คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 96 ฟู่อวิ๋นเซิน ‘เธอคือยาของฉัน

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 96 ฟู่อวิ๋นเซิน ‘เธอคือยาของฉัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ครึ่งแท่งอยู่ด้านบน ครึ่งแท่งอยู่ด้านล่าง ตรงกลางส่วนหนึ่งคาอยู่ที่โต๊ะ

ถึงขนาดที่มีเศษไม้ปลิว

“…”

เกิดความเงียบขึ้นในโรงอาหารชั่วขณะ ราวกับเสียงวุ่นวายทั้งหมดถูกตะเกียบแท่งนี้พาไปด้วย

เจียงหรานสังเกตอิ๋งจื่อจินอยู่ตลอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็น

มือของเขาคลายออกในทันที ถาดอาหารหล่นลงพื้นดัง เคร้ง

อาหารที่อยู่ในถาดหกรดตัวลูกน้อง

คราวนี้ลูกน้องไม่ได้โวยวาย เพราะกำลังยืนงงอยู่

ไม่ใช่แค่เขาที่งง แต่นักเรียนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างงุนงงไปตามๆ กัน

เหมือนเห็นผี

จงจือหว่านมองตะเกียบที่อยู่ห่างจากถาดอาหารของเธอไปแค่ครึ่งนิ้ว สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ “…”

เธอมองอิ๋งจื่อจินด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ริมฝีปากสั่นระริก

ถ้าตะเกียบพุ่งเบี้ยวมาอีกนิดก็จะไม่ได้ปักลงที่โต๊ะ แต่เป็น…

จงจือหว่านไม่กล้าคิดต่อ เหงื่อแตกท่วมชุดนักเรียน ลมหายใจติดขัด

ร่างกายของเธอสั่นไม่หยุด แม้แต่แรงจะยืนยังไม่มี

นักเรียนหญิงที่อยู่ข้างกันก็ตกใจไม่น้อย ดึงแขนเสื้อจงจือหว่าน

ไม่มีใครเห็นว่าตะเกียบแท่งนี้พุ่งออกมาจากมือของอิ๋งจื่อจินได้ยังไง

แต่นี่ไม่สำคัญ

สิ่งสำคัญคือ อิ๋งจื่อจินปักตะเกียบไม้ลงไปในโต๊ะได้ยังไง

โรงอาหารยังคงเงียบสงัด สายตาทุกคู่มองไปที่อิ๋งจื่อจิน

อิ๋งจื่อจินหยิบตะเกียบคู่ใหม่แล้วไปหาที่นั่งริมหน้าต่าง

“มองอะไรน่ะ” เจียงหรานกวาดตามอง แสยะยิ้ม “ยังมองไม่พออีกเหรอ อยากให้ช่วยควักลูกตาออกมาวางตรงหน้านี้แล้วดูให้พอไหม”

พวกนักเรียนรีบละสายตาทันที เริ่มก้มหน้าก้มตากินข้าวกันอย่างบ้าคลั่ง

เจียงหรานเชิดหน้า ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้นหน่อย

ดูท่าบารมีของเขาที่เป็นขาใหญ่ประจำโรงเรียนยังคงอยู่

ซิวอวี่กัดแอปเปิลแล้วนั่งตาม

ราวกับยังไม่ได้สติกลับมา ผ่านไปหลายวินาทีเธอถึงพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “พ่ออิ๋ง เมื่อกี้เธอ…”

“ไม่มีอะไรหรอก” อิ๋งจื่อจินใช้ตะเกียบคีบผัก พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ลืมคุมแรงน่ะ”

แรงที่มือมากไปหน่อย เธอต้องปรับปรุง

ซิวอวี่รู้สึกว่าแอปเปิลในปากไม่มีรสชาติไปชั่วขณะ

ลืมคุมแรง ก็เลยทำตะเกียบปักเข้าไปในโต๊ะ

นี่ถ้าตั้งใจออกแรงจริง พังค้อนเหล็กให้แหลกก็กลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ เลยไหม

ทันใดนั้นเธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย

ซิวอวี่มองอิ๋งจื่อจินพลางครุ่นคิด

คนที่ใช้แรงได้ถึงขั้นนี้ ต่อให้ไม่ใช่จอมยุทธ์โบราณอย่างแท้จริง ก็ต้องเกี่ยวข้องกับวิทยายุทธ์โบราณอยู่บ้าง

แต่หลังจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเป็นต้นมาก็ไม่ค่อยเจอจอมยุทธ์โบราณแล้ว

ซิวอวี่ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอันรวดเร็วของเทคโนโลยีหรือเปล่า

เหล่าตระกูลวิทยายุทธ์โบราณที่เคยรุ่งโรจน์ในตี้ตู โดยรวมนั้นถือว่าค่อยๆ ถอนตัวออกไปหมดแล้ว

อย่างเจียงหรานก็เป็นแค่คนที่ฝึกวิทยายุทธ์โบราณขั้นต้น ไม่ใช่จอมยุทธ์โบราณ

เพราะวิธีการฝึกไม่ถูกต้อง กำลังภายในที่อยู่ในร่างกายถึงได้ปั่นป่วน จึงส่งผลต่อสภาพอารมณ์และนิสัย ถึงได้จำเป็นต้องใช้ยามาควบคุม

จอมยุทธ์โบราณที่แท้จริงมีอยู่น้อยมาก

ใช่ว่าใครก็เข้าวงการวิทยายุทธ์โบราณได้ ลึกลับยิ่งกว่าวงการแพทย์แผนโบราณเสียอีก

ซิวอวี่แน่ใจได้ว่า พ่ออิ๋งของพวกเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับวิทยายุทธ์โบราณแน่นอน

ไม่แน่อาจมีอาจารย์ที่มาจากวงการวิทยายุทธ์โบราณ

แต่เธอก็ไม่ได้ถาม

ตราบใดที่ได้เห็นเจียงหรานถูกกำราบไว้ เธอก็มีความสุขแล้ว แถมยังเอาไปคุยกับพี่ฮว่าผิงได้ด้วย

พอคิดมาถึงตรงนี้ ซิวอวี่ก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมา จึงกินแอปเปิลลูกใหญ่อีกผล

เวลาตีสามครึ่ง

ยามราตรีที่เงียบสงัดไร้เสียง

ฟู่อวิ๋นเซินลืมตาขึ้น ตื่นนอนอยู่บนเตียงภายในคอนโดส่วนตัว

เขานอนอยู่เงียบๆ ห้านาทีแล้วถึงค่อยๆ ลุกขึ้น

ในดวงตาดอกท้ออันน่าหลงใหลมีสีเลือดจางๆ

เขาไม่รู้ว่าตัวเองฝันร้ายแบบนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ต่อให้ดำเนินการรักษาด้วยการสะกดจิตระดับลึกมาสามปี เขาก็ยังคงไม่อาจหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ได้

ทุกครั้งที่หลับตาลงจะเต็มไปด้วยการนองเลือด

เสียงระเบิด เสียงยิงปืน เสียงกรีดร้อง ดังวนเวียนอยู่ข้างหู

และก็เป็นอดีตที่เขาหนีไม่พ้น

ฟู่อวิ๋นเซินรินน้ำ เดินไปที่ริมระเบียง

ไกลออกไปเป็นหมู่ตึกที่เปิดไฟสว่างไสว เมืองฮู่เฉิงเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลมาตลอด

ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือได้ดังขึ้น

เนี่ยอี้โทรมา

ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว สุดท้ายก็กดรับ “ฮัลโหล”

“อวิ๋นเซิน ฉันกลับมาตี้ตูแล้ว” เนี่ยอี้พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ยังจัดการธุระไม่เสร็จ ฝากดูแลเนี่ยเฉาอีกสักระยะนะ”

“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินนวดหางตา รู้สึกจนปัญญานิดหน่อย “เรื่องแบบนี้นายต้องโทรหาฉันกลางดึกด้วยเหรอ”

เนี่ยอี้เงียบไปเล็กน้อยแล้วถึงตอบ “ไม่ใช่ เสวี่ยเซิงบอกฉันว่าสภาพอารมณ์ของนายเปลี่ยนแปลงไปมาก ฉันกลัวนายจะทำอะไรสุดโต่ง”

อวี้เสวี่ยเซิงเป็นนักจิตวิทยาที่เขาเชิญมาให้อิ๋งจื่อจินโดยเฉพาะ และยังเป็นนักสะกดจิตอันดับสองของเอ็นโอเค

ฟู่อวิ๋นเซินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

สภาพอารมณ์ของเขาถูกจับตาดูอยู่

นี่เป็นสิ่งที่เขาขอร้องเอง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อะไร

อย่างไรเสียเขาก็เคยสูญเสียการควบคุม

“อวิ๋นเซิน นาย…” เนี่ยอี้ชะงักเล็กน้อย “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ไม่มีอะไร ชินแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินแสยะยิ้ม “ก็แค่รู้สึกว่าบางครั้งการมีชีวิตอยู่มันก็เหนื่อยดีนะ”

เนี่ยอี้เงียบไป

ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร

“ไม่มีอะไรแล้ววางนะ” ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้พูดอะไรมาก “จ่ายค่ากินของน้องชายนายมาด้วยล่ะ เขากินเก่งเป็นบ้า”

ไม่รอให้เนี่ยอี้พูดอะไรอีก เขากดตัดสายทิ้ง

จากนั้นก็ครุ่นคิดหลายวินาทีแล้วกดเปิดวีแชท

[เยาเยา อาหารเช้าอยากกินอะไร พี่ชายจะแวะเอาไปให้]

ฟู่อวิ๋นเซินส่งข้อความเสร็จก็วางโทรศัพท์มือถือลง

ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ คนทั่วไปกำลังนอนอยู่

แต่ข้อความวีแชทข้อความนี้ถูกส่งไปได้ไม่กี่วินาทีก็มีข้อความตอบกลับ

[ได้หมด]

ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็มีข้อความที่สอง

[ฝันร้ายเหรอ]

ฟู่อวิ๋นเซินอึ้งไปชั่วขณะ

สักพักเขาก็ตอบอย่างเนือยๆ

[เด็กน้อยเป็นนักทำนายขั้นเทพเหรอ ดึกขนาดนี้ยังไม่นอนอีก ถึงเราจะผมหนา สวยมาแต่กำเนิด แต่ก็ต้องรักษาสุขภาพนะ]

พอส่งข้อความนี้ไปก็มีวิดีโอคอลเข้า

มือของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก เขากดรับ

หน้าสดของอิ๋งจื่อจินปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์

เธออยู่ในชุดนอน ผมยาวสยายประบ่า ใบหน้าถูกแสงจันทร์สลัวนอกหน้าต่างสาดส่องจนเป็นสีทองอ่อนๆ

เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตื่นเหมือนกัน น้ำเสียงของเธองัวเงียเล็กน้อย

“คุณหลับไม่ค่อยสบาย พรุ่งนี้ฉันจะเอายาไปให้หน่อย กินก่อนอาหารเช้ากลางวันเย็นทุกวัน รักษาเป็นเวลาเจ็ดวัน”

นิ่งไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ถ้าฝันร้ายทางที่ดีอย่าอยู่คนดียว”

สายตาของฟู่อวิ๋นเซินจับจ้อง

เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กน้อยจะวิดีโอคอลหาเขาเพื่อพูดเรื่องนี้

เมื่อก่อนไม่มีสักคนเดียวที่จะบอกเขาว่าอย่าอยู่คนเดียวเวลาฝันร้าย

“พี่ชายรู้แล้ว ไปนอนเถอะเด็กน้อย” ฟู่อวิ๋นเซินพิงไปด้านหลัง หางตาขยับแล้วยิ้มออกมา “ถ้ายังไม่นอนอีกพี่ชายจะไปหาแล้วจับเธอยัดเข้าผ้าห่ม”

วิดีโอคอลถูกตัดสายทิ้ง

ไม่ให้เวลาเขาได้ร่ำลาอะไรทั้งนั้น

ฟู่อวิ๋นเซินมองหน้าจอที่มืดสนิท ขมวดคิ้ว มุมปากถูกยกขึ้น ดวงตาเจือไปด้วยรอยยิ้ม

ยังคงเป็นเด็กน้อยที่ไร้เยื่อใยสินะ

วันต่อมา

โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ

ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน

ผู้อำนวยการกำลังตรวจดูเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ภายในโรงเรียน

ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการ เขาต้องรู้จักนักเรียนทุกคน ไม่ใช่แค่ฟังคำบอกเล่าจากอาจารย์ที่ปรึกษาหรืออาจารย์ทั่วไป

ประตูถูกเปิดออกในเวลานี้

คนที่เดินเข้ามาคือเฮ่อสวิน

เฮ่อสวินพยักหน้าด้วยความนอบน้อม “ผู้อำนวยการ”

“อาจารย์เฮ่อมาแล้วเหรอครับ” ผู้อำนวยการดันแว่นตา “นั่งสิครับ”

เฮ่อสวินนั่งลง

“ตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือนเมษา” ผู้อำนวยการพลิกปฏิทิน “การสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกของมหาวิทยาลัยนอร์ตันคือปลายเดือนพฤษภา”

เฮ่อสวินพยักหน้า “ถูกต้องครับ”

หากอยากเข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันจำเป็นต้องให้ทางมหาวิทยาลัยส่งจดหมายเชิญมาด้วยตัวเอง

ถ้าไม่มีจดหมายเชิญ ต่อให้เป็นที่หนึ่งของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่ได้อยู่ดี

แต่นี่คือสำหรับภายนอก

ส่วนภายใน มหาวิทยาลัยนอร์ตันจะมีการสอบสัมภาษณ์สามครั้ง

สิทธิ์ในการสอบสัมภาษณ์ มีเพียงศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยนอร์ตันเท่านั้นถึงจะได้โควตา

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมชิงจื้อถึงได้เชิญเฮ่อสวินมาเป็นอาจารย์

เพราะถ้ามีเฮ่อสวิน ชิงจื้อก็จะได้สิทธิ์เปิดทางสู่มหาวิทยาลัยนอร์ตัน

ต่อให้มีนักเรียนเพียงคนเดียวที่เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันได้ ชิงจื้อก็จะเบียดติดอันดับโรงเรียนมัธยมชั้นแนวหน้าของโลกทันที

เฮ่อสวินมีโควตาสอบสัมภาษณ์อยู่สามสิทธิ์ในมือ

ถึงแม้จะน้อยมาก แต่ผู้อำนวยการก็พอใจมากแล้ว

“ขอผมคิดก่อนนะ แบบนี้” ผู้อำนวยการครุ่นคิดสักพักแล้วพูดขึ้น “สองสิทธิ์สัมภาษณ์เอาไว้ให้คลาสนานาชาติ อีกหนึ่งสิทธิ์ที่เหลือให้ที่หนึ่งของชั้นปี อาจารย์เฮ่อคิดว่าไงครับ”

“การตัดสินใจของผู้อำนวยการย่อมดีแล้วครับ” เฮ่อสวินไม่คัดค้าน “แต่มหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่ได้ดูแค่ผลการเรียนครับ”

อันที่จริงเขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรซะคณะที่เขาอยู่ก็แค่ระดับดี (D)

จากที่อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาบอก นักศึกษาของคณะระดับเอส (S) ถึงจะถือว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ตันอย่างแท้จริง

พอเขาถาม อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาก็จะบอกว่านี่เป็นความลับ เขายังไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้

จนถึงตอนนี้เฮ่อสวินก็ยังไม่รู้ว่าต้องเก่งถึงระดับไหนถึงจะเข้าคณะระดับเอส (S) ได้

“งั้นก็ตามนี้ครับ” ผู้อำนวยการพยักหน้า “ผมจำได้ว่าอาจารย์เฮ่อสวินรู้จักคนของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรป”

เฮ่อสวินเข้าใจ “ผู้อำนวยการอยากให้ผมพาพวกเด็กเก่งของคลาสศิลปะไปด้วยตอนที่ไปมหาวิทยาลัยนอร์ตันเหรอครับ”

“ถูกต้องครับ” ผู้อำนวยการพูด “แต่อาจต้องพาไปด้วยอีกคน นักเรียนอิ๋งจื่อจินทำผลงานได้ดีเยี่ยมในเทศกาลศิลปะครั้งนี้ ผมว่าเอาเธอไปลองดูได้ครับ”

มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็เป็นมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของโลกเหมือนกัน

เขาอยากให้นักเรียนทุกคนมีอนาคตที่ดีที่สุด

เฮ่อสวินปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด น้ำเสียงเย็นชา “ขอโทษด้วยครับผู้อำนวยการ ผมคิดว่าไม่จำเป็น”

มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็จำเป็นต้องใช้คะแนนวิชาศิลปวัฒนธรรมเหมือนกัน อย่างอิ๋งจื่อจินไปแล้วจะทำอะไรได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 96 ฟู่อวิ๋นเซิน ‘เธอคือยาของฉัน

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 96 ฟู่อวิ๋นเซิน ‘เธอคือยาของฉัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ครึ่งแท่งอยู่ด้านบน ครึ่งแท่งอยู่ด้านล่าง ตรงกลางส่วนหนึ่งคาอยู่ที่โต๊ะ

ถึงขนาดที่มีเศษไม้ปลิว

“…”

เกิดความเงียบขึ้นในโรงอาหารชั่วขณะ ราวกับเสียงวุ่นวายทั้งหมดถูกตะเกียบแท่งนี้พาไปด้วย

เจียงหรานสังเกตอิ๋งจื่อจินอยู่ตลอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็น

มือของเขาคลายออกในทันที ถาดอาหารหล่นลงพื้นดัง เคร้ง

อาหารที่อยู่ในถาดหกรดตัวลูกน้อง

คราวนี้ลูกน้องไม่ได้โวยวาย เพราะกำลังยืนงงอยู่

ไม่ใช่แค่เขาที่งง แต่นักเรียนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างงุนงงไปตามๆ กัน

เหมือนเห็นผี

จงจือหว่านมองตะเกียบที่อยู่ห่างจากถาดอาหารของเธอไปแค่ครึ่งนิ้ว สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ “…”

เธอมองอิ๋งจื่อจินด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ริมฝีปากสั่นระริก

ถ้าตะเกียบพุ่งเบี้ยวมาอีกนิดก็จะไม่ได้ปักลงที่โต๊ะ แต่เป็น…

จงจือหว่านไม่กล้าคิดต่อ เหงื่อแตกท่วมชุดนักเรียน ลมหายใจติดขัด

ร่างกายของเธอสั่นไม่หยุด แม้แต่แรงจะยืนยังไม่มี

นักเรียนหญิงที่อยู่ข้างกันก็ตกใจไม่น้อย ดึงแขนเสื้อจงจือหว่าน

ไม่มีใครเห็นว่าตะเกียบแท่งนี้พุ่งออกมาจากมือของอิ๋งจื่อจินได้ยังไง

แต่นี่ไม่สำคัญ

สิ่งสำคัญคือ อิ๋งจื่อจินปักตะเกียบไม้ลงไปในโต๊ะได้ยังไง

โรงอาหารยังคงเงียบสงัด สายตาทุกคู่มองไปที่อิ๋งจื่อจิน

อิ๋งจื่อจินหยิบตะเกียบคู่ใหม่แล้วไปหาที่นั่งริมหน้าต่าง

“มองอะไรน่ะ” เจียงหรานกวาดตามอง แสยะยิ้ม “ยังมองไม่พออีกเหรอ อยากให้ช่วยควักลูกตาออกมาวางตรงหน้านี้แล้วดูให้พอไหม”

พวกนักเรียนรีบละสายตาทันที เริ่มก้มหน้าก้มตากินข้าวกันอย่างบ้าคลั่ง

เจียงหรานเชิดหน้า ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้นหน่อย

ดูท่าบารมีของเขาที่เป็นขาใหญ่ประจำโรงเรียนยังคงอยู่

ซิวอวี่กัดแอปเปิลแล้วนั่งตาม

ราวกับยังไม่ได้สติกลับมา ผ่านไปหลายวินาทีเธอถึงพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “พ่ออิ๋ง เมื่อกี้เธอ…”

“ไม่มีอะไรหรอก” อิ๋งจื่อจินใช้ตะเกียบคีบผัก พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ลืมคุมแรงน่ะ”

แรงที่มือมากไปหน่อย เธอต้องปรับปรุง

ซิวอวี่รู้สึกว่าแอปเปิลในปากไม่มีรสชาติไปชั่วขณะ

ลืมคุมแรง ก็เลยทำตะเกียบปักเข้าไปในโต๊ะ

นี่ถ้าตั้งใจออกแรงจริง พังค้อนเหล็กให้แหลกก็กลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ เลยไหม

ทันใดนั้นเธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย

ซิวอวี่มองอิ๋งจื่อจินพลางครุ่นคิด

คนที่ใช้แรงได้ถึงขั้นนี้ ต่อให้ไม่ใช่จอมยุทธ์โบราณอย่างแท้จริง ก็ต้องเกี่ยวข้องกับวิทยายุทธ์โบราณอยู่บ้าง

แต่หลังจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเป็นต้นมาก็ไม่ค่อยเจอจอมยุทธ์โบราณแล้ว

ซิวอวี่ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอันรวดเร็วของเทคโนโลยีหรือเปล่า

เหล่าตระกูลวิทยายุทธ์โบราณที่เคยรุ่งโรจน์ในตี้ตู โดยรวมนั้นถือว่าค่อยๆ ถอนตัวออกไปหมดแล้ว

อย่างเจียงหรานก็เป็นแค่คนที่ฝึกวิทยายุทธ์โบราณขั้นต้น ไม่ใช่จอมยุทธ์โบราณ

เพราะวิธีการฝึกไม่ถูกต้อง กำลังภายในที่อยู่ในร่างกายถึงได้ปั่นป่วน จึงส่งผลต่อสภาพอารมณ์และนิสัย ถึงได้จำเป็นต้องใช้ยามาควบคุม

จอมยุทธ์โบราณที่แท้จริงมีอยู่น้อยมาก

ใช่ว่าใครก็เข้าวงการวิทยายุทธ์โบราณได้ ลึกลับยิ่งกว่าวงการแพทย์แผนโบราณเสียอีก

ซิวอวี่แน่ใจได้ว่า พ่ออิ๋งของพวกเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับวิทยายุทธ์โบราณแน่นอน

ไม่แน่อาจมีอาจารย์ที่มาจากวงการวิทยายุทธ์โบราณ

แต่เธอก็ไม่ได้ถาม

ตราบใดที่ได้เห็นเจียงหรานถูกกำราบไว้ เธอก็มีความสุขแล้ว แถมยังเอาไปคุยกับพี่ฮว่าผิงได้ด้วย

พอคิดมาถึงตรงนี้ ซิวอวี่ก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมา จึงกินแอปเปิลลูกใหญ่อีกผล

เวลาตีสามครึ่ง

ยามราตรีที่เงียบสงัดไร้เสียง

ฟู่อวิ๋นเซินลืมตาขึ้น ตื่นนอนอยู่บนเตียงภายในคอนโดส่วนตัว

เขานอนอยู่เงียบๆ ห้านาทีแล้วถึงค่อยๆ ลุกขึ้น

ในดวงตาดอกท้ออันน่าหลงใหลมีสีเลือดจางๆ

เขาไม่รู้ว่าตัวเองฝันร้ายแบบนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ต่อให้ดำเนินการรักษาด้วยการสะกดจิตระดับลึกมาสามปี เขาก็ยังคงไม่อาจหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ได้

ทุกครั้งที่หลับตาลงจะเต็มไปด้วยการนองเลือด

เสียงระเบิด เสียงยิงปืน เสียงกรีดร้อง ดังวนเวียนอยู่ข้างหู

และก็เป็นอดีตที่เขาหนีไม่พ้น

ฟู่อวิ๋นเซินรินน้ำ เดินไปที่ริมระเบียง

ไกลออกไปเป็นหมู่ตึกที่เปิดไฟสว่างไสว เมืองฮู่เฉิงเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลมาตลอด

ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือได้ดังขึ้น

เนี่ยอี้โทรมา

ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว สุดท้ายก็กดรับ “ฮัลโหล”

“อวิ๋นเซิน ฉันกลับมาตี้ตูแล้ว” เนี่ยอี้พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ยังจัดการธุระไม่เสร็จ ฝากดูแลเนี่ยเฉาอีกสักระยะนะ”

“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินนวดหางตา รู้สึกจนปัญญานิดหน่อย “เรื่องแบบนี้นายต้องโทรหาฉันกลางดึกด้วยเหรอ”

เนี่ยอี้เงียบไปเล็กน้อยแล้วถึงตอบ “ไม่ใช่ เสวี่ยเซิงบอกฉันว่าสภาพอารมณ์ของนายเปลี่ยนแปลงไปมาก ฉันกลัวนายจะทำอะไรสุดโต่ง”

อวี้เสวี่ยเซิงเป็นนักจิตวิทยาที่เขาเชิญมาให้อิ๋งจื่อจินโดยเฉพาะ และยังเป็นนักสะกดจิตอันดับสองของเอ็นโอเค

ฟู่อวิ๋นเซินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

สภาพอารมณ์ของเขาถูกจับตาดูอยู่

นี่เป็นสิ่งที่เขาขอร้องเอง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อะไร

อย่างไรเสียเขาก็เคยสูญเสียการควบคุม

“อวิ๋นเซิน นาย…” เนี่ยอี้ชะงักเล็กน้อย “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ไม่มีอะไร ชินแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินแสยะยิ้ม “ก็แค่รู้สึกว่าบางครั้งการมีชีวิตอยู่มันก็เหนื่อยดีนะ”

เนี่ยอี้เงียบไป

ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร

“ไม่มีอะไรแล้ววางนะ” ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้พูดอะไรมาก “จ่ายค่ากินของน้องชายนายมาด้วยล่ะ เขากินเก่งเป็นบ้า”

ไม่รอให้เนี่ยอี้พูดอะไรอีก เขากดตัดสายทิ้ง

จากนั้นก็ครุ่นคิดหลายวินาทีแล้วกดเปิดวีแชท

[เยาเยา อาหารเช้าอยากกินอะไร พี่ชายจะแวะเอาไปให้]

ฟู่อวิ๋นเซินส่งข้อความเสร็จก็วางโทรศัพท์มือถือลง

ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ คนทั่วไปกำลังนอนอยู่

แต่ข้อความวีแชทข้อความนี้ถูกส่งไปได้ไม่กี่วินาทีก็มีข้อความตอบกลับ

[ได้หมด]

ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็มีข้อความที่สอง

[ฝันร้ายเหรอ]

ฟู่อวิ๋นเซินอึ้งไปชั่วขณะ

สักพักเขาก็ตอบอย่างเนือยๆ

[เด็กน้อยเป็นนักทำนายขั้นเทพเหรอ ดึกขนาดนี้ยังไม่นอนอีก ถึงเราจะผมหนา สวยมาแต่กำเนิด แต่ก็ต้องรักษาสุขภาพนะ]

พอส่งข้อความนี้ไปก็มีวิดีโอคอลเข้า

มือของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก เขากดรับ

หน้าสดของอิ๋งจื่อจินปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์

เธออยู่ในชุดนอน ผมยาวสยายประบ่า ใบหน้าถูกแสงจันทร์สลัวนอกหน้าต่างสาดส่องจนเป็นสีทองอ่อนๆ

เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตื่นเหมือนกัน น้ำเสียงของเธองัวเงียเล็กน้อย

“คุณหลับไม่ค่อยสบาย พรุ่งนี้ฉันจะเอายาไปให้หน่อย กินก่อนอาหารเช้ากลางวันเย็นทุกวัน รักษาเป็นเวลาเจ็ดวัน”

นิ่งไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ถ้าฝันร้ายทางที่ดีอย่าอยู่คนดียว”

สายตาของฟู่อวิ๋นเซินจับจ้อง

เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กน้อยจะวิดีโอคอลหาเขาเพื่อพูดเรื่องนี้

เมื่อก่อนไม่มีสักคนเดียวที่จะบอกเขาว่าอย่าอยู่คนเดียวเวลาฝันร้าย

“พี่ชายรู้แล้ว ไปนอนเถอะเด็กน้อย” ฟู่อวิ๋นเซินพิงไปด้านหลัง หางตาขยับแล้วยิ้มออกมา “ถ้ายังไม่นอนอีกพี่ชายจะไปหาแล้วจับเธอยัดเข้าผ้าห่ม”

วิดีโอคอลถูกตัดสายทิ้ง

ไม่ให้เวลาเขาได้ร่ำลาอะไรทั้งนั้น

ฟู่อวิ๋นเซินมองหน้าจอที่มืดสนิท ขมวดคิ้ว มุมปากถูกยกขึ้น ดวงตาเจือไปด้วยรอยยิ้ม

ยังคงเป็นเด็กน้อยที่ไร้เยื่อใยสินะ

วันต่อมา

โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ

ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน

ผู้อำนวยการกำลังตรวจดูเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ภายในโรงเรียน

ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการ เขาต้องรู้จักนักเรียนทุกคน ไม่ใช่แค่ฟังคำบอกเล่าจากอาจารย์ที่ปรึกษาหรืออาจารย์ทั่วไป

ประตูถูกเปิดออกในเวลานี้

คนที่เดินเข้ามาคือเฮ่อสวิน

เฮ่อสวินพยักหน้าด้วยความนอบน้อม “ผู้อำนวยการ”

“อาจารย์เฮ่อมาแล้วเหรอครับ” ผู้อำนวยการดันแว่นตา “นั่งสิครับ”

เฮ่อสวินนั่งลง

“ตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือนเมษา” ผู้อำนวยการพลิกปฏิทิน “การสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกของมหาวิทยาลัยนอร์ตันคือปลายเดือนพฤษภา”

เฮ่อสวินพยักหน้า “ถูกต้องครับ”

หากอยากเข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันจำเป็นต้องให้ทางมหาวิทยาลัยส่งจดหมายเชิญมาด้วยตัวเอง

ถ้าไม่มีจดหมายเชิญ ต่อให้เป็นที่หนึ่งของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่ได้อยู่ดี

แต่นี่คือสำหรับภายนอก

ส่วนภายใน มหาวิทยาลัยนอร์ตันจะมีการสอบสัมภาษณ์สามครั้ง

สิทธิ์ในการสอบสัมภาษณ์ มีเพียงศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยนอร์ตันเท่านั้นถึงจะได้โควตา

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมชิงจื้อถึงได้เชิญเฮ่อสวินมาเป็นอาจารย์

เพราะถ้ามีเฮ่อสวิน ชิงจื้อก็จะได้สิทธิ์เปิดทางสู่มหาวิทยาลัยนอร์ตัน

ต่อให้มีนักเรียนเพียงคนเดียวที่เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันได้ ชิงจื้อก็จะเบียดติดอันดับโรงเรียนมัธยมชั้นแนวหน้าของโลกทันที

เฮ่อสวินมีโควตาสอบสัมภาษณ์อยู่สามสิทธิ์ในมือ

ถึงแม้จะน้อยมาก แต่ผู้อำนวยการก็พอใจมากแล้ว

“ขอผมคิดก่อนนะ แบบนี้” ผู้อำนวยการครุ่นคิดสักพักแล้วพูดขึ้น “สองสิทธิ์สัมภาษณ์เอาไว้ให้คลาสนานาชาติ อีกหนึ่งสิทธิ์ที่เหลือให้ที่หนึ่งของชั้นปี อาจารย์เฮ่อคิดว่าไงครับ”

“การตัดสินใจของผู้อำนวยการย่อมดีแล้วครับ” เฮ่อสวินไม่คัดค้าน “แต่มหาวิทยาลัยนอร์ตันไม่ได้ดูแค่ผลการเรียนครับ”

อันที่จริงเขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรซะคณะที่เขาอยู่ก็แค่ระดับดี (D)

จากที่อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาบอก นักศึกษาของคณะระดับเอส (S) ถึงจะถือว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ตันอย่างแท้จริง

พอเขาถาม อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาก็จะบอกว่านี่เป็นความลับ เขายังไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้

จนถึงตอนนี้เฮ่อสวินก็ยังไม่รู้ว่าต้องเก่งถึงระดับไหนถึงจะเข้าคณะระดับเอส (S) ได้

“งั้นก็ตามนี้ครับ” ผู้อำนวยการพยักหน้า “ผมจำได้ว่าอาจารย์เฮ่อสวินรู้จักคนของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรป”

เฮ่อสวินเข้าใจ “ผู้อำนวยการอยากให้ผมพาพวกเด็กเก่งของคลาสศิลปะไปด้วยตอนที่ไปมหาวิทยาลัยนอร์ตันเหรอครับ”

“ถูกต้องครับ” ผู้อำนวยการพูด “แต่อาจต้องพาไปด้วยอีกคน นักเรียนอิ๋งจื่อจินทำผลงานได้ดีเยี่ยมในเทศกาลศิลปะครั้งนี้ ผมว่าเอาเธอไปลองดูได้ครับ”

มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็เป็นมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของโลกเหมือนกัน

เขาอยากให้นักเรียนทุกคนมีอนาคตที่ดีที่สุด

เฮ่อสวินปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด น้ำเสียงเย็นชา “ขอโทษด้วยครับผู้อำนวยการ ผมคิดว่าไม่จำเป็น”

มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็จำเป็นต้องใช้คะแนนวิชาศิลปวัฒนธรรมเหมือนกัน อย่างอิ๋งจื่อจินไปแล้วจะทำอะไรได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+