ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 40 1
นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 40 ตอนที่ 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 40 ตอนที่ 1
หลังจากนั้นพี่ชายของเขาก็ไม่ได้ติดต่อที่บ้านอีกเลย เกนซุคมารู้ทีหลังว่าช่วงนั้นพี่ชายไปเข้ารับราชการทหาร
ที่พ่อเขาจะโกรธก็คงช่วยไม่ได้หรอก เพราะพี่ชายของเขาหายตัวไปถึงสองปี แต่พอกลับมา ก็บอกว่าอยากออกจากมหาลัยแล้วไปเป็นนักแสดง
สําหรับคนอื่น พี่ชายของเขาคงดูไม่เหมาะกับการเรียนสักเท่าไหร่ เพราะชายหนุ่ม อยู่นิ่ง ๆ สักสิบวินาที่ยังไม่ได้ด้วยซ้ําไป พ่อของเขามักบอกเสมอว่าการเรียนไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิต แต่พื้นฐานก็ยังเป็นเรื่องจําเป็น พี่ชายของเขาก็เลยจําใจเรียนแค่พื้นฐานเท่านั้นจริง ๆ แล้วเขาก็มักจะมาบ่นเรื่องเรียนให้เกนซุคฟังอยู่ร่ําไป
ถึงมันจะผ่านไปได้ 5 ปีแล้ว เกนซุคก็ยังจําคําพูดพวกนั้นได้ดี และยังจ่าค่าตอบที่ตัวเองใช้ตอบไปได้ด้วย
“แต่พ่อแม่จะดีใจนะ ถ้าเราตั้งใจเรียน”
แล้วพี่ชายของเขาก็ตอบกลับมาว่า
“ถึงพวกท่านจะดีใจ แต่มันน่าเบื่อนี่นา”
สุดท้าย พี่ชายและพ่อของเขาก็ทะเลาะกันทั้งปี จนเกนโซเขาเข้าโรงเรียนอาชีวะ เหมือนว่าที่พ่อของเขายอมอนุญาตให้ลูกชายไปเรียนโรงเรียนอาชีวะได้เพราะคําพูดที่ว่า ผมยอมไปเป็นหัวงู ดีกว่าได้เป็นแค่หางมังกร
เกนซุคยังจําได้อยู่บ้าง ว่าพี่ชายของเขาใช้ชีวิตช่วงมัธยมปลายยังไง แม่ของเขาถามเกนซุคว่า ตอนนั้นลูกแค่ 6 ขวบเอง จำได้ด้วยเหรอ? เวลาเขาไปถามถึงช่วง เวลานั้น
ยังไงก็ตาม ช่วงนั้นพี่ชายของเขามักจะกลับมาบ้านค่ามืดทุกวัน และเพราะแบบนี้นถึงได้ทะเลาะกับที่บ้านบ่อย ๆ
ใช่ ทะเลาะกันบ่อยมากเลยจริง ๆ
เกนซคนึกถึงเรื่องที่ทะเลาะกัน ตอนพี่ชายของเขาเรียนใกล้จบ พี่ชายและพ่อของเขาทะเลาะกันเรื่องมหาวิทยาลัยหรือการแสดง อีกแล้วและนั่นคงเป็นครั้งแรกที่พี่ชายของเขาถูกตบ
เขายังจํามันได้ดี ว่าใบหน้าของพี่ชายถูกตบเข้าจนหัน พอแม่เขาเห็นแบบนั้น ก็รีบพาตัวเขาเข้าไปอยู่ในห้อง ก่อนประตูห้องจะปิดลง เกนซุคเห็นใบหน้าของพี่ชายหลังจากถูกตบ กําาลังยิ้มอย่างผู้มีชัย
หลังจากนั้นพ่อก็ไม่เคยคุยอะไรกับเกนโซอีกเลย พ่อของเขาไม่แม้แต่จะขยับตัว ตอนที่ถูกชวนไปดูการแสดง
จนถึงตอนนั้น เกนซุคไม่เคยไปดูการแสดงของพี่ชายเลย แม่ของเขาเองก็ไม่กล้า ไปดูการแสดงที่สามเกลียดนักเกลียดหนา ตัวเขาเองก็ไม่อยากดูมากเท่าไหร่ ช่วงนั้น เป็นช่วงที่เขาเริ่มไปเรียนที่สถานบันกวดวิชาเล็ก ๆ แห่งหนึ่งก่อนจะเข้าเรียนต่อประ ถม เขาจภาพพี่ชายที่กลับมาถึงบ้านช้ากว่าเขาไปเกือบชั่วโมง ด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัวได้ดี
ตอนนั้น เกนซุคไม่เข้าใจพี่ชายของตัวเองเลย พี่ชายเขาไม่ได้โง่ เกนซุครู้เรื่องนั้นดี ชายหนุ่มจ่าบทพูดได้ด้วยการอ่านผ่านตาแค่ครั้งเดียว
พี่ชายของเขาจะมีสมาธิที่แน่วแน่มากเวลาเขาอ่านบท ถ้าเขาใช้สมาธิพวกนั้นมาเรียนบ้างสักนิด พ่อแม่ของเขาก็คงไม่ขัดขวางเรื่องการแสดงมากมายนัก แต่พี่ชายของเขาไม่สนใจ ราวกับว่าเวลาที่เขาต้องใช่ไปกับการเรียน มันเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์สําหรับเขา
ฤดูหนาวปีนั้น เกนโซสอบเข้ามหาวิทยาลัยไร้ชื่อแห่งหนึ่งได้ พ่อเดาะลิ้นท่าท่า ทางหงุดหงิด แต่ก็ยังยอมจ่ายค่าเทอมให้ จริง ๆ แล้วเขาเองก็คงดีใจที่ลูกชายเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้แหละ แม่ของเขาเองก็มักจะพูดกรอกหูเสมอว่า ได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตั้งใจเรียนสักทีนะ
พี่ชายของเขาทําแค่พยักหน้า
เกนซุคเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพี่ชายไม่มีความคิดที่จะฟังแม่พูดแม้แต่นิด ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เกนซุคเรียนเนื้อหาของชั้นประถมหมดแล้วเช่นกัน ตอนนั้นเขาตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะศึกษาเนื้อหาของช่วงมัธยมต้นต่อขณะที่เรียนประถมอยู่ แม้แต่ครูที่โรงเรียนก็ชมเขา
“ลูกคุณนี่ฉลาดมากเลยนะ” เสียงครูพูดผ่านสายโทรศัพท์มา
และวันเดียวกันนั้นเองที่พ่อแม่เขา พาเขาไปกินเลี้ยงกันยกใหญ่ แน่นอนว่าพี่ชายเขาไม่ได้มากินด้วย เพราะยังคงอยู่กับชมรมการแสดงของเขา
“เยี่ยมมากลูก เยี่ยมจริง ๆ”
“เกนซุค อยากได้ของขวัญอะไรไหม?”
พ่อแม่ของเกนซุคนั้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด ค่าชมหลั่งไหลลงมาราวห่าฝน เขาชอบที่จะเรียน มันไม่ได้ยากอะไรเลย แถมยังทําให้พ่อแม่ดีใจได้อีก หลังจากนั้นทั้งสามคนก็แวะไปที่ร้านขายของเพื่อซื้อของขวัญให้เขา พ่อของเขายอมควักบัตรเครดิตมาใช้อย่างไม่คิดอะไรมาก แม่ของเขาเองก็ซื้อของเล่นและเสื้อผ้าทุกอย่างที่เขาอยากได้ให้
ทําไมพี่ชายของเขาถึงไม่ตั้งใจเรียนนะ? มันง่ายจะตายไป พี่ชายช่างดูแปลกประห ลาดในสายตาของเกนซค วันนั้นหลังจากทั้งสามคนกลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบเกนโซกําลังต้มบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปกินอยู่คนเดียว
“ถ้ามันหัดเอาอย่างน้องมันหน่อยนะ” พ่อของเขากล่าว
มันเป็นค่าพูดที่ฟังดูแปลก ๆ เกนซุคดีใจที่ได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ แต่ขณะเดียวกันก็สงสารพี่ชายตัวเอง
เพราะแบบนั้นรึเปล่านะ เกนซุคถึงได้เดินเข้าไปหาพี่ชายขณะที่เขากําาลังกินข้าว
อยู่
“พี่ ให้ผมช่วยสอนหนังสือให้ไหม?”
พ่อของเขาหัวเราะออกมาอย่างเต็มเสียง แม่ของเขาเองก็พูดขึ้นว่า “เกนซุคโตขึ้นมากแล้วนะเนี่ย หัดดูแลพี่ชายตัวเองแล้วด้วย”
ตอนนั้นเขาแค่อยากจะทําตัวให้เป็นประโยชน์ ไม่สิ จริง ๆ เขาอาจจะอยากอวดอ้างตัวเองหลังได้รับคําชมมามากมาย แต่พี่ชายของเขากลับมองมาที่เขาเงียบ ๆ
ที่แรกเกนซุคคิดว่าพี่ชายคงต้องโกรธเขาแน่ ๆ หรืออาจจะนั่งกินข้าวต่อไปด้วยท่าทางเศร้า ๆ แต่พี่ชายของเขาไม่แสดงอาการทั้งสองอย่างออกมา
“นี่ ไอ้น้องชาย นี่มันอร่อยมากเลย มากินด้วยกันไหม?”
พี่ชายของเกนซุคบอกว่าตัวเองจะออกไปอยู่หอใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยด้วยตัวคนเดียว
ตอนช่วงใกล้สิ้นเดือนธันวาคม เขาก็กลับมาบอกที่บ้านว่าเขาจะไปแสดงกับละครที่จัดโดยทางจังหวัด แน่นอนว่าพ่อของเขาไม่สนใจเรื่องอะไรแบบนั้น
แต่แม่ของเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย เธอรวบรวมความกล้าไปดูการแสดงของลูกชาย พ่อเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เขาคงยอมปล่อยผ่านไป เพราะนี่จะเป็นการแสดงสุดท้ายของลูกชาย
“เกนซุค อยากไปดูด้วยกันไหม?”
เกนซุคพยักหน้ารับทันที เพราะเขาเองก็ติดใจสงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่าไอ้การแสดงที่พี่ชายของเขายอมทิ้งทุกอย่างไปเพื่อมันเนี่ย มันเป็นอะไรยังไง ทั้งสองคนเดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัด ที่ ๆ ใช้จัดการแสดง ทั้งสองคนเข้าไปรอในห้องเตรียมตัวก่อนการแสดง เพื่อหาพี่ชายของเกนซุค
เกนซุคพยายามเขย่งเท้าเพื่อมองหาพี่ชายในฝูงคน จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้หายากอะไร เพราะตอนนั้นพี่ชายของเขายืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ
พี่ชายของเขากําลัง… เปล่งประกาย ทุกคนต่างจับจ้องไปที่พี่ชายของเขา ค่าพูดค่าเดียวของเขาทําให้ทั้งห้องต้องเงียบฟัง หรือทําให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นลั่น แม้แต่เกนซุคตัวน้อยก็เข้าใจได้ทันทีว่าพี่ชายของเขามีบทบาทในที่แห่งนี้มากแค่ไหน ราวกับว่าเขากําลังมองดูคนละคน แม้แต่แม่ของเขาก็ต้องตกใจ โชคดีที่พี่ชายของเขาหันมาเห็นพอดี เขาจึงเดินเข้ามาพูดด้วยน้ําเสียงปกติของเขา
“งั้นก็ ดูให้สนุกนะ”
เกนซุครู้ได้ทันทีว่าพี่ชายของเขาไม่ได้ต่างจากตอนอยู่ที่บ้านเลย สิ่งเดียวที่ต่างไปคือมุมมองที่เขาใช้มองพี่ชาย
Comments
ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 40 1
นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 40 ตอนที่ 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 40 ตอนที่ 1
หลังจากนั้นพี่ชายของเขาก็ไม่ได้ติดต่อที่บ้านอีกเลย เกนซุคมารู้ทีหลังว่าช่วงนั้นพี่ชายไปเข้ารับราชการทหาร
ที่พ่อเขาจะโกรธก็คงช่วยไม่ได้หรอก เพราะพี่ชายของเขาหายตัวไปถึงสองปี แต่พอกลับมา ก็บอกว่าอยากออกจากมหาลัยแล้วไปเป็นนักแสดง
สําหรับคนอื่น พี่ชายของเขาคงดูไม่เหมาะกับการเรียนสักเท่าไหร่ เพราะชายหนุ่ม อยู่นิ่ง ๆ สักสิบวินาที่ยังไม่ได้ด้วยซ้ําไป พ่อของเขามักบอกเสมอว่าการเรียนไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิต แต่พื้นฐานก็ยังเป็นเรื่องจําเป็น พี่ชายของเขาก็เลยจําใจเรียนแค่พื้นฐานเท่านั้นจริง ๆ แล้วเขาก็มักจะมาบ่นเรื่องเรียนให้เกนซุคฟังอยู่ร่ําไป
ถึงมันจะผ่านไปได้ 5 ปีแล้ว เกนซุคก็ยังจําคําพูดพวกนั้นได้ดี และยังจ่าค่าตอบที่ตัวเองใช้ตอบไปได้ด้วย
“แต่พ่อแม่จะดีใจนะ ถ้าเราตั้งใจเรียน”
แล้วพี่ชายของเขาก็ตอบกลับมาว่า
“ถึงพวกท่านจะดีใจ แต่มันน่าเบื่อนี่นา”
สุดท้าย พี่ชายและพ่อของเขาก็ทะเลาะกันทั้งปี จนเกนโซเขาเข้าโรงเรียนอาชีวะ เหมือนว่าที่พ่อของเขายอมอนุญาตให้ลูกชายไปเรียนโรงเรียนอาชีวะได้เพราะคําพูดที่ว่า ผมยอมไปเป็นหัวงู ดีกว่าได้เป็นแค่หางมังกร
เกนซุคยังจําได้อยู่บ้าง ว่าพี่ชายของเขาใช้ชีวิตช่วงมัธยมปลายยังไง แม่ของเขาถามเกนซุคว่า ตอนนั้นลูกแค่ 6 ขวบเอง จำได้ด้วยเหรอ? เวลาเขาไปถามถึงช่วง เวลานั้น
ยังไงก็ตาม ช่วงนั้นพี่ชายของเขามักจะกลับมาบ้านค่ามืดทุกวัน และเพราะแบบนี้นถึงได้ทะเลาะกับที่บ้านบ่อย ๆ
ใช่ ทะเลาะกันบ่อยมากเลยจริง ๆ
เกนซคนึกถึงเรื่องที่ทะเลาะกัน ตอนพี่ชายของเขาเรียนใกล้จบ พี่ชายและพ่อของเขาทะเลาะกันเรื่องมหาวิทยาลัยหรือการแสดง อีกแล้วและนั่นคงเป็นครั้งแรกที่พี่ชายของเขาถูกตบ
เขายังจํามันได้ดี ว่าใบหน้าของพี่ชายถูกตบเข้าจนหัน พอแม่เขาเห็นแบบนั้น ก็รีบพาตัวเขาเข้าไปอยู่ในห้อง ก่อนประตูห้องจะปิดลง เกนซุคเห็นใบหน้าของพี่ชายหลังจากถูกตบ กําาลังยิ้มอย่างผู้มีชัย
หลังจากนั้นพ่อก็ไม่เคยคุยอะไรกับเกนโซอีกเลย พ่อของเขาไม่แม้แต่จะขยับตัว ตอนที่ถูกชวนไปดูการแสดง
จนถึงตอนนั้น เกนซุคไม่เคยไปดูการแสดงของพี่ชายเลย แม่ของเขาเองก็ไม่กล้า ไปดูการแสดงที่สามเกลียดนักเกลียดหนา ตัวเขาเองก็ไม่อยากดูมากเท่าไหร่ ช่วงนั้น เป็นช่วงที่เขาเริ่มไปเรียนที่สถานบันกวดวิชาเล็ก ๆ แห่งหนึ่งก่อนจะเข้าเรียนต่อประ ถม เขาจภาพพี่ชายที่กลับมาถึงบ้านช้ากว่าเขาไปเกือบชั่วโมง ด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัวได้ดี
ตอนนั้น เกนซุคไม่เข้าใจพี่ชายของตัวเองเลย พี่ชายเขาไม่ได้โง่ เกนซุครู้เรื่องนั้นดี ชายหนุ่มจ่าบทพูดได้ด้วยการอ่านผ่านตาแค่ครั้งเดียว
พี่ชายของเขาจะมีสมาธิที่แน่วแน่มากเวลาเขาอ่านบท ถ้าเขาใช้สมาธิพวกนั้นมาเรียนบ้างสักนิด พ่อแม่ของเขาก็คงไม่ขัดขวางเรื่องการแสดงมากมายนัก แต่พี่ชายของเขาไม่สนใจ ราวกับว่าเวลาที่เขาต้องใช่ไปกับการเรียน มันเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์สําหรับเขา
ฤดูหนาวปีนั้น เกนโซสอบเข้ามหาวิทยาลัยไร้ชื่อแห่งหนึ่งได้ พ่อเดาะลิ้นท่าท่า ทางหงุดหงิด แต่ก็ยังยอมจ่ายค่าเทอมให้ จริง ๆ แล้วเขาเองก็คงดีใจที่ลูกชายเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้แหละ แม่ของเขาเองก็มักจะพูดกรอกหูเสมอว่า ได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตั้งใจเรียนสักทีนะ
พี่ชายของเขาทําแค่พยักหน้า
เกนซุคเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพี่ชายไม่มีความคิดที่จะฟังแม่พูดแม้แต่นิด ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เกนซุคเรียนเนื้อหาของชั้นประถมหมดแล้วเช่นกัน ตอนนั้นเขาตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะศึกษาเนื้อหาของช่วงมัธยมต้นต่อขณะที่เรียนประถมอยู่ แม้แต่ครูที่โรงเรียนก็ชมเขา
“ลูกคุณนี่ฉลาดมากเลยนะ” เสียงครูพูดผ่านสายโทรศัพท์มา
และวันเดียวกันนั้นเองที่พ่อแม่เขา พาเขาไปกินเลี้ยงกันยกใหญ่ แน่นอนว่าพี่ชายเขาไม่ได้มากินด้วย เพราะยังคงอยู่กับชมรมการแสดงของเขา
“เยี่ยมมากลูก เยี่ยมจริง ๆ”
“เกนซุค อยากได้ของขวัญอะไรไหม?”
พ่อแม่ของเกนซุคนั้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด ค่าชมหลั่งไหลลงมาราวห่าฝน เขาชอบที่จะเรียน มันไม่ได้ยากอะไรเลย แถมยังทําให้พ่อแม่ดีใจได้อีก หลังจากนั้นทั้งสามคนก็แวะไปที่ร้านขายของเพื่อซื้อของขวัญให้เขา พ่อของเขายอมควักบัตรเครดิตมาใช้อย่างไม่คิดอะไรมาก แม่ของเขาเองก็ซื้อของเล่นและเสื้อผ้าทุกอย่างที่เขาอยากได้ให้
ทําไมพี่ชายของเขาถึงไม่ตั้งใจเรียนนะ? มันง่ายจะตายไป พี่ชายช่างดูแปลกประห ลาดในสายตาของเกนซค วันนั้นหลังจากทั้งสามคนกลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบเกนโซกําลังต้มบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปกินอยู่คนเดียว
“ถ้ามันหัดเอาอย่างน้องมันหน่อยนะ” พ่อของเขากล่าว
มันเป็นค่าพูดที่ฟังดูแปลก ๆ เกนซุคดีใจที่ได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ แต่ขณะเดียวกันก็สงสารพี่ชายตัวเอง
เพราะแบบนั้นรึเปล่านะ เกนซุคถึงได้เดินเข้าไปหาพี่ชายขณะที่เขากําาลังกินข้าว
อยู่
“พี่ ให้ผมช่วยสอนหนังสือให้ไหม?”
พ่อของเขาหัวเราะออกมาอย่างเต็มเสียง แม่ของเขาเองก็พูดขึ้นว่า “เกนซุคโตขึ้นมากแล้วนะเนี่ย หัดดูแลพี่ชายตัวเองแล้วด้วย”
ตอนนั้นเขาแค่อยากจะทําตัวให้เป็นประโยชน์ ไม่สิ จริง ๆ เขาอาจจะอยากอวดอ้างตัวเองหลังได้รับคําชมมามากมาย แต่พี่ชายของเขากลับมองมาที่เขาเงียบ ๆ
ที่แรกเกนซุคคิดว่าพี่ชายคงต้องโกรธเขาแน่ ๆ หรืออาจจะนั่งกินข้าวต่อไปด้วยท่าทางเศร้า ๆ แต่พี่ชายของเขาไม่แสดงอาการทั้งสองอย่างออกมา
“นี่ ไอ้น้องชาย นี่มันอร่อยมากเลย มากินด้วยกันไหม?”
พี่ชายของเกนซุคบอกว่าตัวเองจะออกไปอยู่หอใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยด้วยตัวคนเดียว
ตอนช่วงใกล้สิ้นเดือนธันวาคม เขาก็กลับมาบอกที่บ้านว่าเขาจะไปแสดงกับละครที่จัดโดยทางจังหวัด แน่นอนว่าพ่อของเขาไม่สนใจเรื่องอะไรแบบนั้น
แต่แม่ของเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย เธอรวบรวมความกล้าไปดูการแสดงของลูกชาย พ่อเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เขาคงยอมปล่อยผ่านไป เพราะนี่จะเป็นการแสดงสุดท้ายของลูกชาย
“เกนซุค อยากไปดูด้วยกันไหม?”
เกนซุคพยักหน้ารับทันที เพราะเขาเองก็ติดใจสงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่าไอ้การแสดงที่พี่ชายของเขายอมทิ้งทุกอย่างไปเพื่อมันเนี่ย มันเป็นอะไรยังไง ทั้งสองคนเดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัด ที่ ๆ ใช้จัดการแสดง ทั้งสองคนเข้าไปรอในห้องเตรียมตัวก่อนการแสดง เพื่อหาพี่ชายของเกนซุค
เกนซุคพยายามเขย่งเท้าเพื่อมองหาพี่ชายในฝูงคน จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้หายากอะไร เพราะตอนนั้นพี่ชายของเขายืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ
พี่ชายของเขากําลัง… เปล่งประกาย ทุกคนต่างจับจ้องไปที่พี่ชายของเขา ค่าพูดค่าเดียวของเขาทําให้ทั้งห้องต้องเงียบฟัง หรือทําให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นลั่น แม้แต่เกนซุคตัวน้อยก็เข้าใจได้ทันทีว่าพี่ชายของเขามีบทบาทในที่แห่งนี้มากแค่ไหน ราวกับว่าเขากําลังมองดูคนละคน แม้แต่แม่ของเขาก็ต้องตกใจ โชคดีที่พี่ชายของเขาหันมาเห็นพอดี เขาจึงเดินเข้ามาพูดด้วยน้ําเสียงปกติของเขา
“งั้นก็ ดูให้สนุกนะ”
เกนซุครู้ได้ทันทีว่าพี่ชายของเขาไม่ได้ต่างจากตอนอยู่ที่บ้านเลย สิ่งเดียวที่ต่างไปคือมุมมองที่เขาใช้มองพี่ชาย
Comments