แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 944 เป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี

Now you are reading แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย Chapter 944 เป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ศาสตราจารย์หลิวกำลังดูละครกับสามี พอเห็นพวกเสี่ยวเชี่ยนมาหาดึกขนาดนี้ก็ตกใจ แต่สามีเธอกลับดีใจมาก

“กำลังกลุ้มไม่มีใครเดินหมากเป็นเพื่อนอยู่พอดี หมิงหลาง มาสู้กันสักสองตาซิ”

เสี่ยวเชี่ยนนั่งลงบนโซฟาไม่พูดอะไร ศาสตราจารย์หลิวเห็นศิษย์รักเป็นแบบนั้นก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

มาดึกขนาดนี้ต้องมีเรื่องแน่ๆ

“อาจารย์ หนูมีคำถามค่ะ มันมีการสะกดจิตแบบที่เปลี่ยนจิตใต้สำนึกได้หมดจริงๆเหรอคะ?”

ได้ยินเสี่ยวเชี่ยนถามแบบนั้นศาสตราจารย์หลิวก็อึ้ง

“ทำไมอยู่ๆถามแบบนี้ล่ะ?”

“หนูก็แค่สงสัย…จากประสบการณ์การรักษาที่ผ่านมา ถึงจะมีหลายเคสที่ใช้การสะกดจิตเพื่อเข้าสู่จิตใต้สำนึก แต่การเข้าสู่จิตใต้สำนึกแล้วทำให้เกิดเสียงภายในใจเหมือนพวกโรคจิตเภทภายในเวลาอันสั้น เพื่อต่อต้านจิตรู้สำนึก มันเป็นไปได้เหรอคะ?”

เสี่ยวเชี่ยนถามสืออวี้อย่างละเอียดแล้วหลังจากที่เธอถูกสะกดจิต แล้วก็ต้องตกใจที่พบว่าไม่เหมือนกับเมื่อชาติก่อน ซึ่งมันแตกต่างจากองค์ความรู้ที่เธอเคยเรียนมาทั้งสิ้น

“ที่เธอว่าสั้น มันสั้นแค่ไหน?” ศาสตราจารย์หลิวถาม

“หนึ่งครั้ง เวลาก็แค่ครึ่งชั่วโมง”

“ความสัมพันธ์ระหว่างจิตแพทย์กับคนไข้?”

“ไม่รู้จักกัน”

“จิตใจของผู้ป่วยปกติไหม?”

“ปกติค่ะ ฉลาดกว่าคนปกติเล็กน้อย จัดอยู่ในประเภทสภาพร่างกายที่ถูกสะกดจิตได้ง่าย”

“หลังถูกสะกดจิตจำขั้นตอนตอนนั้นได้ไหม?”

“จำไม่ได้เลยค่ะ เพียงแต่ต่อมาบางช่วงจะมีการต่อต้านจิตรู้สำนึก มักจะมีเสียงคำพูดที่ถูกป้อนเข้าไปดังขึ้นในใจบ่อยๆ”

ศาสตราจารย์หลิวขมวดคิ้ว เธอยืนขึ้นแล้วเดินไปเดินมาเหมือนกำลังใช้ความคิด

“ในทางทฤษฎีมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้แต่ละคนจะมีระดับความอ่อนไหวที่แตกต่างกัน ระดับในการถูกสะกดจิตก็ไม่เหมือนกัน แต่ฟังจากเงื่อนไขที่เธอพูดมารวมถึงผลที่ได้มันดูเกินจริงมาก ฉันคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้”

เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เธอเองคิดอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบ

“นักมานุษยวิทยาเสนอแนวคิดไว้ว่า การสะกดจิตก็คือการที่พวกเราพูดชี้นำคนไข้ให้เผชิญกับจิตใต้สำนึก พูดให้ชัดเจนหน่อยก็คือ เอาตัวคนไข้เป็นหลัก จิตแพทย์เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้คนไข้เท่านั้น อย่างเช่นในกระบวนการรักษาครั้งก่อนๆ ต่อให้เป็นการจำลองโลกจิตใต้สำนึกขึ้นมาใหม่ให้คนไข้ที่มีสภาพจิตใจผิดปกติ นั่นก็ยังต้องพูดชี้นำตามจิตใต้สำนึกเดิมของคนไข้ ก่อนอื่นเลยเขาต้องมีสิ่งนี้ก่อน แล้วพวกเราค่อยดึงเขาออกมา แต่แบบที่หนูพูดถึง มันเหมือนกับว่ากรอกข้อมูลที่ไม่ใช่ของตัวคนไข้ใส่ลงไปใหม่หมด”

ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวเชี่ยนสร้างโลกขึ้นมาอีกใบเพื่อช่วยผู้หญิงที่เคยถูกผู้ชายทำร้าย คนไข้คนนั้นชอบกระต่ายมาชิมาโร่ เสี่ยวเชี่ยนได้ช่วยเธอเลี้ยงมาชิมาโร่ให้โตขึ้นเพื่อต่อสู้กับเรื่องไม่ดี แต่ประเด็นคือในใจของเขามีกระต่ายตัวน้อยๆอยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้ศาสตราจารย์หลิวก็เคยสะกดจิตสืออวี้เพื่อถามเรื่องบางอย่าง แต่นั่นก็เป็นความคิดที่แท้จริงของสืออวี้อยู่แล้ว เธอแค่โน้มน้าวให้พูดออกมา ไม่ได้กรอกข้อมูลใส่เข้าไป

เคสสืออวี้ ในใจเธอไม่เคยมีความคิดอะไรที่ซับซ้อนอย่างเช่นเรื่องเงิน เรื่องเพื่อน อิจฉาริษยา อะไรแนวๆนั้น ซึ่งมันตรงกันข้ามกับนิสัยสืออวี้โดยสิ้นเชิง นั่นก็หมายความว่าในใจของสืออวี้ไม่เคยมีเรื่องพวกนี้อยู่เลย ถูกกรอกความคิดใส่หัวทั้งนั้น

ดังนั้นสืออวี้ถึงได้ใช้จิตรู้สำนึกต่อต้านความคิดที่ถูกกรอกใส่หัวได้ จนสุดท้ายร่วมมือเอาคืนกับประธานเชี่ยนได้สำเร็จ

ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้า เธอคิดเหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนพูด

“ฉันก็เคยทดลองกรอกความคิดใส่ลงไปใหม่หมดนะ และยังเคยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปในคุกหานักโทษคดีอุกฉกรรจ์มาทดลอง แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลว ฉันกรอกความคิดใส่จิตใต้สำนึกไม่สำเร็จ”

ก่อนหน้านี้ใช่ว่าศาสตราจารย์หลิวจะไม่เคยวิจัยแนวนี้ ถึงขนาดที่เคยเข้าไปแก้ไขจิตใต้สำนึกบางส่วนของนักโทษในคุกให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพื่อดูว่าจะช่วยลดโอกาสในการทำผิดให้น้อยลงได้หรือไม่

ถึงจะมีเคสที่ประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายยอดที่ได้ก็ไม่ถึงอย่างที่ตั้งความหวังไว้ ล้มเหลวไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับคนจำนวนหนึ่งแล้ว หากความคิดบางอย่างได้ก่อเกิดขึ้นมา ต่อไปไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมกับสภาพจิตใจที่เป็นตัวส่งเสริมกันและกัน เมื่อกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดิม ต่อให้เป็นคนที่เปลี่ยนไปแล้ว ก็ยังกลับไปเลวแบบเดิมได้ เหมือนกับคนติดยา พอกลับไปเจอเพื่อนเก่าๆก็กลับไปติดยาเหมือนเดิมได้ง่าย

“ตอนนั้นอาจารย์ทดลองไปหลายครั้งเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม

ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้า “เบื้องบนอนุญาตให้เราไปทำการทดลองกลุ่มเล็กๆเป็นกรณีพิเศษ นักโทษแต่ละคนได้รับการรักษาไปหลายครั้ง ได้ผลน้อยมาก ดังนั้นที่เธอบอกว่าแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้ผลแบบนั้นมันเกินความเป็นจริง—เสี่ยวปืนเหล็ก เธอไปเจอเคสแบบนี้จากที่ไหน?”

“หนู…อ่านมาจากในหนังสือค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องของสืออวี้ เธอสังหรณ์ใจว่าถ้าอาจารย์รู้เข้าจะต้องทำการวิจัยอย่างเป็นบ้าเป็นหลังแน่

“เรื่องที่เขียนในหนังสือมันก็ย่อมมีเกินจริงไปบ้าง พวกเราเป็นแนววิทยาศาสตร์ที่ค้นหาจากการปฏิบัติ อย่าไปเชื่ออะไรที่นั่งเทียนเขียนให้มาก แต่ฉันก็ได้ยินมาว่าช่วงนี้มีนักสะกดจิตของเมืองนอกทำได้อย่างที่เธอว่า ฉันล่ะอยากจะไปเจอจริงๆ อยากรู้ว่าพวกเขาทำได้ยังไง”

“เมืองนอก?” เสี่ยวเชี่ยนจับคำสำคัญได้

“ใช่ เป็นองค์กรที่ลึกลับมาก มีส่วนที่คล้ายกับเธอตรงที่หน้าเลือดชอบคิดเงินแพงๆ แต่พวกนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าเธออีก ได้ยินว่าแค่กล้าจ่ายก็ทำหมด ฉันติดต่อไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอยากจะรู้ให้ได้ว่าคนพวกนั้นมีวิชาอะไร”

เสี่ยวเชี่ยนทำตาตี่ใส่ “อาจารย์ เวลาที่พูดถึงคนอื่นไม่ต้องเล่นงานหนูได้ไหมคะ? หนูเนี่ยนะหน้าเลือดชอบคิดเงินแพงๆ?”

“เก็บชั่วโมงละหลายพันไม่ใช่พวกหน้าเลือดหรือไง? เสี่ยวปืนเหล็กฉันจะบอกเธอให้นะ เธอจะกำหนดราคาเท่าไรมันเรื่องของเธอฉันไม่ยุ่ง แต่ถ้าเธอทำโดยไร้จรรยาบรรณเพื่อเงินแบบคนพวกนั้นล่ะก็ ต่อไปไม่ต้องมาเจอฉันอีกเลย”

ศาสตราจารย์หลิวยังยืนหยัดว่าคนเป็นหมอควรมีขอบเขต มันเป็นหลักการ

เสี่ยวเชี่ยนนิ่งเงียบ สักพักถึงได้พยักหน้า

“หนูรับปากค่ะ อาจารย์คะ พวกเราจะตามหาคนพวกนั้นไม่ได้เลยเหรอคะ?”

“ฉันก็อยากเจอเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ อยากเจอพวกเขาเป็นเรื่องที่ยากมาก มีแค่เงินไม่พอต้องมีคนแนะนำไปด้วย และยังต้องทำตามเงื่อนไขของพวกเขา…สรุปคือ ยุ่งยากมาก”

เรื่องแบบนี้ศาสตราจารย์หลิวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ด้านหนึ่งเธอรู้สึกว่าตอนนี้ระดับความรู้ในประเทศยังไปได้ไกลกว่านี้ ส่วนอีกด้านเธอรู้สึกว่านี่เหมือนเป็นความรู้ใหม่ที่ไม่เหมือนกับที่เธอเคยศึกษามา เธอจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยากรู้ว่าคนพวกนั้นทำยังไงกันแน่

ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ใช้เป็นแนวทางศึกษา แต่ยังไงเธอก็ยังรู้สึกว่าในทางทฤษฎีก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

“เพราะเธอเลย! ถ้าเธอยอมไปอยู่กับเหล่าชีแต่แรก ไม่แน่อาจไปเจอคนพวกนั้นผ่านทางเหล่าชีได้ เธอก็รั้นไม่ยอมไป!”

ศาสตราจารย์ชีไม่ใช่แค่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาไปมาหลายประเทศย่อมได้รู้ข่าวสารมากกว่าแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวเชี่ยนปฏิเสธแหล่งทรัพยากรแบบนี้ไป ศาสตราจารย์หลิวมานึกดูตอนนี้ก็ยังปวดใจ

“ไม่ผ่านเขาก็มีวิธีเหมือนกัน อาจารย์ หนูไปชงกาแฟให้ค่ะ เดี๋ยวมาคุยเรื่องงานสัปดาห์นี้กันไหมคะ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 944 เป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี

Now you are reading แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย Chapter 944 เป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ศาสตราจารย์หลิวกำลังดูละครกับสามี พอเห็นพวกเสี่ยวเชี่ยนมาหาดึกขนาดนี้ก็ตกใจ แต่สามีเธอกลับดีใจมาก

“กำลังกลุ้มไม่มีใครเดินหมากเป็นเพื่อนอยู่พอดี หมิงหลาง มาสู้กันสักสองตาซิ”

เสี่ยวเชี่ยนนั่งลงบนโซฟาไม่พูดอะไร ศาสตราจารย์หลิวเห็นศิษย์รักเป็นแบบนั้นก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

มาดึกขนาดนี้ต้องมีเรื่องแน่ๆ

“อาจารย์ หนูมีคำถามค่ะ มันมีการสะกดจิตแบบที่เปลี่ยนจิตใต้สำนึกได้หมดจริงๆเหรอคะ?”

ได้ยินเสี่ยวเชี่ยนถามแบบนั้นศาสตราจารย์หลิวก็อึ้ง

“ทำไมอยู่ๆถามแบบนี้ล่ะ?”

“หนูก็แค่สงสัย…จากประสบการณ์การรักษาที่ผ่านมา ถึงจะมีหลายเคสที่ใช้การสะกดจิตเพื่อเข้าสู่จิตใต้สำนึก แต่การเข้าสู่จิตใต้สำนึกแล้วทำให้เกิดเสียงภายในใจเหมือนพวกโรคจิตเภทภายในเวลาอันสั้น เพื่อต่อต้านจิตรู้สำนึก มันเป็นไปได้เหรอคะ?”

เสี่ยวเชี่ยนถามสืออวี้อย่างละเอียดแล้วหลังจากที่เธอถูกสะกดจิต แล้วก็ต้องตกใจที่พบว่าไม่เหมือนกับเมื่อชาติก่อน ซึ่งมันแตกต่างจากองค์ความรู้ที่เธอเคยเรียนมาทั้งสิ้น

“ที่เธอว่าสั้น มันสั้นแค่ไหน?” ศาสตราจารย์หลิวถาม

“หนึ่งครั้ง เวลาก็แค่ครึ่งชั่วโมง”

“ความสัมพันธ์ระหว่างจิตแพทย์กับคนไข้?”

“ไม่รู้จักกัน”

“จิตใจของผู้ป่วยปกติไหม?”

“ปกติค่ะ ฉลาดกว่าคนปกติเล็กน้อย จัดอยู่ในประเภทสภาพร่างกายที่ถูกสะกดจิตได้ง่าย”

“หลังถูกสะกดจิตจำขั้นตอนตอนนั้นได้ไหม?”

“จำไม่ได้เลยค่ะ เพียงแต่ต่อมาบางช่วงจะมีการต่อต้านจิตรู้สำนึก มักจะมีเสียงคำพูดที่ถูกป้อนเข้าไปดังขึ้นในใจบ่อยๆ”

ศาสตราจารย์หลิวขมวดคิ้ว เธอยืนขึ้นแล้วเดินไปเดินมาเหมือนกำลังใช้ความคิด

“ในทางทฤษฎีมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้แต่ละคนจะมีระดับความอ่อนไหวที่แตกต่างกัน ระดับในการถูกสะกดจิตก็ไม่เหมือนกัน แต่ฟังจากเงื่อนไขที่เธอพูดมารวมถึงผลที่ได้มันดูเกินจริงมาก ฉันคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้”

เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เธอเองคิดอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบ

“นักมานุษยวิทยาเสนอแนวคิดไว้ว่า การสะกดจิตก็คือการที่พวกเราพูดชี้นำคนไข้ให้เผชิญกับจิตใต้สำนึก พูดให้ชัดเจนหน่อยก็คือ เอาตัวคนไข้เป็นหลัก จิตแพทย์เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้คนไข้เท่านั้น อย่างเช่นในกระบวนการรักษาครั้งก่อนๆ ต่อให้เป็นการจำลองโลกจิตใต้สำนึกขึ้นมาใหม่ให้คนไข้ที่มีสภาพจิตใจผิดปกติ นั่นก็ยังต้องพูดชี้นำตามจิตใต้สำนึกเดิมของคนไข้ ก่อนอื่นเลยเขาต้องมีสิ่งนี้ก่อน แล้วพวกเราค่อยดึงเขาออกมา แต่แบบที่หนูพูดถึง มันเหมือนกับว่ากรอกข้อมูลที่ไม่ใช่ของตัวคนไข้ใส่ลงไปใหม่หมด”

ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวเชี่ยนสร้างโลกขึ้นมาอีกใบเพื่อช่วยผู้หญิงที่เคยถูกผู้ชายทำร้าย คนไข้คนนั้นชอบกระต่ายมาชิมาโร่ เสี่ยวเชี่ยนได้ช่วยเธอเลี้ยงมาชิมาโร่ให้โตขึ้นเพื่อต่อสู้กับเรื่องไม่ดี แต่ประเด็นคือในใจของเขามีกระต่ายตัวน้อยๆอยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้ศาสตราจารย์หลิวก็เคยสะกดจิตสืออวี้เพื่อถามเรื่องบางอย่าง แต่นั่นก็เป็นความคิดที่แท้จริงของสืออวี้อยู่แล้ว เธอแค่โน้มน้าวให้พูดออกมา ไม่ได้กรอกข้อมูลใส่เข้าไป

เคสสืออวี้ ในใจเธอไม่เคยมีความคิดอะไรที่ซับซ้อนอย่างเช่นเรื่องเงิน เรื่องเพื่อน อิจฉาริษยา อะไรแนวๆนั้น ซึ่งมันตรงกันข้ามกับนิสัยสืออวี้โดยสิ้นเชิง นั่นก็หมายความว่าในใจของสืออวี้ไม่เคยมีเรื่องพวกนี้อยู่เลย ถูกกรอกความคิดใส่หัวทั้งนั้น

ดังนั้นสืออวี้ถึงได้ใช้จิตรู้สำนึกต่อต้านความคิดที่ถูกกรอกใส่หัวได้ จนสุดท้ายร่วมมือเอาคืนกับประธานเชี่ยนได้สำเร็จ

ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้า เธอคิดเหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนพูด

“ฉันก็เคยทดลองกรอกความคิดใส่ลงไปใหม่หมดนะ และยังเคยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปในคุกหานักโทษคดีอุกฉกรรจ์มาทดลอง แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลว ฉันกรอกความคิดใส่จิตใต้สำนึกไม่สำเร็จ”

ก่อนหน้านี้ใช่ว่าศาสตราจารย์หลิวจะไม่เคยวิจัยแนวนี้ ถึงขนาดที่เคยเข้าไปแก้ไขจิตใต้สำนึกบางส่วนของนักโทษในคุกให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพื่อดูว่าจะช่วยลดโอกาสในการทำผิดให้น้อยลงได้หรือไม่

ถึงจะมีเคสที่ประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายยอดที่ได้ก็ไม่ถึงอย่างที่ตั้งความหวังไว้ ล้มเหลวไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับคนจำนวนหนึ่งแล้ว หากความคิดบางอย่างได้ก่อเกิดขึ้นมา ต่อไปไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมกับสภาพจิตใจที่เป็นตัวส่งเสริมกันและกัน เมื่อกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดิม ต่อให้เป็นคนที่เปลี่ยนไปแล้ว ก็ยังกลับไปเลวแบบเดิมได้ เหมือนกับคนติดยา พอกลับไปเจอเพื่อนเก่าๆก็กลับไปติดยาเหมือนเดิมได้ง่าย

“ตอนนั้นอาจารย์ทดลองไปหลายครั้งเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม

ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้า “เบื้องบนอนุญาตให้เราไปทำการทดลองกลุ่มเล็กๆเป็นกรณีพิเศษ นักโทษแต่ละคนได้รับการรักษาไปหลายครั้ง ได้ผลน้อยมาก ดังนั้นที่เธอบอกว่าแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้ผลแบบนั้นมันเกินความเป็นจริง—เสี่ยวปืนเหล็ก เธอไปเจอเคสแบบนี้จากที่ไหน?”

“หนู…อ่านมาจากในหนังสือค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องของสืออวี้ เธอสังหรณ์ใจว่าถ้าอาจารย์รู้เข้าจะต้องทำการวิจัยอย่างเป็นบ้าเป็นหลังแน่

“เรื่องที่เขียนในหนังสือมันก็ย่อมมีเกินจริงไปบ้าง พวกเราเป็นแนววิทยาศาสตร์ที่ค้นหาจากการปฏิบัติ อย่าไปเชื่ออะไรที่นั่งเทียนเขียนให้มาก แต่ฉันก็ได้ยินมาว่าช่วงนี้มีนักสะกดจิตของเมืองนอกทำได้อย่างที่เธอว่า ฉันล่ะอยากจะไปเจอจริงๆ อยากรู้ว่าพวกเขาทำได้ยังไง”

“เมืองนอก?” เสี่ยวเชี่ยนจับคำสำคัญได้

“ใช่ เป็นองค์กรที่ลึกลับมาก มีส่วนที่คล้ายกับเธอตรงที่หน้าเลือดชอบคิดเงินแพงๆ แต่พวกนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าเธออีก ได้ยินว่าแค่กล้าจ่ายก็ทำหมด ฉันติดต่อไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอยากจะรู้ให้ได้ว่าคนพวกนั้นมีวิชาอะไร”

เสี่ยวเชี่ยนทำตาตี่ใส่ “อาจารย์ เวลาที่พูดถึงคนอื่นไม่ต้องเล่นงานหนูได้ไหมคะ? หนูเนี่ยนะหน้าเลือดชอบคิดเงินแพงๆ?”

“เก็บชั่วโมงละหลายพันไม่ใช่พวกหน้าเลือดหรือไง? เสี่ยวปืนเหล็กฉันจะบอกเธอให้นะ เธอจะกำหนดราคาเท่าไรมันเรื่องของเธอฉันไม่ยุ่ง แต่ถ้าเธอทำโดยไร้จรรยาบรรณเพื่อเงินแบบคนพวกนั้นล่ะก็ ต่อไปไม่ต้องมาเจอฉันอีกเลย”

ศาสตราจารย์หลิวยังยืนหยัดว่าคนเป็นหมอควรมีขอบเขต มันเป็นหลักการ

เสี่ยวเชี่ยนนิ่งเงียบ สักพักถึงได้พยักหน้า

“หนูรับปากค่ะ อาจารย์คะ พวกเราจะตามหาคนพวกนั้นไม่ได้เลยเหรอคะ?”

“ฉันก็อยากเจอเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ อยากเจอพวกเขาเป็นเรื่องที่ยากมาก มีแค่เงินไม่พอต้องมีคนแนะนำไปด้วย และยังต้องทำตามเงื่อนไขของพวกเขา…สรุปคือ ยุ่งยากมาก”

เรื่องแบบนี้ศาสตราจารย์หลิวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ด้านหนึ่งเธอรู้สึกว่าตอนนี้ระดับความรู้ในประเทศยังไปได้ไกลกว่านี้ ส่วนอีกด้านเธอรู้สึกว่านี่เหมือนเป็นความรู้ใหม่ที่ไม่เหมือนกับที่เธอเคยศึกษามา เธอจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยากรู้ว่าคนพวกนั้นทำยังไงกันแน่

ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ใช้เป็นแนวทางศึกษา แต่ยังไงเธอก็ยังรู้สึกว่าในทางทฤษฎีก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

“เพราะเธอเลย! ถ้าเธอยอมไปอยู่กับเหล่าชีแต่แรก ไม่แน่อาจไปเจอคนพวกนั้นผ่านทางเหล่าชีได้ เธอก็รั้นไม่ยอมไป!”

ศาสตราจารย์ชีไม่ใช่แค่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาไปมาหลายประเทศย่อมได้รู้ข่าวสารมากกว่าแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวเชี่ยนปฏิเสธแหล่งทรัพยากรแบบนี้ไป ศาสตราจารย์หลิวมานึกดูตอนนี้ก็ยังปวดใจ

“ไม่ผ่านเขาก็มีวิธีเหมือนกัน อาจารย์ หนูไปชงกาแฟให้ค่ะ เดี๋ยวมาคุยเรื่องงานสัปดาห์นี้กันไหมคะ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 944 เป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี

Now you are reading แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย Chapter 944 เป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ศาสตราจารย์หลิวกำลังดูละครกับสามี พอเห็นพวกเสี่ยวเชี่ยนมาหาดึกขนาดนี้ก็ตกใจ แต่สามีเธอกลับดีใจมาก

“กำลังกลุ้มไม่มีใครเดินหมากเป็นเพื่อนอยู่พอดี หมิงหลาง มาสู้กันสักสองตาซิ”

เสี่ยวเชี่ยนนั่งลงบนโซฟาไม่พูดอะไร ศาสตราจารย์หลิวเห็นศิษย์รักเป็นแบบนั้นก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

มาดึกขนาดนี้ต้องมีเรื่องแน่ๆ

“อาจารย์ หนูมีคำถามค่ะ มันมีการสะกดจิตแบบที่เปลี่ยนจิตใต้สำนึกได้หมดจริงๆเหรอคะ?”

ได้ยินเสี่ยวเชี่ยนถามแบบนั้นศาสตราจารย์หลิวก็อึ้ง

“ทำไมอยู่ๆถามแบบนี้ล่ะ?”

“หนูก็แค่สงสัย…จากประสบการณ์การรักษาที่ผ่านมา ถึงจะมีหลายเคสที่ใช้การสะกดจิตเพื่อเข้าสู่จิตใต้สำนึก แต่การเข้าสู่จิตใต้สำนึกแล้วทำให้เกิดเสียงภายในใจเหมือนพวกโรคจิตเภทภายในเวลาอันสั้น เพื่อต่อต้านจิตรู้สำนึก มันเป็นไปได้เหรอคะ?”

เสี่ยวเชี่ยนถามสืออวี้อย่างละเอียดแล้วหลังจากที่เธอถูกสะกดจิต แล้วก็ต้องตกใจที่พบว่าไม่เหมือนกับเมื่อชาติก่อน ซึ่งมันแตกต่างจากองค์ความรู้ที่เธอเคยเรียนมาทั้งสิ้น

“ที่เธอว่าสั้น มันสั้นแค่ไหน?” ศาสตราจารย์หลิวถาม

“หนึ่งครั้ง เวลาก็แค่ครึ่งชั่วโมง”

“ความสัมพันธ์ระหว่างจิตแพทย์กับคนไข้?”

“ไม่รู้จักกัน”

“จิตใจของผู้ป่วยปกติไหม?”

“ปกติค่ะ ฉลาดกว่าคนปกติเล็กน้อย จัดอยู่ในประเภทสภาพร่างกายที่ถูกสะกดจิตได้ง่าย”

“หลังถูกสะกดจิตจำขั้นตอนตอนนั้นได้ไหม?”

“จำไม่ได้เลยค่ะ เพียงแต่ต่อมาบางช่วงจะมีการต่อต้านจิตรู้สำนึก มักจะมีเสียงคำพูดที่ถูกป้อนเข้าไปดังขึ้นในใจบ่อยๆ”

ศาสตราจารย์หลิวขมวดคิ้ว เธอยืนขึ้นแล้วเดินไปเดินมาเหมือนกำลังใช้ความคิด

“ในทางทฤษฎีมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้แต่ละคนจะมีระดับความอ่อนไหวที่แตกต่างกัน ระดับในการถูกสะกดจิตก็ไม่เหมือนกัน แต่ฟังจากเงื่อนไขที่เธอพูดมารวมถึงผลที่ได้มันดูเกินจริงมาก ฉันคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้”

เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เธอเองคิดอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบ

“นักมานุษยวิทยาเสนอแนวคิดไว้ว่า การสะกดจิตก็คือการที่พวกเราพูดชี้นำคนไข้ให้เผชิญกับจิตใต้สำนึก พูดให้ชัดเจนหน่อยก็คือ เอาตัวคนไข้เป็นหลัก จิตแพทย์เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้คนไข้เท่านั้น อย่างเช่นในกระบวนการรักษาครั้งก่อนๆ ต่อให้เป็นการจำลองโลกจิตใต้สำนึกขึ้นมาใหม่ให้คนไข้ที่มีสภาพจิตใจผิดปกติ นั่นก็ยังต้องพูดชี้นำตามจิตใต้สำนึกเดิมของคนไข้ ก่อนอื่นเลยเขาต้องมีสิ่งนี้ก่อน แล้วพวกเราค่อยดึงเขาออกมา แต่แบบที่หนูพูดถึง มันเหมือนกับว่ากรอกข้อมูลที่ไม่ใช่ของตัวคนไข้ใส่ลงไปใหม่หมด”

ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวเชี่ยนสร้างโลกขึ้นมาอีกใบเพื่อช่วยผู้หญิงที่เคยถูกผู้ชายทำร้าย คนไข้คนนั้นชอบกระต่ายมาชิมาโร่ เสี่ยวเชี่ยนได้ช่วยเธอเลี้ยงมาชิมาโร่ให้โตขึ้นเพื่อต่อสู้กับเรื่องไม่ดี แต่ประเด็นคือในใจของเขามีกระต่ายตัวน้อยๆอยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้ศาสตราจารย์หลิวก็เคยสะกดจิตสืออวี้เพื่อถามเรื่องบางอย่าง แต่นั่นก็เป็นความคิดที่แท้จริงของสืออวี้อยู่แล้ว เธอแค่โน้มน้าวให้พูดออกมา ไม่ได้กรอกข้อมูลใส่เข้าไป

เคสสืออวี้ ในใจเธอไม่เคยมีความคิดอะไรที่ซับซ้อนอย่างเช่นเรื่องเงิน เรื่องเพื่อน อิจฉาริษยา อะไรแนวๆนั้น ซึ่งมันตรงกันข้ามกับนิสัยสืออวี้โดยสิ้นเชิง นั่นก็หมายความว่าในใจของสืออวี้ไม่เคยมีเรื่องพวกนี้อยู่เลย ถูกกรอกความคิดใส่หัวทั้งนั้น

ดังนั้นสืออวี้ถึงได้ใช้จิตรู้สำนึกต่อต้านความคิดที่ถูกกรอกใส่หัวได้ จนสุดท้ายร่วมมือเอาคืนกับประธานเชี่ยนได้สำเร็จ

ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้า เธอคิดเหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนพูด

“ฉันก็เคยทดลองกรอกความคิดใส่ลงไปใหม่หมดนะ และยังเคยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปในคุกหานักโทษคดีอุกฉกรรจ์มาทดลอง แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลว ฉันกรอกความคิดใส่จิตใต้สำนึกไม่สำเร็จ”

ก่อนหน้านี้ใช่ว่าศาสตราจารย์หลิวจะไม่เคยวิจัยแนวนี้ ถึงขนาดที่เคยเข้าไปแก้ไขจิตใต้สำนึกบางส่วนของนักโทษในคุกให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพื่อดูว่าจะช่วยลดโอกาสในการทำผิดให้น้อยลงได้หรือไม่

ถึงจะมีเคสที่ประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายยอดที่ได้ก็ไม่ถึงอย่างที่ตั้งความหวังไว้ ล้มเหลวไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับคนจำนวนหนึ่งแล้ว หากความคิดบางอย่างได้ก่อเกิดขึ้นมา ต่อไปไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมกับสภาพจิตใจที่เป็นตัวส่งเสริมกันและกัน เมื่อกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดิม ต่อให้เป็นคนที่เปลี่ยนไปแล้ว ก็ยังกลับไปเลวแบบเดิมได้ เหมือนกับคนติดยา พอกลับไปเจอเพื่อนเก่าๆก็กลับไปติดยาเหมือนเดิมได้ง่าย

“ตอนนั้นอาจารย์ทดลองไปหลายครั้งเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม

ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้า “เบื้องบนอนุญาตให้เราไปทำการทดลองกลุ่มเล็กๆเป็นกรณีพิเศษ นักโทษแต่ละคนได้รับการรักษาไปหลายครั้ง ได้ผลน้อยมาก ดังนั้นที่เธอบอกว่าแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้ผลแบบนั้นมันเกินความเป็นจริง—เสี่ยวปืนเหล็ก เธอไปเจอเคสแบบนี้จากที่ไหน?”

“หนู…อ่านมาจากในหนังสือค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องของสืออวี้ เธอสังหรณ์ใจว่าถ้าอาจารย์รู้เข้าจะต้องทำการวิจัยอย่างเป็นบ้าเป็นหลังแน่

“เรื่องที่เขียนในหนังสือมันก็ย่อมมีเกินจริงไปบ้าง พวกเราเป็นแนววิทยาศาสตร์ที่ค้นหาจากการปฏิบัติ อย่าไปเชื่ออะไรที่นั่งเทียนเขียนให้มาก แต่ฉันก็ได้ยินมาว่าช่วงนี้มีนักสะกดจิตของเมืองนอกทำได้อย่างที่เธอว่า ฉันล่ะอยากจะไปเจอจริงๆ อยากรู้ว่าพวกเขาทำได้ยังไง”

“เมืองนอก?” เสี่ยวเชี่ยนจับคำสำคัญได้

“ใช่ เป็นองค์กรที่ลึกลับมาก มีส่วนที่คล้ายกับเธอตรงที่หน้าเลือดชอบคิดเงินแพงๆ แต่พวกนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าเธออีก ได้ยินว่าแค่กล้าจ่ายก็ทำหมด ฉันติดต่อไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอยากจะรู้ให้ได้ว่าคนพวกนั้นมีวิชาอะไร”

เสี่ยวเชี่ยนทำตาตี่ใส่ “อาจารย์ เวลาที่พูดถึงคนอื่นไม่ต้องเล่นงานหนูได้ไหมคะ? หนูเนี่ยนะหน้าเลือดชอบคิดเงินแพงๆ?”

“เก็บชั่วโมงละหลายพันไม่ใช่พวกหน้าเลือดหรือไง? เสี่ยวปืนเหล็กฉันจะบอกเธอให้นะ เธอจะกำหนดราคาเท่าไรมันเรื่องของเธอฉันไม่ยุ่ง แต่ถ้าเธอทำโดยไร้จรรยาบรรณเพื่อเงินแบบคนพวกนั้นล่ะก็ ต่อไปไม่ต้องมาเจอฉันอีกเลย”

ศาสตราจารย์หลิวยังยืนหยัดว่าคนเป็นหมอควรมีขอบเขต มันเป็นหลักการ

เสี่ยวเชี่ยนนิ่งเงียบ สักพักถึงได้พยักหน้า

“หนูรับปากค่ะ อาจารย์คะ พวกเราจะตามหาคนพวกนั้นไม่ได้เลยเหรอคะ?”

“ฉันก็อยากเจอเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ อยากเจอพวกเขาเป็นเรื่องที่ยากมาก มีแค่เงินไม่พอต้องมีคนแนะนำไปด้วย และยังต้องทำตามเงื่อนไขของพวกเขา…สรุปคือ ยุ่งยากมาก”

เรื่องแบบนี้ศาสตราจารย์หลิวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ด้านหนึ่งเธอรู้สึกว่าตอนนี้ระดับความรู้ในประเทศยังไปได้ไกลกว่านี้ ส่วนอีกด้านเธอรู้สึกว่านี่เหมือนเป็นความรู้ใหม่ที่ไม่เหมือนกับที่เธอเคยศึกษามา เธอจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยากรู้ว่าคนพวกนั้นทำยังไงกันแน่

ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ใช้เป็นแนวทางศึกษา แต่ยังไงเธอก็ยังรู้สึกว่าในทางทฤษฎีก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

“เพราะเธอเลย! ถ้าเธอยอมไปอยู่กับเหล่าชีแต่แรก ไม่แน่อาจไปเจอคนพวกนั้นผ่านทางเหล่าชีได้ เธอก็รั้นไม่ยอมไป!”

ศาสตราจารย์ชีไม่ใช่แค่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาไปมาหลายประเทศย่อมได้รู้ข่าวสารมากกว่าแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวเชี่ยนปฏิเสธแหล่งทรัพยากรแบบนี้ไป ศาสตราจารย์หลิวมานึกดูตอนนี้ก็ยังปวดใจ

“ไม่ผ่านเขาก็มีวิธีเหมือนกัน อาจารย์ หนูไปชงกาแฟให้ค่ะ เดี๋ยวมาคุยเรื่องงานสัปดาห์นี้กันไหมคะ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 944 เป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี

Now you are reading แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย Chapter 944 เป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ศาสตราจารย์หลิวกำลังดูละครกับสามี พอเห็นพวกเสี่ยวเชี่ยนมาหาดึกขนาดนี้ก็ตกใจ แต่สามีเธอกลับดีใจมาก

“กำลังกลุ้มไม่มีใครเดินหมากเป็นเพื่อนอยู่พอดี หมิงหลาง มาสู้กันสักสองตาซิ”

เสี่ยวเชี่ยนนั่งลงบนโซฟาไม่พูดอะไร ศาสตราจารย์หลิวเห็นศิษย์รักเป็นแบบนั้นก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

มาดึกขนาดนี้ต้องมีเรื่องแน่ๆ

“อาจารย์ หนูมีคำถามค่ะ มันมีการสะกดจิตแบบที่เปลี่ยนจิตใต้สำนึกได้หมดจริงๆเหรอคะ?”

ได้ยินเสี่ยวเชี่ยนถามแบบนั้นศาสตราจารย์หลิวก็อึ้ง

“ทำไมอยู่ๆถามแบบนี้ล่ะ?”

“หนูก็แค่สงสัย…จากประสบการณ์การรักษาที่ผ่านมา ถึงจะมีหลายเคสที่ใช้การสะกดจิตเพื่อเข้าสู่จิตใต้สำนึก แต่การเข้าสู่จิตใต้สำนึกแล้วทำให้เกิดเสียงภายในใจเหมือนพวกโรคจิตเภทภายในเวลาอันสั้น เพื่อต่อต้านจิตรู้สำนึก มันเป็นไปได้เหรอคะ?”

เสี่ยวเชี่ยนถามสืออวี้อย่างละเอียดแล้วหลังจากที่เธอถูกสะกดจิต แล้วก็ต้องตกใจที่พบว่าไม่เหมือนกับเมื่อชาติก่อน ซึ่งมันแตกต่างจากองค์ความรู้ที่เธอเคยเรียนมาทั้งสิ้น

“ที่เธอว่าสั้น มันสั้นแค่ไหน?” ศาสตราจารย์หลิวถาม

“หนึ่งครั้ง เวลาก็แค่ครึ่งชั่วโมง”

“ความสัมพันธ์ระหว่างจิตแพทย์กับคนไข้?”

“ไม่รู้จักกัน”

“จิตใจของผู้ป่วยปกติไหม?”

“ปกติค่ะ ฉลาดกว่าคนปกติเล็กน้อย จัดอยู่ในประเภทสภาพร่างกายที่ถูกสะกดจิตได้ง่าย”

“หลังถูกสะกดจิตจำขั้นตอนตอนนั้นได้ไหม?”

“จำไม่ได้เลยค่ะ เพียงแต่ต่อมาบางช่วงจะมีการต่อต้านจิตรู้สำนึก มักจะมีเสียงคำพูดที่ถูกป้อนเข้าไปดังขึ้นในใจบ่อยๆ”

ศาสตราจารย์หลิวขมวดคิ้ว เธอยืนขึ้นแล้วเดินไปเดินมาเหมือนกำลังใช้ความคิด

“ในทางทฤษฎีมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้แต่ละคนจะมีระดับความอ่อนไหวที่แตกต่างกัน ระดับในการถูกสะกดจิตก็ไม่เหมือนกัน แต่ฟังจากเงื่อนไขที่เธอพูดมารวมถึงผลที่ได้มันดูเกินจริงมาก ฉันคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้”

เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เธอเองคิดอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบ

“นักมานุษยวิทยาเสนอแนวคิดไว้ว่า การสะกดจิตก็คือการที่พวกเราพูดชี้นำคนไข้ให้เผชิญกับจิตใต้สำนึก พูดให้ชัดเจนหน่อยก็คือ เอาตัวคนไข้เป็นหลัก จิตแพทย์เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้คนไข้เท่านั้น อย่างเช่นในกระบวนการรักษาครั้งก่อนๆ ต่อให้เป็นการจำลองโลกจิตใต้สำนึกขึ้นมาใหม่ให้คนไข้ที่มีสภาพจิตใจผิดปกติ นั่นก็ยังต้องพูดชี้นำตามจิตใต้สำนึกเดิมของคนไข้ ก่อนอื่นเลยเขาต้องมีสิ่งนี้ก่อน แล้วพวกเราค่อยดึงเขาออกมา แต่แบบที่หนูพูดถึง มันเหมือนกับว่ากรอกข้อมูลที่ไม่ใช่ของตัวคนไข้ใส่ลงไปใหม่หมด”

ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวเชี่ยนสร้างโลกขึ้นมาอีกใบเพื่อช่วยผู้หญิงที่เคยถูกผู้ชายทำร้าย คนไข้คนนั้นชอบกระต่ายมาชิมาโร่ เสี่ยวเชี่ยนได้ช่วยเธอเลี้ยงมาชิมาโร่ให้โตขึ้นเพื่อต่อสู้กับเรื่องไม่ดี แต่ประเด็นคือในใจของเขามีกระต่ายตัวน้อยๆอยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้ศาสตราจารย์หลิวก็เคยสะกดจิตสืออวี้เพื่อถามเรื่องบางอย่าง แต่นั่นก็เป็นความคิดที่แท้จริงของสืออวี้อยู่แล้ว เธอแค่โน้มน้าวให้พูดออกมา ไม่ได้กรอกข้อมูลใส่เข้าไป

เคสสืออวี้ ในใจเธอไม่เคยมีความคิดอะไรที่ซับซ้อนอย่างเช่นเรื่องเงิน เรื่องเพื่อน อิจฉาริษยา อะไรแนวๆนั้น ซึ่งมันตรงกันข้ามกับนิสัยสืออวี้โดยสิ้นเชิง นั่นก็หมายความว่าในใจของสืออวี้ไม่เคยมีเรื่องพวกนี้อยู่เลย ถูกกรอกความคิดใส่หัวทั้งนั้น

ดังนั้นสืออวี้ถึงได้ใช้จิตรู้สำนึกต่อต้านความคิดที่ถูกกรอกใส่หัวได้ จนสุดท้ายร่วมมือเอาคืนกับประธานเชี่ยนได้สำเร็จ

ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้า เธอคิดเหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนพูด

“ฉันก็เคยทดลองกรอกความคิดใส่ลงไปใหม่หมดนะ และยังเคยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปในคุกหานักโทษคดีอุกฉกรรจ์มาทดลอง แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลว ฉันกรอกความคิดใส่จิตใต้สำนึกไม่สำเร็จ”

ก่อนหน้านี้ใช่ว่าศาสตราจารย์หลิวจะไม่เคยวิจัยแนวนี้ ถึงขนาดที่เคยเข้าไปแก้ไขจิตใต้สำนึกบางส่วนของนักโทษในคุกให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพื่อดูว่าจะช่วยลดโอกาสในการทำผิดให้น้อยลงได้หรือไม่

ถึงจะมีเคสที่ประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายยอดที่ได้ก็ไม่ถึงอย่างที่ตั้งความหวังไว้ ล้มเหลวไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับคนจำนวนหนึ่งแล้ว หากความคิดบางอย่างได้ก่อเกิดขึ้นมา ต่อไปไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมกับสภาพจิตใจที่เป็นตัวส่งเสริมกันและกัน เมื่อกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดิม ต่อให้เป็นคนที่เปลี่ยนไปแล้ว ก็ยังกลับไปเลวแบบเดิมได้ เหมือนกับคนติดยา พอกลับไปเจอเพื่อนเก่าๆก็กลับไปติดยาเหมือนเดิมได้ง่าย

“ตอนนั้นอาจารย์ทดลองไปหลายครั้งเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม

ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้า “เบื้องบนอนุญาตให้เราไปทำการทดลองกลุ่มเล็กๆเป็นกรณีพิเศษ นักโทษแต่ละคนได้รับการรักษาไปหลายครั้ง ได้ผลน้อยมาก ดังนั้นที่เธอบอกว่าแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้ผลแบบนั้นมันเกินความเป็นจริง—เสี่ยวปืนเหล็ก เธอไปเจอเคสแบบนี้จากที่ไหน?”

“หนู…อ่านมาจากในหนังสือค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องของสืออวี้ เธอสังหรณ์ใจว่าถ้าอาจารย์รู้เข้าจะต้องทำการวิจัยอย่างเป็นบ้าเป็นหลังแน่

“เรื่องที่เขียนในหนังสือมันก็ย่อมมีเกินจริงไปบ้าง พวกเราเป็นแนววิทยาศาสตร์ที่ค้นหาจากการปฏิบัติ อย่าไปเชื่ออะไรที่นั่งเทียนเขียนให้มาก แต่ฉันก็ได้ยินมาว่าช่วงนี้มีนักสะกดจิตของเมืองนอกทำได้อย่างที่เธอว่า ฉันล่ะอยากจะไปเจอจริงๆ อยากรู้ว่าพวกเขาทำได้ยังไง”

“เมืองนอก?” เสี่ยวเชี่ยนจับคำสำคัญได้

“ใช่ เป็นองค์กรที่ลึกลับมาก มีส่วนที่คล้ายกับเธอตรงที่หน้าเลือดชอบคิดเงินแพงๆ แต่พวกนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าเธออีก ได้ยินว่าแค่กล้าจ่ายก็ทำหมด ฉันติดต่อไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอยากจะรู้ให้ได้ว่าคนพวกนั้นมีวิชาอะไร”

เสี่ยวเชี่ยนทำตาตี่ใส่ “อาจารย์ เวลาที่พูดถึงคนอื่นไม่ต้องเล่นงานหนูได้ไหมคะ? หนูเนี่ยนะหน้าเลือดชอบคิดเงินแพงๆ?”

“เก็บชั่วโมงละหลายพันไม่ใช่พวกหน้าเลือดหรือไง? เสี่ยวปืนเหล็กฉันจะบอกเธอให้นะ เธอจะกำหนดราคาเท่าไรมันเรื่องของเธอฉันไม่ยุ่ง แต่ถ้าเธอทำโดยไร้จรรยาบรรณเพื่อเงินแบบคนพวกนั้นล่ะก็ ต่อไปไม่ต้องมาเจอฉันอีกเลย”

ศาสตราจารย์หลิวยังยืนหยัดว่าคนเป็นหมอควรมีขอบเขต มันเป็นหลักการ

เสี่ยวเชี่ยนนิ่งเงียบ สักพักถึงได้พยักหน้า

“หนูรับปากค่ะ อาจารย์คะ พวกเราจะตามหาคนพวกนั้นไม่ได้เลยเหรอคะ?”

“ฉันก็อยากเจอเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ อยากเจอพวกเขาเป็นเรื่องที่ยากมาก มีแค่เงินไม่พอต้องมีคนแนะนำไปด้วย และยังต้องทำตามเงื่อนไขของพวกเขา…สรุปคือ ยุ่งยากมาก”

เรื่องแบบนี้ศาสตราจารย์หลิวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ด้านหนึ่งเธอรู้สึกว่าตอนนี้ระดับความรู้ในประเทศยังไปได้ไกลกว่านี้ ส่วนอีกด้านเธอรู้สึกว่านี่เหมือนเป็นความรู้ใหม่ที่ไม่เหมือนกับที่เธอเคยศึกษามา เธอจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยากรู้ว่าคนพวกนั้นทำยังไงกันแน่

ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ใช้เป็นแนวทางศึกษา แต่ยังไงเธอก็ยังรู้สึกว่าในทางทฤษฎีก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

“เพราะเธอเลย! ถ้าเธอยอมไปอยู่กับเหล่าชีแต่แรก ไม่แน่อาจไปเจอคนพวกนั้นผ่านทางเหล่าชีได้ เธอก็รั้นไม่ยอมไป!”

ศาสตราจารย์ชีไม่ใช่แค่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาไปมาหลายประเทศย่อมได้รู้ข่าวสารมากกว่าแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวเชี่ยนปฏิเสธแหล่งทรัพยากรแบบนี้ไป ศาสตราจารย์หลิวมานึกดูตอนนี้ก็ยังปวดใจ

“ไม่ผ่านเขาก็มีวิธีเหมือนกัน อาจารย์ หนูไปชงกาแฟให้ค่ะ เดี๋ยวมาคุยเรื่องงานสัปดาห์นี้กันไหมคะ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+