A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2412 ตราประทับจิตสัมผัส

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2412 ตราประทับจิตสัมผัส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นริมฝีปากก็ขยับสองสามครั้ง

ปิงเฟิงที่อยู่ห่างออกไปสองสามพันลี้ ชั่วขณะนั้นข้างหูพลันมีเสียงถ่ายทอดเสียงของหานลี่ดังขึ้น แม้ว่าจะแค่สองสามประโยค ก็ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวกดเผยสีหน้ายินดีออกมา

“นี่มันเรื่องอันใด ผู้ใดถ่ายทอดเสียงมาหาเจ้า?” หกปีกที่อยู่ด้านข้างสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของปิงเฟิงทันใดนั้นก็หันหน้ามาเอ่ยถาม

“สหายหานอยู่ด้านหน้าไม่ไกลนัก กำลังเรียกหาข้าอยู่ สหายหกปีก จะตามข้าไปหรือไม่!” ปิงเฟิงมองหกปีกแวบหนึ่ง แล้วตอบกลับพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ

“อันใดนะ เขาเป็นผู้คุ้มกันเขตอาคมนี้หรือ!” หกปีกได้ยินก็หน้าเปลี่ยน

“อันใด พี่หกปีกไม่อยากไปด้วยกันหรือ?” ปิงเฟิงเลิกคิ้วดำขลับพลางเอ่ยถาม

“หึ ข้าไปแล้วผู้ใดจะควบคุมจานอาคมเทวะด้านล่าง หากเจ้าอยากพบเขา ก็ไปเองเถิด” หกปีกมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยอย่างเย็นชา

“พี่หานให้ข้าบอกว่าหากเจ้าอยากตายที่นี่ ก็อยู่ที่นี่เถิด แต่หากอยากรอดชีวิต ก็ให้ตามข้าไปพบเขาด้วยกัน ส่วนจิตวิญญาณตรงหน้านั้น ขอแค่มันหลุดออกมา เขาก็จะลงมือต่อกรด้วยตัวเอง” ปิงเฟิงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย

“หานลี่หมายความว่าอย่างไร กำลังข่มขู่ข้าหรือ?” หกปีกมีสีหน้าโหดเหี้ยมปรากฏขึ้น

“ข้าถ่ายทอดคำพูดแล้ว ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า” ปิงเฟิงกลับหัวเราะจุ๊ๆ มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวมีรัศมีลำแสงม้วนวนออกมาแล้วกลายเป็นสายรุ้งพุ่งแหวกอากาศไป

หกปีกไม่ได้ขัดขวาง แต่เมื่อมองไปยังทิศทางที่สายรุ้งจากไป ก็มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสสลับไปมา

หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาถึงได้ตบเท้า กัดฟันแล้วเอ่ยว่า

“ในเมื่อเจ้าพบข้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไปพบเจ้านายเก่าสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไร ข้าเองก็อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าแล้ว หรือว่าจะยังกลัวข้าอีก!”

สิ้นเสียงแผ่นหลังของเขาก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ปีกจักจั่นโปร่งแสงสามคู่ปรากฏขึ้นพร้อมกัน กระพือปีกน้อยๆ เสียง “สวบ” ดังขึ้น กลายเป็นผลึกลำแสงพุ่งแหวกอากาศไป คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่สนใจเขตอาคมลำแสงสีขาวด้านล่าง

และเมื่อเขตอาคมลำแสงยักษ์ไม่มีผู้ใดคอยควบคุม ทันใดนั้นลำแสงก็หม่นแสงลง อานุภาพดูเหมือนจะลดลงสองสามส่วนในพริบตา

เงาสีดำยักษ์ที่ติดอยู่ด้านในสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันที ยิ่งพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ชั่วขณะนั้นด้านในพลันมีเสียงคำรามเลื่อนลั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังมา

ครู่ต่อมาเขตอาคมทั้งเขตก็เริ่มสั่นเทาไม่หยุด

“พี่หาน เจ้าอยู่ที่นี่ดังคาด เยี่ยมไปเลย”

สายรุ้งหม่นแสงลง!

ปิงเฟิงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเหนือแท่นบวงสรวง แล้วพุ่งไปหานลี่ที่ยืนอยู่ด้านล่าง พลางเอ่ยด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ

ผู้พิทักษ์ที่อยู่รอบๆ เสาสีทองเหล่านั้น ไม่ได้ขัดขัดขวางไม่ให้สตรีผู้นี้เข้าใกล้เพราะหานลี่ออกคำสั่งเอาไว้ ต่างพากันยืนนิ่งไม่ไหวติง

“สหายปิงเฟิง ไม่ได้พบกันเสียนาน พลังยุทธ์ของเจ้าเพิ่มขึ้นไม่น้อย ร่างของปิงเฟิงไม่ธรรมดาดังคาด” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ขณะเอ่ย

“พี่หานล้อเล่นแล้ว พลังยุทธ์ของข้าที่เพิ่มขึ้นจะไปเทียบกับสหายได้อย่างไร นับว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ชื่อเสียงของพี่หาน แม้ว่าข้าจะผจญภัยอยู่ภายนอกก็ยังเคยได้ยิน” ปิงเฟิงฉีกยิ้มร่า จากนั้นก็ร่อนลงจากด้านบน แล้วร่อนลงมาอยู่ตรงหน้าของหานลี่

“ชื่อเสียงแค่นี้ผู้แซ่หานไม่ต้องการ มิเช่นนั้นเรื่องที่ต้องสู้สุดชีวิตในยามนี้ ก็คงไม่หาข้าอย่างไม่มีเหตุมีผล อ๋อ หกปีกเองก็มาแล้ว เจ้ารอประเดี๋ยวข้าจะคุยกับเขาสักหน่อย” หานลี่เอ่ยสองประโยค แววตาพลันเปล่งแสงสีฟ้า แล้วกวาดตามองขอบฟ้าแวบหนึ่งขณะเอ่ย

“พี่หานโปรดระวัง หกปีกบรรลุระดับมหายานแล้ว อิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา ความพิเศษของเขาคือเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหลีกหนี แม้แต่เซียนเที่ยงแท้ก็ยังไม่อาจไล่ตามได้” ปิงเฟิงย่อมไม่มีความเห็นอื่น กลับยืนอยู่ด้านข้าง พลางเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง

“อ๋อ เซียนเที่ยงแท้ก็ยังไม่อาจไล่ตามได้! หากมีโอกาส ผู้แซ่หานก็อยากจะลองทดสอบดูสักครั้ง” หานลี่ได้ยินกลับรู้สึกสนใจขึ้นมา

ในยามนั้นไกลออกไปพลันมีเสียง “พรึ่บๆ” ผลึกลำแสงพุ่งแหวกอากาศมา

ผู้พิทักษ์ชุดเกราะพันธมิตรซางที่อยู่รอบๆ พลันเกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้น แต่หานลี่พลันส่งเสียงราบเรียบว่า “ผู้มาเยือนคือมิตรมิใช่ศัตรู” ก็เงียบลงอีกครั้งทันที

ผลึกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ!

หกปีกปรากฏตัวขึ้นเหนือแท่นบวงสรวงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร ก้มหน้าลงมองหานลี่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยปากด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“ในเมื่อเจ้าอยากพบข้า เหตุใดถึงไม่มาด้วยตัวเอง มาพูดว่าถ้าไม่มาก็จะตายที่นี่ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะเชื่อเจ้า!”

“หากไม่เชื่อ เหตุใดเจ้าถึงตามสหายปิงเฟิงมา” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ

“หึ ข้าแค่รู้สึกว่าในเมื่อเจ้ายอมลงมือต่อกรกับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ด้วยตัวเอง ข้าย่อมขี้เกียจจะลงมือช่วยเจ้ารั้งอีกฝ่ายไว้ อยากดูว่าเจ้านายคนก่อนอย่างเจ้าจะมีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจเหมือนในตำนานหรือไม่!” หกปีกแค่นเสียงหึพลางตอบกลับ

“งั้นหรือ ยามนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะเชื่อมั่นในตัวเองว่าข้าไม่อาจจัดการเจ้าได้ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าในร่างของเจ้ายังมีพลังสัญญาโลหิตที่ข้าร่ายเอาไว้” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

“หึๆ หากข้าไม่เคยบรรลุระดับมหายาน พลังยุทธ์น้อยกว่าเจ้า คงหวาดกลัวพลังสัญญาโลหิตสักสามส่วน แต่ยามนี้พลังยุทธ์ของข้ากับเจ้าเท่ากัน ข้าไม่เชื่อว่าสัญญาโลหิตจะมีผลอันใด” หกปีกหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย

“งั้นหรือ ดูแล้วหลังจากบรรลุระดับมหายาน เจ้าก็มั่นใจในตัวเองมาก ทว่าเจ้าพูดผิดแล้ว” หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด ปากกลับเอ่ยอย่างแช่มช้า

“อ่อ ข้าพูดผิดอันใด” หกปีกหัวเราะอย่างเย็นชา ท่าทางไม่เชื่อเลยสักนิด

“เช่นนั้นก็อาศัยพลังสัญญาโลหิต ดูว่าข้าจะควบคุมความเป็นตายของเจ้าได้อย่างง่ายดายหรือไม่”

สิ้นเสียงของหานลี่ มือหนึ่งพลันร่ายอาคมราวกับสายฟ้า ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งแสงสีฟ้าออกมา รูม่านตาระเบิดลำแสงสีฟ้าราวกับดวงอาทิตย์สองดวงออกมา เขาไม่ได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียว พลังวิญญาณที่ดูเสมือนจริงก็ครอบไปยังฝั่งตรงข้าม

หกปีกพลันตกตะลึงคิดไม่ถึงว่าหานลี่จะลงมือกับเขาต่อหน้า ทันใดนั้นก็คำรามต่ำๆ ด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ขยับร่างกายบินออกไปด้านหลัง ในเวลาเดียวกันมือก็ขวางไว้ด้านหน้า แล้วสำแดงเคล็ดวิชาลับโจมตีกลับไป

แต่ในยามนั้นหานลี่พลันแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา

เสียงหึดูเหมือนจะไม่ดังนัก แต่เมื่อเข้าโสตของหกปีก ก็ทำให้จิตสัมผัสของเขาส่งเสียง “เหง่ง” ชั่วขณะนั้นก็ดังก้องไปราวกับฟ้าผ่า ถอยร่นไปอาคมในมืออดที่จะผ่อนกำลังลงไม่ได้

และในพริบตาที่ล่าช้าไป พลังวิญญาณมหาศาลก็ม้วนวนมาห่อหุ้มหกปีกไว้ข้างใน ในเวลาเดียวกันคำว่า “รัด” ออกมาจากปากของหานลี่

หกปีกรู้สึกเพียงว่าจิตสัมผัสระเบิดออก จากนั้นระลอกคลื่นประหลาดก็ม้วนวนออกมา ชั่วพริบก็แผ่ไปทั่วร่างกาย

เขารู้สึกเพียงว่าร่างทั้งร่างเป็นเหน็บชา ไม่ว่าหัวหรือแขนขาล้วนเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ ไม่อาจกระดิกตัวได้แม้แต่น้อย

“เจ้า”

หกปีกทำได้แค่พ่นคำพูดออกมาคำหนึ่ง ลิ้นก็แข็งไม่อาจปริปากได้ เหลือเพียงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัว

หานลี่ถึงได้คลายอาคมในมือออกอย่างสบายๆ

ปิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างกลับมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง

แม้ว่าสตรีผู้นี้จะรู้ว่าหกปีกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหานลี่ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่มีแม้แต่โอกาสลงมือก็ถูกหานลี่ควบคุม

“พี่หาน นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” สตรีผู้นี้มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง เอ่ยปากอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป

“ไม่มีอันใด เขาแค่ดูถูกพลังสัญญาโลหิตไปหน่อย คิดว่าแค่อยู่ระดับเดียวกับข้า ก็ไม่ต้องกลัวพลังของสัญญาแล้ว ปกติแล้วพูดเช่นนี้กไม่ผิด แต่ใช้กลับข้ากลับผิดมหันต์” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ในใจกลับพูดประโยคต่อมาว่า ‘พลังจิตสัมผัสของตนมากกว่าอีกฝ่ายหลายเท่า แค่จิตสัมผัสก็แตกต่างกันมาก จึงยังคงทำให้พลังของสัญญาโลหิตไม่ลดลงแม้แต่น้อย’ แต่กลับไม่ได้เอ่ยออกไป

เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ปิงเฟิงก็รู้ว่าหานลี่ไม่ยอมพูดให้ชัดเจน ย่อมปิดปากเงียบไม่พูดอันใดอีกอย่างรู้จักวางตัว

หานลี่กลับพิจารณาสตรีสองแวบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยปากถาม

“ข้าได้ยินว่าเจ้าและเขาถูกเซียนเที่ยงแท้ผู้นั้นไล่สังหาร นี่มันเรื่องอันใดกัน ถือโอกาสนี้เล่าให้ข้าฟังเถิด”

“พี่หานอยากรู้น้องหญิงย่อมไม่มีอันใดที่ไม่บอก นี่ต้องเริ่มตั้งแต่ที่น้องหญิงถูกหกปีกข่มขู่ ตั้งแต่แผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีไปจนถึงแผ่นดินใหญ่สวรรค์โลหิต วันนั้น…” ปิงเฟิงย่อมไม่ปิดบังหานลี่ ใบหน้างดงามอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“…เช่นนั้น เมื่อหกปีกแลละข้าถูกหมิงจวินขวางเอาไว้ จึงจำใจต้องตอบรับเรื่องเป็นเหยื่อล่อ”

“เช่นนั้น เซียนเที่ยงแท้ผู้นั้นก็อยากกำราบเจ้าและหกปีกให้เป็นคนรับใช้ แต่แค่ต่อมาถูกหกปีกทำให้โกรธเข้าถึงได้ทำการไล่สังหาร และยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ทำอันใดในตัวพวกเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหนก็มีวิธีไล่ล่าพวกเจ้า” หานลี่ฟังจบ มือหนึ่งพลันลูบใต้คาง แล้วเอ่ยด้วยท่าทีขบคิด

“พี่หานเฉียบแหลมนัก ข้าและหกปีกล้วนตรวจสอบร่างกายตนเอง แต่ไม่ตราประทับใดๆ ดังนั้นจึงเดาว่าคงทำอันใดกับจิตสัมผัส เคล็ดวิชาลับแดนเซียนน่ากลัวมาก ทำให้พวกเราไม่รู้ตัวเลยสักนิด” ปิงเฟิงหัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ย

“หากจิตสัมผัสถูกประทับตรา ข้าก็อาจจะช่วยเจ้าได้” หานลี่ได้ยินดวงตาพลันเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“อันใด พี่หานมีวิธี! ก่อนหน้านี้พวกเราเคยไปหาหมิงจวินแล้ว แต่เขาก็ทำอันใดไม่ได้เช่นกัน” ปิงเฟิงได้ฟังก็ตกตะลึงระคนดีใจ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

“ในเมื่ออีกฝ่ายทำตราประทับเอาไว้อย่างลวกๆ คิดดูแล้วแม้ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาของแดนเซียน ก็คงไม่ใช่เคล็ดวิชาลับอันใดนัก กว่าครึ่งคงอาศัยความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสตัวเอง ถึงได้ทำได้อย่างง่ายดาย ขอแค่พลังจิตสัมผัสของข้าไม่ด้อยกว่าอีกฝ่าย น่าจะมีโอกาสคลายผนึกได้ หากเจ้าเชื่อ ข้าจะลองดูยามนี้เลย” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ

“พี่หานยอมลงมือช่วย ย่อมเป็นเรื่องที่น้องหญิงร้องขอก็ยังไม่ได้มา สหายหานลองลงมือดูเถิด” ปิงเฟิงเอ่ยอย่างไม่ลังเลใดๆ ทันที

“ได้ ขอแค่สหายปล่อยจิตสัมผัส อย่าขัดขืนพลังจิตสัมผัสของข้าก็พอแล้ว” หานลี่ฟังจบก็พยักหน้า นิ้วชี้ไปที่ปิงเฟิง ปากก็เอ่ยอย่างแช่มช้า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2412 ตราประทับจิตสัมผัส

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2412 ตราประทับจิตสัมผัส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นริมฝีปากก็ขยับสองสามครั้ง

ปิงเฟิงที่อยู่ห่างออกไปสองสามพันลี้ ชั่วขณะนั้นข้างหูพลันมีเสียงถ่ายทอดเสียงของหานลี่ดังขึ้น แม้ว่าจะแค่สองสามประโยค ก็ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวกดเผยสีหน้ายินดีออกมา

“นี่มันเรื่องอันใด ผู้ใดถ่ายทอดเสียงมาหาเจ้า?” หกปีกที่อยู่ด้านข้างสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของปิงเฟิงทันใดนั้นก็หันหน้ามาเอ่ยถาม

“สหายหานอยู่ด้านหน้าไม่ไกลนัก กำลังเรียกหาข้าอยู่ สหายหกปีก จะตามข้าไปหรือไม่!” ปิงเฟิงมองหกปีกแวบหนึ่ง แล้วตอบกลับพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ

“อันใดนะ เขาเป็นผู้คุ้มกันเขตอาคมนี้หรือ!” หกปีกได้ยินก็หน้าเปลี่ยน

“อันใด พี่หกปีกไม่อยากไปด้วยกันหรือ?” ปิงเฟิงเลิกคิ้วดำขลับพลางเอ่ยถาม

“หึ ข้าไปแล้วผู้ใดจะควบคุมจานอาคมเทวะด้านล่าง หากเจ้าอยากพบเขา ก็ไปเองเถิด” หกปีกมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยอย่างเย็นชา

“พี่หานให้ข้าบอกว่าหากเจ้าอยากตายที่นี่ ก็อยู่ที่นี่เถิด แต่หากอยากรอดชีวิต ก็ให้ตามข้าไปพบเขาด้วยกัน ส่วนจิตวิญญาณตรงหน้านั้น ขอแค่มันหลุดออกมา เขาก็จะลงมือต่อกรด้วยตัวเอง” ปิงเฟิงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย

“หานลี่หมายความว่าอย่างไร กำลังข่มขู่ข้าหรือ?” หกปีกมีสีหน้าโหดเหี้ยมปรากฏขึ้น

“ข้าถ่ายทอดคำพูดแล้ว ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า” ปิงเฟิงกลับหัวเราะจุ๊ๆ มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวมีรัศมีลำแสงม้วนวนออกมาแล้วกลายเป็นสายรุ้งพุ่งแหวกอากาศไป

หกปีกไม่ได้ขัดขวาง แต่เมื่อมองไปยังทิศทางที่สายรุ้งจากไป ก็มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสสลับไปมา

หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาถึงได้ตบเท้า กัดฟันแล้วเอ่ยว่า

“ในเมื่อเจ้าพบข้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไปพบเจ้านายเก่าสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไร ข้าเองก็อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าแล้ว หรือว่าจะยังกลัวข้าอีก!”

สิ้นเสียงแผ่นหลังของเขาก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ปีกจักจั่นโปร่งแสงสามคู่ปรากฏขึ้นพร้อมกัน กระพือปีกน้อยๆ เสียง “สวบ” ดังขึ้น กลายเป็นผลึกลำแสงพุ่งแหวกอากาศไป คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่สนใจเขตอาคมลำแสงสีขาวด้านล่าง

และเมื่อเขตอาคมลำแสงยักษ์ไม่มีผู้ใดคอยควบคุม ทันใดนั้นลำแสงก็หม่นแสงลง อานุภาพดูเหมือนจะลดลงสองสามส่วนในพริบตา

เงาสีดำยักษ์ที่ติดอยู่ด้านในสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันที ยิ่งพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ชั่วขณะนั้นด้านในพลันมีเสียงคำรามเลื่อนลั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังมา

ครู่ต่อมาเขตอาคมทั้งเขตก็เริ่มสั่นเทาไม่หยุด

“พี่หาน เจ้าอยู่ที่นี่ดังคาด เยี่ยมไปเลย”

สายรุ้งหม่นแสงลง!

ปิงเฟิงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเหนือแท่นบวงสรวง แล้วพุ่งไปหานลี่ที่ยืนอยู่ด้านล่าง พลางเอ่ยด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ

ผู้พิทักษ์ที่อยู่รอบๆ เสาสีทองเหล่านั้น ไม่ได้ขัดขัดขวางไม่ให้สตรีผู้นี้เข้าใกล้เพราะหานลี่ออกคำสั่งเอาไว้ ต่างพากันยืนนิ่งไม่ไหวติง

“สหายปิงเฟิง ไม่ได้พบกันเสียนาน พลังยุทธ์ของเจ้าเพิ่มขึ้นไม่น้อย ร่างของปิงเฟิงไม่ธรรมดาดังคาด” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ขณะเอ่ย

“พี่หานล้อเล่นแล้ว พลังยุทธ์ของข้าที่เพิ่มขึ้นจะไปเทียบกับสหายได้อย่างไร นับว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ชื่อเสียงของพี่หาน แม้ว่าข้าจะผจญภัยอยู่ภายนอกก็ยังเคยได้ยิน” ปิงเฟิงฉีกยิ้มร่า จากนั้นก็ร่อนลงจากด้านบน แล้วร่อนลงมาอยู่ตรงหน้าของหานลี่

“ชื่อเสียงแค่นี้ผู้แซ่หานไม่ต้องการ มิเช่นนั้นเรื่องที่ต้องสู้สุดชีวิตในยามนี้ ก็คงไม่หาข้าอย่างไม่มีเหตุมีผล อ๋อ หกปีกเองก็มาแล้ว เจ้ารอประเดี๋ยวข้าจะคุยกับเขาสักหน่อย” หานลี่เอ่ยสองประโยค แววตาพลันเปล่งแสงสีฟ้า แล้วกวาดตามองขอบฟ้าแวบหนึ่งขณะเอ่ย

“พี่หานโปรดระวัง หกปีกบรรลุระดับมหายานแล้ว อิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา ความพิเศษของเขาคือเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหลีกหนี แม้แต่เซียนเที่ยงแท้ก็ยังไม่อาจไล่ตามได้” ปิงเฟิงย่อมไม่มีความเห็นอื่น กลับยืนอยู่ด้านข้าง พลางเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง

“อ๋อ เซียนเที่ยงแท้ก็ยังไม่อาจไล่ตามได้! หากมีโอกาส ผู้แซ่หานก็อยากจะลองทดสอบดูสักครั้ง” หานลี่ได้ยินกลับรู้สึกสนใจขึ้นมา

ในยามนั้นไกลออกไปพลันมีเสียง “พรึ่บๆ” ผลึกลำแสงพุ่งแหวกอากาศมา

ผู้พิทักษ์ชุดเกราะพันธมิตรซางที่อยู่รอบๆ พลันเกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้น แต่หานลี่พลันส่งเสียงราบเรียบว่า “ผู้มาเยือนคือมิตรมิใช่ศัตรู” ก็เงียบลงอีกครั้งทันที

ผลึกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ!

หกปีกปรากฏตัวขึ้นเหนือแท่นบวงสรวงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร ก้มหน้าลงมองหานลี่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยปากด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“ในเมื่อเจ้าอยากพบข้า เหตุใดถึงไม่มาด้วยตัวเอง มาพูดว่าถ้าไม่มาก็จะตายที่นี่ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะเชื่อเจ้า!”

“หากไม่เชื่อ เหตุใดเจ้าถึงตามสหายปิงเฟิงมา” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ

“หึ ข้าแค่รู้สึกว่าในเมื่อเจ้ายอมลงมือต่อกรกับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ด้วยตัวเอง ข้าย่อมขี้เกียจจะลงมือช่วยเจ้ารั้งอีกฝ่ายไว้ อยากดูว่าเจ้านายคนก่อนอย่างเจ้าจะมีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจเหมือนในตำนานหรือไม่!” หกปีกแค่นเสียงหึพลางตอบกลับ

“งั้นหรือ ยามนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะเชื่อมั่นในตัวเองว่าข้าไม่อาจจัดการเจ้าได้ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าในร่างของเจ้ายังมีพลังสัญญาโลหิตที่ข้าร่ายเอาไว้” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

“หึๆ หากข้าไม่เคยบรรลุระดับมหายาน พลังยุทธ์น้อยกว่าเจ้า คงหวาดกลัวพลังสัญญาโลหิตสักสามส่วน แต่ยามนี้พลังยุทธ์ของข้ากับเจ้าเท่ากัน ข้าไม่เชื่อว่าสัญญาโลหิตจะมีผลอันใด” หกปีกหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย

“งั้นหรือ ดูแล้วหลังจากบรรลุระดับมหายาน เจ้าก็มั่นใจในตัวเองมาก ทว่าเจ้าพูดผิดแล้ว” หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด ปากกลับเอ่ยอย่างแช่มช้า

“อ่อ ข้าพูดผิดอันใด” หกปีกหัวเราะอย่างเย็นชา ท่าทางไม่เชื่อเลยสักนิด

“เช่นนั้นก็อาศัยพลังสัญญาโลหิต ดูว่าข้าจะควบคุมความเป็นตายของเจ้าได้อย่างง่ายดายหรือไม่”

สิ้นเสียงของหานลี่ มือหนึ่งพลันร่ายอาคมราวกับสายฟ้า ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งแสงสีฟ้าออกมา รูม่านตาระเบิดลำแสงสีฟ้าราวกับดวงอาทิตย์สองดวงออกมา เขาไม่ได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียว พลังวิญญาณที่ดูเสมือนจริงก็ครอบไปยังฝั่งตรงข้าม

หกปีกพลันตกตะลึงคิดไม่ถึงว่าหานลี่จะลงมือกับเขาต่อหน้า ทันใดนั้นก็คำรามต่ำๆ ด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ขยับร่างกายบินออกไปด้านหลัง ในเวลาเดียวกันมือก็ขวางไว้ด้านหน้า แล้วสำแดงเคล็ดวิชาลับโจมตีกลับไป

แต่ในยามนั้นหานลี่พลันแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา

เสียงหึดูเหมือนจะไม่ดังนัก แต่เมื่อเข้าโสตของหกปีก ก็ทำให้จิตสัมผัสของเขาส่งเสียง “เหง่ง” ชั่วขณะนั้นก็ดังก้องไปราวกับฟ้าผ่า ถอยร่นไปอาคมในมืออดที่จะผ่อนกำลังลงไม่ได้

และในพริบตาที่ล่าช้าไป พลังวิญญาณมหาศาลก็ม้วนวนมาห่อหุ้มหกปีกไว้ข้างใน ในเวลาเดียวกันคำว่า “รัด” ออกมาจากปากของหานลี่

หกปีกรู้สึกเพียงว่าจิตสัมผัสระเบิดออก จากนั้นระลอกคลื่นประหลาดก็ม้วนวนออกมา ชั่วพริบก็แผ่ไปทั่วร่างกาย

เขารู้สึกเพียงว่าร่างทั้งร่างเป็นเหน็บชา ไม่ว่าหัวหรือแขนขาล้วนเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ ไม่อาจกระดิกตัวได้แม้แต่น้อย

“เจ้า”

หกปีกทำได้แค่พ่นคำพูดออกมาคำหนึ่ง ลิ้นก็แข็งไม่อาจปริปากได้ เหลือเพียงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัว

หานลี่ถึงได้คลายอาคมในมือออกอย่างสบายๆ

ปิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างกลับมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง

แม้ว่าสตรีผู้นี้จะรู้ว่าหกปีกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหานลี่ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่มีแม้แต่โอกาสลงมือก็ถูกหานลี่ควบคุม

“พี่หาน นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” สตรีผู้นี้มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง เอ่ยปากอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป

“ไม่มีอันใด เขาแค่ดูถูกพลังสัญญาโลหิตไปหน่อย คิดว่าแค่อยู่ระดับเดียวกับข้า ก็ไม่ต้องกลัวพลังของสัญญาแล้ว ปกติแล้วพูดเช่นนี้กไม่ผิด แต่ใช้กลับข้ากลับผิดมหันต์” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ในใจกลับพูดประโยคต่อมาว่า ‘พลังจิตสัมผัสของตนมากกว่าอีกฝ่ายหลายเท่า แค่จิตสัมผัสก็แตกต่างกันมาก จึงยังคงทำให้พลังของสัญญาโลหิตไม่ลดลงแม้แต่น้อย’ แต่กลับไม่ได้เอ่ยออกไป

เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ปิงเฟิงก็รู้ว่าหานลี่ไม่ยอมพูดให้ชัดเจน ย่อมปิดปากเงียบไม่พูดอันใดอีกอย่างรู้จักวางตัว

หานลี่กลับพิจารณาสตรีสองแวบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยปากถาม

“ข้าได้ยินว่าเจ้าและเขาถูกเซียนเที่ยงแท้ผู้นั้นไล่สังหาร นี่มันเรื่องอันใดกัน ถือโอกาสนี้เล่าให้ข้าฟังเถิด”

“พี่หานอยากรู้น้องหญิงย่อมไม่มีอันใดที่ไม่บอก นี่ต้องเริ่มตั้งแต่ที่น้องหญิงถูกหกปีกข่มขู่ ตั้งแต่แผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีไปจนถึงแผ่นดินใหญ่สวรรค์โลหิต วันนั้น…” ปิงเฟิงย่อมไม่ปิดบังหานลี่ ใบหน้างดงามอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“…เช่นนั้น เมื่อหกปีกแลละข้าถูกหมิงจวินขวางเอาไว้ จึงจำใจต้องตอบรับเรื่องเป็นเหยื่อล่อ”

“เช่นนั้น เซียนเที่ยงแท้ผู้นั้นก็อยากกำราบเจ้าและหกปีกให้เป็นคนรับใช้ แต่แค่ต่อมาถูกหกปีกทำให้โกรธเข้าถึงได้ทำการไล่สังหาร และยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ทำอันใดในตัวพวกเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหนก็มีวิธีไล่ล่าพวกเจ้า” หานลี่ฟังจบ มือหนึ่งพลันลูบใต้คาง แล้วเอ่ยด้วยท่าทีขบคิด

“พี่หานเฉียบแหลมนัก ข้าและหกปีกล้วนตรวจสอบร่างกายตนเอง แต่ไม่ตราประทับใดๆ ดังนั้นจึงเดาว่าคงทำอันใดกับจิตสัมผัส เคล็ดวิชาลับแดนเซียนน่ากลัวมาก ทำให้พวกเราไม่รู้ตัวเลยสักนิด” ปิงเฟิงหัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ย

“หากจิตสัมผัสถูกประทับตรา ข้าก็อาจจะช่วยเจ้าได้” หานลี่ได้ยินดวงตาพลันเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“อันใด พี่หานมีวิธี! ก่อนหน้านี้พวกเราเคยไปหาหมิงจวินแล้ว แต่เขาก็ทำอันใดไม่ได้เช่นกัน” ปิงเฟิงได้ฟังก็ตกตะลึงระคนดีใจ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

“ในเมื่ออีกฝ่ายทำตราประทับเอาไว้อย่างลวกๆ คิดดูแล้วแม้ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาของแดนเซียน ก็คงไม่ใช่เคล็ดวิชาลับอันใดนัก กว่าครึ่งคงอาศัยความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสตัวเอง ถึงได้ทำได้อย่างง่ายดาย ขอแค่พลังจิตสัมผัสของข้าไม่ด้อยกว่าอีกฝ่าย น่าจะมีโอกาสคลายผนึกได้ หากเจ้าเชื่อ ข้าจะลองดูยามนี้เลย” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ

“พี่หานยอมลงมือช่วย ย่อมเป็นเรื่องที่น้องหญิงร้องขอก็ยังไม่ได้มา สหายหานลองลงมือดูเถิด” ปิงเฟิงเอ่ยอย่างไม่ลังเลใดๆ ทันที

“ได้ ขอแค่สหายปล่อยจิตสัมผัส อย่าขัดขืนพลังจิตสัมผัสของข้าก็พอแล้ว” หานลี่ฟังจบก็พยักหน้า นิ้วชี้ไปที่ปิงเฟิง ปากก็เอ่ยอย่างแช่มช้า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+