ยอดนักรบจอมราชัน 196 หลัวจ้าน

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 196 หลัวจ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เย่เชียนเอ๋ย… เธอจะช่วยฉันอีกสักเรื่องเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม ?” ดวงตาของเฉินฟู่เฉิงเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ความรู้สึกผิดและโหยหา

“คุณพูดมาได้เลยครับ ถ้าผมช่วยอะไรได้ ผมก็พร้อมที่จะเต็มใจช่วย” เย่เชียนกล่าว

“ฉันไม่เคยรู้สึกเสียใจให้กับใครเลยในชีวิต นอกจากคน ๆ เดียว… เธอเป็นคนที่ฉันรักมาตลอด ภรรยาของฉันเอง ถ้าวันนึงเธอมีโอกาสได้เจอกับเธอล่ะก็ ช่วยขอโทษเธอแทนฉันที… ฉันเป็นหนี้เธอมาตลอดทั้งชีวิต เพราะสิ่งที่เธอมอบให้กับฉันนั้นมันมากมายมหาศาลเหลือเกิน แต่ฉันคงต้องชดใช้มันให้กับเธอในชาติหน้าเสียแล้ว” เฉินฟู่เฉิงถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อเอ่ยถึงภรรยาของเขา

เย่เชียนได้แต่พยักหน้าอย่างหนักแน่นโดยไม่ได้พูดอะไรกลับไป แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเฉินฟู่เฉิงและภรรยาของเขากันแน่ แต่เย่เชียนก็เชื่อว่าเฉินฟู่เฉิงนั้นรักผู้หญิงคนนี้มาโดยตลอด บางทีมันอาจจะเป็นเพราะฟ้ากลั่นแกล้งหรืออาจจะเป็นเฉินฟู่เฉิงเองที่ไม่ต้องการให้เธอเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้ที่ยากลำบากเช่นนี้ของเขา สิ่งนี้ทำให้เย่เชียนตระหนักมากขึ้นว่าไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เขาจะไม่มีวันพลัดพรากจากหลินโรโร่ว ผู้หญิงที่จิตใจดีคนนี้อย่างแน่นอน

เมื่อเฉินฟู่เฉิงเห็นเย่เชียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้ว เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างได้รับการฝากฝังเอาไว้เรียบร้อย ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก จากนั้นเฉินฟู่เฉิงก็จับมือเย่เชียนเบา ๆ และพูดว่า “เธอออกไปก่อนเถอะ… ฉันเหนื่อยมากแล้วอยากจะพักสักหน่อย”

เย่เชียนพยักหน้าและช่วยเฉินฟู่เฉิงนอนลง จากนั้นก็พูดว่า “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

เฉินฟู่เฉิงได้แต่พยักหน้าเบา ๆ อย่างอ่อนแรง

เมื่อเย่เชียนเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้วก็พบว่าฉินเทียนไม่ได้อยู่ที่ทางเดินข้างนอกห้อง เขาจึงเดินไปที่หน้าต่างและกวาดสายตามองรอบ ๆ และเขาก็เห็นฉินเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ในโถงด้านล่างของโรงพยาบาล

เย่เชียนไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเลย เขาถูกชักชวนมายังเมืองหนานจิงอย่างคลุมเครือ จากนั้นเขาก็ได้รับเกียรติได้สืบทอดเจตนารมณ์ของเฉินฟู่เฉิงผู้ยิ่งใหญ่ เย่เชียนรู้สึกสับสนไปหมด ดูเหมือนว่าเฉินฟู่เฉิงจะขอให้ฉินเทียนช่วยเขาตามหาผู้สืบทอด แต่ทว่าทำไมฉินเทียนถึงคิดเลือกเขาล่ะ ? ทำไมถึงไม่เลือกคนจากหงเหมินกรุ๊ป ? เพราะถ้าฉินเทียนเลือกคนจากหงเหมินกรุ๊ป เขาก็จะสามารถยึดครองอำนาจในเมืองหนานจิงได้ไม่ยาก

“เป็นยังไงบ้าง ?” เมื่อเห็นเย่เชียนเดินมาฉินเทียนก็หันไปถาม

“เล่นเกมหมากรุกและคุยกันนิดหน่อยครับ” เย่เชียนพูด

ฉินเทียนพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ เขาและเฉินฟู่เฉิงนั้นมีมิตรภาพที่จริงใจต่อกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ติดต่อกันอย่างใกล้ชิดก็ตาม แต่พวกเขาก็รู้จักกันและกันเป็นอย่างดี หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเย่เชียน ฉินเทียนก็รู้ได้ว่าเฉินฟู่เฉิงคงได้บอกเจตจำนงของเขาให้กับเย่เชียนแล้ว ไม่เช่นนั้นเย่เชียนก็คงจะไม่อยู่คุยกับเฉินฟู่เฉิงเป็นเวลานานขนาดนี้ ที่พื้นแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยก้นบุหรี่ ดูเหมือนว่าฉินเทียนนั้นจะเศร้าใจจริง ๆ บางครั้งอารมณ์ของผู้ชายนั้นก็ไม่จำเป็นต้องที่จะต้องเข้มแข็งเสมอไปเช่นเดียวกับมิตรภาพระหว่างฉินเทียนและเฉินฟู่เฉิง

“ฉันหวังว่าหลานเย่คงจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ” ฉินเทียนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนขณะพูด

“ทำไมเหรอครับ ?” เย่เชียนถามเขากลับ เขาหวังว่าฉินเทียนจะให้ความกระจ่างกับเขาได้เสียที

ฉินเทียนยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “ต่อจากนี้ไปโลกนี้จะกลายเป็นโลกที่ผู้อ่อนแอจะเป็นฝ่ายกลืนกินผู้ที่แข็งแกร่ง มันจะเป็นยุคของคลื่นลูกใหม่ คนเฒ่าคนแก่ควรจะสละตำแหน่งและให้โอกาสคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่กันได้แล้ว!”

เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปชั่วขณะ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจเหตุผลที่ฉินเทียนเลือกตัวเองแล้ว ฉินเทียนอาจจะต้องการทดสอบเย่เชียนว่าเขานั้นจะสามารถปฏิรูปเมืองหนานจิงยุคใหม่ได้หรือไม่ แต่จุดประสงค์ของเย่เชียนนั้นยังคงไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ในเมื่อเขาได้ตกลงรับปากสัญญาอย่างลูกผู้ชายกับเฉินฟู่เฉิงไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าเขานั้นมีความรับผิดชอบอันมากโขที่แบกอยู่บนบ่า

ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ลานกว้างของโรงพยาบาลในความเงียบปราศจากคำพูดอะไรใด ๆ บนท้องฟ้ามีดวงดาวเพียงไม่กี่ดวงที่ยังคงส่องแสงสว่างอยู่ในค่ำคืนอันแสนเงียบงันและโดดเดี่ยวเช่นนี้ ถ้าหากทุกคนเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า แล้วเราจะรู้หรือไม่ว่าเรานั้นจะเป็นดาวดวงไหน ? และคนอย่างเฉินฟู่เฉิงคือดาวอะไร ?

ไม่นานก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของฉินเทียนและเย่เชียน ชายวัยสามสิบต้น ๆ คนหนึ่งเดินออกลงมาจากรถเขาดูสูงสง่าและแข็งแรง ทว่าคิ้วของเขาขมวดกันเป็นปมแน่นและมีความเศร้าแฝงอยู่บนใบหน้าของเขา

“ประธานฉิน!” ชายคนนั้นพยักหน้าให้ฉินเทียนและทำความเคารพ

“อ้าว! หลัวจ้านนี่เอง” ฉินเทียนพูด “มา ๆ ฉันจะแนะนำคุณให้รู้จักกับเย่เชียน”

หลัวจ้านหันหน้าไปมองเย่เชียนโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยหมัดเข้าใส่เย่เชียนด้วยมวยหมัดเหล็กเส้าหลินทางตอนใต้ หมัดของชายคนนั้นมีทั้งความรุนแรงและเสถียรภาพ เขาเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและรัวมือไม่ยั้ง

เย่เชียนผงะ บุคลิกของเขาคนนี้แตกต่างจากเฉินฟู่เฉิงมาก เพราะเขาดูเหมือนจะมีเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่ภายใต้การต่อสู้ ในขณะที่เบื้องหลังการต่อสู้ของเย่เชียนนั้นมีเพียงความต้องการทำลายล้างเสียมากกว่า

เย่เชียนไม่มีเวลาคิดอะไรอีกต่อไป เขาหลบหมัดของหลัวจ้านอยากรวดเร็วแล้วเหลือบมองไปที่ฉินเทียนเป็นการตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับพบว่าฉินเทียนนั้นไม่ได้มีความตั้งใจที่จะห้ามปรามอะไรเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็เดาได้อยู่อย่างเดียวคือหลัวจ้านคนนี้เป็นลูกน้องของเฉินฟู่เฉิง ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นลูกน้องคนสนิทหรือจะเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของเฉินฟู่เฉิงก็ได้ เป็นไปได้ไหมว่าหลัวจ้านนั้นไม่เต็มใจที่เฉินฟู่เฉิงมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเย่เชียน ?

เย่เชียนไม่สนใจว่าหลัวจ้านจะเป็นใครหรือมาจากไหน ในเมื่อเฉินฟู่เฉิงได้ตัดสินใจมอบความไว้วางใจและทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขาแล้ว เขาจึงต้องแบกรับมันเอาไว้และรับผิดชอบจนถึงที่สุด

ต้องบอกเลยว่าฝีมือของหลัวจ้านนั้นดีมาก แต่หลัวจ้านนั้นดูเหมือนจะไม่ได้เป็นนักฆ่าเลือดเย็นอะไร ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เขาน่าจะเป็นพวกใช้การทูตในการเจรจาเสียมากกว่า มุมปากของเย่เชียนฉีกยิ้มขึ้นเล็กน้อย หลังจากเฝ้าดูการโจมตีด้วยหมัดของหลัวจ้านอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเย่เชียนก็สวนกลับด้วยหมัดของเขา

หมัดของเย่เชียนและหลัวจ้านนั้นปะทะเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนเย่เชียนรู้สึกได้ว่าหมัดของหลัวจ้านนั้นมีพลังมหาศาลทำให้เขาต้องถอยหลังไปตั้งหลักหนึ่งก้าว เห็นได้ชัดว่าหลัวจ้านก็ไม่ได้คาดหวังเช่นกันว่าหมัดของเย่เชียนจะรุนแรงถึงขนาดนี้ ทำให้เขาเองก็ต้องถอยออกไปสามก้าวด้วยเช่นกัน

เพียงแค่หมัดเดียวก็สามารถแสดงผลลัพธ์ในครั้งนี้ได้แล้ว หลัวจ้านพ่ายแพ้ไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะหลังจากที่หมัดของทั้งสองปะทะกันได้เพียงแป๊บเดียว ขาของหลัวจ้านก็ทรุดลงไปจากความเจ็บปวดที่กระจายจากมือไปสู่ทั่วร่างกาย ทำให้เขาไม่สามารถที่จะสู้ต่อได้อีก อย่างไรก็ตามเย่เชียนนั้นแค่สะบัดมือสองสามทีเพราะความเจ็บปวด แต่เขายังคงยืนหยัดและสู้ต่อไปได้

เมื่อหมัดของพวกเขาทั้งสองได้ปะทะกัน หลัวจ้านก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหมัดของเย่เชียนมีพลังแห่งความมืดแฝงอยู่ในนั้นด้วย เพราะความรุนแรงจากการปะทะนั้นมันได้พุ่งตรงไปยังเส้นเลือดที่แขนของเขาโดยตรงและลามไปทั่วทั้งร่างกายในไม่ช้า แขนของหลัวจ้านถึงกับสั่นสะท้านไปหมด ทว่าเขากลับพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็พูดอย่างจริงใจว่า “เจ้านายมองคนไม่ผิดจริง ๆ ”

“เรามารู้จักกันอย่างเป็นทางการกันเถอะ… ผมชื่อเย่เชียนที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน” เย่เชียนยื่นมือออกมาทักทาย

“ฉัน… หลัวจ้าน” หลัวจ้านเอื้อมมือออกมาจับมือกับเย่เชียนแล้วเขย่าเล็กน้อยด้วยความยินดี

หลัวจ้านเป็นดั่งนักรบคนแรกของเฉินฟู่เฉิง เขาคือผู้ที่คอยติดตามการต่อสู้ของเฉินฟู่เฉิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งขึ้นเหลือล่องใต้เขาไปมาหมด อีกทั้งยังมีส่วนในการสร้างความยิ่งใหญ่นี้อีกด้วย อาจกล่าวได้ว่าหากไม่มีหลัวจ้านคนนี้แล้วล่ะก็ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เฉินฟู่เฉิงตั้งใจสร้างคงจะไม่ราบรื่นและยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าบรรดาผู้คนในเมืองแห่งนี้ทุกคนต่างก็ต้องยกนิ้วให้เมื่อเอ่ยถึงชื่อของหลัวจ้านผู้นี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 196 หลัวจ้าน

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 196 หลัวจ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เย่เชียนเอ๋ย… เธอจะช่วยฉันอีกสักเรื่องเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม ?” ดวงตาของเฉินฟู่เฉิงเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ความรู้สึกผิดและโหยหา

“คุณพูดมาได้เลยครับ ถ้าผมช่วยอะไรได้ ผมก็พร้อมที่จะเต็มใจช่วย” เย่เชียนกล่าว

“ฉันไม่เคยรู้สึกเสียใจให้กับใครเลยในชีวิต นอกจากคน ๆ เดียว… เธอเป็นคนที่ฉันรักมาตลอด ภรรยาของฉันเอง ถ้าวันนึงเธอมีโอกาสได้เจอกับเธอล่ะก็ ช่วยขอโทษเธอแทนฉันที… ฉันเป็นหนี้เธอมาตลอดทั้งชีวิต เพราะสิ่งที่เธอมอบให้กับฉันนั้นมันมากมายมหาศาลเหลือเกิน แต่ฉันคงต้องชดใช้มันให้กับเธอในชาติหน้าเสียแล้ว” เฉินฟู่เฉิงถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อเอ่ยถึงภรรยาของเขา

เย่เชียนได้แต่พยักหน้าอย่างหนักแน่นโดยไม่ได้พูดอะไรกลับไป แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเฉินฟู่เฉิงและภรรยาของเขากันแน่ แต่เย่เชียนก็เชื่อว่าเฉินฟู่เฉิงนั้นรักผู้หญิงคนนี้มาโดยตลอด บางทีมันอาจจะเป็นเพราะฟ้ากลั่นแกล้งหรืออาจจะเป็นเฉินฟู่เฉิงเองที่ไม่ต้องการให้เธอเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้ที่ยากลำบากเช่นนี้ของเขา สิ่งนี้ทำให้เย่เชียนตระหนักมากขึ้นว่าไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เขาจะไม่มีวันพลัดพรากจากหลินโรโร่ว ผู้หญิงที่จิตใจดีคนนี้อย่างแน่นอน

เมื่อเฉินฟู่เฉิงเห็นเย่เชียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้ว เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างได้รับการฝากฝังเอาไว้เรียบร้อย ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก จากนั้นเฉินฟู่เฉิงก็จับมือเย่เชียนเบา ๆ และพูดว่า “เธอออกไปก่อนเถอะ… ฉันเหนื่อยมากแล้วอยากจะพักสักหน่อย”

เย่เชียนพยักหน้าและช่วยเฉินฟู่เฉิงนอนลง จากนั้นก็พูดว่า “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

เฉินฟู่เฉิงได้แต่พยักหน้าเบา ๆ อย่างอ่อนแรง

เมื่อเย่เชียนเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้วก็พบว่าฉินเทียนไม่ได้อยู่ที่ทางเดินข้างนอกห้อง เขาจึงเดินไปที่หน้าต่างและกวาดสายตามองรอบ ๆ และเขาก็เห็นฉินเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ในโถงด้านล่างของโรงพยาบาล

เย่เชียนไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเลย เขาถูกชักชวนมายังเมืองหนานจิงอย่างคลุมเครือ จากนั้นเขาก็ได้รับเกียรติได้สืบทอดเจตนารมณ์ของเฉินฟู่เฉิงผู้ยิ่งใหญ่ เย่เชียนรู้สึกสับสนไปหมด ดูเหมือนว่าเฉินฟู่เฉิงจะขอให้ฉินเทียนช่วยเขาตามหาผู้สืบทอด แต่ทว่าทำไมฉินเทียนถึงคิดเลือกเขาล่ะ ? ทำไมถึงไม่เลือกคนจากหงเหมินกรุ๊ป ? เพราะถ้าฉินเทียนเลือกคนจากหงเหมินกรุ๊ป เขาก็จะสามารถยึดครองอำนาจในเมืองหนานจิงได้ไม่ยาก

“เป็นยังไงบ้าง ?” เมื่อเห็นเย่เชียนเดินมาฉินเทียนก็หันไปถาม

“เล่นเกมหมากรุกและคุยกันนิดหน่อยครับ” เย่เชียนพูด

ฉินเทียนพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ เขาและเฉินฟู่เฉิงนั้นมีมิตรภาพที่จริงใจต่อกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ติดต่อกันอย่างใกล้ชิดก็ตาม แต่พวกเขาก็รู้จักกันและกันเป็นอย่างดี หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเย่เชียน ฉินเทียนก็รู้ได้ว่าเฉินฟู่เฉิงคงได้บอกเจตจำนงของเขาให้กับเย่เชียนแล้ว ไม่เช่นนั้นเย่เชียนก็คงจะไม่อยู่คุยกับเฉินฟู่เฉิงเป็นเวลานานขนาดนี้ ที่พื้นแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยก้นบุหรี่ ดูเหมือนว่าฉินเทียนนั้นจะเศร้าใจจริง ๆ บางครั้งอารมณ์ของผู้ชายนั้นก็ไม่จำเป็นต้องที่จะต้องเข้มแข็งเสมอไปเช่นเดียวกับมิตรภาพระหว่างฉินเทียนและเฉินฟู่เฉิง

“ฉันหวังว่าหลานเย่คงจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ” ฉินเทียนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนขณะพูด

“ทำไมเหรอครับ ?” เย่เชียนถามเขากลับ เขาหวังว่าฉินเทียนจะให้ความกระจ่างกับเขาได้เสียที

ฉินเทียนยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “ต่อจากนี้ไปโลกนี้จะกลายเป็นโลกที่ผู้อ่อนแอจะเป็นฝ่ายกลืนกินผู้ที่แข็งแกร่ง มันจะเป็นยุคของคลื่นลูกใหม่ คนเฒ่าคนแก่ควรจะสละตำแหน่งและให้โอกาสคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่กันได้แล้ว!”

เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปชั่วขณะ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจเหตุผลที่ฉินเทียนเลือกตัวเองแล้ว ฉินเทียนอาจจะต้องการทดสอบเย่เชียนว่าเขานั้นจะสามารถปฏิรูปเมืองหนานจิงยุคใหม่ได้หรือไม่ แต่จุดประสงค์ของเย่เชียนนั้นยังคงไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ในเมื่อเขาได้ตกลงรับปากสัญญาอย่างลูกผู้ชายกับเฉินฟู่เฉิงไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าเขานั้นมีความรับผิดชอบอันมากโขที่แบกอยู่บนบ่า

ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ลานกว้างของโรงพยาบาลในความเงียบปราศจากคำพูดอะไรใด ๆ บนท้องฟ้ามีดวงดาวเพียงไม่กี่ดวงที่ยังคงส่องแสงสว่างอยู่ในค่ำคืนอันแสนเงียบงันและโดดเดี่ยวเช่นนี้ ถ้าหากทุกคนเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า แล้วเราจะรู้หรือไม่ว่าเรานั้นจะเป็นดาวดวงไหน ? และคนอย่างเฉินฟู่เฉิงคือดาวอะไร ?

ไม่นานก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของฉินเทียนและเย่เชียน ชายวัยสามสิบต้น ๆ คนหนึ่งเดินออกลงมาจากรถเขาดูสูงสง่าและแข็งแรง ทว่าคิ้วของเขาขมวดกันเป็นปมแน่นและมีความเศร้าแฝงอยู่บนใบหน้าของเขา

“ประธานฉิน!” ชายคนนั้นพยักหน้าให้ฉินเทียนและทำความเคารพ

“อ้าว! หลัวจ้านนี่เอง” ฉินเทียนพูด “มา ๆ ฉันจะแนะนำคุณให้รู้จักกับเย่เชียน”

หลัวจ้านหันหน้าไปมองเย่เชียนโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยหมัดเข้าใส่เย่เชียนด้วยมวยหมัดเหล็กเส้าหลินทางตอนใต้ หมัดของชายคนนั้นมีทั้งความรุนแรงและเสถียรภาพ เขาเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและรัวมือไม่ยั้ง

เย่เชียนผงะ บุคลิกของเขาคนนี้แตกต่างจากเฉินฟู่เฉิงมาก เพราะเขาดูเหมือนจะมีเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่ภายใต้การต่อสู้ ในขณะที่เบื้องหลังการต่อสู้ของเย่เชียนนั้นมีเพียงความต้องการทำลายล้างเสียมากกว่า

เย่เชียนไม่มีเวลาคิดอะไรอีกต่อไป เขาหลบหมัดของหลัวจ้านอยากรวดเร็วแล้วเหลือบมองไปที่ฉินเทียนเป็นการตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับพบว่าฉินเทียนนั้นไม่ได้มีความตั้งใจที่จะห้ามปรามอะไรเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็เดาได้อยู่อย่างเดียวคือหลัวจ้านคนนี้เป็นลูกน้องของเฉินฟู่เฉิง ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นลูกน้องคนสนิทหรือจะเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของเฉินฟู่เฉิงก็ได้ เป็นไปได้ไหมว่าหลัวจ้านนั้นไม่เต็มใจที่เฉินฟู่เฉิงมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเย่เชียน ?

เย่เชียนไม่สนใจว่าหลัวจ้านจะเป็นใครหรือมาจากไหน ในเมื่อเฉินฟู่เฉิงได้ตัดสินใจมอบความไว้วางใจและทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขาแล้ว เขาจึงต้องแบกรับมันเอาไว้และรับผิดชอบจนถึงที่สุด

ต้องบอกเลยว่าฝีมือของหลัวจ้านนั้นดีมาก แต่หลัวจ้านนั้นดูเหมือนจะไม่ได้เป็นนักฆ่าเลือดเย็นอะไร ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เขาน่าจะเป็นพวกใช้การทูตในการเจรจาเสียมากกว่า มุมปากของเย่เชียนฉีกยิ้มขึ้นเล็กน้อย หลังจากเฝ้าดูการโจมตีด้วยหมัดของหลัวจ้านอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเย่เชียนก็สวนกลับด้วยหมัดของเขา

หมัดของเย่เชียนและหลัวจ้านนั้นปะทะเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนเย่เชียนรู้สึกได้ว่าหมัดของหลัวจ้านนั้นมีพลังมหาศาลทำให้เขาต้องถอยหลังไปตั้งหลักหนึ่งก้าว เห็นได้ชัดว่าหลัวจ้านก็ไม่ได้คาดหวังเช่นกันว่าหมัดของเย่เชียนจะรุนแรงถึงขนาดนี้ ทำให้เขาเองก็ต้องถอยออกไปสามก้าวด้วยเช่นกัน

เพียงแค่หมัดเดียวก็สามารถแสดงผลลัพธ์ในครั้งนี้ได้แล้ว หลัวจ้านพ่ายแพ้ไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะหลังจากที่หมัดของทั้งสองปะทะกันได้เพียงแป๊บเดียว ขาของหลัวจ้านก็ทรุดลงไปจากความเจ็บปวดที่กระจายจากมือไปสู่ทั่วร่างกาย ทำให้เขาไม่สามารถที่จะสู้ต่อได้อีก อย่างไรก็ตามเย่เชียนนั้นแค่สะบัดมือสองสามทีเพราะความเจ็บปวด แต่เขายังคงยืนหยัดและสู้ต่อไปได้

เมื่อหมัดของพวกเขาทั้งสองได้ปะทะกัน หลัวจ้านก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหมัดของเย่เชียนมีพลังแห่งความมืดแฝงอยู่ในนั้นด้วย เพราะความรุนแรงจากการปะทะนั้นมันได้พุ่งตรงไปยังเส้นเลือดที่แขนของเขาโดยตรงและลามไปทั่วทั้งร่างกายในไม่ช้า แขนของหลัวจ้านถึงกับสั่นสะท้านไปหมด ทว่าเขากลับพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็พูดอย่างจริงใจว่า “เจ้านายมองคนไม่ผิดจริง ๆ ”

“เรามารู้จักกันอย่างเป็นทางการกันเถอะ… ผมชื่อเย่เชียนที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน” เย่เชียนยื่นมือออกมาทักทาย

“ฉัน… หลัวจ้าน” หลัวจ้านเอื้อมมือออกมาจับมือกับเย่เชียนแล้วเขย่าเล็กน้อยด้วยความยินดี

หลัวจ้านเป็นดั่งนักรบคนแรกของเฉินฟู่เฉิง เขาคือผู้ที่คอยติดตามการต่อสู้ของเฉินฟู่เฉิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งขึ้นเหลือล่องใต้เขาไปมาหมด อีกทั้งยังมีส่วนในการสร้างความยิ่งใหญ่นี้อีกด้วย อาจกล่าวได้ว่าหากไม่มีหลัวจ้านคนนี้แล้วล่ะก็ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เฉินฟู่เฉิงตั้งใจสร้างคงจะไม่ราบรื่นและยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าบรรดาผู้คนในเมืองแห่งนี้ทุกคนต่างก็ต้องยกนิ้วให้เมื่อเอ่ยถึงชื่อของหลัวจ้านผู้นี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+