พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 239 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 30)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 239 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 30) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อาเรีย… นี่งานในพระราชวังมันหนักหนามากนักหรือ หรือตำแหน่งพระชายามันเหนื่อยเกินไป” คารินเอ่ยถามด้วยความห่วงใยจากใจจริง บนใบหน้าที่กำลังชักชวนให้กลับโครอาด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้นั้น เต็มไปด้วยข้อแม้ที่ว่า ‘อาเรียเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนสติไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว’ ซึ่งมันก็เป็นผลลัพธ์ที่อาเรียก็คาดไว้อยู่แล้ว มันคือเรื่องที่ยากจะเชื่อแม้เธอจะอธิบายเรื่องทุกอย่างจนปากเปียกปากแฉะก็ตาม และยิ่งเธอไปแนะนำว่าเด็กๆ เป็นผู้มาก่อนกาลเสียเต็มปากเต็มคำแบบนั้น แม่เธอยิ่งไม่มีทางเชื่อ “ไม่มีทางหรอกค่ะ ลูกบอกแล้วนี่คะว่าลูกสบายดี” “แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมถึงพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นออกมาล่ะ นี่ลูกกำลังล้อแม่คนนี้เล่นอยู่หรือ” คารินถามหาความจริงเป็นครั้งที่สอง สภาพแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าการบอกความจริงทุกอย่างกับเธอคงใช้ไม่ได้ผล ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดไปมากกว่านี้แล้ว อาเรียคิดว่าควรพูดข้ามๆ ไปเสียดีกว่า “ลูกแค่พูดไปตามความจริง แต่หากแม่ไม่เชื่อลูกก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ลูกไปล้อแม่เล่นเมื่อไรหรือคะ ลูกคิดว่าลูกพูดแต่ความจริงกับแม่ตลอดเสียอีก” อาเรียทำสีหน้าเศร้าเสียใจใส่คารินที่ปฏิเสธคำพูดของเธอถึงสองครั้งสองครา “มะ ไม่ใช่นะ แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้น—” ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจปักใจเชื่อ แต่คารินย่อมต้องรู้สึกผิดกับอาเรีย ‘มันยังมีความหมายอื่นอีกไหมนะ… ความจริงถึงตอนเป็นเด็กจะเล่นไม่รู้ประสาไปบ้าง แต่ถ้ามองย้อนกลับไปเธอก็เป็นเด็กที่มีความคิดลึกซึ้งและฉลาดหลักแหลมทีเดียว’ ถึงอย่างนั้นเด็กๆ ก็ไม่มีทางมาจากอนาคตได้แน่ ดังนั้นคำตอบของเธอต้องมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อย่างแน่นอน คารินซึ่งเข้าใจผิดไปไกลในระยะเวลาแสนสั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่อาจคิดอะไรให้ลึกซึ้งกว่านี้ในสภาพเมามายเช่นนี้ได้ “มะ แม่ต้องเชื่ออยู่แล้วสิ! ก็ได้ ในเมื่อลูกพูดอย่างนั้นนี่นะ ฮึ่ม ถึงจู่ๆ ก็มีหลานสาวโผล่มาตั้งสองคนมันจะเป็นเรื่องกะทันหันไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นยายคนนี้ก็ต้องเล่นกับหลานสิใช่ไหม” หืมม! ยาย! เชื่อด้วยหรือ! บลิสที่ยังอยู่ในอารมณ์ตกใจยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่ กระทั่งลิเป้เองก็ยังตกใจที่คารินเชื่อคำพูดของอาเรียโดยไม่เอ่ยถามอะไรเลย อาเรียสบตากับลิเป้ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูดอะไร “แล้วยายควรจะเล่นยังไงดีล่ะนี่ ยายไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กเสียด้วยสิ อ้อ! เล่นหลอกผีกันดีไหม” คารินถามแต่กลับตัดสินใจว่าจะเล่นหลอกผีเองโดยไม่รอฟังคำตอบ เธอหันรีหันขวางมองไปรอบๆ ก่อนจะเอาผ้าขาวที่หาเจอมาพันรอบหัวไว้ “แฮ่ๆๆ ถ้าโดนจับได้จะกินให้หมดเลย รีบหนีไปเร็วเด็กๆ ที่น่ารักทั้งสอง” ก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างใจดี ก่อนจะทำให้ทั้งบลิสและลิเป้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต้องวิ่งหนี เด็กน้อยทั้งสองทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไรกันแน่ ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ทำได้เพียงวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เพราะคารินที่ไล่ตามหลังพวกเธอมาทั้งยังส่งเสียงหัวเราะ ‘หึหึหึ’ ออกมาอย่างพิลึกพิลั่น ระหว่างนั้นเหลือเพียงอาเรียซึ่งบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอแย้มยิ้มออกมาขณะมองผู้เป็นแม่ของตนที่ยังบริสุทธิ์จากภายในขัดกับภายนอกที่ดูเหมือนคนเอาแต่ได้ * * * การเล่นหลอกผีจบลงหลังจากคารินซึ่งเมาจนไข้ขึ้นนั้นเหนื่อยล้าจนหลับเป็นตายไปอีกรอบ แน่นอนว่าทั้งสามเล่นกันเป็นเวลานาน บลิสและลิเป้จึงพลอยเหนื่อยไปด้วยจนพากันมานอนแผ่อยู่บนโซฟา ทั้งสองหลับตาและหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับหลับไปแล้ว อาเรียจึงไปเรียกนางกำนัลแล้วสั่งให้ช่วยพาพวกเธอกลับห้อง “เตรียมน้ำเย็นใส่น้ำแข็งไปไว้ในห้องให้เด็กๆ ด้วยนะ ถ้าตื่นแล้วจะได้ดื่มได้เลย” “ค่ะ พระชายา” “แล้วเตรียมลูกกวาดหรือช็อกโกแลตเอาไว้ด้วยล่ะ เด็กๆ วิ่งเล่นกันหนักมาก ตื่นมาแล้วอาจจะหิว” “เข้าใจแล้วค่ะ” หลังจากสั่งการนางกำนัลเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาเรียก็มองดูบลิสที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้องไป แกร๊ก ทันทีที่ประตูปิด บลิสที่อาเรียนึกว่าหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมา และใช้พลังย้ายตัวเองไปยังห้องของลิเป้ทันที “ลิเป้ ลิเป้! หลับหรือ หลับแล้วหรือ! ลิเป้!” “…ฉันอยากนอนแต่ตื่นเพราะเธอนั่นแหละ” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่เธอเองก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน ลิเป้ลุกขึ้นจากเตียงตาแป๋ว บลิซจึงจับเสื้อของน้องไว้แน่นแล้วรีบละล่ำละลักถาม “คะ คือว่าเรื่องนั้นน่ะ อย่าบอกนะว่าแม่รู้อยู่แล้ว หืม! ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้ทำไมแม่ถึงพูดแบบนั้นล่ะ! หืม!” บลิสทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มฟ้าจะทลาย ทั้งยังจับเต็มแรงจนเสื้อผ้าลิเป้แทบจะขาดอยู่รอมร่อ ในที่สุดก็รู้แล้วสินะ ไม่สิ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังไม่รู้อีกก็โง่เต็มที ดังนั้นนี่คือผลลัพธ์ดังที่ควรจะเป็น แต่เธอจะทำอย่างไรดี ลิเป้ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรทำให้ใจบลิสร้อนรุ่มกว่าเดิมดีหรือไม่ ก่อนจะตีมือบลิสที่จับท้องตัวเองอยู่เบาๆ พลางตอบเสียงเนือย “จะไม่รู้ได้ยังไงกัน แม่ต้องรู้ทุกอย่างอยู่แล้วล่ะ มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่” เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น บลิสจะเป็นคนสุดท้ายเสมอที่รู้เรื่อง และเธอจะไม่รู้เรื่องจนกว่าจะมีใครสักคนพูดออกมา และเป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสยกมือเล็กของเธอขึ้นปิดปากอย่างไม่อาจเก็บอาการตกใจเอาไว้ได้เมื่อได้ยินคำสารภาพที่ว่าอาเรียรู้ความจริงทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว “ตะ ตะ ตะ ตั้งแต่เมื่อไร!” “เกือบจะตั้งแต่แรกเลยมั้ง” “เฮือกกก!” บลิสตกใจจนหงายหลังลงไปนอนแผ่หลา โชคดีที่เธออยู่บนเตียงกว้างแสนนุ่มจึงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน บลิสเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่คิดจะพักสงบจิตสงบใจสักนิด แล้วเอ่ยถามลิเป้มือไม้สั่นไปหมด “ถะ ถะ ถะ ถ้าอย่างนั้นแม่บอกว่ายังไงบ้าง…! ทำไมปล่อยฉันไว้คนเดียวเล่า…!” เฮ้อ ทำไมรู้ช้าขนาดนี้นะ แม้จะแปลกใหม่แต่ลิเป้ก็ต้องถอนหายใจให้กับนิสัยของบลิสอีกครั้งก่อนตอบ “แค่ดูจากสภาพเธอตอนนี้ก็รู้แล้ว” “หมายความว่ายังไง ลิเป้!” คำตอบนั้นตรงตัว แต่บลิสผู้ไม่รู้อะไรเลยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี บลิสขยับเข้าไปใกล้ลิเป้เพียงปลายจมูกแล้วเร่งเร้าให้เธอยอมตอบมาดีๆ ลิเป้ขมวดคิ้วมุ่นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เธอผลักบลิสออกไปอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบ “เธอน่ะ ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้เธอยังใช้พลังได้โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยทั้งที่เพิ่งวิ่งเล่นมาขนาดนั้น” “…อะ เอ๊ะ… หมายความว่ายังไงเหรอ ลิเป้” เธอถามด้วยสีหน้างุนงง เป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสไม่มีทางเข้าใจหากเธอไม่พูดออกไปตรงๆ ลิเป้ไม่อยากให้บทสนทนาอันน่าอึดอัดนี้ดำเนินต่อไปอีก จึงจำต้องเอ่ยปากตอบไปอย่างช่วยไม่ได้ “แม่หาวิธีได้แล้ว วิธีที่จะทำให้เราสองคนเกิดมาได้อย่างแข็งแรงน่ะ นั่นก็คือเจ้าน้ำทะเลสาบที่สามารถรักษาได้ทุกโรคยังไงล่ะ เธอเองก็เพิ่งดื่มไปเมื่อไม่นานนี้เองด้วย” เพราะแบบนั้นเธอถึงได้แข็งแรงอย่างนั้นหรือ บลิสกะพริบตาปริบๆ อย่างเหม่อลอยเมื่อได้ฟังคำลิเป้ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเอง จะว่าไป เธอก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตัวเองดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาตั้งแต่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ซึ่งผิดกับปกติที่เธอมักจะป่วยกระปอดกระแปดอยู่เป็นประจำทุกวัน เธอมัวแต่สุขใจเสียจนไม่ทันได้สังเกต เธอไม่เคยคิดเลยว่ามันอาจมีวิธี ลิเป้กอดอกแล้วกล่าวตำหนิบลิสที่เอาแต่กำมือแล้วแบออกซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง “เธอคิดว่าพอสารภาพเรื่องในอนาคตแล้วแม่จะไม่คลอดพวกเราออกมาจริงๆ หรือ มันไม่มีทางอยู่แล้ว ในเมื่อแม่เป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยนออกขนาดนั้น” อย่างไรก็ตาม ความดีความชอบของบลิสนั้นก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะโดนตำหนิว่าโง่เง่า แม้จะทำอะไรไม่รอบคอบและซุ่มซ่ามไปบ้าง แต่ก็เพราะบลิสย้อนอดีตกลับมาไม่ใช่หรือที่ทำให้อาเรียค้นหาวิธีที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขเจอ “อะแฮ่ม แต่ก็เอาเถอะ ครั้งนี้จะบอกว่าเธอผิดก็คงไม่ได้ เพราะการที่เธอไล่รูบี้ออกและมีเทียเรนเข้ามาแทนทำให้เราเจอน้ำทะเลสาบนั่น ถึงมันจะเหมือนโชคช่วยมากกว่าก็เถอะนะ” หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงหนีออกจากพระราชวังไปแล้ว แต่ที่ยังอยู่ต่อนั่นเพราะรูบี้ถูกไล่ออกไปแล้ว และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะบลิส เพราะหากจังหวะเวลาผิดไปจากนี้แม้เพียงนิด พวกเธออาจไม่ได้เจอเทียเรนและน้ำทะเลสาบก็ได้ ลิเป้คิดเช่นนั้นพลางเอ่ยชมพี่สาวอย่างที่บลิสรอคอยมานาน ก่อนที่บลิสซึ่งเอาแต่ตกตะลึงมาตลอดจะร้องไห้โฮและหายไปต่อหน้าต่อตา “นะ นี่! ไปไหน—!” ลิเป้พยายามถามแต่บลิสก็หายไปเสียแล้ว แต่ไม่นานเธอก็พอจะเดาได้ว่าบลิสหายไปไหน ลิเป้จึงยิ้มออกมาพลางยักไหล่แล้วเอนกายลงบนเตียงเพื่อนอนหลับพักผ่อนอีกครั้ง * * * “มะ แม่!” อาเรียตกใจจนเผลอกลั้นหายใจเมื่อจู่ๆ บลิสก็โผล่มาจากอากาศแล้วเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน “แม่ แม่จ๋าา แมมมม่…! ฮือออ!” ดูจากอาการของบลิสตอนนี้ เธอน่าจะรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว อาเรียถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าเธอเพิ่งบอกให้นางกำนัลที่เอาชามาให้ตามคำสั่งออกไปพอดีพลางตบหลังบลิสเบาๆ “ขอโทษ หนูขอโทษ…! แม่ต้องเหนื่อยเพราะหนู ต้องลำบากเพราะหนู…!” หนูน้อยเริ่มขอโทษทั้งน้ำตา อาเรียค่อยๆ ยกมือขึ้นปิดปากบลิสเบาๆ ดวงตาของเด็กน้อยที่กำลังตกใจเบิกโตขึ้นทันที อาเรียจ้องตาบลิสนิ่งๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ลูกไม่ต้องขอโทษหรอกนะ เพราะลูก แม่ถึงได้รู้วิธี ในอนาคตพวกเราทุกคนไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ” เธอตั้งใจพูดแบบนั้นออกไปเพื่อให้บลิสหยุดร้องไห้ แต่โชคไม่ดีที่บลิสกลับร้องหนักยิ่งกว่าเดิม เมื่อเธอใช้ข้างที่ปิดปากช่วยเช็ดน้ำตาออกให้ บลิสที่ยังสะอึกอยู่ก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าเธอจะหยุดร้องแล้ว “ทั้งที่หนูย้อนกลับมาในอดีตโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วยังตั้งใจจะหายไปทั้งที่ยังไม่ถามลิเป้สักคำน่ะหรือ…” ก็รู้ดีนี่ อาเรียยิ้มอย่างขมขื่นให้บลิสที่พูดความผิดซึ่งปิดไม่มิดของตัวเองออกมาจนหมด “เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่แม่ในตอนนี้จะโกรธ ลูกไปขอโทษแม่คนที่อยู่ในอนาคตเถอะ บางทีแม่ในตอนนั้นอาจจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยก็ได้นะ” “…ฮึก” บลิสไม่อาจซ่อนความเศร้าหมองเอาไว้ได้ โชคดีที่น้ำตาเธอหยุดไหลแล้ว แต่ตอนนี้อนาคตกำลังจะเปลี่ยน และนอกจากลูกกับลิเป้แล้ว แม่อาจจะจำช่วงเวลาในตอนนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นลูกก็ยังมีโอกาสอีกเยอะไม่ใช่หรือ” “โอกาสหรือ…” โอกาสอะไรกัน อาเรียลูบใบหน้าที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันอย่างแผ่วเบา “โอกาสที่จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกยังไงล่ะ และโอกาสที่จะไม่ตัดสินใจสละชีวิตตัวเองแบบนี้อีก อย่าทำให้คนที่รักลูกต้องเสียใจ” อาเรียคิดว่าลูกจะโผเข้ากอดเธออีกครั้งพลางสัญญาว่าจะทำตามที่เธอบอก ทว่าบลิสกลับเอาแต่ขยำนิ้วไปมาพลางเม้มปากแน่นก่อนจะถามกลับอย่างไม่มั่นใจ “นะ หนูจะทำแบบนั้นได้หรือ… ทั้งที่หนูก่อเรื่องทุกวัน แล้วยังทำตัวเป็นภาระ…” แม้จะไม่ทันตั้งตัวแต่กลับให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม และดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้ตัว ไม่สิ บางทีมันอาจเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นอย่างนี้แล้ว เพราะบลิสมักจะถูกปฏิบัติอย่างคนไร้ค่ามาตลอด เด็กไร้ค่าแสนสะเพร่า เด็กที่ไม่อาจมีชีวิตอย่างมีความสุขได้หากไม่ได้กลับมาเปลี่ยนอดีต ทำไมถึงเหมือนเธอได้ขนาดนี้กันนะ บลิสมีโชคชะตาเหมือนทุกอย่างขนาดนี้ แล้วอาเรียจะไม่มอบหัวใจให้หนูน้อยทั้งดวงได้อย่างไร “แน่นอน ลูกเป็นลูกสาวใครกัน แล้วก็บลิส ลูกช่วยชีวิตแม่ และอนาคตของแม่ไว้นะ” ไม่มีคำตอบใดจะเหมาะไปมากกว่านี้อีกแล้ว บลิสปล่อยน้ำตาให้รินไหลลงมาอีกครั้งก่อนที่อาเรียจะพูดจบก่อนจะโผเข้ากอดเธอ “ตะ ต่อไป ต่อไปหนูจะไม่ก่อเรื่องอีกแล้ว…! หนูจะตั้งใจเรียนแล้วเป็นคนที่ยอดเยี่ยมให้ได้อย่างลิเป้! หนูจะต้องได้คำชมทุกวันเลย…!” แงงง—! การกระทำที่ขัดกับคำมั่นสัญญาทำให้ริมฝีปากของอาเรียวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม คำพูดที่บอกให้หนูน้อยเติบโตขึ้นอย่างสง่างามและเป็นคนจิตใจดีอย่างในตอนนี้ เพราะเธอนั้นยอดเยี่ยมในแบบของตัวเองและสมควรได้รับคำชมอยู่แล้วดังก้องไปทั้งห้องทำงานของอาเรีย ……………….

“อาเรีย… นี่งานในพระราชวังมันหนักหนามากนักหรือ หรือตำแหน่งพระชายามันเหนื่อยเกินไป”

คารินเอ่ยถามด้วยความห่วงใยจากใจจริง

บนใบหน้าที่กำลังชักชวนให้กลับโครอาด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้นั้น เต็มไปด้วยข้อแม้ที่ว่า ‘อาเรียเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนสติไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว’

ซึ่งมันก็เป็นผลลัพธ์ที่อาเรียก็คาดไว้อยู่แล้ว มันคือเรื่องที่ยากจะเชื่อแม้เธอจะอธิบายเรื่องทุกอย่างจนปากเปียกปากแฉะก็ตาม และยิ่งเธอไปแนะนำว่าเด็กๆ เป็นผู้มาก่อนกาลเสียเต็มปากเต็มคำแบบนั้น แม่เธอยิ่งไม่มีทางเชื่อ

“ไม่มีทางหรอกค่ะ ลูกบอกแล้วนี่คะว่าลูกสบายดี”

“แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมถึงพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นออกมาล่ะ นี่ลูกกำลังล้อแม่คนนี้เล่นอยู่หรือ”

คารินถามหาความจริงเป็นครั้งที่สอง สภาพแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าการบอกความจริงทุกอย่างกับเธอคงใช้ไม่ได้ผล

ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดไปมากกว่านี้แล้ว อาเรียคิดว่าควรพูดข้ามๆ ไปเสียดีกว่า

“ลูกแค่พูดไปตามความจริง แต่หากแม่ไม่เชื่อลูกก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ลูกไปล้อแม่เล่นเมื่อไรหรือคะ ลูกคิดว่าลูกพูดแต่ความจริงกับแม่ตลอดเสียอีก”

อาเรียทำสีหน้าเศร้าเสียใจใส่คารินที่ปฏิเสธคำพูดของเธอถึงสองครั้งสองครา

“มะ ไม่ใช่นะ แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้น—”

ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจปักใจเชื่อ แต่คารินย่อมต้องรู้สึกผิดกับอาเรีย

‘มันยังมีความหมายอื่นอีกไหมนะ… ความจริงถึงตอนเป็นเด็กจะเล่นไม่รู้ประสาไปบ้าง แต่ถ้ามองย้อนกลับไปเธอก็เป็นเด็กที่มีความคิดลึกซึ้งและฉลาดหลักแหลมทีเดียว’

ถึงอย่างนั้นเด็กๆ ก็ไม่มีทางมาจากอนาคตได้แน่ ดังนั้นคำตอบของเธอต้องมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อย่างแน่นอน

คารินซึ่งเข้าใจผิดไปไกลในระยะเวลาแสนสั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดตัวเอง

เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่อาจคิดอะไรให้ลึกซึ้งกว่านี้ในสภาพเมามายเช่นนี้ได้

“มะ แม่ต้องเชื่ออยู่แล้วสิ! ก็ได้ ในเมื่อลูกพูดอย่างนั้นนี่นะ ฮึ่ม ถึงจู่ๆ ก็มีหลานสาวโผล่มาตั้งสองคนมันจะเป็นเรื่องกะทันหันไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นยายคนนี้ก็ต้องเล่นกับหลานสิใช่ไหม”

หืมม! ยาย! เชื่อด้วยหรือ!

บลิสที่ยังอยู่ในอารมณ์ตกใจยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่

กระทั่งลิเป้เองก็ยังตกใจที่คารินเชื่อคำพูดของอาเรียโดยไม่เอ่ยถามอะไรเลย

อาเรียสบตากับลิเป้ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูดอะไร

“แล้วยายควรจะเล่นยังไงดีล่ะนี่ ยายไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กเสียด้วยสิ อ้อ! เล่นหลอกผีกันดีไหม”

คารินถามแต่กลับตัดสินใจว่าจะเล่นหลอกผีเองโดยไม่รอฟังคำตอบ เธอหันรีหันขวางมองไปรอบๆ ก่อนจะเอาผ้าขาวที่หาเจอมาพันรอบหัวไว้

“แฮ่ๆๆ ถ้าโดนจับได้จะกินให้หมดเลย รีบหนีไปเร็วเด็กๆ ที่น่ารักทั้งสอง”

ก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างใจดี ก่อนจะทำให้ทั้งบลิสและลิเป้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต้องวิ่งหนี

เด็กน้อยทั้งสองทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไรกันแน่

ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ทำได้เพียงวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เพราะคารินที่ไล่ตามหลังพวกเธอมาทั้งยังส่งเสียงหัวเราะ ‘หึหึหึ’ ออกมาอย่างพิลึกพิลั่น

ระหว่างนั้นเหลือเพียงอาเรียซึ่งบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอแย้มยิ้มออกมาขณะมองผู้เป็นแม่ของตนที่ยังบริสุทธิ์จากภายในขัดกับภายนอกที่ดูเหมือนคนเอาแต่ได้

* * *

การเล่นหลอกผีจบลงหลังจากคารินซึ่งเมาจนไข้ขึ้นนั้นเหนื่อยล้าจนหลับเป็นตายไปอีกรอบ

แน่นอนว่าทั้งสามเล่นกันเป็นเวลานาน บลิสและลิเป้จึงพลอยเหนื่อยไปด้วยจนพากันมานอนแผ่อยู่บนโซฟา

ทั้งสองหลับตาและหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับหลับไปแล้ว อาเรียจึงไปเรียกนางกำนัลแล้วสั่งให้ช่วยพาพวกเธอกลับห้อง

“เตรียมน้ำเย็นใส่น้ำแข็งไปไว้ในห้องให้เด็กๆ ด้วยนะ ถ้าตื่นแล้วจะได้ดื่มได้เลย”

“ค่ะ พระชายา”

“แล้วเตรียมลูกกวาดหรือช็อกโกแลตเอาไว้ด้วยล่ะ เด็กๆ วิ่งเล่นกันหนักมาก ตื่นมาแล้วอาจจะหิว”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

หลังจากสั่งการนางกำนัลเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาเรียก็มองดูบลิสที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้องไป

แกร๊ก ทันทีที่ประตูปิด บลิสที่อาเรียนึกว่าหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมา

และใช้พลังย้ายตัวเองไปยังห้องของลิเป้ทันที

“ลิเป้ ลิเป้! หลับหรือ หลับแล้วหรือ! ลิเป้!”

“…ฉันอยากนอนแต่ตื่นเพราะเธอนั่นแหละ”

แม้จะพูดเช่นนั้นแต่เธอเองก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน ลิเป้ลุกขึ้นจากเตียงตาแป๋ว

บลิซจึงจับเสื้อของน้องไว้แน่นแล้วรีบละล่ำละลักถาม

“คะ คือว่าเรื่องนั้นน่ะ อย่าบอกนะว่าแม่รู้อยู่แล้ว หืม! ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้ทำไมแม่ถึงพูดแบบนั้นล่ะ! หืม!”

บลิสทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มฟ้าจะทลาย ทั้งยังจับเต็มแรงจนเสื้อผ้าลิเป้แทบจะขาดอยู่รอมร่อ

ในที่สุดก็รู้แล้วสินะ ไม่สิ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังไม่รู้อีกก็โง่เต็มที ดังนั้นนี่คือผลลัพธ์ดังที่ควรจะเป็น แต่เธอจะทำอย่างไรดี

ลิเป้ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรทำให้ใจบลิสร้อนรุ่มกว่าเดิมดีหรือไม่ ก่อนจะตีมือบลิสที่จับท้องตัวเองอยู่เบาๆ พลางตอบเสียงเนือย

“จะไม่รู้ได้ยังไงกัน แม่ต้องรู้ทุกอย่างอยู่แล้วล่ะ มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่”

เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น บลิสจะเป็นคนสุดท้ายเสมอที่รู้เรื่อง และเธอจะไม่รู้เรื่องจนกว่าจะมีใครสักคนพูดออกมา

และเป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสยกมือเล็กของเธอขึ้นปิดปากอย่างไม่อาจเก็บอาการตกใจเอาไว้ได้เมื่อได้ยินคำสารภาพที่ว่าอาเรียรู้ความจริงทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว

“ตะ ตะ ตะ ตั้งแต่เมื่อไร!”

“เกือบจะตั้งแต่แรกเลยมั้ง”

“เฮือกกก!”

บลิสตกใจจนหงายหลังลงไปนอนแผ่หลา โชคดีที่เธออยู่บนเตียงกว้างแสนนุ่มจึงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน

บลิสเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่คิดจะพักสงบจิตสงบใจสักนิด แล้วเอ่ยถามลิเป้มือไม้สั่นไปหมด

“ถะ ถะ ถะ ถ้าอย่างนั้นแม่บอกว่ายังไงบ้าง…! ทำไมปล่อยฉันไว้คนเดียวเล่า…!”

เฮ้อ ทำไมรู้ช้าขนาดนี้นะ

แม้จะแปลกใหม่แต่ลิเป้ก็ต้องถอนหายใจให้กับนิสัยของบลิสอีกครั้งก่อนตอบ

“แค่ดูจากสภาพเธอตอนนี้ก็รู้แล้ว”

“หมายความว่ายังไง ลิเป้!”

คำตอบนั้นตรงตัว แต่บลิสผู้ไม่รู้อะไรเลยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

บลิสขยับเข้าไปใกล้ลิเป้เพียงปลายจมูกแล้วเร่งเร้าให้เธอยอมตอบมาดีๆ

ลิเป้ขมวดคิ้วมุ่นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เธอผลักบลิสออกไปอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบ

“เธอน่ะ ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้เธอยังใช้พลังได้โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยทั้งที่เพิ่งวิ่งเล่นมาขนาดนั้น”

“…อะ เอ๊ะ… หมายความว่ายังไงเหรอ ลิเป้”

เธอถามด้วยสีหน้างุนงง เป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสไม่มีทางเข้าใจหากเธอไม่พูดออกไปตรงๆ

ลิเป้ไม่อยากให้บทสนทนาอันน่าอึดอัดนี้ดำเนินต่อไปอีก จึงจำต้องเอ่ยปากตอบไปอย่างช่วยไม่ได้

“แม่หาวิธีได้แล้ว วิธีที่จะทำให้เราสองคนเกิดมาได้อย่างแข็งแรงน่ะ นั่นก็คือเจ้าน้ำทะเลสาบที่สามารถรักษาได้ทุกโรคยังไงล่ะ เธอเองก็เพิ่งดื่มไปเมื่อไม่นานนี้เองด้วย”

เพราะแบบนั้นเธอถึงได้แข็งแรงอย่างนั้นหรือ บลิสกะพริบตาปริบๆ อย่างเหม่อลอยเมื่อได้ฟังคำลิเป้ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเอง

จะว่าไป เธอก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตัวเองดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาตั้งแต่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ซึ่งผิดกับปกติที่เธอมักจะป่วยกระปอดกระแปดอยู่เป็นประจำทุกวัน

เธอมัวแต่สุขใจเสียจนไม่ทันได้สังเกต เธอไม่เคยคิดเลยว่ามันอาจมีวิธี

ลิเป้กอดอกแล้วกล่าวตำหนิบลิสที่เอาแต่กำมือแล้วแบออกซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง

“เธอคิดว่าพอสารภาพเรื่องในอนาคตแล้วแม่จะไม่คลอดพวกเราออกมาจริงๆ หรือ มันไม่มีทางอยู่แล้ว ในเมื่อแม่เป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยนออกขนาดนั้น”

อย่างไรก็ตาม ความดีความชอบของบลิสนั้นก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะโดนตำหนิว่าโง่เง่า

แม้จะทำอะไรไม่รอบคอบและซุ่มซ่ามไปบ้าง แต่ก็เพราะบลิสย้อนอดีตกลับมาไม่ใช่หรือที่ทำให้อาเรียค้นหาวิธีที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขเจอ

“อะแฮ่ม แต่ก็เอาเถอะ ครั้งนี้จะบอกว่าเธอผิดก็คงไม่ได้ เพราะการที่เธอไล่รูบี้ออกและมีเทียเรนเข้ามาแทนทำให้เราเจอน้ำทะเลสาบนั่น ถึงมันจะเหมือนโชคช่วยมากกว่าก็เถอะนะ”

หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงหนีออกจากพระราชวังไปแล้ว แต่ที่ยังอยู่ต่อนั่นเพราะรูบี้ถูกไล่ออกไปแล้ว

และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะบลิส เพราะหากจังหวะเวลาผิดไปจากนี้แม้เพียงนิด พวกเธออาจไม่ได้เจอเทียเรนและน้ำทะเลสาบก็ได้

ลิเป้คิดเช่นนั้นพลางเอ่ยชมพี่สาวอย่างที่บลิสรอคอยมานาน

ก่อนที่บลิสซึ่งเอาแต่ตกตะลึงมาตลอดจะร้องไห้โฮและหายไปต่อหน้าต่อตา

“นะ นี่! ไปไหน—!”

ลิเป้พยายามถามแต่บลิสก็หายไปเสียแล้ว

แต่ไม่นานเธอก็พอจะเดาได้ว่าบลิสหายไปไหน ลิเป้จึงยิ้มออกมาพลางยักไหล่แล้วเอนกายลงบนเตียงเพื่อนอนหลับพักผ่อนอีกครั้ง

* * *

“มะ แม่!”

อาเรียตกใจจนเผลอกลั้นหายใจเมื่อจู่ๆ บลิสก็โผล่มาจากอากาศแล้วเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน

“แม่ แม่จ๋าา แมมมม่…! ฮือออ!”

ดูจากอาการของบลิสตอนนี้ เธอน่าจะรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว

อาเรียถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าเธอเพิ่งบอกให้นางกำนัลที่เอาชามาให้ตามคำสั่งออกไปพอดีพลางตบหลังบลิสเบาๆ

“ขอโทษ หนูขอโทษ…! แม่ต้องเหนื่อยเพราะหนู ต้องลำบากเพราะหนู…!”

หนูน้อยเริ่มขอโทษทั้งน้ำตา อาเรียค่อยๆ ยกมือขึ้นปิดปากบลิสเบาๆ

ดวงตาของเด็กน้อยที่กำลังตกใจเบิกโตขึ้นทันที อาเรียจ้องตาบลิสนิ่งๆ ก่อนจะส่ายหน้า

“ลูกไม่ต้องขอโทษหรอกนะ เพราะลูก แม่ถึงได้รู้วิธี ในอนาคตพวกเราทุกคนไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ”

เธอตั้งใจพูดแบบนั้นออกไปเพื่อให้บลิสหยุดร้องไห้ แต่โชคไม่ดีที่บลิสกลับร้องหนักยิ่งกว่าเดิม

เมื่อเธอใช้ข้างที่ปิดปากช่วยเช็ดน้ำตาออกให้ บลิสที่ยังสะอึกอยู่ก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าเธอจะหยุดร้องแล้ว

“ทั้งที่หนูย้อนกลับมาในอดีตโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วยังตั้งใจจะหายไปทั้งที่ยังไม่ถามลิเป้สักคำน่ะหรือ…”

ก็รู้ดีนี่ อาเรียยิ้มอย่างขมขื่นให้บลิสที่พูดความผิดซึ่งปิดไม่มิดของตัวเองออกมาจนหมด

“เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่แม่ในตอนนี้จะโกรธ ลูกไปขอโทษแม่คนที่อยู่ในอนาคตเถอะ บางทีแม่ในตอนนั้นอาจจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยก็ได้นะ”

“…ฮึก”

บลิสไม่อาจซ่อนความเศร้าหมองเอาไว้ได้ โชคดีที่น้ำตาเธอหยุดไหลแล้ว

แต่ตอนนี้อนาคตกำลังจะเปลี่ยน และนอกจากลูกกับลิเป้แล้ว แม่อาจจะจำช่วงเวลาในตอนนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นลูกก็ยังมีโอกาสอีกเยอะไม่ใช่หรือ”

“โอกาสหรือ…”

โอกาสอะไรกัน อาเรียลูบใบหน้าที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันอย่างแผ่วเบา

“โอกาสที่จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกยังไงล่ะ และโอกาสที่จะไม่ตัดสินใจสละชีวิตตัวเองแบบนี้อีก อย่าทำให้คนที่รักลูกต้องเสียใจ”

อาเรียคิดว่าลูกจะโผเข้ากอดเธออีกครั้งพลางสัญญาว่าจะทำตามที่เธอบอก

ทว่าบลิสกลับเอาแต่ขยำนิ้วไปมาพลางเม้มปากแน่นก่อนจะถามกลับอย่างไม่มั่นใจ

“นะ หนูจะทำแบบนั้นได้หรือ… ทั้งที่หนูก่อเรื่องทุกวัน แล้วยังทำตัวเป็นภาระ…”

แม้จะไม่ทันตั้งตัวแต่กลับให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม และดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้ตัว

ไม่สิ บางทีมันอาจเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นอย่างนี้แล้ว เพราะบลิสมักจะถูกปฏิบัติอย่างคนไร้ค่ามาตลอด

เด็กไร้ค่าแสนสะเพร่า เด็กที่ไม่อาจมีชีวิตอย่างมีความสุขได้หากไม่ได้กลับมาเปลี่ยนอดีต

ทำไมถึงเหมือนเธอได้ขนาดนี้กันนะ

บลิสมีโชคชะตาเหมือนทุกอย่างขนาดนี้ แล้วอาเรียจะไม่มอบหัวใจให้หนูน้อยทั้งดวงได้อย่างไร

“แน่นอน ลูกเป็นลูกสาวใครกัน แล้วก็บลิส ลูกช่วยชีวิตแม่ และอนาคตของแม่ไว้นะ”

ไม่มีคำตอบใดจะเหมาะไปมากกว่านี้อีกแล้ว บลิสปล่อยน้ำตาให้รินไหลลงมาอีกครั้งก่อนที่อาเรียจะพูดจบก่อนจะโผเข้ากอดเธอ

“ตะ ต่อไป ต่อไปหนูจะไม่ก่อเรื่องอีกแล้ว…! หนูจะตั้งใจเรียนแล้วเป็นคนที่ยอดเยี่ยมให้ได้อย่างลิเป้! หนูจะต้องได้คำชมทุกวันเลย…!”

แงงง—! การกระทำที่ขัดกับคำมั่นสัญญาทำให้ริมฝีปากของอาเรียวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม

คำพูดที่บอกให้หนูน้อยเติบโตขึ้นอย่างสง่างามและเป็นคนจิตใจดีอย่างในตอนนี้ เพราะเธอนั้นยอดเยี่ยมในแบบของตัวเองและสมควรได้รับคำชมอยู่แล้วดังก้องไปทั้งห้องทำงานของอาเรีย

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 239 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 30)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 239 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 30) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อาเรีย… นี่งานในพระราชวังมันหนักหนามากนักหรือ หรือตำแหน่งพระชายามันเหนื่อยเกินไป” คารินเอ่ยถามด้วยความห่วงใยจากใจจริง บนใบหน้าที่กำลังชักชวนให้กลับโครอาด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้นั้น เต็มไปด้วยข้อแม้ที่ว่า ‘อาเรียเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนสติไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว’ ซึ่งมันก็เป็นผลลัพธ์ที่อาเรียก็คาดไว้อยู่แล้ว มันคือเรื่องที่ยากจะเชื่อแม้เธอจะอธิบายเรื่องทุกอย่างจนปากเปียกปากแฉะก็ตาม และยิ่งเธอไปแนะนำว่าเด็กๆ เป็นผู้มาก่อนกาลเสียเต็มปากเต็มคำแบบนั้น แม่เธอยิ่งไม่มีทางเชื่อ “ไม่มีทางหรอกค่ะ ลูกบอกแล้วนี่คะว่าลูกสบายดี” “แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมถึงพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นออกมาล่ะ นี่ลูกกำลังล้อแม่คนนี้เล่นอยู่หรือ” คารินถามหาความจริงเป็นครั้งที่สอง สภาพแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าการบอกความจริงทุกอย่างกับเธอคงใช้ไม่ได้ผล ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดไปมากกว่านี้แล้ว อาเรียคิดว่าควรพูดข้ามๆ ไปเสียดีกว่า “ลูกแค่พูดไปตามความจริง แต่หากแม่ไม่เชื่อลูกก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ลูกไปล้อแม่เล่นเมื่อไรหรือคะ ลูกคิดว่าลูกพูดแต่ความจริงกับแม่ตลอดเสียอีก” อาเรียทำสีหน้าเศร้าเสียใจใส่คารินที่ปฏิเสธคำพูดของเธอถึงสองครั้งสองครา “มะ ไม่ใช่นะ แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้น—” ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจปักใจเชื่อ แต่คารินย่อมต้องรู้สึกผิดกับอาเรีย ‘มันยังมีความหมายอื่นอีกไหมนะ… ความจริงถึงตอนเป็นเด็กจะเล่นไม่รู้ประสาไปบ้าง แต่ถ้ามองย้อนกลับไปเธอก็เป็นเด็กที่มีความคิดลึกซึ้งและฉลาดหลักแหลมทีเดียว’ ถึงอย่างนั้นเด็กๆ ก็ไม่มีทางมาจากอนาคตได้แน่ ดังนั้นคำตอบของเธอต้องมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อย่างแน่นอน คารินซึ่งเข้าใจผิดไปไกลในระยะเวลาแสนสั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่อาจคิดอะไรให้ลึกซึ้งกว่านี้ในสภาพเมามายเช่นนี้ได้ “มะ แม่ต้องเชื่ออยู่แล้วสิ! ก็ได้ ในเมื่อลูกพูดอย่างนั้นนี่นะ ฮึ่ม ถึงจู่ๆ ก็มีหลานสาวโผล่มาตั้งสองคนมันจะเป็นเรื่องกะทันหันไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นยายคนนี้ก็ต้องเล่นกับหลานสิใช่ไหม” หืมม! ยาย! เชื่อด้วยหรือ! บลิสที่ยังอยู่ในอารมณ์ตกใจยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่ กระทั่งลิเป้เองก็ยังตกใจที่คารินเชื่อคำพูดของอาเรียโดยไม่เอ่ยถามอะไรเลย อาเรียสบตากับลิเป้ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูดอะไร “แล้วยายควรจะเล่นยังไงดีล่ะนี่ ยายไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กเสียด้วยสิ อ้อ! เล่นหลอกผีกันดีไหม” คารินถามแต่กลับตัดสินใจว่าจะเล่นหลอกผีเองโดยไม่รอฟังคำตอบ เธอหันรีหันขวางมองไปรอบๆ ก่อนจะเอาผ้าขาวที่หาเจอมาพันรอบหัวไว้ “แฮ่ๆๆ ถ้าโดนจับได้จะกินให้หมดเลย รีบหนีไปเร็วเด็กๆ ที่น่ารักทั้งสอง” ก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างใจดี ก่อนจะทำให้ทั้งบลิสและลิเป้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต้องวิ่งหนี เด็กน้อยทั้งสองทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไรกันแน่ ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ทำได้เพียงวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เพราะคารินที่ไล่ตามหลังพวกเธอมาทั้งยังส่งเสียงหัวเราะ ‘หึหึหึ’ ออกมาอย่างพิลึกพิลั่น ระหว่างนั้นเหลือเพียงอาเรียซึ่งบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอแย้มยิ้มออกมาขณะมองผู้เป็นแม่ของตนที่ยังบริสุทธิ์จากภายในขัดกับภายนอกที่ดูเหมือนคนเอาแต่ได้ * * * การเล่นหลอกผีจบลงหลังจากคารินซึ่งเมาจนไข้ขึ้นนั้นเหนื่อยล้าจนหลับเป็นตายไปอีกรอบ แน่นอนว่าทั้งสามเล่นกันเป็นเวลานาน บลิสและลิเป้จึงพลอยเหนื่อยไปด้วยจนพากันมานอนแผ่อยู่บนโซฟา ทั้งสองหลับตาและหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับหลับไปแล้ว อาเรียจึงไปเรียกนางกำนัลแล้วสั่งให้ช่วยพาพวกเธอกลับห้อง “เตรียมน้ำเย็นใส่น้ำแข็งไปไว้ในห้องให้เด็กๆ ด้วยนะ ถ้าตื่นแล้วจะได้ดื่มได้เลย” “ค่ะ พระชายา” “แล้วเตรียมลูกกวาดหรือช็อกโกแลตเอาไว้ด้วยล่ะ เด็กๆ วิ่งเล่นกันหนักมาก ตื่นมาแล้วอาจจะหิว” “เข้าใจแล้วค่ะ” หลังจากสั่งการนางกำนัลเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาเรียก็มองดูบลิสที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้องไป แกร๊ก ทันทีที่ประตูปิด บลิสที่อาเรียนึกว่าหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมา และใช้พลังย้ายตัวเองไปยังห้องของลิเป้ทันที “ลิเป้ ลิเป้! หลับหรือ หลับแล้วหรือ! ลิเป้!” “…ฉันอยากนอนแต่ตื่นเพราะเธอนั่นแหละ” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่เธอเองก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน ลิเป้ลุกขึ้นจากเตียงตาแป๋ว บลิซจึงจับเสื้อของน้องไว้แน่นแล้วรีบละล่ำละลักถาม “คะ คือว่าเรื่องนั้นน่ะ อย่าบอกนะว่าแม่รู้อยู่แล้ว หืม! ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้ทำไมแม่ถึงพูดแบบนั้นล่ะ! หืม!” บลิสทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มฟ้าจะทลาย ทั้งยังจับเต็มแรงจนเสื้อผ้าลิเป้แทบจะขาดอยู่รอมร่อ ในที่สุดก็รู้แล้วสินะ ไม่สิ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังไม่รู้อีกก็โง่เต็มที ดังนั้นนี่คือผลลัพธ์ดังที่ควรจะเป็น แต่เธอจะทำอย่างไรดี ลิเป้ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรทำให้ใจบลิสร้อนรุ่มกว่าเดิมดีหรือไม่ ก่อนจะตีมือบลิสที่จับท้องตัวเองอยู่เบาๆ พลางตอบเสียงเนือย “จะไม่รู้ได้ยังไงกัน แม่ต้องรู้ทุกอย่างอยู่แล้วล่ะ มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่” เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น บลิสจะเป็นคนสุดท้ายเสมอที่รู้เรื่อง และเธอจะไม่รู้เรื่องจนกว่าจะมีใครสักคนพูดออกมา และเป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสยกมือเล็กของเธอขึ้นปิดปากอย่างไม่อาจเก็บอาการตกใจเอาไว้ได้เมื่อได้ยินคำสารภาพที่ว่าอาเรียรู้ความจริงทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว “ตะ ตะ ตะ ตั้งแต่เมื่อไร!” “เกือบจะตั้งแต่แรกเลยมั้ง” “เฮือกกก!” บลิสตกใจจนหงายหลังลงไปนอนแผ่หลา โชคดีที่เธออยู่บนเตียงกว้างแสนนุ่มจึงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน บลิสเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่คิดจะพักสงบจิตสงบใจสักนิด แล้วเอ่ยถามลิเป้มือไม้สั่นไปหมด “ถะ ถะ ถะ ถ้าอย่างนั้นแม่บอกว่ายังไงบ้าง…! ทำไมปล่อยฉันไว้คนเดียวเล่า…!” เฮ้อ ทำไมรู้ช้าขนาดนี้นะ แม้จะแปลกใหม่แต่ลิเป้ก็ต้องถอนหายใจให้กับนิสัยของบลิสอีกครั้งก่อนตอบ “แค่ดูจากสภาพเธอตอนนี้ก็รู้แล้ว” “หมายความว่ายังไง ลิเป้!” คำตอบนั้นตรงตัว แต่บลิสผู้ไม่รู้อะไรเลยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี บลิสขยับเข้าไปใกล้ลิเป้เพียงปลายจมูกแล้วเร่งเร้าให้เธอยอมตอบมาดีๆ ลิเป้ขมวดคิ้วมุ่นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เธอผลักบลิสออกไปอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบ “เธอน่ะ ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้เธอยังใช้พลังได้โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยทั้งที่เพิ่งวิ่งเล่นมาขนาดนั้น” “…อะ เอ๊ะ… หมายความว่ายังไงเหรอ ลิเป้” เธอถามด้วยสีหน้างุนงง เป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสไม่มีทางเข้าใจหากเธอไม่พูดออกไปตรงๆ ลิเป้ไม่อยากให้บทสนทนาอันน่าอึดอัดนี้ดำเนินต่อไปอีก จึงจำต้องเอ่ยปากตอบไปอย่างช่วยไม่ได้ “แม่หาวิธีได้แล้ว วิธีที่จะทำให้เราสองคนเกิดมาได้อย่างแข็งแรงน่ะ นั่นก็คือเจ้าน้ำทะเลสาบที่สามารถรักษาได้ทุกโรคยังไงล่ะ เธอเองก็เพิ่งดื่มไปเมื่อไม่นานนี้เองด้วย” เพราะแบบนั้นเธอถึงได้แข็งแรงอย่างนั้นหรือ บลิสกะพริบตาปริบๆ อย่างเหม่อลอยเมื่อได้ฟังคำลิเป้ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเอง จะว่าไป เธอก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตัวเองดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาตั้งแต่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ซึ่งผิดกับปกติที่เธอมักจะป่วยกระปอดกระแปดอยู่เป็นประจำทุกวัน เธอมัวแต่สุขใจเสียจนไม่ทันได้สังเกต เธอไม่เคยคิดเลยว่ามันอาจมีวิธี ลิเป้กอดอกแล้วกล่าวตำหนิบลิสที่เอาแต่กำมือแล้วแบออกซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง “เธอคิดว่าพอสารภาพเรื่องในอนาคตแล้วแม่จะไม่คลอดพวกเราออกมาจริงๆ หรือ มันไม่มีทางอยู่แล้ว ในเมื่อแม่เป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยนออกขนาดนั้น” อย่างไรก็ตาม ความดีความชอบของบลิสนั้นก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะโดนตำหนิว่าโง่เง่า แม้จะทำอะไรไม่รอบคอบและซุ่มซ่ามไปบ้าง แต่ก็เพราะบลิสย้อนอดีตกลับมาไม่ใช่หรือที่ทำให้อาเรียค้นหาวิธีที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขเจอ “อะแฮ่ม แต่ก็เอาเถอะ ครั้งนี้จะบอกว่าเธอผิดก็คงไม่ได้ เพราะการที่เธอไล่รูบี้ออกและมีเทียเรนเข้ามาแทนทำให้เราเจอน้ำทะเลสาบนั่น ถึงมันจะเหมือนโชคช่วยมากกว่าก็เถอะนะ” หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงหนีออกจากพระราชวังไปแล้ว แต่ที่ยังอยู่ต่อนั่นเพราะรูบี้ถูกไล่ออกไปแล้ว และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะบลิส เพราะหากจังหวะเวลาผิดไปจากนี้แม้เพียงนิด พวกเธออาจไม่ได้เจอเทียเรนและน้ำทะเลสาบก็ได้ ลิเป้คิดเช่นนั้นพลางเอ่ยชมพี่สาวอย่างที่บลิสรอคอยมานาน ก่อนที่บลิสซึ่งเอาแต่ตกตะลึงมาตลอดจะร้องไห้โฮและหายไปต่อหน้าต่อตา “นะ นี่! ไปไหน—!” ลิเป้พยายามถามแต่บลิสก็หายไปเสียแล้ว แต่ไม่นานเธอก็พอจะเดาได้ว่าบลิสหายไปไหน ลิเป้จึงยิ้มออกมาพลางยักไหล่แล้วเอนกายลงบนเตียงเพื่อนอนหลับพักผ่อนอีกครั้ง * * * “มะ แม่!” อาเรียตกใจจนเผลอกลั้นหายใจเมื่อจู่ๆ บลิสก็โผล่มาจากอากาศแล้วเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน “แม่ แม่จ๋าา แมมมม่…! ฮือออ!” ดูจากอาการของบลิสตอนนี้ เธอน่าจะรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว อาเรียถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าเธอเพิ่งบอกให้นางกำนัลที่เอาชามาให้ตามคำสั่งออกไปพอดีพลางตบหลังบลิสเบาๆ “ขอโทษ หนูขอโทษ…! แม่ต้องเหนื่อยเพราะหนู ต้องลำบากเพราะหนู…!” หนูน้อยเริ่มขอโทษทั้งน้ำตา อาเรียค่อยๆ ยกมือขึ้นปิดปากบลิสเบาๆ ดวงตาของเด็กน้อยที่กำลังตกใจเบิกโตขึ้นทันที อาเรียจ้องตาบลิสนิ่งๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ลูกไม่ต้องขอโทษหรอกนะ เพราะลูก แม่ถึงได้รู้วิธี ในอนาคตพวกเราทุกคนไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ” เธอตั้งใจพูดแบบนั้นออกไปเพื่อให้บลิสหยุดร้องไห้ แต่โชคไม่ดีที่บลิสกลับร้องหนักยิ่งกว่าเดิม เมื่อเธอใช้ข้างที่ปิดปากช่วยเช็ดน้ำตาออกให้ บลิสที่ยังสะอึกอยู่ก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าเธอจะหยุดร้องแล้ว “ทั้งที่หนูย้อนกลับมาในอดีตโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วยังตั้งใจจะหายไปทั้งที่ยังไม่ถามลิเป้สักคำน่ะหรือ…” ก็รู้ดีนี่ อาเรียยิ้มอย่างขมขื่นให้บลิสที่พูดความผิดซึ่งปิดไม่มิดของตัวเองออกมาจนหมด “เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่แม่ในตอนนี้จะโกรธ ลูกไปขอโทษแม่คนที่อยู่ในอนาคตเถอะ บางทีแม่ในตอนนั้นอาจจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยก็ได้นะ” “…ฮึก” บลิสไม่อาจซ่อนความเศร้าหมองเอาไว้ได้ โชคดีที่น้ำตาเธอหยุดไหลแล้ว แต่ตอนนี้อนาคตกำลังจะเปลี่ยน และนอกจากลูกกับลิเป้แล้ว แม่อาจจะจำช่วงเวลาในตอนนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นลูกก็ยังมีโอกาสอีกเยอะไม่ใช่หรือ” “โอกาสหรือ…” โอกาสอะไรกัน อาเรียลูบใบหน้าที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันอย่างแผ่วเบา “โอกาสที่จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกยังไงล่ะ และโอกาสที่จะไม่ตัดสินใจสละชีวิตตัวเองแบบนี้อีก อย่าทำให้คนที่รักลูกต้องเสียใจ” อาเรียคิดว่าลูกจะโผเข้ากอดเธออีกครั้งพลางสัญญาว่าจะทำตามที่เธอบอก ทว่าบลิสกลับเอาแต่ขยำนิ้วไปมาพลางเม้มปากแน่นก่อนจะถามกลับอย่างไม่มั่นใจ “นะ หนูจะทำแบบนั้นได้หรือ… ทั้งที่หนูก่อเรื่องทุกวัน แล้วยังทำตัวเป็นภาระ…” แม้จะไม่ทันตั้งตัวแต่กลับให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม และดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้ตัว ไม่สิ บางทีมันอาจเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นอย่างนี้แล้ว เพราะบลิสมักจะถูกปฏิบัติอย่างคนไร้ค่ามาตลอด เด็กไร้ค่าแสนสะเพร่า เด็กที่ไม่อาจมีชีวิตอย่างมีความสุขได้หากไม่ได้กลับมาเปลี่ยนอดีต ทำไมถึงเหมือนเธอได้ขนาดนี้กันนะ บลิสมีโชคชะตาเหมือนทุกอย่างขนาดนี้ แล้วอาเรียจะไม่มอบหัวใจให้หนูน้อยทั้งดวงได้อย่างไร “แน่นอน ลูกเป็นลูกสาวใครกัน แล้วก็บลิส ลูกช่วยชีวิตแม่ และอนาคตของแม่ไว้นะ” ไม่มีคำตอบใดจะเหมาะไปมากกว่านี้อีกแล้ว บลิสปล่อยน้ำตาให้รินไหลลงมาอีกครั้งก่อนที่อาเรียจะพูดจบก่อนจะโผเข้ากอดเธอ “ตะ ต่อไป ต่อไปหนูจะไม่ก่อเรื่องอีกแล้ว…! หนูจะตั้งใจเรียนแล้วเป็นคนที่ยอดเยี่ยมให้ได้อย่างลิเป้! หนูจะต้องได้คำชมทุกวันเลย…!” แงงง—! การกระทำที่ขัดกับคำมั่นสัญญาทำให้ริมฝีปากของอาเรียวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม คำพูดที่บอกให้หนูน้อยเติบโตขึ้นอย่างสง่างามและเป็นคนจิตใจดีอย่างในตอนนี้ เพราะเธอนั้นยอดเยี่ยมในแบบของตัวเองและสมควรได้รับคำชมอยู่แล้วดังก้องไปทั้งห้องทำงานของอาเรีย ……………….

“อาเรีย… นี่งานในพระราชวังมันหนักหนามากนักหรือ หรือตำแหน่งพระชายามันเหนื่อยเกินไป”

คารินเอ่ยถามด้วยความห่วงใยจากใจจริง

บนใบหน้าที่กำลังชักชวนให้กลับโครอาด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้นั้น เต็มไปด้วยข้อแม้ที่ว่า ‘อาเรียเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนสติไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว’

ซึ่งมันก็เป็นผลลัพธ์ที่อาเรียก็คาดไว้อยู่แล้ว มันคือเรื่องที่ยากจะเชื่อแม้เธอจะอธิบายเรื่องทุกอย่างจนปากเปียกปากแฉะก็ตาม และยิ่งเธอไปแนะนำว่าเด็กๆ เป็นผู้มาก่อนกาลเสียเต็มปากเต็มคำแบบนั้น แม่เธอยิ่งไม่มีทางเชื่อ

“ไม่มีทางหรอกค่ะ ลูกบอกแล้วนี่คะว่าลูกสบายดี”

“แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมถึงพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นออกมาล่ะ นี่ลูกกำลังล้อแม่คนนี้เล่นอยู่หรือ”

คารินถามหาความจริงเป็นครั้งที่สอง สภาพแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าการบอกความจริงทุกอย่างกับเธอคงใช้ไม่ได้ผล

ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดไปมากกว่านี้แล้ว อาเรียคิดว่าควรพูดข้ามๆ ไปเสียดีกว่า

“ลูกแค่พูดไปตามความจริง แต่หากแม่ไม่เชื่อลูกก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ลูกไปล้อแม่เล่นเมื่อไรหรือคะ ลูกคิดว่าลูกพูดแต่ความจริงกับแม่ตลอดเสียอีก”

อาเรียทำสีหน้าเศร้าเสียใจใส่คารินที่ปฏิเสธคำพูดของเธอถึงสองครั้งสองครา

“มะ ไม่ใช่นะ แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้น—”

ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจปักใจเชื่อ แต่คารินย่อมต้องรู้สึกผิดกับอาเรีย

‘มันยังมีความหมายอื่นอีกไหมนะ… ความจริงถึงตอนเป็นเด็กจะเล่นไม่รู้ประสาไปบ้าง แต่ถ้ามองย้อนกลับไปเธอก็เป็นเด็กที่มีความคิดลึกซึ้งและฉลาดหลักแหลมทีเดียว’

ถึงอย่างนั้นเด็กๆ ก็ไม่มีทางมาจากอนาคตได้แน่ ดังนั้นคำตอบของเธอต้องมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อย่างแน่นอน

คารินซึ่งเข้าใจผิดไปไกลในระยะเวลาแสนสั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดตัวเอง

เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่อาจคิดอะไรให้ลึกซึ้งกว่านี้ในสภาพเมามายเช่นนี้ได้

“มะ แม่ต้องเชื่ออยู่แล้วสิ! ก็ได้ ในเมื่อลูกพูดอย่างนั้นนี่นะ ฮึ่ม ถึงจู่ๆ ก็มีหลานสาวโผล่มาตั้งสองคนมันจะเป็นเรื่องกะทันหันไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นยายคนนี้ก็ต้องเล่นกับหลานสิใช่ไหม”

หืมม! ยาย! เชื่อด้วยหรือ!

บลิสที่ยังอยู่ในอารมณ์ตกใจยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่

กระทั่งลิเป้เองก็ยังตกใจที่คารินเชื่อคำพูดของอาเรียโดยไม่เอ่ยถามอะไรเลย

อาเรียสบตากับลิเป้ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูดอะไร

“แล้วยายควรจะเล่นยังไงดีล่ะนี่ ยายไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กเสียด้วยสิ อ้อ! เล่นหลอกผีกันดีไหม”

คารินถามแต่กลับตัดสินใจว่าจะเล่นหลอกผีเองโดยไม่รอฟังคำตอบ เธอหันรีหันขวางมองไปรอบๆ ก่อนจะเอาผ้าขาวที่หาเจอมาพันรอบหัวไว้

“แฮ่ๆๆ ถ้าโดนจับได้จะกินให้หมดเลย รีบหนีไปเร็วเด็กๆ ที่น่ารักทั้งสอง”

ก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างใจดี ก่อนจะทำให้ทั้งบลิสและลิเป้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต้องวิ่งหนี

เด็กน้อยทั้งสองทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไรกันแน่

ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ทำได้เพียงวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เพราะคารินที่ไล่ตามหลังพวกเธอมาทั้งยังส่งเสียงหัวเราะ ‘หึหึหึ’ ออกมาอย่างพิลึกพิลั่น

ระหว่างนั้นเหลือเพียงอาเรียซึ่งบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอแย้มยิ้มออกมาขณะมองผู้เป็นแม่ของตนที่ยังบริสุทธิ์จากภายในขัดกับภายนอกที่ดูเหมือนคนเอาแต่ได้

* * *

การเล่นหลอกผีจบลงหลังจากคารินซึ่งเมาจนไข้ขึ้นนั้นเหนื่อยล้าจนหลับเป็นตายไปอีกรอบ

แน่นอนว่าทั้งสามเล่นกันเป็นเวลานาน บลิสและลิเป้จึงพลอยเหนื่อยไปด้วยจนพากันมานอนแผ่อยู่บนโซฟา

ทั้งสองหลับตาและหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับหลับไปแล้ว อาเรียจึงไปเรียกนางกำนัลแล้วสั่งให้ช่วยพาพวกเธอกลับห้อง

“เตรียมน้ำเย็นใส่น้ำแข็งไปไว้ในห้องให้เด็กๆ ด้วยนะ ถ้าตื่นแล้วจะได้ดื่มได้เลย”

“ค่ะ พระชายา”

“แล้วเตรียมลูกกวาดหรือช็อกโกแลตเอาไว้ด้วยล่ะ เด็กๆ วิ่งเล่นกันหนักมาก ตื่นมาแล้วอาจจะหิว”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

หลังจากสั่งการนางกำนัลเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาเรียก็มองดูบลิสที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้องไป

แกร๊ก ทันทีที่ประตูปิด บลิสที่อาเรียนึกว่าหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมา

และใช้พลังย้ายตัวเองไปยังห้องของลิเป้ทันที

“ลิเป้ ลิเป้! หลับหรือ หลับแล้วหรือ! ลิเป้!”

“…ฉันอยากนอนแต่ตื่นเพราะเธอนั่นแหละ”

แม้จะพูดเช่นนั้นแต่เธอเองก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน ลิเป้ลุกขึ้นจากเตียงตาแป๋ว

บลิซจึงจับเสื้อของน้องไว้แน่นแล้วรีบละล่ำละลักถาม

“คะ คือว่าเรื่องนั้นน่ะ อย่าบอกนะว่าแม่รู้อยู่แล้ว หืม! ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้ทำไมแม่ถึงพูดแบบนั้นล่ะ! หืม!”

บลิสทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มฟ้าจะทลาย ทั้งยังจับเต็มแรงจนเสื้อผ้าลิเป้แทบจะขาดอยู่รอมร่อ

ในที่สุดก็รู้แล้วสินะ ไม่สิ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังไม่รู้อีกก็โง่เต็มที ดังนั้นนี่คือผลลัพธ์ดังที่ควรจะเป็น แต่เธอจะทำอย่างไรดี

ลิเป้ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรทำให้ใจบลิสร้อนรุ่มกว่าเดิมดีหรือไม่ ก่อนจะตีมือบลิสที่จับท้องตัวเองอยู่เบาๆ พลางตอบเสียงเนือย

“จะไม่รู้ได้ยังไงกัน แม่ต้องรู้ทุกอย่างอยู่แล้วล่ะ มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่”

เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น บลิสจะเป็นคนสุดท้ายเสมอที่รู้เรื่อง และเธอจะไม่รู้เรื่องจนกว่าจะมีใครสักคนพูดออกมา

และเป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสยกมือเล็กของเธอขึ้นปิดปากอย่างไม่อาจเก็บอาการตกใจเอาไว้ได้เมื่อได้ยินคำสารภาพที่ว่าอาเรียรู้ความจริงทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว

“ตะ ตะ ตะ ตั้งแต่เมื่อไร!”

“เกือบจะตั้งแต่แรกเลยมั้ง”

“เฮือกกก!”

บลิสตกใจจนหงายหลังลงไปนอนแผ่หลา โชคดีที่เธออยู่บนเตียงกว้างแสนนุ่มจึงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน

บลิสเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่คิดจะพักสงบจิตสงบใจสักนิด แล้วเอ่ยถามลิเป้มือไม้สั่นไปหมด

“ถะ ถะ ถะ ถ้าอย่างนั้นแม่บอกว่ายังไงบ้าง…! ทำไมปล่อยฉันไว้คนเดียวเล่า…!”

เฮ้อ ทำไมรู้ช้าขนาดนี้นะ

แม้จะแปลกใหม่แต่ลิเป้ก็ต้องถอนหายใจให้กับนิสัยของบลิสอีกครั้งก่อนตอบ

“แค่ดูจากสภาพเธอตอนนี้ก็รู้แล้ว”

“หมายความว่ายังไง ลิเป้!”

คำตอบนั้นตรงตัว แต่บลิสผู้ไม่รู้อะไรเลยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

บลิสขยับเข้าไปใกล้ลิเป้เพียงปลายจมูกแล้วเร่งเร้าให้เธอยอมตอบมาดีๆ

ลิเป้ขมวดคิ้วมุ่นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เธอผลักบลิสออกไปอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบ

“เธอน่ะ ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้เธอยังใช้พลังได้โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยทั้งที่เพิ่งวิ่งเล่นมาขนาดนั้น”

“…อะ เอ๊ะ… หมายความว่ายังไงเหรอ ลิเป้”

เธอถามด้วยสีหน้างุนงง เป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสไม่มีทางเข้าใจหากเธอไม่พูดออกไปตรงๆ

ลิเป้ไม่อยากให้บทสนทนาอันน่าอึดอัดนี้ดำเนินต่อไปอีก จึงจำต้องเอ่ยปากตอบไปอย่างช่วยไม่ได้

“แม่หาวิธีได้แล้ว วิธีที่จะทำให้เราสองคนเกิดมาได้อย่างแข็งแรงน่ะ นั่นก็คือเจ้าน้ำทะเลสาบที่สามารถรักษาได้ทุกโรคยังไงล่ะ เธอเองก็เพิ่งดื่มไปเมื่อไม่นานนี้เองด้วย”

เพราะแบบนั้นเธอถึงได้แข็งแรงอย่างนั้นหรือ บลิสกะพริบตาปริบๆ อย่างเหม่อลอยเมื่อได้ฟังคำลิเป้ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเอง

จะว่าไป เธอก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตัวเองดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาตั้งแต่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ซึ่งผิดกับปกติที่เธอมักจะป่วยกระปอดกระแปดอยู่เป็นประจำทุกวัน

เธอมัวแต่สุขใจเสียจนไม่ทันได้สังเกต เธอไม่เคยคิดเลยว่ามันอาจมีวิธี

ลิเป้กอดอกแล้วกล่าวตำหนิบลิสที่เอาแต่กำมือแล้วแบออกซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง

“เธอคิดว่าพอสารภาพเรื่องในอนาคตแล้วแม่จะไม่คลอดพวกเราออกมาจริงๆ หรือ มันไม่มีทางอยู่แล้ว ในเมื่อแม่เป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยนออกขนาดนั้น”

อย่างไรก็ตาม ความดีความชอบของบลิสนั้นก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะโดนตำหนิว่าโง่เง่า

แม้จะทำอะไรไม่รอบคอบและซุ่มซ่ามไปบ้าง แต่ก็เพราะบลิสย้อนอดีตกลับมาไม่ใช่หรือที่ทำให้อาเรียค้นหาวิธีที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขเจอ

“อะแฮ่ม แต่ก็เอาเถอะ ครั้งนี้จะบอกว่าเธอผิดก็คงไม่ได้ เพราะการที่เธอไล่รูบี้ออกและมีเทียเรนเข้ามาแทนทำให้เราเจอน้ำทะเลสาบนั่น ถึงมันจะเหมือนโชคช่วยมากกว่าก็เถอะนะ”

หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงหนีออกจากพระราชวังไปแล้ว แต่ที่ยังอยู่ต่อนั่นเพราะรูบี้ถูกไล่ออกไปแล้ว

และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะบลิส เพราะหากจังหวะเวลาผิดไปจากนี้แม้เพียงนิด พวกเธออาจไม่ได้เจอเทียเรนและน้ำทะเลสาบก็ได้

ลิเป้คิดเช่นนั้นพลางเอ่ยชมพี่สาวอย่างที่บลิสรอคอยมานาน

ก่อนที่บลิสซึ่งเอาแต่ตกตะลึงมาตลอดจะร้องไห้โฮและหายไปต่อหน้าต่อตา

“นะ นี่! ไปไหน—!”

ลิเป้พยายามถามแต่บลิสก็หายไปเสียแล้ว

แต่ไม่นานเธอก็พอจะเดาได้ว่าบลิสหายไปไหน ลิเป้จึงยิ้มออกมาพลางยักไหล่แล้วเอนกายลงบนเตียงเพื่อนอนหลับพักผ่อนอีกครั้ง

* * *

“มะ แม่!”

อาเรียตกใจจนเผลอกลั้นหายใจเมื่อจู่ๆ บลิสก็โผล่มาจากอากาศแล้วเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน

“แม่ แม่จ๋าา แมมมม่…! ฮือออ!”

ดูจากอาการของบลิสตอนนี้ เธอน่าจะรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว

อาเรียถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าเธอเพิ่งบอกให้นางกำนัลที่เอาชามาให้ตามคำสั่งออกไปพอดีพลางตบหลังบลิสเบาๆ

“ขอโทษ หนูขอโทษ…! แม่ต้องเหนื่อยเพราะหนู ต้องลำบากเพราะหนู…!”

หนูน้อยเริ่มขอโทษทั้งน้ำตา อาเรียค่อยๆ ยกมือขึ้นปิดปากบลิสเบาๆ

ดวงตาของเด็กน้อยที่กำลังตกใจเบิกโตขึ้นทันที อาเรียจ้องตาบลิสนิ่งๆ ก่อนจะส่ายหน้า

“ลูกไม่ต้องขอโทษหรอกนะ เพราะลูก แม่ถึงได้รู้วิธี ในอนาคตพวกเราทุกคนไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ”

เธอตั้งใจพูดแบบนั้นออกไปเพื่อให้บลิสหยุดร้องไห้ แต่โชคไม่ดีที่บลิสกลับร้องหนักยิ่งกว่าเดิม

เมื่อเธอใช้ข้างที่ปิดปากช่วยเช็ดน้ำตาออกให้ บลิสที่ยังสะอึกอยู่ก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าเธอจะหยุดร้องแล้ว

“ทั้งที่หนูย้อนกลับมาในอดีตโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วยังตั้งใจจะหายไปทั้งที่ยังไม่ถามลิเป้สักคำน่ะหรือ…”

ก็รู้ดีนี่ อาเรียยิ้มอย่างขมขื่นให้บลิสที่พูดความผิดซึ่งปิดไม่มิดของตัวเองออกมาจนหมด

“เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่แม่ในตอนนี้จะโกรธ ลูกไปขอโทษแม่คนที่อยู่ในอนาคตเถอะ บางทีแม่ในตอนนั้นอาจจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยก็ได้นะ”

“…ฮึก”

บลิสไม่อาจซ่อนความเศร้าหมองเอาไว้ได้ โชคดีที่น้ำตาเธอหยุดไหลแล้ว

แต่ตอนนี้อนาคตกำลังจะเปลี่ยน และนอกจากลูกกับลิเป้แล้ว แม่อาจจะจำช่วงเวลาในตอนนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นลูกก็ยังมีโอกาสอีกเยอะไม่ใช่หรือ”

“โอกาสหรือ…”

โอกาสอะไรกัน อาเรียลูบใบหน้าที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันอย่างแผ่วเบา

“โอกาสที่จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกยังไงล่ะ และโอกาสที่จะไม่ตัดสินใจสละชีวิตตัวเองแบบนี้อีก อย่าทำให้คนที่รักลูกต้องเสียใจ”

อาเรียคิดว่าลูกจะโผเข้ากอดเธออีกครั้งพลางสัญญาว่าจะทำตามที่เธอบอก

ทว่าบลิสกลับเอาแต่ขยำนิ้วไปมาพลางเม้มปากแน่นก่อนจะถามกลับอย่างไม่มั่นใจ

“นะ หนูจะทำแบบนั้นได้หรือ… ทั้งที่หนูก่อเรื่องทุกวัน แล้วยังทำตัวเป็นภาระ…”

แม้จะไม่ทันตั้งตัวแต่กลับให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม และดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้ตัว

ไม่สิ บางทีมันอาจเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นอย่างนี้แล้ว เพราะบลิสมักจะถูกปฏิบัติอย่างคนไร้ค่ามาตลอด

เด็กไร้ค่าแสนสะเพร่า เด็กที่ไม่อาจมีชีวิตอย่างมีความสุขได้หากไม่ได้กลับมาเปลี่ยนอดีต

ทำไมถึงเหมือนเธอได้ขนาดนี้กันนะ

บลิสมีโชคชะตาเหมือนทุกอย่างขนาดนี้ แล้วอาเรียจะไม่มอบหัวใจให้หนูน้อยทั้งดวงได้อย่างไร

“แน่นอน ลูกเป็นลูกสาวใครกัน แล้วก็บลิส ลูกช่วยชีวิตแม่ และอนาคตของแม่ไว้นะ”

ไม่มีคำตอบใดจะเหมาะไปมากกว่านี้อีกแล้ว บลิสปล่อยน้ำตาให้รินไหลลงมาอีกครั้งก่อนที่อาเรียจะพูดจบก่อนจะโผเข้ากอดเธอ

“ตะ ต่อไป ต่อไปหนูจะไม่ก่อเรื่องอีกแล้ว…! หนูจะตั้งใจเรียนแล้วเป็นคนที่ยอดเยี่ยมให้ได้อย่างลิเป้! หนูจะต้องได้คำชมทุกวันเลย…!”

แงงง—! การกระทำที่ขัดกับคำมั่นสัญญาทำให้ริมฝีปากของอาเรียวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม

คำพูดที่บอกให้หนูน้อยเติบโตขึ้นอย่างสง่างามและเป็นคนจิตใจดีอย่างในตอนนี้ เพราะเธอนั้นยอดเยี่ยมในแบบของตัวเองและสมควรได้รับคำชมอยู่แล้วดังก้องไปทั้งห้องทำงานของอาเรีย

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+