ยอดนักรบจอมราชัน 324 ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่รู้จักจำ

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 324 ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่รู้จักจำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 324 ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่รู้จักจำ
เย่หลินก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณปู่..คุณพ่อ..พี่เซ่ว..พี่หลันหลัน..ไชโย!”

เย่เชียนนั้นก็เริ่มที่จะคุ้นเคยกับความซุกซนของเด็กผู้หญิงคนนี้แล้วที่กระตือรือร้นไปกับทุกๆ สถานการณ์ตามประสาเด็ก ซึ่งเย่เชียนเองก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาเช่นกันและพูดว่า “ขอให้พ่อมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีอายุที่ยืนยาว!”

“แน่นอน..ขอบใจ!” ชายชราพูดด้วยรอยยิ้มเพราะไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกมีความสุขได้มากไปกว่าฉากที่อบอุ่นแบบนี้ ชายชราที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งชีวิตในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนมากมายแล้วโดยไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย เป็นความจริงใช่ไหมที่คนดีมักจะมีชีวิตที่ยืนยาว?

“คุณพ่อ..พี่สอง..ฉันเองก็ขออวยพรให้คุณทั้งสองเหมือนกัน!” ฮันเซ่วก็พูดพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นและดื่ม

ทุกคนก็ชนแก้วกันแล้วดื่มมันทันที ซึ่งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นั้นที่ได้ดื่มไวน์ขาวเข้าไปหนึ่งแก้วแล้วแต่เธอก็ยังคงไม่ส่งเสียงร้องหรือโวยวายและหรือออกอาการอะไรมากเกินไปเธอเพียงขมวดคิ้วและรีบยัดอาหารเข้าปากเพียงเท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจอย่างมากเพราะเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้นั้นมีความอดทนมากเกินกว่าอายุของเธอและหากเป็นเช่นนี้แล้วความสำเร็จต่างๆ ในอนาคตของเธอนั้นจะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน

หลังอาหารค่ำฮันเซ่วกับซ่งหลันก็มีหน้าที่ทำความสะอาดและล้างจาน ส่วนเย่เชียนกับพ่อก็นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ซึ่งชายชราก็หยิบยาสมุนไพรออกมาแล้วสูดไปสองสามครั้งแล้วก็ไอไม่หยุดจนเย่เชียนต้องช่วยลูบหลังของเขาเบาๆ ซึ่งเย่เชียนนั้นก็รู้ดีว่าพ่อของเขานั้นชอบกลิ่นของสมุนไพรโบราณอย่างมาก

หลังจากนั้นไม่นานเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็วิ่งออกมาจากห้องครัวพร้อมกับซองอั่งเปาสีแดงสองซองที่ซ่งหลันและฮันเซ่วมอบให้เธอ ซึ่งก่อนที่จะร่วมกินมื้อค่ำกันนั้นเย่เชียนก็ได้มอบซองอั่งเปาให้กับฮันเซ่วไปแต่ทว่าแล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ก็มีความดื้อรั้นเช่นเดียวกันกับพ่อเลยเพราะเธอปฏิเสธที่จะรับมันแต่เย่เชียนก็ตั้งใจใส่เอาไว้ในมือของเธอแล้วด้วยความคาดหวัง แต่ถึงอย่างนั้นเย่เชียนก็รู้ดีว่าถึงฮันเซ่วจะรับซองอั่งเปาเอาไว้ก็ตามแต่ถึงยังไงเธอก็จะมอบให้พ่อของเธอในภายหลัง และถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะยังไม่ต้องการเงินก็ตามแต่ถึงยังไงในความคิดของเธอนั้นเธอก็ควรจะประหยัดและเก็บออมเอาไว้ในภายภาคหน้า

“พ่อคะ..ไหนอั่งเปาของหนูอ่า!” เย่หลินยื่นมือออกมาและพูด

“หนูก็มีแล้วไม่ใช่หรอ?” เย่เชียนแกล้งหยอกล้อเธอ

“แต่ๆ ..หนูยังไม่ได้จากคุณพ่อเลยนะ..คุณพ่อจะไม่ให้หนูหรอ” เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กะพริบตาอย่างสิ้นหวังและเธอก็พยายามบีบน้ำตาออกมาแต่เธอก็ทำไม่ได้และดูเหมือนว่าเธอจะเสียใจอยู่เล็กน้อย

เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “ไหนบอกพ่อมาหน่อยซิว่าหนูจะเอาเงินไปทำอะไร?”

“ก็มีอยู่หลายอย่างนะที่หนูอยากได้..และก็จะไปซื้อของขวัญให้คุณปู่ด้วย..และหนูก็จะเก็บเงินเอาไว้เผื่อคุณพ่อไม่มีเงินไปแต่งงานกับสาวๆ น่ะ” เย่หลินพูดอย่างจริงจัง

“ห๊ะ! ..ฮ่าๆ” เย่เชียนก็หัวเราะด้วยความตื้นตันและรีบหยิบซองอั่งเปาสีแดงที่เขาเตรียมเอาไว้ยื่นให้เธอและพูดว่า “นี่ไง! ..แต่หนูต้องหอมแก้มคุณพ่อก่อนนะ!”

“ได้เลยค่ะ!” เย่หลินก็จูบแก้มของเย่เชียนอย่างมีความสุขและหยิบซองอั่งเปาสีแดงไปและรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของเธออย่างมีความสุข

ในวันแรกของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนก็ไม่ได้ไปไหนเลยเพราะเขาอยู่กับพ่อของเขาเพื่อดื่มชาและเล่นหมากรุกกันที่บ้าน ซึ่งหลี่ฮ่าวเองก็พาภรรยาและลูกสาวของเขามาเที่ยวปีใหม่และมาเยี่ยมพ่อด้วย ส่วนซ่งหลันนั้นก็ขับรถพาฮันเซ่วกับเย่หลินไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของต่างๆ นาๆ ตามประสาของผู้หญิง ซึ่งพวกเธอทั้งสามนั้นต่างก็เสื้อผ้าและสิ่งของมามากมายและแทบจะไม่มีที่เหลือให้วางอะไรอีกแล้วที่ด้านท้ายรถ ซึ่งเมื่อพวกเธอกลับกันมาแล้วพวกเธอก็ให้เย่เชียนมาช่วยขนของเข้าไปในบ้านซึ่งเย่เชียนนั้นก็เดินกลับไปกลับมาอยู่ตั้งหลายครั้งกว่าของในรถจะหมด

ในวันที่สองของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนก็ไปที่บริษัทรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัดเพื่อจัดปาร์ตี้กับแจ็คและพี่น้องคนอื่นๆ ของเขี้ยวหมาป่า ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ บริษัทใดๆ เพราะแจ็คได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้ว ซึ่งปีใหม่นี้เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ได้รับโบนัสและอั่งเปากันอย่างถี่ถ้วนและได้รับวันหยุดพิเศษที่ให้พวกเขาสามารถกลับบ้านกันไปได้อย่างสบายใจ ส่วนสำหรับสมาชิกของเขี้ยวหมาป่านั้นแจ็คก็โอนเงินพิเศษจากธนาคารกลางให้พวกเขาอย่างถี่ถ้วนด้วยเช่นกัน

หวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นก็ออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปพร้อมกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วเพราะสำหรับวันปีใหม่นั้นพวกเขาก็ควรกลับไปที่เมืองหนานจิงบ้านของพวกเขานั่นเอง

ในวันที่สามของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนกับซ่งหลันก็พาเย่หลินตัวน้อยไปที่สวนสนุก นั่นก็เพราะว่าพวกเขาแทบจะไม่มีเวลาให้กับเย่หลินเลย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็มีความสุขอย่างมากและเธอก็จับมือของเย่เชียนและซ่งหรันอย่างตื่นเต้นราวกับว่าพวกเขาทั้งสามเป็นครอบครัวที่อบอุ่นกันอย่างแท้จริง

ในวันที่สี่ของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนก็ขับรถตรงไปที่เมืองหางโจวด้วยตัวเองโดยใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วโมงในการขับรถจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปยังเมืองหางโจว ซึ่งเมื่อเวลาประมาณเที่ยงวันรถของเย่เชียนก็ได้มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของหลินโรวโร่วแล้ว หลังจากนั้นเย่เชียนก็บีบแตรอย่างแรงและสักพักหนึ่งร่างคนร่างหนึ่งก็โผล่หัวออกมาจากระเบียงและหลังจากนั้นรอยยิ้มแห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่เชียนในทันที

หลังจากนั้นไม่นานร่างนั้นก็รีบวิ่งลงมาจากชั้นบนและเปิดประตูและพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเย่เชียนอย่างมีความสุข ซึ่งเย่เชียนเองก็กอดเธอและยิ้มเล็กยิ้มน้อยและถามว่า “นี่ๆ ..ผมไม่ได้จองโรงแรมเอาไว้นะ..เพราะคืนนี้ผมจะมานอนที่บ้านของคุณ”

หลินโรวโร่วก็ถึงกับผงะไปและหลังจากนั้นเธอก็ยิ้มและพูดว่า “คุณกล้าหรอ?”

“แล้วทำไมผมถึงไม่กล้าล่ะ” เย่เชียนพูดอย่างมั่นใจ “แต่ว่านะ..ตอนกลางคืนคุณก็อย่าร้องเสียงดังล่ะ”

“ฉันเกลียดคุณ!” หลินโรวโร่วทุบหน้าอกของเย่เชียนเบาๆ ซึ่งทั้งสองนั้นก็เคยนอนบนเตียงเดียวกันมาหลายครั้งแล้วแต่พวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยมีอะไรกันเลยเพราะพวกเขาเพียงแค่กอดและนอนด้วยกันเพียงเท่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

“เข้าไปกันเถอะ!” หลินโรวโร่วจับมือของเย่เชียนแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านและเย่เชียนก็รีบหยิบของขวัญที่เขาเตรียมเอาไว้และเดินตามเธอไป ซึ่งของขวัญเหล่านี้นั้นถูกคัดสรรโดยซ่งหลันอย่างถี่ถ้วนเพราะสำหรับใหญ่คนโตของรัฐบาลแล้วแน่นอนว่าซ่งหลันนั้นรู้ถึงรสนิยมของพวกเขาเหล่านั้นดีกว่าเย่เชียนอย่างแน่นอนเพราะเธอรู้ว่าของขวัญแบบไหนที่เหมาะสมที่สุดที่จะมอบให้พวกเขาอีกด้วยซึ่งก็ไม่ได้หรูหราหรือแพงมากจนเกินไปแต่อย่างใด

เมื่อพวกเขาเข้ามาในบ้านแล้วหลินไห่,ซูเหม่ย,และหลินยี่ก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วและก็มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นแม่ของหลินยี่นั่งอยู่ด้วย ซึ่งอาหารบนโต๊ะนั้นก็ยังดูสดใหม่เหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่ได้เริ่มรับประทานกัน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของความตกตะลึงเล็กน้อยที่ระหว่างคิ้วของหลินไห่และซูเหม่ยซึ่งทำให้เย่เชียนตกใจอยู่เล็กน้อยเพราะเป็นไปได้ไหมที่เขามารบกวนครอบครัวของพวกเขาในเวลานี้?

“อ้าวเสี่ยวเย่มาหรอ..กินข้าวมารึยัง..มาๆ ..มานั่งด้วยกันสิ!” หลินไห่ยิ้มและทักทายเย่เชียน

“ขอบคุณที่ชวนครับ” จู่ๆ เย่เฉียนก็ตอบออกมาอย่างง่ายๆ สบายๆ ซึ่งประโยคดังกล่าวทำให้หลินไห่ถึงกับผงะและจากนั้นก็หัวเราะออกมาและแม้แต่ซูเหม่ยเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กยิ้มน้อย แต่มีเพียงหลินยี่เท่านั้นที่มีใบหน้าบึ้งตึงและสีหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์อย่างมากที่ได้ฟังคำพูดของเย่เชียนราวกับว่าเขานั้นมีความแค้นกับเย่เชียนในชาติปางก่อน

เย่เชียนนั้นก็มีวิธีที่จะรับมือกับคนประเภทนี้อยู่เยอะแต่เย่เชียนก็ขี้เกียจเกินไปที่จะใส่ใจกับเรื่องเช่นนี้ ซึ่งในวันที่หลินโรวโร่วเดินทางกลับมายังประเทศจีนนั้นเธอก็ได้บอกเย่เชียนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในครอบครัวของเธอแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของหลินยี่นั้นซึ่งโดยปกติแล้วเขานั้นเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ซึ้งถึงสิ่งต่างๆ ของโลกภายนอกนัก

หลินโรวโร่วก็ดึงเย่เชียนไปนั่งที่เก้าอี้และหยิบตะเกียบมาให้เขา หลังจากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ผมขับรถมาตั้งแต่เช้าแล้วและผมก็หิวมากเลย..เพราะงั้นขอบคุณมากเลยนะครับ”

หลินโรวโร่วนั้นก็คอยห่วงใยและเอาใจเย่เชียนโดยตักอาหารให้เย่เชียนหลายอย่างและเธอก็พูดว่า “กินเยอะๆ นะ..คุณอยากดื่มไวน์มั้ย..ร่างกายของคุณจะได้อบอุ่น..ขับรถในหน้าหนาวแบบนี้คุณคงจะหนาวน่าดูเลยเนาะ”

“ใช่ๆ ..ข้างนอกมันหนาวมาก..แต่พอผมคิดว่าผมจะได้เจอหน้าคุณแล้วหัวใจผมก็อบอุ่นขึ้นมาทันทีเลยน่ะ” เย่เชียนแสดงความรักของเขาให้หลินโรวโร่วโดยไม่แยแสสิ่งอื่นใดซึ่งทำให้หลินโรวโร่วนั้นมีความสุขอย่างมาก ส่วนหลินไห่นั้นก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรใดๆ มีเพียงซูเหม่ยเท่านั้นที่ไอออกมาสองครั้ง

“ลุงไห่..สักหน่อยนะครับ!” เย่เชียนพูดพลางชูแก้วไวน์ขึ้น

หลินไห่ก็ตกตะลึงอยู่เล็กน้อยหลังจากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ได้สิ!”

หลังจากที่ดื่มไวน์เข้าไปแล้วเย่เชียนก็วางแก้วไวน์ลงและพูดว่า “คุณลุงคุณป้าครับ..ที่ผมมาในวันนี้นอกจากจะอวยพรปีใหม่ให้กับคุณทั้งสองคนแล้วผมยังมาคุยเรื่องสู่ขอและการแต่งงานอีกด้วย..มันไม่ใช่สิ่งที่จะต้องปิดบังอะไรหรือหลบหนีจากมันอีกต่อไปแล้ว..ผมคิดพวกคุณทั้งสองคงเห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของผมกับโรวโร่วนะครับ” ถึงแม้ว่าหลินไห่จะตอบตกลงในทางอ้อมในครั้งที่แล้วไปแล้วก็ตามแต่ทว่าตอนนั้นหลินโรวโร่วก็ไม่ได้อยู่ด้วย ดังนั้นเย่เชียนถึงต้องการพูดอีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้และเพื่อให้หลินโรวโร่วรู้สึกสบายใจ

หลังจากที่ฟังคำพูดของเย่เชียนแล้วหลินโรวโร่วก็หันมองไปที่หลินไห่และซูเหม่ยอย่างคาดหวังและรอคอยคำพูดและคำตอบของพวกเขา

“ทำไมแกถึงอยากแต่งงานกับพี่สาวของฉันนักล่ะ?” หลินไห่และซูเหม่ยนั้นยังไม่ได้พูดอะไรใดๆ กันเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าหลินยี่ก็ขมวดคิ้วอย่างหนักหน่วงและพูดแทรกเข้ามาอย่างเย้ยหยัน

“หลินยี่! ..นี่ลูกพูดแบบนี้ได้ยังไง” ผู้หญิงวัยกลางคนด้านข้างของหลินยี่ตะคอกเขา หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เชียนด้วยสายตาที่ดูขอโทษและพูดว่า “คุณเย่คะ..อย่าไปโกรธเคืองเด็กคนนี้ที่พูดไม่ดีเลยนะคะ”

เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไรครับคุณป้า..ผมชอบนิสัยแบบนี้ของเขาจริงๆ ..เขาเป็นคนประเภทที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาและถ้าไม่เจอความเจ็บปวดซะบ้างก็คงจะไม่รู้จำล่ะนะ..คนประเภทนี้น่ะมักจะทำตัวแหลกเหลวและในอนาคตก็เป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้หรอก..และทุกคนก็คงจะถ่มน้ำลายใส่เขาเมื่อวันที่เขาตายจากไป”

นี่เป็นคำพูดที่รุนแรงอย่างมากแต่ถึงยังไงมันก็เป็นความจริงเช่นกัน ซึ่งหลินไห่กับซูเหม่ยต่างก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดีเพราะหลินยี่นั้นเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ทำตัวเหลวไหลจริงๆ เพราะตราบใดที่เขาตั้งใจทำงานผลลัพธ์ในอนาคตของเขาจะไม่ตกต่ำอย่างแน่นอน และเป็นเช่นเดียวกันกับที่เย่เชียนพูดว่าหลินยี่นั้นทำตัวแหลกเหลวเกินไปและเขาก็จะตกต่ำและเมื่อเขาตายจากเหล่าเพื่อนและเครือญาติก็จะถ่มน้ำลายส่งท้ายเขานั่นเอง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้เองก็กำลังทำให้หลินไห่และซูเหม่ยนั้นปวดหัวอย่างมากเพราะหลินยี่นั้นอยากที่จะแต่งงานกับดารานักแสดงซึ่งเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นผลดีต่อตระกูลและครอบครัวเลยและมันก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของหลินยี่ เองด้วยและยิ่งไปกว่านั้นแม่ของหลินยี่เองก็รู้มาตลอดว่าดารานักแสดงสาวคนนี้มักจะทำตัวเสแสร้งและมีพิษสงอยู่เสมอซึ่งมันไม่คุ้มค่าเลยที่จะให้ลูกชายของเธอไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้และพาเธอมาอยู่ในบ้านด้วย

หลินยี่เองก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอดเช่นกันและเย่เชียนกลับพูดแบบนี้ต่อหน้าต่อตาของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเช่นนี้แล้วและเขาจะรู้สึกดีได้อย่างไร? หลังจากนั้นไม่นานหลินยี่ก็ยืนขึ้นทันทีและตะคอกว่า “พูดแบบนี้อยากตายนักเหรอวะ!”

“นั่งลง!” หลินไห่ตะโกนอย่างรุนแรง ซึ่งหลินไห่คนนี้ที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขาเสมอแต่เมื่อเขาโกรธขึ้นมาแล้วเขากลับกลายเป็นอีกคนไปโดยสิ้นเชิงและเขาก็ไม่ได้ซ่อนออร่าแห่งความกดดันของเขาเอาไว้เลย “ยังไม่ขอโทษเขาอีกเหรอ! ..ทำตัวหยาบคายแบบนี้ได้ยังไง..นี่เอ็งคิดว่าเอ็งเก่งที่สุดในโลกงั้นเหรอ?” หลินไห่ตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว

เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับลุงไห่” หลินยี่เองก็ไม่ได้คิดที่จะขอโทษเช่นเพราะเขากำลังจะเดินหนีออกไปหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูด

หลินไห่ก็ยิ้มด้วยความรู้สึกที่ขอโทษและพูดว่า “เฮ้อ..เด็กคนนั้นน่ะเอาแต่ใจตัวเองมาตลอด..พวกเราตระกูลหลินเองก็เอือมระอาแล้ว..แล้วเราจะหมดห่วงและหายกังวลเกี่ยวกับเขาได้ยังไง”

หลินโรวโร่วก็พูดขึ้นมาว่า “ในความคิดของหนูน่ะ..หนูคิดว่าเราควรจะปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อตัวเองน่ะ..หนูอยากเห็นจริงๆ ว่าถ้าเพื่อนๆ และคนรอบตัวของเขาไม่สนับสนุนเขาแล้วเขาจะเป็นยังไง”

.

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 324 ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่รู้จักจำ

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 324 ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่รู้จักจำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 324 ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่รู้จักจำ
เย่หลินก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณปู่..คุณพ่อ..พี่เซ่ว..พี่หลันหลัน..ไชโย!”

เย่เชียนนั้นก็เริ่มที่จะคุ้นเคยกับความซุกซนของเด็กผู้หญิงคนนี้แล้วที่กระตือรือร้นไปกับทุกๆ สถานการณ์ตามประสาเด็ก ซึ่งเย่เชียนเองก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาเช่นกันและพูดว่า “ขอให้พ่อมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีอายุที่ยืนยาว!”

“แน่นอน..ขอบใจ!” ชายชราพูดด้วยรอยยิ้มเพราะไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกมีความสุขได้มากไปกว่าฉากที่อบอุ่นแบบนี้ ชายชราที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งชีวิตในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนมากมายแล้วโดยไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย เป็นความจริงใช่ไหมที่คนดีมักจะมีชีวิตที่ยืนยาว?

“คุณพ่อ..พี่สอง..ฉันเองก็ขออวยพรให้คุณทั้งสองเหมือนกัน!” ฮันเซ่วก็พูดพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นและดื่ม

ทุกคนก็ชนแก้วกันแล้วดื่มมันทันที ซึ่งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นั้นที่ได้ดื่มไวน์ขาวเข้าไปหนึ่งแก้วแล้วแต่เธอก็ยังคงไม่ส่งเสียงร้องหรือโวยวายและหรือออกอาการอะไรมากเกินไปเธอเพียงขมวดคิ้วและรีบยัดอาหารเข้าปากเพียงเท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจอย่างมากเพราะเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้นั้นมีความอดทนมากเกินกว่าอายุของเธอและหากเป็นเช่นนี้แล้วความสำเร็จต่างๆ ในอนาคตของเธอนั้นจะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน

หลังอาหารค่ำฮันเซ่วกับซ่งหลันก็มีหน้าที่ทำความสะอาดและล้างจาน ส่วนเย่เชียนกับพ่อก็นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ซึ่งชายชราก็หยิบยาสมุนไพรออกมาแล้วสูดไปสองสามครั้งแล้วก็ไอไม่หยุดจนเย่เชียนต้องช่วยลูบหลังของเขาเบาๆ ซึ่งเย่เชียนนั้นก็รู้ดีว่าพ่อของเขานั้นชอบกลิ่นของสมุนไพรโบราณอย่างมาก

หลังจากนั้นไม่นานเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็วิ่งออกมาจากห้องครัวพร้อมกับซองอั่งเปาสีแดงสองซองที่ซ่งหลันและฮันเซ่วมอบให้เธอ ซึ่งก่อนที่จะร่วมกินมื้อค่ำกันนั้นเย่เชียนก็ได้มอบซองอั่งเปาให้กับฮันเซ่วไปแต่ทว่าแล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ก็มีความดื้อรั้นเช่นเดียวกันกับพ่อเลยเพราะเธอปฏิเสธที่จะรับมันแต่เย่เชียนก็ตั้งใจใส่เอาไว้ในมือของเธอแล้วด้วยความคาดหวัง แต่ถึงอย่างนั้นเย่เชียนก็รู้ดีว่าถึงฮันเซ่วจะรับซองอั่งเปาเอาไว้ก็ตามแต่ถึงยังไงเธอก็จะมอบให้พ่อของเธอในภายหลัง และถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะยังไม่ต้องการเงินก็ตามแต่ถึงยังไงในความคิดของเธอนั้นเธอก็ควรจะประหยัดและเก็บออมเอาไว้ในภายภาคหน้า

“พ่อคะ..ไหนอั่งเปาของหนูอ่า!” เย่หลินยื่นมือออกมาและพูด

“หนูก็มีแล้วไม่ใช่หรอ?” เย่เชียนแกล้งหยอกล้อเธอ

“แต่ๆ ..หนูยังไม่ได้จากคุณพ่อเลยนะ..คุณพ่อจะไม่ให้หนูหรอ” เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กะพริบตาอย่างสิ้นหวังและเธอก็พยายามบีบน้ำตาออกมาแต่เธอก็ทำไม่ได้และดูเหมือนว่าเธอจะเสียใจอยู่เล็กน้อย

เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “ไหนบอกพ่อมาหน่อยซิว่าหนูจะเอาเงินไปทำอะไร?”

“ก็มีอยู่หลายอย่างนะที่หนูอยากได้..และก็จะไปซื้อของขวัญให้คุณปู่ด้วย..และหนูก็จะเก็บเงินเอาไว้เผื่อคุณพ่อไม่มีเงินไปแต่งงานกับสาวๆ น่ะ” เย่หลินพูดอย่างจริงจัง

“ห๊ะ! ..ฮ่าๆ” เย่เชียนก็หัวเราะด้วยความตื้นตันและรีบหยิบซองอั่งเปาสีแดงที่เขาเตรียมเอาไว้ยื่นให้เธอและพูดว่า “นี่ไง! ..แต่หนูต้องหอมแก้มคุณพ่อก่อนนะ!”

“ได้เลยค่ะ!” เย่หลินก็จูบแก้มของเย่เชียนอย่างมีความสุขและหยิบซองอั่งเปาสีแดงไปและรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของเธออย่างมีความสุข

ในวันแรกของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนก็ไม่ได้ไปไหนเลยเพราะเขาอยู่กับพ่อของเขาเพื่อดื่มชาและเล่นหมากรุกกันที่บ้าน ซึ่งหลี่ฮ่าวเองก็พาภรรยาและลูกสาวของเขามาเที่ยวปีใหม่และมาเยี่ยมพ่อด้วย ส่วนซ่งหลันนั้นก็ขับรถพาฮันเซ่วกับเย่หลินไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของต่างๆ นาๆ ตามประสาของผู้หญิง ซึ่งพวกเธอทั้งสามนั้นต่างก็เสื้อผ้าและสิ่งของมามากมายและแทบจะไม่มีที่เหลือให้วางอะไรอีกแล้วที่ด้านท้ายรถ ซึ่งเมื่อพวกเธอกลับกันมาแล้วพวกเธอก็ให้เย่เชียนมาช่วยขนของเข้าไปในบ้านซึ่งเย่เชียนนั้นก็เดินกลับไปกลับมาอยู่ตั้งหลายครั้งกว่าของในรถจะหมด

ในวันที่สองของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนก็ไปที่บริษัทรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัดเพื่อจัดปาร์ตี้กับแจ็คและพี่น้องคนอื่นๆ ของเขี้ยวหมาป่า ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ บริษัทใดๆ เพราะแจ็คได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้ว ซึ่งปีใหม่นี้เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ได้รับโบนัสและอั่งเปากันอย่างถี่ถ้วนและได้รับวันหยุดพิเศษที่ให้พวกเขาสามารถกลับบ้านกันไปได้อย่างสบายใจ ส่วนสำหรับสมาชิกของเขี้ยวหมาป่านั้นแจ็คก็โอนเงินพิเศษจากธนาคารกลางให้พวกเขาอย่างถี่ถ้วนด้วยเช่นกัน

หวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นก็ออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปพร้อมกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วเพราะสำหรับวันปีใหม่นั้นพวกเขาก็ควรกลับไปที่เมืองหนานจิงบ้านของพวกเขานั่นเอง

ในวันที่สามของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนกับซ่งหลันก็พาเย่หลินตัวน้อยไปที่สวนสนุก นั่นก็เพราะว่าพวกเขาแทบจะไม่มีเวลาให้กับเย่หลินเลย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็มีความสุขอย่างมากและเธอก็จับมือของเย่เชียนและซ่งหรันอย่างตื่นเต้นราวกับว่าพวกเขาทั้งสามเป็นครอบครัวที่อบอุ่นกันอย่างแท้จริง

ในวันที่สี่ของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนก็ขับรถตรงไปที่เมืองหางโจวด้วยตัวเองโดยใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วโมงในการขับรถจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปยังเมืองหางโจว ซึ่งเมื่อเวลาประมาณเที่ยงวันรถของเย่เชียนก็ได้มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของหลินโรวโร่วแล้ว หลังจากนั้นเย่เชียนก็บีบแตรอย่างแรงและสักพักหนึ่งร่างคนร่างหนึ่งก็โผล่หัวออกมาจากระเบียงและหลังจากนั้นรอยยิ้มแห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่เชียนในทันที

หลังจากนั้นไม่นานร่างนั้นก็รีบวิ่งลงมาจากชั้นบนและเปิดประตูและพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเย่เชียนอย่างมีความสุข ซึ่งเย่เชียนเองก็กอดเธอและยิ้มเล็กยิ้มน้อยและถามว่า “นี่ๆ ..ผมไม่ได้จองโรงแรมเอาไว้นะ..เพราะคืนนี้ผมจะมานอนที่บ้านของคุณ”

หลินโรวโร่วก็ถึงกับผงะไปและหลังจากนั้นเธอก็ยิ้มและพูดว่า “คุณกล้าหรอ?”

“แล้วทำไมผมถึงไม่กล้าล่ะ” เย่เชียนพูดอย่างมั่นใจ “แต่ว่านะ..ตอนกลางคืนคุณก็อย่าร้องเสียงดังล่ะ”

“ฉันเกลียดคุณ!” หลินโรวโร่วทุบหน้าอกของเย่เชียนเบาๆ ซึ่งทั้งสองนั้นก็เคยนอนบนเตียงเดียวกันมาหลายครั้งแล้วแต่พวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยมีอะไรกันเลยเพราะพวกเขาเพียงแค่กอดและนอนด้วยกันเพียงเท่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

“เข้าไปกันเถอะ!” หลินโรวโร่วจับมือของเย่เชียนแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านและเย่เชียนก็รีบหยิบของขวัญที่เขาเตรียมเอาไว้และเดินตามเธอไป ซึ่งของขวัญเหล่านี้นั้นถูกคัดสรรโดยซ่งหลันอย่างถี่ถ้วนเพราะสำหรับใหญ่คนโตของรัฐบาลแล้วแน่นอนว่าซ่งหลันนั้นรู้ถึงรสนิยมของพวกเขาเหล่านั้นดีกว่าเย่เชียนอย่างแน่นอนเพราะเธอรู้ว่าของขวัญแบบไหนที่เหมาะสมที่สุดที่จะมอบให้พวกเขาอีกด้วยซึ่งก็ไม่ได้หรูหราหรือแพงมากจนเกินไปแต่อย่างใด

เมื่อพวกเขาเข้ามาในบ้านแล้วหลินไห่,ซูเหม่ย,และหลินยี่ก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วและก็มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นแม่ของหลินยี่นั่งอยู่ด้วย ซึ่งอาหารบนโต๊ะนั้นก็ยังดูสดใหม่เหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่ได้เริ่มรับประทานกัน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของความตกตะลึงเล็กน้อยที่ระหว่างคิ้วของหลินไห่และซูเหม่ยซึ่งทำให้เย่เชียนตกใจอยู่เล็กน้อยเพราะเป็นไปได้ไหมที่เขามารบกวนครอบครัวของพวกเขาในเวลานี้?

“อ้าวเสี่ยวเย่มาหรอ..กินข้าวมารึยัง..มาๆ ..มานั่งด้วยกันสิ!” หลินไห่ยิ้มและทักทายเย่เชียน

“ขอบคุณที่ชวนครับ” จู่ๆ เย่เฉียนก็ตอบออกมาอย่างง่ายๆ สบายๆ ซึ่งประโยคดังกล่าวทำให้หลินไห่ถึงกับผงะและจากนั้นก็หัวเราะออกมาและแม้แต่ซูเหม่ยเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กยิ้มน้อย แต่มีเพียงหลินยี่เท่านั้นที่มีใบหน้าบึ้งตึงและสีหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์อย่างมากที่ได้ฟังคำพูดของเย่เชียนราวกับว่าเขานั้นมีความแค้นกับเย่เชียนในชาติปางก่อน

เย่เชียนนั้นก็มีวิธีที่จะรับมือกับคนประเภทนี้อยู่เยอะแต่เย่เชียนก็ขี้เกียจเกินไปที่จะใส่ใจกับเรื่องเช่นนี้ ซึ่งในวันที่หลินโรวโร่วเดินทางกลับมายังประเทศจีนนั้นเธอก็ได้บอกเย่เชียนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในครอบครัวของเธอแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของหลินยี่นั้นซึ่งโดยปกติแล้วเขานั้นเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ซึ้งถึงสิ่งต่างๆ ของโลกภายนอกนัก

หลินโรวโร่วก็ดึงเย่เชียนไปนั่งที่เก้าอี้และหยิบตะเกียบมาให้เขา หลังจากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ผมขับรถมาตั้งแต่เช้าแล้วและผมก็หิวมากเลย..เพราะงั้นขอบคุณมากเลยนะครับ”

หลินโรวโร่วนั้นก็คอยห่วงใยและเอาใจเย่เชียนโดยตักอาหารให้เย่เชียนหลายอย่างและเธอก็พูดว่า “กินเยอะๆ นะ..คุณอยากดื่มไวน์มั้ย..ร่างกายของคุณจะได้อบอุ่น..ขับรถในหน้าหนาวแบบนี้คุณคงจะหนาวน่าดูเลยเนาะ”

“ใช่ๆ ..ข้างนอกมันหนาวมาก..แต่พอผมคิดว่าผมจะได้เจอหน้าคุณแล้วหัวใจผมก็อบอุ่นขึ้นมาทันทีเลยน่ะ” เย่เชียนแสดงความรักของเขาให้หลินโรวโร่วโดยไม่แยแสสิ่งอื่นใดซึ่งทำให้หลินโรวโร่วนั้นมีความสุขอย่างมาก ส่วนหลินไห่นั้นก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรใดๆ มีเพียงซูเหม่ยเท่านั้นที่ไอออกมาสองครั้ง

“ลุงไห่..สักหน่อยนะครับ!” เย่เชียนพูดพลางชูแก้วไวน์ขึ้น

หลินไห่ก็ตกตะลึงอยู่เล็กน้อยหลังจากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ได้สิ!”

หลังจากที่ดื่มไวน์เข้าไปแล้วเย่เชียนก็วางแก้วไวน์ลงและพูดว่า “คุณลุงคุณป้าครับ..ที่ผมมาในวันนี้นอกจากจะอวยพรปีใหม่ให้กับคุณทั้งสองคนแล้วผมยังมาคุยเรื่องสู่ขอและการแต่งงานอีกด้วย..มันไม่ใช่สิ่งที่จะต้องปิดบังอะไรหรือหลบหนีจากมันอีกต่อไปแล้ว..ผมคิดพวกคุณทั้งสองคงเห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของผมกับโรวโร่วนะครับ” ถึงแม้ว่าหลินไห่จะตอบตกลงในทางอ้อมในครั้งที่แล้วไปแล้วก็ตามแต่ทว่าตอนนั้นหลินโรวโร่วก็ไม่ได้อยู่ด้วย ดังนั้นเย่เชียนถึงต้องการพูดอีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้และเพื่อให้หลินโรวโร่วรู้สึกสบายใจ

หลังจากที่ฟังคำพูดของเย่เชียนแล้วหลินโรวโร่วก็หันมองไปที่หลินไห่และซูเหม่ยอย่างคาดหวังและรอคอยคำพูดและคำตอบของพวกเขา

“ทำไมแกถึงอยากแต่งงานกับพี่สาวของฉันนักล่ะ?” หลินไห่และซูเหม่ยนั้นยังไม่ได้พูดอะไรใดๆ กันเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าหลินยี่ก็ขมวดคิ้วอย่างหนักหน่วงและพูดแทรกเข้ามาอย่างเย้ยหยัน

“หลินยี่! ..นี่ลูกพูดแบบนี้ได้ยังไง” ผู้หญิงวัยกลางคนด้านข้างของหลินยี่ตะคอกเขา หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เชียนด้วยสายตาที่ดูขอโทษและพูดว่า “คุณเย่คะ..อย่าไปโกรธเคืองเด็กคนนี้ที่พูดไม่ดีเลยนะคะ”

เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไรครับคุณป้า..ผมชอบนิสัยแบบนี้ของเขาจริงๆ ..เขาเป็นคนประเภทที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาและถ้าไม่เจอความเจ็บปวดซะบ้างก็คงจะไม่รู้จำล่ะนะ..คนประเภทนี้น่ะมักจะทำตัวแหลกเหลวและในอนาคตก็เป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้หรอก..และทุกคนก็คงจะถ่มน้ำลายใส่เขาเมื่อวันที่เขาตายจากไป”

นี่เป็นคำพูดที่รุนแรงอย่างมากแต่ถึงยังไงมันก็เป็นความจริงเช่นกัน ซึ่งหลินไห่กับซูเหม่ยต่างก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดีเพราะหลินยี่นั้นเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ทำตัวเหลวไหลจริงๆ เพราะตราบใดที่เขาตั้งใจทำงานผลลัพธ์ในอนาคตของเขาจะไม่ตกต่ำอย่างแน่นอน และเป็นเช่นเดียวกันกับที่เย่เชียนพูดว่าหลินยี่นั้นทำตัวแหลกเหลวเกินไปและเขาก็จะตกต่ำและเมื่อเขาตายจากเหล่าเพื่อนและเครือญาติก็จะถ่มน้ำลายส่งท้ายเขานั่นเอง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้เองก็กำลังทำให้หลินไห่และซูเหม่ยนั้นปวดหัวอย่างมากเพราะหลินยี่นั้นอยากที่จะแต่งงานกับดารานักแสดงซึ่งเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นผลดีต่อตระกูลและครอบครัวเลยและมันก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของหลินยี่ เองด้วยและยิ่งไปกว่านั้นแม่ของหลินยี่เองก็รู้มาตลอดว่าดารานักแสดงสาวคนนี้มักจะทำตัวเสแสร้งและมีพิษสงอยู่เสมอซึ่งมันไม่คุ้มค่าเลยที่จะให้ลูกชายของเธอไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้และพาเธอมาอยู่ในบ้านด้วย

หลินยี่เองก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอดเช่นกันและเย่เชียนกลับพูดแบบนี้ต่อหน้าต่อตาของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเช่นนี้แล้วและเขาจะรู้สึกดีได้อย่างไร? หลังจากนั้นไม่นานหลินยี่ก็ยืนขึ้นทันทีและตะคอกว่า “พูดแบบนี้อยากตายนักเหรอวะ!”

“นั่งลง!” หลินไห่ตะโกนอย่างรุนแรง ซึ่งหลินไห่คนนี้ที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขาเสมอแต่เมื่อเขาโกรธขึ้นมาแล้วเขากลับกลายเป็นอีกคนไปโดยสิ้นเชิงและเขาก็ไม่ได้ซ่อนออร่าแห่งความกดดันของเขาเอาไว้เลย “ยังไม่ขอโทษเขาอีกเหรอ! ..ทำตัวหยาบคายแบบนี้ได้ยังไง..นี่เอ็งคิดว่าเอ็งเก่งที่สุดในโลกงั้นเหรอ?” หลินไห่ตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว

เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับลุงไห่” หลินยี่เองก็ไม่ได้คิดที่จะขอโทษเช่นเพราะเขากำลังจะเดินหนีออกไปหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูด

หลินไห่ก็ยิ้มด้วยความรู้สึกที่ขอโทษและพูดว่า “เฮ้อ..เด็กคนนั้นน่ะเอาแต่ใจตัวเองมาตลอด..พวกเราตระกูลหลินเองก็เอือมระอาแล้ว..แล้วเราจะหมดห่วงและหายกังวลเกี่ยวกับเขาได้ยังไง”

หลินโรวโร่วก็พูดขึ้นมาว่า “ในความคิดของหนูน่ะ..หนูคิดว่าเราควรจะปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อตัวเองน่ะ..หนูอยากเห็นจริงๆ ว่าถ้าเพื่อนๆ และคนรอบตัวของเขาไม่สนับสนุนเขาแล้วเขาจะเป็นยังไง”

.

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 324 ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่รู้จักจำ

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 324 ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่รู้จักจำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 324 ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่รู้จักจำ
เย่หลินก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณปู่..คุณพ่อ..พี่เซ่ว..พี่หลันหลัน..ไชโย!”

เย่เชียนนั้นก็เริ่มที่จะคุ้นเคยกับความซุกซนของเด็กผู้หญิงคนนี้แล้วที่กระตือรือร้นไปกับทุกๆ สถานการณ์ตามประสาเด็ก ซึ่งเย่เชียนเองก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาเช่นกันและพูดว่า “ขอให้พ่อมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีอายุที่ยืนยาว!”

“แน่นอน..ขอบใจ!” ชายชราพูดด้วยรอยยิ้มเพราะไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกมีความสุขได้มากไปกว่าฉากที่อบอุ่นแบบนี้ ชายชราที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งชีวิตในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนมากมายแล้วโดยไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย เป็นความจริงใช่ไหมที่คนดีมักจะมีชีวิตที่ยืนยาว?

“คุณพ่อ..พี่สอง..ฉันเองก็ขออวยพรให้คุณทั้งสองเหมือนกัน!” ฮันเซ่วก็พูดพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นและดื่ม

ทุกคนก็ชนแก้วกันแล้วดื่มมันทันที ซึ่งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นั้นที่ได้ดื่มไวน์ขาวเข้าไปหนึ่งแก้วแล้วแต่เธอก็ยังคงไม่ส่งเสียงร้องหรือโวยวายและหรือออกอาการอะไรมากเกินไปเธอเพียงขมวดคิ้วและรีบยัดอาหารเข้าปากเพียงเท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจอย่างมากเพราะเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้นั้นมีความอดทนมากเกินกว่าอายุของเธอและหากเป็นเช่นนี้แล้วความสำเร็จต่างๆ ในอนาคตของเธอนั้นจะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน

หลังอาหารค่ำฮันเซ่วกับซ่งหลันก็มีหน้าที่ทำความสะอาดและล้างจาน ส่วนเย่เชียนกับพ่อก็นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ซึ่งชายชราก็หยิบยาสมุนไพรออกมาแล้วสูดไปสองสามครั้งแล้วก็ไอไม่หยุดจนเย่เชียนต้องช่วยลูบหลังของเขาเบาๆ ซึ่งเย่เชียนนั้นก็รู้ดีว่าพ่อของเขานั้นชอบกลิ่นของสมุนไพรโบราณอย่างมาก

หลังจากนั้นไม่นานเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็วิ่งออกมาจากห้องครัวพร้อมกับซองอั่งเปาสีแดงสองซองที่ซ่งหลันและฮันเซ่วมอบให้เธอ ซึ่งก่อนที่จะร่วมกินมื้อค่ำกันนั้นเย่เชียนก็ได้มอบซองอั่งเปาให้กับฮันเซ่วไปแต่ทว่าแล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ก็มีความดื้อรั้นเช่นเดียวกันกับพ่อเลยเพราะเธอปฏิเสธที่จะรับมันแต่เย่เชียนก็ตั้งใจใส่เอาไว้ในมือของเธอแล้วด้วยความคาดหวัง แต่ถึงอย่างนั้นเย่เชียนก็รู้ดีว่าถึงฮันเซ่วจะรับซองอั่งเปาเอาไว้ก็ตามแต่ถึงยังไงเธอก็จะมอบให้พ่อของเธอในภายหลัง และถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะยังไม่ต้องการเงินก็ตามแต่ถึงยังไงในความคิดของเธอนั้นเธอก็ควรจะประหยัดและเก็บออมเอาไว้ในภายภาคหน้า

“พ่อคะ..ไหนอั่งเปาของหนูอ่า!” เย่หลินยื่นมือออกมาและพูด

“หนูก็มีแล้วไม่ใช่หรอ?” เย่เชียนแกล้งหยอกล้อเธอ

“แต่ๆ ..หนูยังไม่ได้จากคุณพ่อเลยนะ..คุณพ่อจะไม่ให้หนูหรอ” เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กะพริบตาอย่างสิ้นหวังและเธอก็พยายามบีบน้ำตาออกมาแต่เธอก็ทำไม่ได้และดูเหมือนว่าเธอจะเสียใจอยู่เล็กน้อย

เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “ไหนบอกพ่อมาหน่อยซิว่าหนูจะเอาเงินไปทำอะไร?”

“ก็มีอยู่หลายอย่างนะที่หนูอยากได้..และก็จะไปซื้อของขวัญให้คุณปู่ด้วย..และหนูก็จะเก็บเงินเอาไว้เผื่อคุณพ่อไม่มีเงินไปแต่งงานกับสาวๆ น่ะ” เย่หลินพูดอย่างจริงจัง

“ห๊ะ! ..ฮ่าๆ” เย่เชียนก็หัวเราะด้วยความตื้นตันและรีบหยิบซองอั่งเปาสีแดงที่เขาเตรียมเอาไว้ยื่นให้เธอและพูดว่า “นี่ไง! ..แต่หนูต้องหอมแก้มคุณพ่อก่อนนะ!”

“ได้เลยค่ะ!” เย่หลินก็จูบแก้มของเย่เชียนอย่างมีความสุขและหยิบซองอั่งเปาสีแดงไปและรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของเธออย่างมีความสุข

ในวันแรกของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนก็ไม่ได้ไปไหนเลยเพราะเขาอยู่กับพ่อของเขาเพื่อดื่มชาและเล่นหมากรุกกันที่บ้าน ซึ่งหลี่ฮ่าวเองก็พาภรรยาและลูกสาวของเขามาเที่ยวปีใหม่และมาเยี่ยมพ่อด้วย ส่วนซ่งหลันนั้นก็ขับรถพาฮันเซ่วกับเย่หลินไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของต่างๆ นาๆ ตามประสาของผู้หญิง ซึ่งพวกเธอทั้งสามนั้นต่างก็เสื้อผ้าและสิ่งของมามากมายและแทบจะไม่มีที่เหลือให้วางอะไรอีกแล้วที่ด้านท้ายรถ ซึ่งเมื่อพวกเธอกลับกันมาแล้วพวกเธอก็ให้เย่เชียนมาช่วยขนของเข้าไปในบ้านซึ่งเย่เชียนนั้นก็เดินกลับไปกลับมาอยู่ตั้งหลายครั้งกว่าของในรถจะหมด

ในวันที่สองของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนก็ไปที่บริษัทรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัดเพื่อจัดปาร์ตี้กับแจ็คและพี่น้องคนอื่นๆ ของเขี้ยวหมาป่า ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ บริษัทใดๆ เพราะแจ็คได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้ว ซึ่งปีใหม่นี้เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ได้รับโบนัสและอั่งเปากันอย่างถี่ถ้วนและได้รับวันหยุดพิเศษที่ให้พวกเขาสามารถกลับบ้านกันไปได้อย่างสบายใจ ส่วนสำหรับสมาชิกของเขี้ยวหมาป่านั้นแจ็คก็โอนเงินพิเศษจากธนาคารกลางให้พวกเขาอย่างถี่ถ้วนด้วยเช่นกัน

หวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นก็ออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปพร้อมกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วเพราะสำหรับวันปีใหม่นั้นพวกเขาก็ควรกลับไปที่เมืองหนานจิงบ้านของพวกเขานั่นเอง

ในวันที่สามของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนกับซ่งหลันก็พาเย่หลินตัวน้อยไปที่สวนสนุก นั่นก็เพราะว่าพวกเขาแทบจะไม่มีเวลาให้กับเย่หลินเลย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็มีความสุขอย่างมากและเธอก็จับมือของเย่เชียนและซ่งหรันอย่างตื่นเต้นราวกับว่าพวกเขาทั้งสามเป็นครอบครัวที่อบอุ่นกันอย่างแท้จริง

ในวันที่สี่ของเดือนแรกในปีใหม่นี้เย่เชียนก็ขับรถตรงไปที่เมืองหางโจวด้วยตัวเองโดยใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วโมงในการขับรถจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปยังเมืองหางโจว ซึ่งเมื่อเวลาประมาณเที่ยงวันรถของเย่เชียนก็ได้มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของหลินโรวโร่วแล้ว หลังจากนั้นเย่เชียนก็บีบแตรอย่างแรงและสักพักหนึ่งร่างคนร่างหนึ่งก็โผล่หัวออกมาจากระเบียงและหลังจากนั้นรอยยิ้มแห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่เชียนในทันที

หลังจากนั้นไม่นานร่างนั้นก็รีบวิ่งลงมาจากชั้นบนและเปิดประตูและพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเย่เชียนอย่างมีความสุข ซึ่งเย่เชียนเองก็กอดเธอและยิ้มเล็กยิ้มน้อยและถามว่า “นี่ๆ ..ผมไม่ได้จองโรงแรมเอาไว้นะ..เพราะคืนนี้ผมจะมานอนที่บ้านของคุณ”

หลินโรวโร่วก็ถึงกับผงะไปและหลังจากนั้นเธอก็ยิ้มและพูดว่า “คุณกล้าหรอ?”

“แล้วทำไมผมถึงไม่กล้าล่ะ” เย่เชียนพูดอย่างมั่นใจ “แต่ว่านะ..ตอนกลางคืนคุณก็อย่าร้องเสียงดังล่ะ”

“ฉันเกลียดคุณ!” หลินโรวโร่วทุบหน้าอกของเย่เชียนเบาๆ ซึ่งทั้งสองนั้นก็เคยนอนบนเตียงเดียวกันมาหลายครั้งแล้วแต่พวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยมีอะไรกันเลยเพราะพวกเขาเพียงแค่กอดและนอนด้วยกันเพียงเท่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

“เข้าไปกันเถอะ!” หลินโรวโร่วจับมือของเย่เชียนแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านและเย่เชียนก็รีบหยิบของขวัญที่เขาเตรียมเอาไว้และเดินตามเธอไป ซึ่งของขวัญเหล่านี้นั้นถูกคัดสรรโดยซ่งหลันอย่างถี่ถ้วนเพราะสำหรับใหญ่คนโตของรัฐบาลแล้วแน่นอนว่าซ่งหลันนั้นรู้ถึงรสนิยมของพวกเขาเหล่านั้นดีกว่าเย่เชียนอย่างแน่นอนเพราะเธอรู้ว่าของขวัญแบบไหนที่เหมาะสมที่สุดที่จะมอบให้พวกเขาอีกด้วยซึ่งก็ไม่ได้หรูหราหรือแพงมากจนเกินไปแต่อย่างใด

เมื่อพวกเขาเข้ามาในบ้านแล้วหลินไห่,ซูเหม่ย,และหลินยี่ก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วและก็มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นแม่ของหลินยี่นั่งอยู่ด้วย ซึ่งอาหารบนโต๊ะนั้นก็ยังดูสดใหม่เหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่ได้เริ่มรับประทานกัน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของความตกตะลึงเล็กน้อยที่ระหว่างคิ้วของหลินไห่และซูเหม่ยซึ่งทำให้เย่เชียนตกใจอยู่เล็กน้อยเพราะเป็นไปได้ไหมที่เขามารบกวนครอบครัวของพวกเขาในเวลานี้?

“อ้าวเสี่ยวเย่มาหรอ..กินข้าวมารึยัง..มาๆ ..มานั่งด้วยกันสิ!” หลินไห่ยิ้มและทักทายเย่เชียน

“ขอบคุณที่ชวนครับ” จู่ๆ เย่เฉียนก็ตอบออกมาอย่างง่ายๆ สบายๆ ซึ่งประโยคดังกล่าวทำให้หลินไห่ถึงกับผงะและจากนั้นก็หัวเราะออกมาและแม้แต่ซูเหม่ยเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กยิ้มน้อย แต่มีเพียงหลินยี่เท่านั้นที่มีใบหน้าบึ้งตึงและสีหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์อย่างมากที่ได้ฟังคำพูดของเย่เชียนราวกับว่าเขานั้นมีความแค้นกับเย่เชียนในชาติปางก่อน

เย่เชียนนั้นก็มีวิธีที่จะรับมือกับคนประเภทนี้อยู่เยอะแต่เย่เชียนก็ขี้เกียจเกินไปที่จะใส่ใจกับเรื่องเช่นนี้ ซึ่งในวันที่หลินโรวโร่วเดินทางกลับมายังประเทศจีนนั้นเธอก็ได้บอกเย่เชียนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในครอบครัวของเธอแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของหลินยี่นั้นซึ่งโดยปกติแล้วเขานั้นเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ซึ้งถึงสิ่งต่างๆ ของโลกภายนอกนัก

หลินโรวโร่วก็ดึงเย่เชียนไปนั่งที่เก้าอี้และหยิบตะเกียบมาให้เขา หลังจากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ผมขับรถมาตั้งแต่เช้าแล้วและผมก็หิวมากเลย..เพราะงั้นขอบคุณมากเลยนะครับ”

หลินโรวโร่วนั้นก็คอยห่วงใยและเอาใจเย่เชียนโดยตักอาหารให้เย่เชียนหลายอย่างและเธอก็พูดว่า “กินเยอะๆ นะ..คุณอยากดื่มไวน์มั้ย..ร่างกายของคุณจะได้อบอุ่น..ขับรถในหน้าหนาวแบบนี้คุณคงจะหนาวน่าดูเลยเนาะ”

“ใช่ๆ ..ข้างนอกมันหนาวมาก..แต่พอผมคิดว่าผมจะได้เจอหน้าคุณแล้วหัวใจผมก็อบอุ่นขึ้นมาทันทีเลยน่ะ” เย่เชียนแสดงความรักของเขาให้หลินโรวโร่วโดยไม่แยแสสิ่งอื่นใดซึ่งทำให้หลินโรวโร่วนั้นมีความสุขอย่างมาก ส่วนหลินไห่นั้นก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรใดๆ มีเพียงซูเหม่ยเท่านั้นที่ไอออกมาสองครั้ง

“ลุงไห่..สักหน่อยนะครับ!” เย่เชียนพูดพลางชูแก้วไวน์ขึ้น

หลินไห่ก็ตกตะลึงอยู่เล็กน้อยหลังจากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ได้สิ!”

หลังจากที่ดื่มไวน์เข้าไปแล้วเย่เชียนก็วางแก้วไวน์ลงและพูดว่า “คุณลุงคุณป้าครับ..ที่ผมมาในวันนี้นอกจากจะอวยพรปีใหม่ให้กับคุณทั้งสองคนแล้วผมยังมาคุยเรื่องสู่ขอและการแต่งงานอีกด้วย..มันไม่ใช่สิ่งที่จะต้องปิดบังอะไรหรือหลบหนีจากมันอีกต่อไปแล้ว..ผมคิดพวกคุณทั้งสองคงเห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของผมกับโรวโร่วนะครับ” ถึงแม้ว่าหลินไห่จะตอบตกลงในทางอ้อมในครั้งที่แล้วไปแล้วก็ตามแต่ทว่าตอนนั้นหลินโรวโร่วก็ไม่ได้อยู่ด้วย ดังนั้นเย่เชียนถึงต้องการพูดอีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้และเพื่อให้หลินโรวโร่วรู้สึกสบายใจ

หลังจากที่ฟังคำพูดของเย่เชียนแล้วหลินโรวโร่วก็หันมองไปที่หลินไห่และซูเหม่ยอย่างคาดหวังและรอคอยคำพูดและคำตอบของพวกเขา

“ทำไมแกถึงอยากแต่งงานกับพี่สาวของฉันนักล่ะ?” หลินไห่และซูเหม่ยนั้นยังไม่ได้พูดอะไรใดๆ กันเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าหลินยี่ก็ขมวดคิ้วอย่างหนักหน่วงและพูดแทรกเข้ามาอย่างเย้ยหยัน

“หลินยี่! ..นี่ลูกพูดแบบนี้ได้ยังไง” ผู้หญิงวัยกลางคนด้านข้างของหลินยี่ตะคอกเขา หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เชียนด้วยสายตาที่ดูขอโทษและพูดว่า “คุณเย่คะ..อย่าไปโกรธเคืองเด็กคนนี้ที่พูดไม่ดีเลยนะคะ”

เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไรครับคุณป้า..ผมชอบนิสัยแบบนี้ของเขาจริงๆ ..เขาเป็นคนประเภทที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาและถ้าไม่เจอความเจ็บปวดซะบ้างก็คงจะไม่รู้จำล่ะนะ..คนประเภทนี้น่ะมักจะทำตัวแหลกเหลวและในอนาคตก็เป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้หรอก..และทุกคนก็คงจะถ่มน้ำลายใส่เขาเมื่อวันที่เขาตายจากไป”

นี่เป็นคำพูดที่รุนแรงอย่างมากแต่ถึงยังไงมันก็เป็นความจริงเช่นกัน ซึ่งหลินไห่กับซูเหม่ยต่างก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดีเพราะหลินยี่นั้นเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ทำตัวเหลวไหลจริงๆ เพราะตราบใดที่เขาตั้งใจทำงานผลลัพธ์ในอนาคตของเขาจะไม่ตกต่ำอย่างแน่นอน และเป็นเช่นเดียวกันกับที่เย่เชียนพูดว่าหลินยี่นั้นทำตัวแหลกเหลวเกินไปและเขาก็จะตกต่ำและเมื่อเขาตายจากเหล่าเพื่อนและเครือญาติก็จะถ่มน้ำลายส่งท้ายเขานั่นเอง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้เองก็กำลังทำให้หลินไห่และซูเหม่ยนั้นปวดหัวอย่างมากเพราะหลินยี่นั้นอยากที่จะแต่งงานกับดารานักแสดงซึ่งเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นผลดีต่อตระกูลและครอบครัวเลยและมันก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของหลินยี่ เองด้วยและยิ่งไปกว่านั้นแม่ของหลินยี่เองก็รู้มาตลอดว่าดารานักแสดงสาวคนนี้มักจะทำตัวเสแสร้งและมีพิษสงอยู่เสมอซึ่งมันไม่คุ้มค่าเลยที่จะให้ลูกชายของเธอไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้และพาเธอมาอยู่ในบ้านด้วย

หลินยี่เองก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอดเช่นกันและเย่เชียนกลับพูดแบบนี้ต่อหน้าต่อตาของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเช่นนี้แล้วและเขาจะรู้สึกดีได้อย่างไร? หลังจากนั้นไม่นานหลินยี่ก็ยืนขึ้นทันทีและตะคอกว่า “พูดแบบนี้อยากตายนักเหรอวะ!”

“นั่งลง!” หลินไห่ตะโกนอย่างรุนแรง ซึ่งหลินไห่คนนี้ที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขาเสมอแต่เมื่อเขาโกรธขึ้นมาแล้วเขากลับกลายเป็นอีกคนไปโดยสิ้นเชิงและเขาก็ไม่ได้ซ่อนออร่าแห่งความกดดันของเขาเอาไว้เลย “ยังไม่ขอโทษเขาอีกเหรอ! ..ทำตัวหยาบคายแบบนี้ได้ยังไง..นี่เอ็งคิดว่าเอ็งเก่งที่สุดในโลกงั้นเหรอ?” หลินไห่ตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว

เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับลุงไห่” หลินยี่เองก็ไม่ได้คิดที่จะขอโทษเช่นเพราะเขากำลังจะเดินหนีออกไปหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูด

หลินไห่ก็ยิ้มด้วยความรู้สึกที่ขอโทษและพูดว่า “เฮ้อ..เด็กคนนั้นน่ะเอาแต่ใจตัวเองมาตลอด..พวกเราตระกูลหลินเองก็เอือมระอาแล้ว..แล้วเราจะหมดห่วงและหายกังวลเกี่ยวกับเขาได้ยังไง”

หลินโรวโร่วก็พูดขึ้นมาว่า “ในความคิดของหนูน่ะ..หนูคิดว่าเราควรจะปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อตัวเองน่ะ..หนูอยากเห็นจริงๆ ว่าถ้าเพื่อนๆ และคนรอบตัวของเขาไม่สนับสนุนเขาแล้วเขาจะเป็นยังไง”

.

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+