวให้สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สง่าและน่ายกย่องมากยิ่งขึ้นเพื่อกลบความงี่เง่าของยัยซื่อบื้อนั่น

ลิเป้สัญญากับตัวเองไว้เช่นนั้นและเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดปาก แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรดีๆ ที่จะใช้แกล้งบลิสขึ้นมาได้

ในเมื่อทำให้คนอื่นต้องเสียน้ำตา เจ้าตัวก็ควรจะได้รู้สึกแบบนั้นบ้างไม่ใช่รึไง

ลิเป้พูดออกมาอีกครั้งราวกับว่ายอมแพ้ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง

“และอีกอย่างยังไงฉันก็ต้องตายในอีกไม่กี่วันอยู่แล้ว ฉะนั้นแล้วฉันจะหักห้ามใจตัวเองไปทำไมล่ะ ต่อจากนี้ฉันจะใช้ชีวิตตามใจชอบแล้วละ ขอบใจนะบลิส เพราะเธอแท้ๆ ฉันถึงได้กินขนมหวานจนหมดได้น่ะ”

บลิสทำหน้าบึ้งตึงเมื่อได้ยินคำพูดเสียดแทงเข้า แต่เพราะลิเป้พูดถูก บลิสจึงตอบโต้อะไรไม่ได้

ยิ่งกว่านั้นพอได้เห็นท่าทางสิ้นหวังของลิเป้ที่พูดว่าจะทำตามใจตัวเอง ต่างไปจากตอนที่โมโหและเอาแต่จะห้ามเธอให้ได้เข้าแล้ว ความรู้สึกผิดที่เก็บเอาไว้ตลอดมาก็ยิ่งขยายตัวมากขึ้น

“ก็มันไม่มีวิธีที่ฉันจะหายไป…ได้คนเดียวนี่ ลิเป้ เธอน่ะออกจะฉลาดและแข็งแรงแบบนี้ ควรจะเป็นฉันคนเดียวที่ต้องหายไป…ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดีต่อแม่ พ่อ และก็ข้ารับใช้คนอื่นด้วย”

“มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อเราเป็นฝาแฝดกัน”

ลิเป้ยักไหล่และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ถ้างั้น ถ้าอย่างนั้น หากให้เธอช่วยทำให้พลังของฉันไม่ตื่นขึ้นมาและปล่อยให้ฉันตายไปล่ะ”

“มันทำได้เสียที่ไหนล่ะ”

จะขอร้องให้ฉันบีบคอเธอหรือยังไงกัน หัดพูดอะไรที่มันเป็นไปได้เสียบ้างสิ

ยิ่งไปกว่านั้นถ้าทำแบบนั้นได้จริงๆ ละก็ ท่านแม่คงจะดีใจตายเลย

ลิเป้ปรายตาและปฏิเสธออกมาอย่างแข็งขัน และนั่นทำให้บลิสหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม

ดูเหมือนว่าหากพูดแทงใจดำไปอีกหลายๆ รอบละก็ บลิสคงจะได้เอ่ยปากขอโทษและชวนกลับไปยังอนาคตขึ้นมาเสียแล้ว

‘ทำให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ดีไหมนะ’

ไม่ว่าที่นี่จะดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่มีทางเทียบกับที่เดิมที่ฉันอยู่ได้เลย อยากกลับไปอนาคตให้เร็วขึ้นสักวันก็ยังดี

ลิเป้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นบลิสซึ่งดวงตาปริ่มไปด้วยน้ำตาก็สูดน้ำมูกและพูดออกมาว่า

“ฉันขอโทษนะลิเป้…แต่ว่าฉันรักแม่มากกว่าลิเป้ ฉันไม่อยากให้แม่ป่วยยย…และยิ่งฉันเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่เป็นแบบนั้นด้วยแล้ว ฉันก็รู้สึกเสียใจอยู่ทุกวันเลย”

“เธอนี่…พูดเรื่องแบบนี้เก่งจริงๆ เลยนะ ไอ้เรื่องแย่ๆ เนี่ย”

“มะ ไม่ใช่นะ! ฉันไม่ได้เกลียดลิเป้นะ! ฉันก็ชอบลิเป้ด้วย ก็ลิเป้น่ะเหมือนแม่ทั้งหน้าตา นิสัย และก็ความฉลาดนี่นา ต่างกับฉัน…ฉันน่ะ…เอาแต่ป่วยและไม่มีประโยชน์ด้วย ถ้าไม่มีฉันละก็คงจะดีกว่านี้”

บลิสน้ำตาร่วงเผลาะ ดูเหมือนเธอจะเศร้าใจกับสิ่งที่ตนเองพูด ว่าถ้าไม่มีตนเองคงจะดีกว่านี้

แต่เพราะบลิสไม่ได้เป็นแบบนี้แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ลิเป้จึงไม่ได้สะทกสะท้านอะไร เธอเพียงแค่ดื่มน้ำสตรอว์เบอร์รีด้วยสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายอะไรเท่านั้น

ในระหว่างนั้น บลิสพยายามครุ่นคิดก่อนจะตบฝ่ามือขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูสดใสราวกับหาทางออกดีๆ ได้แล้ว

“อย่ากังวลไปเลยลิเป้! ฉันจะเปิดเผยความจริงทุกอย่างและขอให้ฉันหายไปแค่คนเดียวเอง! “

“ยังไงล่ะ”

“ผ่าตัดไงล่ะ! ”

“แหม เป็นวิธีที่ดีจริงๆ เลยนะเนี่ย คิดว่าการผ่าตัดมันเป็นเรื่องง่ายๆ รึไง”

แม้ลิเป้จะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการแพทย์สักเท่าไหร่ แต่เธอก็รู้ว่าการกรีดเนื้อของใครสักคนและทำให้มันกลับไปอยู่ในสภาพเดิมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

บลิสทำหน้าบึ้งขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นลิเป้ก็ติบลิสกลับไปอย่างหนักแน่นว่า‘ถ้ามันออกมาจากหัวเธอละก็ ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ’แล้วก็ดูดน้ำผลไม้อีกครั้ง

‘หืม เห็นทีคงต้องหยุดโน้มน้าวบลิสไว้แค่นี้และรอดูจนกว่าจะถึงวันพิธีราชาภิเษกแล้วสิ’

น้ำผลไม้ที่ฉันเลี่ยงไม่กินมาตลอดมันอร่อยได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เค้กก็อร่อย เชอร์เบทก็รสชาติไม่เลวเลย

ถ้ากลับไปก็จะกินแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว คงต้องกินมันให้หนำใจเสียที่นี่แล้วล่ะ

……………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 231 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 22)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 231 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 22) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พระชายาคะ! ”

ทั้งที่การเข้าเฝ้ายังไม่จบลงด้วยซ้ำ แต่อยู่ๆ ลิเป้ก็เดินเข้ามาขอเวลาคุยด้วยอย่างเร่งรีบ นั่นทำให้อาเรียเอียงคอสงสัยและถามเธอว่ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ

แม้สีหน้าจะดูร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่ลิเป้กลับไม่ตอบออกมาง่ายๆ อาเรียจึงให้ข้ารับใช้ทุกคนออกไปก่อน

“ดื่มชาสักหน่อยไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ…หนู คือ คือว่า…! ”

จะเริ่มพูดยังไงดีล่ะเนี่ย ถ้าจะเปิดโปงแผนการงี่เง่าของบลิสออกไป ก็ต้องบอกความจริงเรื่องที่ตัวเองมาจากอนาคตด้วย เพราะเช่นนั้นลิเป้จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปอย่างไรดี

ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องสารภาพความจริงทุกอย่างรวมทั้งเรื่องที่อาเรียป่วยด้วย

ถ้าทำอย่างนั้นก็จะไม่ต่างไปจากแผนการที่บลิสตั้งใจเอาไว้เลย

แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปละก็ สุดท้ายทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่บลิสตั้งใจในขณะที่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย

จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง

ลิเป้พยายามทำใจให้สงบ เธอกำหมัดแน่นพร้อมกับหลับตาแน่นและตะโกนออกไปว่า

“ยะ อย่าทิ้งพวกหนูนะคะ! ”

“…! ”

เสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาฉับพลัน ทำเอาอาเรียเบิกตาโพลงขึ้นมา

แม้จะรู้ว่านั่นหมายถึงอะไรก็ตาม แต่เห็นทีคงจะต้องคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียแล้ว

แต่จะคุยกันโดยปล่อยให้เด็กน้อยที่กำลังประหม่ายืนอยู่ทั้งอย่างนั้นไม่ได้ อาเรียจึงเรียกลิเป้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเป็นอย่างมาก

“มานี่มา มานั่งตรงนี้เถอะ”

“คะ…”

ในตอนนั้นเองที่ลิเป้ค่อยลืมตาทั้งสองข้างออกมาอย่างระมัดระวัง

จากนั้นสิ่งที่ลิเป้เห็นอยู่ข้างหน้าก็คืออาเรียที่ยิ้มบางๆ พร้อมกับทำมือชี้ให้เธอมานั่งตรงหน้า

‘ทะ ท่านแม่…’

ใบหน้าอันแสนอ่อนโยนทำให้คิดถึงอาเรียในอนาคตขึ้นมา และโดยที่ไม่รู้ตัวลิเป้ก็ได้ไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอาเรียราวกับว่าเธอต้องมนตร์อย่างไรอย่างนั้น

อาเรียยื่นน้ำชาของตัวเองให้กับเด็กน้อยตรงหน้า และเริ่มพูดกับลิเป้ที่กำลังจ้องหน้าเธออย่างไม่วางตาออกมาว่า

“ไม่ต้องกังวลหรอกนะ เพราะฉันไม่คิดจะทิ้งพวกเธออยู่แล้ว”

“คะ คะ…! ”

ท่าทางจะลืมเรื่องตัวเองพูดไปเสียแล้ว ลิเป้ถึงได้สะดุ้งขึ้นมา

“ฉันจะปล่อยพวกเธอไปง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ”

ดังนั้นอาเรียจึงพูดเพิ่มขึ้นมา ในตอนนั้นเองที่ลิเป้เข้าใจว่านั่นเป็นคำตอบต่อคำถามของตน ลิเป้ไม่สามารถหุบปากที่อ้าค้างเอาไว้ได้

“ระ หรือว่ารู้ทุกอย่าง…! ”

อยู่แล้วงั้นเหรอ! ลิเป้ไม่สามารถซ่อนความตกใจเอาไว้ได้ ก่อนจะตระหนักได้ว่าอาเรียใช้เวลาอยู่กับบลิสมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

‘ถ้าอยู่กับยัยซื่อบื้อนั่นละก็ ไม่มีทางที่จะไม่รู้หรอก…’

เพราะยัยเป็นประเภทที่แสดงทุกอย่างออกมาทางสีหน้า

ลิเป้ทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะครุ่นคิดถึงคำตอบของอาเรียและเบิกตาโตขึ้นมา

“แน่นอนว่าฉันก็ไม่อยากจะเสียสละร่างกายของฉันหรอก เพราะอย่างนั้นเลยคิดจะหาทุกวิถีทางละนะ ถ้าพลิกแผ่นดินหาละก็ ต้องเจอทางออกอยู่ที่ไหนสักที่แน่ๆ จริงไหม”

หากเป็นคนทั่วไปแล้วละก็ นั่นเป็นคำตอบที่ฟังดูไม่จริงจังสักเท่าไหร่ แต่อาเรียไม่ใช่แบบนั้น

ถ้าเธอพูดออกมาแบบนั้น แสดงว่าเธอจะหาวิธีที่ทำให้ทุกคนมีความสุขให้ได้จริงๆ

ลิเป้คิดเช่นนั้น และพยักหน้าอย่างแข็งขันโดยที่ยังอ้าปากค้างอยู่เช่นเดิม

แม้จะดูน่าขำไปบ้าง แต่เป็นใบหน้าที่ดูสมกับเป็นเด็กมาก ดูใช้ได้กว่าตอนที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่เสียอีก

เพราะอย่างนั้นอาเรียจึงพูดขึ้นมาอีกว่า

“เพราะฉะนั้นแล้วเธอก็หัดเล่นสนุกให้เหมือนกับเด็กเสียบ้าง กินของว่างที่บลิสสั่งเอาไว้ให้เต็มที่ แล้วก็เที่ยวงานเทศกาลให้สนุกด้วย”

ในครู่นั้นลิเป้ก็นึกถึงสิ่งที่ตัวอาเรียในอนาคตมักจะพูดกับเธออยู่บ่อยๆ ขึ้นมา

‘ลิเป้ หนูน่ะวางตัวได้ดีเยี่ยมมากพอแล้ว จะทำตัวให้สมกับเป็นเด็กมากกว่านี้หน่อยก็ได้ ยังไงสักวันหนูก็ต้องกลายเป็นผู้ใหญ่อยู่ดี ไม่จำเป็นต้องรีบหรอก’

ทุกครั้งที่อาเรียพูดแบบนั้น เธอก็มักจะส่ายหน้าออกมาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ไขว้เขวเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่พอมาได้ยินคำนั้นที่นี่แล้ว ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าอยากจะร้องไห้ขึ้นมา

“จะว่าอะไรไหม…”

เพราะอย่างนั้นเอง ลิเป้จึงเรียกอาเรียขึ้นมาเบาๆ

ท่าทางของเธอดูเหมือนจะร้องขออะไรสักอย่าง อาเรียจึงพยักหน้าเชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร

ดังนั้นลิเป้ที่ลังเลพร้อมกับส่ายตาไปมาก็ได้กำมือแน่นขึ้นอีกครั้งและพูดต่อไปว่า

“หนูขอกอดสักครั้ง…”

ทว่าเธอกลับอายที่จะพูดให้จบประโยค

และตั้งใจว่าจะยกเลิกคำขอนั้น-

“มานี่สิ”

อาเรียตอบรับคำขอของลิเป้ในทันที

“จะ จริงเหรอคะ”

ลิเป้ย้อนถามอย่างตะกุกตะกักด้วยสงสัยว่าตนเองไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ อาเรียหลุดหัวเราะออกมา

“จริงสิ”

อาเรียตั้งใจจะบอกให้ลิเป้กอดเธอได้เต็มที่ แต่ลิเป้กลับลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเข้าไปกอดอาเรียไวกว่าที่เธอจะทันได้พูดอะไรออกมา

“ขอโทษค่ะ ที่หนูเห็นแก่ตัว หนูขอโทษที่คิดถึงตัวเองก่อน…”

หนูขอโทษที่พูดว่าอย่าทิ้งหนูออกมาก่อน แทนที่จะพูดว่าไม่อยากให้แม่ป่วย ลิเป้พูดออกมาเช่นนั้นและมุดหน้าลงบนไหล่อาเรีย

“จะเห็นแก่ตัวอีกหน่อยก็ได้ ถ้าฉันไม่ปกป้องเธอแล้วใครจะทำเล่า”

แม้เธอจะพูดออกมาเพื่อปลอบใจ แต่เมื่อเห็นว่าจู่ๆ ลิเป้ก็ร้องไห้สะอื้นขึ้นมา อาเรียจึงได้แต่ฝืนยิ้มออกมาและลูบผมสั้นๆ ของเด็กน้อยไปด้วย

เห็นทีคงต้องใช้กำลังคนออกตามหาข้อมูลให้เร็วที่สุดเสียแล้วสิ

***

‘ลิเป้…นี่เธอไม่สบายรึเปล่า’

บลิสถามออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นลิเป้ก็กลืนเค้กที่มีอยู่เต็มปากดังเอื๊อกและย้อนถามกลับไปว่า

“เปล่านี่ ทำไมล่ะ”

“จริงเหรอ แล้วทำไมถึงกินเค้กเยอะขนาดนั้นล่ะ ปกติเธอไม่กินอะไรแบบนี้นี่นา”

อ้ำ ทันทีที่บลิสถามจบลิเป้ก็ตักเชอร์เบทมะนาวเข้าปากทันที

ไม่สิ ยัยนั่นไม่ได้ชอบเชอร์เบทมะนาวเลยนี่นา แล้วทำไมถึงกินมันเข้าไปล่ะ

บลิสเบิกตาโพลง ดวงตากลมโตของเธอมองตามมือที่กำลังสาละวนอยู่กับขนมหวาน

แต่ถึงอย่างนั้นลิเป้ก็ยังตักตวงขนมหวานต่อไปอีกสักพัก ก่อนจะวางช้อนลงบนโต๊ะและพูดคำตอบที่แท้จริงออกมา

“ก็เพราะว่าภาพลักษณ์ตอนกินเค้กน่ารักๆ มันดูเหมือนเด็กที่เชื่อคนง่ายไงล่ะ แล้วก็ดูไม่สง่าด้วย”

“ขนมหวานเนี่ยนะ ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย…กินเยอะๆ ก็ได้นี่นา…ว่าแต่ทำไมตอนนี้เธอถึงกินมันล่ะ”

“เพราะว่าที่นี่ไม่มีใครรู้จักฉันไงล่ะ ฉันเลยอนุญาตให้กินได้สักสองสามวัน อนุญาตตัวฉันเองนี่แหละ”

และเพราะว่าอาเรียบอกให้ทำตัวให้สมกับเป็นเด็กด้วยนั่นแหละ

ถ้ากลับไปแล้วละก็ ฉันจะไม่ทำแบบนี้เป็นอันขาด ฉันจะทำตัวให้สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สง่าและน่ายกย่องมากยิ่งขึ้นเพื่อกลบความงี่เง่าของยัยซื่อบื้อนั่น

ลิเป้สัญญากับตัวเองไว้เช่นนั้นและเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดปาก แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรดีๆ ที่จะใช้แกล้งบลิสขึ้นมาได้

ในเมื่อทำให้คนอื่นต้องเสียน้ำตา เจ้าตัวก็ควรจะได้รู้สึกแบบนั้นบ้างไม่ใช่รึไง

ลิเป้พูดออกมาอีกครั้งราวกับว่ายอมแพ้ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง

“และอีกอย่างยังไงฉันก็ต้องตายในอีกไม่กี่วันอยู่แล้ว ฉะนั้นแล้วฉันจะหักห้ามใจตัวเองไปทำไมล่ะ ต่อจากนี้ฉันจะใช้ชีวิตตามใจชอบแล้วละ ขอบใจนะบลิส เพราะเธอแท้ๆ ฉันถึงได้กินขนมหวานจนหมดได้น่ะ”

บลิสทำหน้าบึ้งตึงเมื่อได้ยินคำพูดเสียดแทงเข้า แต่เพราะลิเป้พูดถูก บลิสจึงตอบโต้อะไรไม่ได้

ยิ่งกว่านั้นพอได้เห็นท่าทางสิ้นหวังของลิเป้ที่พูดว่าจะทำตามใจตัวเอง ต่างไปจากตอนที่โมโหและเอาแต่จะห้ามเธอให้ได้เข้าแล้ว ความรู้สึกผิดที่เก็บเอาไว้ตลอดมาก็ยิ่งขยายตัวมากขึ้น

“ก็มันไม่มีวิธีที่ฉันจะหายไป…ได้คนเดียวนี่ ลิเป้ เธอน่ะออกจะฉลาดและแข็งแรงแบบนี้ ควรจะเป็นฉันคนเดียวที่ต้องหายไป…ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดีต่อแม่ พ่อ และก็ข้ารับใช้คนอื่นด้วย”

“มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อเราเป็นฝาแฝดกัน”

ลิเป้ยักไหล่และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ถ้างั้น ถ้าอย่างนั้น หากให้เธอช่วยทำให้พลังของฉันไม่ตื่นขึ้นมาและปล่อยให้ฉันตายไปล่ะ”

“มันทำได้เสียที่ไหนล่ะ”

จะขอร้องให้ฉันบีบคอเธอหรือยังไงกัน หัดพูดอะไรที่มันเป็นไปได้เสียบ้างสิ

ยิ่งไปกว่านั้นถ้าทำแบบนั้นได้จริงๆ ละก็ ท่านแม่คงจะดีใจตายเลย

ลิเป้ปรายตาและปฏิเสธออกมาอย่างแข็งขัน และนั่นทำให้บลิสหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม

ดูเหมือนว่าหากพูดแทงใจดำไปอีกหลายๆ รอบละก็ บลิสคงจะได้เอ่ยปากขอโทษและชวนกลับไปยังอนาคตขึ้นมาเสียแล้ว

‘ทำให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ดีไหมนะ’

ไม่ว่าที่นี่จะดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่มีทางเทียบกับที่เดิมที่ฉันอยู่ได้เลย อยากกลับไปอนาคตให้เร็วขึ้นสักวันก็ยังดี

ลิเป้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นบลิสซึ่งดวงตาปริ่มไปด้วยน้ำตาก็สูดน้ำมูกและพูดออกมาว่า

“ฉันขอโทษนะลิเป้…แต่ว่าฉันรักแม่มากกว่าลิเป้ ฉันไม่อยากให้แม่ป่วยยย…และยิ่งฉันเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่เป็นแบบนั้นด้วยแล้ว ฉันก็รู้สึกเสียใจอยู่ทุกวันเลย”

“เธอนี่…พูดเรื่องแบบนี้เก่งจริงๆ เลยนะ ไอ้เรื่องแย่ๆ เนี่ย”

“มะ ไม่ใช่นะ! ฉันไม่ได้เกลียดลิเป้นะ! ฉันก็ชอบลิเป้ด้วย ก็ลิเป้น่ะเหมือนแม่ทั้งหน้าตา นิสัย และก็ความฉลาดนี่นา ต่างกับฉัน…ฉันน่ะ…เอาแต่ป่วยและไม่มีประโยชน์ด้วย ถ้าไม่มีฉันละก็คงจะดีกว่านี้”

บลิสน้ำตาร่วงเผลาะ ดูเหมือนเธอจะเศร้าใจกับสิ่งที่ตนเองพูด ว่าถ้าไม่มีตนเองคงจะดีกว่านี้

แต่เพราะบลิสไม่ได้เป็นแบบนี้แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ลิเป้จึงไม่ได้สะทกสะท้านอะไร เธอเพียงแค่ดื่มน้ำสตรอว์เบอร์รีด้วยสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายอะไรเท่านั้น

ในระหว่างนั้น บลิสพยายามครุ่นคิดก่อนจะตบฝ่ามือขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูสดใสราวกับหาทางออกดีๆ ได้แล้ว

“อย่ากังวลไปเลยลิเป้! ฉันจะเปิดเผยความจริงทุกอย่างและขอให้ฉันหายไปแค่คนเดียวเอง! “

“ยังไงล่ะ”

“ผ่าตัดไงล่ะ! ”

“แหม เป็นวิธีที่ดีจริงๆ เลยนะเนี่ย คิดว่าการผ่าตัดมันเป็นเรื่องง่ายๆ รึไง”

แม้ลิเป้จะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการแพทย์สักเท่าไหร่ แต่เธอก็รู้ว่าการกรีดเนื้อของใครสักคนและทำให้มันกลับไปอยู่ในสภาพเดิมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

บลิสทำหน้าบึ้งขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นลิเป้ก็ติบลิสกลับไปอย่างหนักแน่นว่า‘ถ้ามันออกมาจากหัวเธอละก็ ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ’แล้วก็ดูดน้ำผลไม้อีกครั้ง

‘หืม เห็นทีคงต้องหยุดโน้มน้าวบลิสไว้แค่นี้และรอดูจนกว่าจะถึงวันพิธีราชาภิเษกแล้วสิ’

น้ำผลไม้ที่ฉันเลี่ยงไม่กินมาตลอดมันอร่อยได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เค้กก็อร่อย เชอร์เบทก็รสชาติไม่เลวเลย

ถ้ากลับไปก็จะกินแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว คงต้องกินมันให้หนำใจเสียที่นี่แล้วล่ะ

……………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+