คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 251 สละสิทธิ์เข้าทดสอบหาผู้สืบทอดตระกูลมู่

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 251 สละสิทธิ์เข้าทดสอบหาผู้สืบทอดตระกูลมู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซิวเหยียนเอากระเป๋าสัมภาระมาทั้งหมดห้าใบ เป็นไซส์ใหญ่สุดทั้งนั้น

เด็กผู้หญิงทั่วไปแค่ยกใบเดียวก็กินแรงมาก พวกเธอพักห้องสไตล์ฝรั่งที่ชั้นสาม ไม่มีลิฟท์

เถิงอวิ้นเมิ่งเป็นคนนิสัยดี พอได้ยินซิวเหยียนพูดแบบนี้ก็ลุกขึ้นมาจริงๆ เตรียมไปช่วยยก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวออกไปก็มีมือมาจับบ่าไว้แล้วกดเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้

อิ๋งจื่อจินดื่มชาพุทราแดงผสมเก๋ากี้คำสุดท้ายเสร็จก็วางแก้วลง เหลือบตาขึ้น พูดเสียงขรึม

“ไม่มีมือเหรอ” ผู้ช่วยที่กางร่มให้ซิวเหยียนเงยหน้าด้วยความตะลึง เกือบสงสัยว่าตัวเองได้ยินผิด

ไม่ว่าจะในกองถ่ายหรือที่โรงเรียนก็ไม่ต้องรอให้ซิวเหยียนเอ่ยปาก คนอื่นๆ ก็พากันแย่งเข้ามาช่วยเธอทำหมด ต่อให้ซิวเหยียนไม่ได้เดบิวต์เพราะคว้าอันดับสองในรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101 มาด้วยความสามารถของตัวเอง ลำพังแค่เธอเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิวก็มีคนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนรีบเข้ามาประจบเธอแล้ว

ตระกูลซิวในตี้ตูเป็นตระกูลใหญ่ที่เทียบเคียงได้กับตระกูลเนี่ยกับตระกูลมู่

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซิวเหยียนก็โด่งดังในวงการบันเทิงมากเหมือนกัน ดึงดูดแฟนคลับเหนียวแน่นได้กลุ่มใหญ่ เพราะตอนที่เธอเข้าร่วมรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101 เธอปกปิดตัวตน ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซิว และเธอก็ไม่ได้พึ่งที่บ้าน

เธออาศัยความสามารถในการร้องเต้นของตัวเองจนเดบิวต์ได้สำเร็จ

ตัวตนของซิวเหยียนเพิ่งถูกเปิดเผยออกมาเมื่อไม่นานมานี้

มีทั้งชาติตระกูลและความสามารถ ใครก็ชอบ

ซิวเหยียนเองก็ตะลึงมาก

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยแบบที่ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น จากนั้นถึงได้หันไปตั้งใจมองทางแปลงดอกไม้ พอเห็นใบหน้าของเด็กสาวคนนั้น เธอก็หรี่ตาลง

จากนั้นเธอก็นึกถึงดาราที่เคยเจอมาในวงการบันเทิงอย่างรวดเร็ว รวมถึงพวกคุณหนูในตระกูลน้อยใหญ่ของตี้ตู

ไม่มีสักคนที่ตรงกัน

อ่อ คนทั่วไป

ซิวเหยียนพับแว่นกันแดดแล้วแขวนไว้ตรงคอเสื้อ ริมฝีปากแดงยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังยิ้ม

“ก็ใช่น่ะสิ ตรงนี้มีพวกเธออยู่ไม่ใช่เหรอ ฉันจะมีมือไปทำไม”

เธอดูเวลา ไม่ได้โมโห “เอาแบบนี้พวกเธอยกขึ้นไป ฉันให้ใบละพันโอเค?”

“ในนี้มีเครื่องสำอางของฉันขนกลับมาจากเมืองนอกทั้งนั้น ตอนยกก็ระวังด้วยกระแทกพังไปพวกเธอจะชดใช้ไม่ไหว”

ทั้งสองคนไม่ขยับแม้แต่น้อยยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะเดินเข้าไปหาสีหน้าของซิวเหยียนเริ่มบึ้งลงทีละนิด

ผู้ช่วยอดพูดแทนเธอไม่ได้ “พี่เหยียนเป็นผู้หญิง พวกเธอช่วยยกหน่อยจะเป็นอะไรไป”

“แล้วพวกเราไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ” เถิงอวิ้นเมิ่งทำเสียงไม่พอใจ

“ที่นี่ไม่ใช่วงการบันเทิง พวกเราก็ไม่ใช่แฟนคลับของเธอด้วย ต้องเอาใจเหรอมือของฉันมีประกัน มีค่าไม่แพ้มือของเธอหรอกนะ” ผู้ช่วยสะอึกคำพูด กระอักกระอ่วน เริ่มจนตรอก

ซิวเหยียนเงียบไปชั่วครู่ ยิ้มพลางพูด

“พูดมีเหตุผลฉันเองดีกว่า งั้นฉันขอให้พวกเธอช่วยฉันยกได้ไหม”

เธอรู้จักแค่เถิงอวิ้นเมิ่ง แต่กลับไม่รู้จักอีกคน

เถิงอวิ้นเมิ่งเป็นอัจฉริยะจากโรงเรียนมัธยมในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตู เคยได้เหรียญทองในการแข่งขันวิชาการระดับนานาชาติมากมาย

ประเทศจีนมีโครงการที่ปกป้องพวกอัจฉริยะมาตลอด เถิงอวิ้นเมิ่งก็เป็นหนึ่งในนั้น

อัจฉริยะแบบเถิงอวิ้นเมิ่ง หลังจากที่เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยก็จะเป็นเป้าหมายที่พวกตระกูลใหญ่กับอิทธิพลใหญ่ๆ ต่างอยากรับเข้าทำงาน

ตระกูลซิวก็เช่นกัน

ถ้าอยากจะตั้งตัวในตี้ตู คนมีความสามารถต่างหากที่สำคัญ ครั้งนี้ที่ซิวเหยียนมาค่ายติวก็เพื่อผูกสัมพันธ์กับอัจฉริยะพวกนี้เพียงแต่เธอชินแล้วกับการให้คนอื่นช่วยทำเรื่องต่างๆ

อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น เอาลูกอมยัดใส่มือเถิงอวิ้นเมิ่งหนึ่งเม็ด “ไปเถอะ”

เธอหันตัวเดินขึ้นตึกโดยไม่มองซิวเหยียน

เถิงอวิ้นเมิ่งย่อมตามไปติดๆ สำหรับเธอแล้ว หน้าตาของทีมเธอย่อมสำคัญกว่า และเธอก็ไม่จำเป็นต้องไปเอาใจคุณหนูใหญ่ตระกูลซิวด้วย พอเห็นสองคนนั้นเดินออกไป ซิวเหยียนก็ประคองรอยยิ้มที่มุมปากไว้ไม่อยู่แล้ว

ไม่เคยมีใครหักหน้าเธอแบบนี้

“พี่เหยียนสองคนนั้นทำเกินไปแล้ว” ผู้ช่วยบ่น

“อย่างน้อยทุกคนก็ต้องติวอยู่ที่นี่ด้วยกันหนึ่งเดือน เพื่อนกันทั้งนั้นช่วยยกกระเป๋าแค่นี้ก็ไม่ได้”

“ตอนนั้นพี่เฉินพูดแล้วว่า พี่เหยียนถ่ายละครไปด้วยเรียนไปด้วยก็เหนื่อยมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องร่วมลงแข่งเลยจริงๆ”

ไอเอสซีเป็นงานแข่งวิชาการระดับนานาชาติก็จริง แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าตาพวกคนเก่งๆ ในแวดวงวิชาการ

อนาคตของซิวเหยียนต้องสืบทอดกิจการของตระกูลซิว ไหนจะวงการบันเทิงอีก มีเวลาว่างเหรอ

“ขึ้นไปก่อนแล้วกัน” ซิวเหยียนใส่แว่นดำอีกครั้ง ยิ้มมุมปาก

“ถูกต้อง มีเวลาหนึ่งเดือน หนทางยังอีกยาวไกล”

คฤหาสน์ตระกูลมู่

คุณนายมู่กลับมาจากข้างนอกก็ได้รับรายงานจากคนรับใช้

เธอชะงักตกใจเล็กน้อย “เธอบอกว่าวันนี้เช้ามู่เหวยเฟิงอาเจียนเป็นเลือดอีกแล้วเหรอ”

“ใช่ค่ะคุณนายห้า” คนรับใช้พูดอย่างนอบน้อม “เมื่อเช้าตอนที่พ่อบ้านสั่งให้คนยกอาหารไปให้คุณชายเหวยเฟิง ตอนแรกคุณชายเหวยเฟิงก็ยังกินดีๆ อยู่ จากนั้นก็อ้วกเป็นเลือดออกมา”

“พ่อบ้านทำอะไรไม่ถูกเลยรีบเรียกหมอประจำบ้านไป หนูเห็นชัดเลยค่ะว่ากองเลือดใหญ่มาก”

ตระกูลมู่ก็ทุ่มเทไปมากกับการรักษาโรคให้มู่เหวยเฟิง เชิญหมอจากโรงพยาบาลตี้ตูมาประจำอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลมู่โดยเฉพาะ

แต่ก็ช่วยทำได้แค่ประคองอาการ รักษาถึงแก่นแท้ของโรคไม่ได้

คุณนายมู่สีหน้าเปลี่ยน “คงไม่ได้มีใครลงมือใช่ไหม”

คนรับใช้อึ้ง “คุณนายห้า ทำไมคิดแบบนี้ล่ะคะ”

คุณนายมู่นวดขมับ “ฉันเห็นเธอพูดว่าอยู่ๆ ก็มีอาการ เลยคิดว่าอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว”

ตระกูลมู่มีการห้ามคนในตระกูลทำร้ายกันเอง โดยเฉพาะการแอบทำร้ายลับหลัง

เธอก็เคยมีความคิดแบบนี้ แต่เธอไม่กล้า

แต่มู่เหวยเฟิงชะตาอาภัพจริง ขนาดเธอไม่ได้ทำอะไรเขาก็ใกล้ตายแล้ว

คุณนายมู่ส่ายมือ “ออกไปเถอะ”

คนรับใช้ถือไม้กวาดเดินออกไป

คุณนายมู่กลับห้องตัวเอง ถอดเสื้อคลุมออกแล้วแขวนไว้บนราว

เธอคิดสักพักแล้วกดโทรศัพท์

“ฮุ่ยจู” คุณนายมู่พูดเสียงเครียด “เธอรู้จักหมอโรคทรวงอกที่มีชื่อเสียงของต่างประเทศใช่ไหม”

เคอฮุ่ยจูได้ยินเธอถามแบบนี้ก็เริ่มระแวง “พี่คิดจะทำอะไร”

เรื่องคัดลอกผลงานคราวก่อนได้ทำให้หวาซิ่วเสียหายมหาศาลไปแล้ว เคอฮุ่ยจูฟังคำแนะนำของคุณนายมู่ ทำให้หวาซิ่วดูเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ สุดท้ายก็กู้ชื่อเสียงกลับมาได้ไม่น้อย เพียงแต่เทียบกับยุครุ่งเรืองไม่ได้

อย่างไรเสียหวาซิ่วก็เป็นแบรนด์เก่าแก่ ลูกค้าเก่าเยอะมาก ลูกค้าส่วนหนึ่งไม่ได้ให้ความสนใจการแข่งขันออกแบบเท่าไร

คุณนายมู่ไม่ได้บอกไปตามตรง แค่ถามต่อ “เชิญหมอโรคทรวงอกคนนี้มายากมากไหม”

“ไม่ได้ยากมาก แต่โคตรยาก แค่เรื่องในตระกูลเคอก็ยุ่งยากมากพอแล้ว” เคอฮุ่ยจูสีหน้าไม่ค่อยดี “พี่จะทำอะไรกันแน่”

หมอโรคทรวงอกคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากระดับโลก เคอฮุ่ยจูย่อมไม่เคยรู้จักมักคุ้นหมอโรคทรวงอกคนนี้ แต่ตระกูลของสามีเธอกลับรู้จัก

อยากจะเชิญมาก็ได้อยู่หรอก แต่ต้องจ่ายเยอะทีเดียว และก็เพราะเรื่องหวาซิ่ว เคอฮุ่ยจูไม่พอใจในตัวคุณนายมู่มากอยู่ก่อนแล้ว

“เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เฉินโจวจะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลมู่มากทีเดียว” คุณนายมู่พูด “ขอเพียงแต่เธอเชิญหมอโรคทรวงอกคนนี้มาได้ ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลมู่ก็มีโอกาสถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นเฉินโจว”

เก้าสิบเปอร์เซ็นต์นั่นแทบจะเป็นที่แน่นอนแล้ว

“ได้” เคอฮุ่ยจูหายใจถี่เร็วขึ้น เธอกัดฟันรับปาก “พี่ ขอเพียงแต่วันหน้าเฉินโจวได้กลายเป็นนายใหญ่ตระกูลมู่ ฉันช่วยได้หมดทุกอย่าง ฉันจะลองเชิญดู”

เมื่อทางนั้นรับปาก คุณนายมู่ก็วางใจแล้ว

เธอลุกขึ้น ไปยังที่พักของมู่เหวยเฟิง

ภายในเรือนอีกหลังหนึ่ง

เนื่องจากเมื่อเช้าเพิ่งอ้วกเป็นเลือด สีหน้าของมู่เหวยเฟิงจึงยังคงซีดเซียวอยู่ เขายังคงนั่งฝึกเขียนภาพอักษรอยู่ที่โต๊ะหินอ่อน ครั้งนี้เขาเขียนช้ามาก แต่ลายเส้นกลับต่อเนื่อง

มู่เหวยเฟิงเป็นคนหูดี

ตอนที่คุณนายมู่เหลืออีกยี่สิบสามสิบเมตรจะเดินถึงสวน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอแล้ว มู่เหวยเฟิงเงยหน้า สายตาหยุดลงชั่วครู่

เมื่อคุณนายมู่เดินเข้ามาใกล้ เขาก็เรียกอย่างมีมารยาท “อาสะใภ้ห้า”

“ได้ยินว่าเมื่อเช้าอาเจียนเป็นเลือดอีกแล้ว” คุณนายมู่นั่งลงตรงข้ามเขา “สุขภาพแย่ลงอีกแล้วเหรอ”

“พอไหวครับ” มู่เหวยเฟิงก้มหน้า ไม่มองคุณนายมู่ เขียนอักษรต่อ “ยังตายไม่ได้”

คุณนายมู่ขมวดคิ้ว

ดูเหมือนมู่เหวยเฟิงคนนี้จะไม่มีท่าทีหวาดระแวงอะไร

“พี่สามกับพี่สะใภ้สามจากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก คงไม่อยากเห็นลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขาต้องจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย” คุณนายมู่พูดด้วยท่าทางเหมือนอยู่เหนือกว่า

“ถ้าเธอตายไปน้องสาวเธอก็จะไม่มีที่พึ่ง จะอยู่ในตระกูลใหญ่ลำบาก”

“ตระกูลมู่มีลูกหลานเยอะขนาดนั้น ดีไม่ดีน้องสาวเธอจะถูกจับคู่แต่งงาน”

สายตาของมู่เหวยเฟิงเย็นชาลง

เขาหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก กระดาษเลอะเลือดเล็กน้อย

เขาเช็ดเสร็จก็โยนทิ้งถังขยะ “อาสะใภ้ห้ามีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม”

“ได้ ฉลาดนี่ งั้นอาจะไม่เสียเวลาพูดไร้สาระ” คุณนายมู่ยิ้ม “อารู้จักหมอฝีมือดีของต่างประเทศอยู่คน เขามีชื่อเสียงมากเรื่องรักษาโรคทรวงอก”

“อาจะช่วยเชิญเขามารักษาเธอ แต่เธอต้องสละสิทธิ์เข้าทดสอบหาผู้สืบทอดตระกูลมู่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 251 สละสิทธิ์เข้าทดสอบหาผู้สืบทอดตระกูลมู่

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 251 สละสิทธิ์เข้าทดสอบหาผู้สืบทอดตระกูลมู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซิวเหยียนเอากระเป๋าสัมภาระมาทั้งหมดห้าใบ เป็นไซส์ใหญ่สุดทั้งนั้น

เด็กผู้หญิงทั่วไปแค่ยกใบเดียวก็กินแรงมาก พวกเธอพักห้องสไตล์ฝรั่งที่ชั้นสาม ไม่มีลิฟท์

เถิงอวิ้นเมิ่งเป็นคนนิสัยดี พอได้ยินซิวเหยียนพูดแบบนี้ก็ลุกขึ้นมาจริงๆ เตรียมไปช่วยยก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวออกไปก็มีมือมาจับบ่าไว้แล้วกดเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้

อิ๋งจื่อจินดื่มชาพุทราแดงผสมเก๋ากี้คำสุดท้ายเสร็จก็วางแก้วลง เหลือบตาขึ้น พูดเสียงขรึม

“ไม่มีมือเหรอ” ผู้ช่วยที่กางร่มให้ซิวเหยียนเงยหน้าด้วยความตะลึง เกือบสงสัยว่าตัวเองได้ยินผิด

ไม่ว่าจะในกองถ่ายหรือที่โรงเรียนก็ไม่ต้องรอให้ซิวเหยียนเอ่ยปาก คนอื่นๆ ก็พากันแย่งเข้ามาช่วยเธอทำหมด ต่อให้ซิวเหยียนไม่ได้เดบิวต์เพราะคว้าอันดับสองในรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101 มาด้วยความสามารถของตัวเอง ลำพังแค่เธอเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิวก็มีคนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนรีบเข้ามาประจบเธอแล้ว

ตระกูลซิวในตี้ตูเป็นตระกูลใหญ่ที่เทียบเคียงได้กับตระกูลเนี่ยกับตระกูลมู่

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซิวเหยียนก็โด่งดังในวงการบันเทิงมากเหมือนกัน ดึงดูดแฟนคลับเหนียวแน่นได้กลุ่มใหญ่ เพราะตอนที่เธอเข้าร่วมรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101 เธอปกปิดตัวตน ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซิว และเธอก็ไม่ได้พึ่งที่บ้าน

เธออาศัยความสามารถในการร้องเต้นของตัวเองจนเดบิวต์ได้สำเร็จ

ตัวตนของซิวเหยียนเพิ่งถูกเปิดเผยออกมาเมื่อไม่นานมานี้

มีทั้งชาติตระกูลและความสามารถ ใครก็ชอบ

ซิวเหยียนเองก็ตะลึงมาก

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยแบบที่ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น จากนั้นถึงได้หันไปตั้งใจมองทางแปลงดอกไม้ พอเห็นใบหน้าของเด็กสาวคนนั้น เธอก็หรี่ตาลง

จากนั้นเธอก็นึกถึงดาราที่เคยเจอมาในวงการบันเทิงอย่างรวดเร็ว รวมถึงพวกคุณหนูในตระกูลน้อยใหญ่ของตี้ตู

ไม่มีสักคนที่ตรงกัน

อ่อ คนทั่วไป

ซิวเหยียนพับแว่นกันแดดแล้วแขวนไว้ตรงคอเสื้อ ริมฝีปากแดงยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังยิ้ม

“ก็ใช่น่ะสิ ตรงนี้มีพวกเธออยู่ไม่ใช่เหรอ ฉันจะมีมือไปทำไม”

เธอดูเวลา ไม่ได้โมโห “เอาแบบนี้พวกเธอยกขึ้นไป ฉันให้ใบละพันโอเค?”

“ในนี้มีเครื่องสำอางของฉันขนกลับมาจากเมืองนอกทั้งนั้น ตอนยกก็ระวังด้วยกระแทกพังไปพวกเธอจะชดใช้ไม่ไหว”

ทั้งสองคนไม่ขยับแม้แต่น้อยยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะเดินเข้าไปหาสีหน้าของซิวเหยียนเริ่มบึ้งลงทีละนิด

ผู้ช่วยอดพูดแทนเธอไม่ได้ “พี่เหยียนเป็นผู้หญิง พวกเธอช่วยยกหน่อยจะเป็นอะไรไป”

“แล้วพวกเราไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ” เถิงอวิ้นเมิ่งทำเสียงไม่พอใจ

“ที่นี่ไม่ใช่วงการบันเทิง พวกเราก็ไม่ใช่แฟนคลับของเธอด้วย ต้องเอาใจเหรอมือของฉันมีประกัน มีค่าไม่แพ้มือของเธอหรอกนะ” ผู้ช่วยสะอึกคำพูด กระอักกระอ่วน เริ่มจนตรอก

ซิวเหยียนเงียบไปชั่วครู่ ยิ้มพลางพูด

“พูดมีเหตุผลฉันเองดีกว่า งั้นฉันขอให้พวกเธอช่วยฉันยกได้ไหม”

เธอรู้จักแค่เถิงอวิ้นเมิ่ง แต่กลับไม่รู้จักอีกคน

เถิงอวิ้นเมิ่งเป็นอัจฉริยะจากโรงเรียนมัธยมในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตู เคยได้เหรียญทองในการแข่งขันวิชาการระดับนานาชาติมากมาย

ประเทศจีนมีโครงการที่ปกป้องพวกอัจฉริยะมาตลอด เถิงอวิ้นเมิ่งก็เป็นหนึ่งในนั้น

อัจฉริยะแบบเถิงอวิ้นเมิ่ง หลังจากที่เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยก็จะเป็นเป้าหมายที่พวกตระกูลใหญ่กับอิทธิพลใหญ่ๆ ต่างอยากรับเข้าทำงาน

ตระกูลซิวก็เช่นกัน

ถ้าอยากจะตั้งตัวในตี้ตู คนมีความสามารถต่างหากที่สำคัญ ครั้งนี้ที่ซิวเหยียนมาค่ายติวก็เพื่อผูกสัมพันธ์กับอัจฉริยะพวกนี้เพียงแต่เธอชินแล้วกับการให้คนอื่นช่วยทำเรื่องต่างๆ

อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น เอาลูกอมยัดใส่มือเถิงอวิ้นเมิ่งหนึ่งเม็ด “ไปเถอะ”

เธอหันตัวเดินขึ้นตึกโดยไม่มองซิวเหยียน

เถิงอวิ้นเมิ่งย่อมตามไปติดๆ สำหรับเธอแล้ว หน้าตาของทีมเธอย่อมสำคัญกว่า และเธอก็ไม่จำเป็นต้องไปเอาใจคุณหนูใหญ่ตระกูลซิวด้วย พอเห็นสองคนนั้นเดินออกไป ซิวเหยียนก็ประคองรอยยิ้มที่มุมปากไว้ไม่อยู่แล้ว

ไม่เคยมีใครหักหน้าเธอแบบนี้

“พี่เหยียนสองคนนั้นทำเกินไปแล้ว” ผู้ช่วยบ่น

“อย่างน้อยทุกคนก็ต้องติวอยู่ที่นี่ด้วยกันหนึ่งเดือน เพื่อนกันทั้งนั้นช่วยยกกระเป๋าแค่นี้ก็ไม่ได้”

“ตอนนั้นพี่เฉินพูดแล้วว่า พี่เหยียนถ่ายละครไปด้วยเรียนไปด้วยก็เหนื่อยมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องร่วมลงแข่งเลยจริงๆ”

ไอเอสซีเป็นงานแข่งวิชาการระดับนานาชาติก็จริง แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าตาพวกคนเก่งๆ ในแวดวงวิชาการ

อนาคตของซิวเหยียนต้องสืบทอดกิจการของตระกูลซิว ไหนจะวงการบันเทิงอีก มีเวลาว่างเหรอ

“ขึ้นไปก่อนแล้วกัน” ซิวเหยียนใส่แว่นดำอีกครั้ง ยิ้มมุมปาก

“ถูกต้อง มีเวลาหนึ่งเดือน หนทางยังอีกยาวไกล”

คฤหาสน์ตระกูลมู่

คุณนายมู่กลับมาจากข้างนอกก็ได้รับรายงานจากคนรับใช้

เธอชะงักตกใจเล็กน้อย “เธอบอกว่าวันนี้เช้ามู่เหวยเฟิงอาเจียนเป็นเลือดอีกแล้วเหรอ”

“ใช่ค่ะคุณนายห้า” คนรับใช้พูดอย่างนอบน้อม “เมื่อเช้าตอนที่พ่อบ้านสั่งให้คนยกอาหารไปให้คุณชายเหวยเฟิง ตอนแรกคุณชายเหวยเฟิงก็ยังกินดีๆ อยู่ จากนั้นก็อ้วกเป็นเลือดออกมา”

“พ่อบ้านทำอะไรไม่ถูกเลยรีบเรียกหมอประจำบ้านไป หนูเห็นชัดเลยค่ะว่ากองเลือดใหญ่มาก”

ตระกูลมู่ก็ทุ่มเทไปมากกับการรักษาโรคให้มู่เหวยเฟิง เชิญหมอจากโรงพยาบาลตี้ตูมาประจำอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลมู่โดยเฉพาะ

แต่ก็ช่วยทำได้แค่ประคองอาการ รักษาถึงแก่นแท้ของโรคไม่ได้

คุณนายมู่สีหน้าเปลี่ยน “คงไม่ได้มีใครลงมือใช่ไหม”

คนรับใช้อึ้ง “คุณนายห้า ทำไมคิดแบบนี้ล่ะคะ”

คุณนายมู่นวดขมับ “ฉันเห็นเธอพูดว่าอยู่ๆ ก็มีอาการ เลยคิดว่าอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว”

ตระกูลมู่มีการห้ามคนในตระกูลทำร้ายกันเอง โดยเฉพาะการแอบทำร้ายลับหลัง

เธอก็เคยมีความคิดแบบนี้ แต่เธอไม่กล้า

แต่มู่เหวยเฟิงชะตาอาภัพจริง ขนาดเธอไม่ได้ทำอะไรเขาก็ใกล้ตายแล้ว

คุณนายมู่ส่ายมือ “ออกไปเถอะ”

คนรับใช้ถือไม้กวาดเดินออกไป

คุณนายมู่กลับห้องตัวเอง ถอดเสื้อคลุมออกแล้วแขวนไว้บนราว

เธอคิดสักพักแล้วกดโทรศัพท์

“ฮุ่ยจู” คุณนายมู่พูดเสียงเครียด “เธอรู้จักหมอโรคทรวงอกที่มีชื่อเสียงของต่างประเทศใช่ไหม”

เคอฮุ่ยจูได้ยินเธอถามแบบนี้ก็เริ่มระแวง “พี่คิดจะทำอะไร”

เรื่องคัดลอกผลงานคราวก่อนได้ทำให้หวาซิ่วเสียหายมหาศาลไปแล้ว เคอฮุ่ยจูฟังคำแนะนำของคุณนายมู่ ทำให้หวาซิ่วดูเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ สุดท้ายก็กู้ชื่อเสียงกลับมาได้ไม่น้อย เพียงแต่เทียบกับยุครุ่งเรืองไม่ได้

อย่างไรเสียหวาซิ่วก็เป็นแบรนด์เก่าแก่ ลูกค้าเก่าเยอะมาก ลูกค้าส่วนหนึ่งไม่ได้ให้ความสนใจการแข่งขันออกแบบเท่าไร

คุณนายมู่ไม่ได้บอกไปตามตรง แค่ถามต่อ “เชิญหมอโรคทรวงอกคนนี้มายากมากไหม”

“ไม่ได้ยากมาก แต่โคตรยาก แค่เรื่องในตระกูลเคอก็ยุ่งยากมากพอแล้ว” เคอฮุ่ยจูสีหน้าไม่ค่อยดี “พี่จะทำอะไรกันแน่”

หมอโรคทรวงอกคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากระดับโลก เคอฮุ่ยจูย่อมไม่เคยรู้จักมักคุ้นหมอโรคทรวงอกคนนี้ แต่ตระกูลของสามีเธอกลับรู้จัก

อยากจะเชิญมาก็ได้อยู่หรอก แต่ต้องจ่ายเยอะทีเดียว และก็เพราะเรื่องหวาซิ่ว เคอฮุ่ยจูไม่พอใจในตัวคุณนายมู่มากอยู่ก่อนแล้ว

“เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เฉินโจวจะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลมู่มากทีเดียว” คุณนายมู่พูด “ขอเพียงแต่เธอเชิญหมอโรคทรวงอกคนนี้มาได้ ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลมู่ก็มีโอกาสถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นเฉินโจว”

เก้าสิบเปอร์เซ็นต์นั่นแทบจะเป็นที่แน่นอนแล้ว

“ได้” เคอฮุ่ยจูหายใจถี่เร็วขึ้น เธอกัดฟันรับปาก “พี่ ขอเพียงแต่วันหน้าเฉินโจวได้กลายเป็นนายใหญ่ตระกูลมู่ ฉันช่วยได้หมดทุกอย่าง ฉันจะลองเชิญดู”

เมื่อทางนั้นรับปาก คุณนายมู่ก็วางใจแล้ว

เธอลุกขึ้น ไปยังที่พักของมู่เหวยเฟิง

ภายในเรือนอีกหลังหนึ่ง

เนื่องจากเมื่อเช้าเพิ่งอ้วกเป็นเลือด สีหน้าของมู่เหวยเฟิงจึงยังคงซีดเซียวอยู่ เขายังคงนั่งฝึกเขียนภาพอักษรอยู่ที่โต๊ะหินอ่อน ครั้งนี้เขาเขียนช้ามาก แต่ลายเส้นกลับต่อเนื่อง

มู่เหวยเฟิงเป็นคนหูดี

ตอนที่คุณนายมู่เหลืออีกยี่สิบสามสิบเมตรจะเดินถึงสวน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอแล้ว มู่เหวยเฟิงเงยหน้า สายตาหยุดลงชั่วครู่

เมื่อคุณนายมู่เดินเข้ามาใกล้ เขาก็เรียกอย่างมีมารยาท “อาสะใภ้ห้า”

“ได้ยินว่าเมื่อเช้าอาเจียนเป็นเลือดอีกแล้ว” คุณนายมู่นั่งลงตรงข้ามเขา “สุขภาพแย่ลงอีกแล้วเหรอ”

“พอไหวครับ” มู่เหวยเฟิงก้มหน้า ไม่มองคุณนายมู่ เขียนอักษรต่อ “ยังตายไม่ได้”

คุณนายมู่ขมวดคิ้ว

ดูเหมือนมู่เหวยเฟิงคนนี้จะไม่มีท่าทีหวาดระแวงอะไร

“พี่สามกับพี่สะใภ้สามจากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก คงไม่อยากเห็นลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขาต้องจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย” คุณนายมู่พูดด้วยท่าทางเหมือนอยู่เหนือกว่า

“ถ้าเธอตายไปน้องสาวเธอก็จะไม่มีที่พึ่ง จะอยู่ในตระกูลใหญ่ลำบาก”

“ตระกูลมู่มีลูกหลานเยอะขนาดนั้น ดีไม่ดีน้องสาวเธอจะถูกจับคู่แต่งงาน”

สายตาของมู่เหวยเฟิงเย็นชาลง

เขาหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก กระดาษเลอะเลือดเล็กน้อย

เขาเช็ดเสร็จก็โยนทิ้งถังขยะ “อาสะใภ้ห้ามีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม”

“ได้ ฉลาดนี่ งั้นอาจะไม่เสียเวลาพูดไร้สาระ” คุณนายมู่ยิ้ม “อารู้จักหมอฝีมือดีของต่างประเทศอยู่คน เขามีชื่อเสียงมากเรื่องรักษาโรคทรวงอก”

“อาจะช่วยเชิญเขามารักษาเธอ แต่เธอต้องสละสิทธิ์เข้าทดสอบหาผู้สืบทอดตระกูลมู่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+