ยอดวิถีแห่งปีศาจ 217 การบ้าน (1)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter 217 การบ้าน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 217 การบ้าน (1)

‘เลื่อนระดับมากเกินไปในครั้งเดียว ร่างกายเลยปรับตัวไม่ทัน ต้องพักก่อน’ ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าร่างกายที่เดิมควบคุมได้ดั่งใจ เริ่มเสียการควบคุมบ้างแล้วระหว่างยกระดับวิชาไร้มูลเหตุ ทราบว่าเป็นเพราะกล้ามเนื้อมัดน้อยที่แข็งแกร่งขึ้นจากวิชาไร้มูลเหตุ

ถ้าหากบอกว่าการออกกำลังในวิถีวรยุทธ์ทำให้กล้ามเนื้อหลักของกายเนื้อพองขยายแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว เช่นนั้นการฝึกวิชาลับของสำนักและตระกูลขุนนางก็ทำให้กล้ามเนื้อมัดน้อยกับกล้ามเนื้ออวัยวะภายในจำนวนมากนอกจากมัดหลักได้รับการชุบหลอมเช่นกัน

หนึ่งหลักหนึ่งรอง ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์

เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของตนกำลังสมบูรณ์มากขึ้น

‘ร่างกายของคนมีขีดจำกัดอยู่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกมีขีดจำกัดของตัวเอง จำนวนครั้งการแบ่งเซลล์เป็นสิ่งตายตัว ถึงแม้ว่าจะทำลายเซลล์เก่า สร้างเซลล์ใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมผ่านการฝึกฝนได้ แต่จำนวนการแบ่งก็กำหนดไว้ว่ากระบวนการแบบนี้ไม่อาจรักษาได้ตลอดไป’

ลู่เซิ่งทราบดีว่าตนเองก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ร่างกายนี้สุดท้ายก็เป็นร่างคนธรรมดา

ความสมบูรณ์หมายถึงยกระดับร่างกายสู่จุดสูงสุดจนไม่อาจพัฒนาได้อีก

‘ตอนแรกตระกูลขุนนางก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทำไมพวกเขาถึงไปถึงระดับที่สูงกว่าเดิมได้’ เขาพลันนึกถึงคำถามข้อหนึ่ง

‘แสงของอาวุธเทพศัสตรามารเหมือนกับรังสีบางชนิด…บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งนี้ เลยทำให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์ ทำให้ข้อจำกัดในการแบ่งเซลล์ของพวกเขาหายไป แล้วได้รับความสามารถในการฟื้นตัวด้วยความเร็วที่น่ากลัวมา แต่ทำไมพวกเขาไม่ได้รับความสามารถในการเติบโตล่ะ’

‘ช่างเถอะ หยุดคิดมากได้แล้ว ขั้นต่อไป คือหลังจากชินกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแล้ว ค่อยเริ่มฝึกเคล็ดวิชาหน้ามารต่อ’ ลู่เซิ่งเริ่มทบทวนเนื้อหาของเคล็ดวิชาหน้ามาร ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เก็บสภาพหยินหยางอย่างรวดเร็ว วิชาไร้มูลเหตุกระจายทั่วตัวเหมือนระลอกคลื่น ทำให้เยื่อดำชั้นหนึ่งปกคลุมผิวหนังบนร่างกายด้วยความเร็วสูง กั้นหมอกพิษเอาไว้ด้านนอก

ปราณมารหมอกพิษเมื่อไม่มีแหล่งดึงดูด จึงค่อยหายไปอย่างช้าๆ

‘ค่ำแล้ว ควรกลับได้สักที’ ลู่เซิ่งมองป่าหินด้านนอก ถีบเท้าข้างหนึ่งพุ่งตัวออกจากในถ้ำ สะกิดเท้าใส่เสาหินในป่าหินติดต่อกัน พุ่งไปยังธารน้ำเบื้องล่างอย่างแผ่วพลิ้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงบนพื้นเมื่อขามา

พอดีที่เสียงระฆังทึบหนักดังผ่านกำแพงมาแต่ไกล

ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย ที่นี่ก็ได้ยินเสียงระฆังเหมือนกันหรือ เขากวาดตามองรอบๆ หน้าผาหินหนามีสีแวววาวโดยธรรมชาติ บางแห่งที่มีตะไคร่น้ำสีเขียวอ่อนงอกอยู่ก็จะเรืองแสง ไม่มีร่องรอยของคน นี่แสดงให้เห็นว่าที่นี่อยู่ห่างจากพื้นที่อยู่อาศัยหลักของสำนักไกลมาก

‘เสียงระฆังนี้…’ เขาใคร่ครวญ ไม่คิดมากอีก หมุนตัวรุดไปยังทิศทางขามาอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าๆๆ! ลิ่วซานจื่อ ไม่เจอกันนาน ช่วงนี้สบายดีหรือ” ด้านนอกตำหนักวิชาลับสำนักมารกำเนิด ชายชราหน้าดำ ร่างอ้วนตันคนหนึ่ง นำบุรุษสตรีวัยกลางคนสวมเสื้อสีเหลืองหลายคนทักทายลิ่วซานจื่อแต่ไกลโดยที่ยังมาไม่ถึง

“ที่แท้เป็นเจ้าสำนักเก้ากระดิ่งมาเอง เสียคารวะๆ” ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าไร้อารมณ์ ปัจจุบันสำนักมารกำเนิดไม่มีแม้แต่คนเฝ้าประตู เขาถึงขั้นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าสำนักมา จนมาถึงตำหนักวิชาลับแล้ว

“แต่จำได้ว่า ข้าไม่เคยเชิญเจ้าสำนักหงมานี่”

เจ้าสำนักเก้ากระดิ่งแซ่หงชื่อชิง ตั้งแต่ปกครองสำนัก หงชิงก็ทำให้สำนักรุ่งเรือง สั่งสมขุมกำลัง ไม่เลือกใช้วิธีการ พัฒนาสำนักเก้ากระดิ่งจนยิ่งใหญ่ในเวลาไม่กี่ปี

เป็นเพราะเทียบกับอาณาเขตของสำนักสามขั้นล่างแต่เดิมแล้ว อาณาเขตเล็กๆ แบบนั้นไม่สอดคล้องกับขนาดของสำนักเก้ากระดิ่งในปัจจุบันอีกแล้ว

ดังนั้นพวกเขาต้องการสถานที่ที่ใหญ่กว่าเดิม และฝึกฝนได้สะดวกกว่าเดิม ไม่ใช่ยังหมกตัวอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ทั้งๆ ที่มีพลังระดับสำนักสามขั้นกลางแล้ว

ดังนั้นหงชิงจึงคัดเลือกอย่างตั้งใจ แล้วที่อยู่ของหน่วยหลักสำนักมารกำเนิดที่ตกต่ำลงทุกวันก็เข้าตาเขา กลายเป็นอาณาเขตที่สำนักเก้ากระดิ่งคิดยึดครองที่สุด

“ข้ามาเองจริงๆ เพียงแค่ไม่มีอะไรทำ ผ่านมาแถวนี้พอดี จึงคิดมาดูสภาพในปัจจุบันของสหายลิ่วซานจื่อ” หงชิงหัวเราะลั่น “ดูเหมือนสภาพของสหายลิ่วซานจื่อจะไม่ดีนัก”

“เรื่องของสำนักข้า ไม่ต้องให้เจ้าสำนักหงมาเป็นห่วง” ลิ่วซานจื่อกล่าวอย่างเฉยชา

“จะว่าไป สหายลิ่วซานไม่รู้สึกลำบากบ้างหรือ สำนักมารกำเนิดที่ใหญ่โตแบบนี้มีคนอยู่แค่นี้ แต่ยังครอบครองพื้นที่ใหญ่แบบนี้ ข้าเป็นห่วงแทนพวกท่านจริงๆ…” หงชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าสำนักหงหมายความว่าอย่างไร” ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าเคร่งเครียด

“จริงๆ แล้วความหมายของข้ารวบรัดยิ่ง ขอแค่สหายลิ่วซานตัดสินใจมอบที่ตั้งสำนักมารกำเนิดให้พวกเราสำนักเก้ากระดิ่ง พวกเราจะช่วยสำนักมารกำเนิดรักษาการสืบทอดสำนักในชุมนุมร้อยเส้นสายต่อไป” ในที่สุดหงชิงก็บอกแผนการของตนเอง

ที่เขาบอกว่าจะรักษาการสืบทอดของสำนักมารกำเนิดอย่างจริงใจ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ คนที่ขุดมุมกำแพงสำนักมารกำเนิดมาโดยตลอดก็คือเขาหงชิง

ขอแค่ลิ่วซานจื่อตกปากรับคำ อย่างนั้นเขาก็จะเข้ายึดที่ตั้งของสำนักมารกำเนิดได้อย่างเหมาะสม ภายหลังแม้เขายอมรักษาการสืบทอด แต่ถ้าศิษย์สำนักมารกำเนิดยินยอมเข้าร่วมสำนักเก้ากระดิ่งของเขาเล่า

เขาคำนวณในใจ ลิ่วซานจื่อก็ทราบแก่ใจดีว่าใครวางกลอุบายอยู่เบื้องหลัง ทั้งสองฝ่ายรู้ดี

“สหายลิ่วซาน ตอนนี้สำนักมารกำเนิดรวมท่านด้วยมีสามคน ศิษย์แค่สองคนท่านยังคิดให้พวกเขารักษาที่ดินของสำนักที่ใหญ่ขนาดนี้ต่อไป นี่ไม่ใช่การบ่มเพาะพวกเขา แต่กำลังทำร้ายพวกเขาอยู่…” หงชิงพูดไปพูดมา อยู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อ

“ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีความสามารถย่อมได้ครองทำเลทอง ในเมื่อสำนักมารกำเนิดไม่มีปัญญา ก็สมควรมอบสถานที่ให้สำนักเก้ากระดิ่งของพวกเราพัฒนา ไม่ใช่ผลาญทรัพยากรอยู่ที่นี่อย่างไร้ประโยชน์ เช่นนี้แน่นอนจะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ดีกว่าสุดท้ายไม่ได้อะไรเลย…ท่านว่าถูกหรือไม่”

นี่คือการข่มขู่!

ลิ่วซานจื่อบังเกิดเพลิงโทสะในใจ แต่พอนึกถึงสภาพของสำนักมารกำเนิดในปัจจุบัน ก็หมดอาลัยตายอยากทันที

“คิดให้ดีๆ เถอะนะสหายลิ่วซาน นี่เป็นคำเตือนที่สำนักเก้ากระดิ่งขอมอบให้ท่าน” หงชิงหัวเราะเหอะๆ แล้วหมุนตัวพาศิษย์หลายคนไปยังทางที่มา

“จริงด้วย ถ้าไม่ถือสา ข้าขอพาศิษย์ไปชมดูได้กระมัง” หงชิงพลันหมุนตัวมาถาม

“ถือสายิ่ง” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยเรียบเฉย

หงชิงไม่นำพา

“ก็ได้ อย่างไรวันหน้าก็มีเวลาชมอยู่ดี” เขาหัวเราะอย่างได้ใจ ก่อนพาลูกศิษย์เดินไปยังปากถ้ำ

ผู้อาวุโสใหญ่ยืนเงียบอยู่ที่เดิม

นับตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่หงชิงปกครองสำนักเก้ากระดิ่ง เขาก็ปะทะอีกฝ่ายแล้ว ทั้งสองคนคู่คี่สูสี ไม่มีใครทำอะไรกันได้

เพียงแต่วันนี้…

เขาไม่มีความคิดอย่างไร้เดียงสาว่า ถ้ามอบสำนักหลักให้ จะได้รับการคุ้มครองจากสำนักเก้ากระดิ่ง

ที่สำนักมารกำเนิดตกต่ำถึงระดับนี้ ไม่ใช่เพราะสำนักเก้ากระดิ่งผลักดันหลายๆ ทางในที่ลับหรอกหรือ ไม่อย่างนั้นกว่าจะมาถึงขั้นนี้ อย่างน้อยสำนักมารกำเนิดต้องใช้เวลาอีกหลายปี

ผู้อาวุโสใหญ่เข้าใจดีว่าที่หงชิงมาที่นี่ก็เพื่อข่มขู่ หากไม่ให้หน่วยหลัก เขาก็จะฆ่าให้หมดสิ้น

‘เพียงแต่ว่าถึงจะให้ไป เจ้าจะไม่ลงมือหรือ’ ดวงตาของผู้อาวุโสใหญ่ปรากฏความเย็นชาแวบหนึ่ง เขารู้จักนิสัยของหงชิงดีเกินไป

ในซอกหลืบที่อยู่ไม่ไกลออกไป ลู่เซิ่งยืนเงียบๆ มองมาทางนี้

“เสี่ยวเซิ่งเอ๋ย…เจ้ามาแล้วหรือ” ลิ่วซานจื่อเห็นลู่เซิ่งแล้ว

“อาจารย์ พวกคนก่อนหน้านี้คือ?” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย

“อ้อ คนของสำนักเก้ากระดิ่ง มาเยี่ยมชมหน่วยหลักของพวกเรา เจ้าไม่ต้องคิดมาก ตั้งใจฝึกฝนเอาไว้ก็พอ” ลิ่วซานจื่อตอบอย่างอบอุ่น

“ขอรับ”

“เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้าจะพาเจ้าไปดูตำหนักวิชาลับที่เคยใช้ถ่ายทอดวิชาลับสำนักมารกำเนิดของพวกเรา” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เข้าไปได้หรือขอรับ ข้าได้ยินศิษย์พี่เหอจื่อบอกว่า…” ลู่เซิ่งยังพูดไม่ทันจบก็ถูกลิ่วซานจื่อตัดบท

“เข้าได้ เพียงแต่ว่าสำหรับเจ้าแล้ว อันตรายไปบ้างเท่านั้น ด้านในมีหุ่นเชิดคุมกฎไม่น้อย ถูกสำนึกชั่วร้ายของบูรพาจารย์ประจำสำนักที่เคยโดนธาตุไฟเข้าแทรกยึดครอง จึงล่องลอยไปมาอยู่ด้านใน” ผู้อาวุโสใหญ่สงบจิตใจ ต่อหน้าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของตน ที่กำหนดไว้แล้วว่าจะถ่ายทอดวิชาลับให้ เขายิ่งรู้จัก ยิ่งรู้สึกชบชอบ

ลู่เซิ่งเฉลียวฉลาด เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างง่ายดาย คุณสมบัติก็ยอดเยี่ยม บวกกับอายุยี่สิบกว่าปีก็มีประสบการณ์และความรู้แบบนี้แล้ว นี่ทั้งทำให้เขารู้สึกโชคดีและเสียดาย

รู้สึกโชคดีที่สุดท้ายก็หาคนสืบทอดเจอ รู้สึกเสียดายที่ถ้าเจอลู่เซิ่งเร็วกว่านี้ก็คงดี ตอนนี้สายเกินไปแล้ว…

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ยิ่งผู้อาวุโสใหญ่รู้จัก ก็ยิ่งชอบลู่เซิ่ง ไม่ว่าตนเองจะสอนอะไร เขาก็ทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย นักเรียนที่ไม่ทำให้อาจารย์หนักใจแบบนี้ แม้เขาปกครองสำนักมารกำเนิดมาหลายปี แต่ก็หาได้ยากมาก

“เช่นนั้นก็ขอรบกวนอาจารย์แล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพ

ต่อหน้าผู้อาวุโสใหญ่ที่ประทานวิชาแก่เขา เขาเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่

“ไม่เป็นไร ไปเถอะ” ลิ่วซานจื่อนำลู่เซิ่งหมุนตัวเดินไปยังตำหนักวิชาลับขนาดใหญ่โต

ตำหนักวิชาลับกินพื้นที่กว้างใหญ่ อยู่ในโพรงถ้ำมืดมิด เหมือนกับตำหนักขนาดมหึมา

ตรงกลางเป็นตำหนักหลัก สองฟากข้างเป็นตำหนักรองด้านละแห่ง ตำหนักหลักเตี้ยกว่าตำหนักรองมาก ทว่ากว้างขวางกว่า

ลู่เซิ่งมองไป เห็นตำหนักวิชาลับเต็มไปด้วยถ้ำว่างซึ่งมีหน้าต่างเล็กๆ ช่องหน้าต่างมากมายมืดสนิทเป็นแผ่นผืน

ผู้อาวุโสใหญ่พาเขาเดินเข้าประตูกำแพงใหญ่ด้านนอกตำหนักวิชาลับ แล้วเข้าสู่ตัวลานที่เปล่าเปลี่ยว

หนามแหลมโลหะที่บ้างเอียงบ้างล้มตั้งอยู่ในตัวลาน หนามเหล่านี้เหมือนอาวุธขาดยักษ์หลายเล่มปักเอียงๆ บนพื้น ที่สั้นสุดสูงห้าหกหมี่ ยาวสูงเจ็ดแปดหมี่

โซ่สีแดงเข้มมากมายพันบนหนามแหลม บนโซ่เปล่งแสงสีแดงจางๆ คล้ายไม่ใช่วัตถุสิ่งของ

“ที่นี่คือลานลงทัณฑ์ ก่อนหน้านี้เป็นลานประหารผู้ลอบขโมยวิชาลับ” ผู้อาวุโสใหญ่แนะนำคร่าวๆ “แต่ตอนนี้เอาไว้ดูเท่านั้น นานแล้วที่ไม่เคยมีใครหาวิชาลับในตำหนักวิชาลับเจอ”

“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“มาเถอะ วันนี้ที่ข้าพาเจ้ามาเพราะจะให้เจ้าได้เห็นว่าจุดกำเนิดแรกสุดของสำนักมารกำเนิดของพวกเรามาจากที่ใด” ผู้อาวุโสใหญ่พูดอย่างราบเรียบ

“จุดกำเนิดแรกสุดหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็ตื่นเต้นเล็กน้อย

“เป็นอย่างที่เจ้าคิด ที่ข้าพาเจ้ามาดูก็คือสิ่งที่พวกเราสำนักมารกำเนิดศึกษามาโดยตลอด มาร” ดวงตาผู้อาวุโสใหญ่ปรากฏความเคร่งขรึม

ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างขึงขัง

ผู้อาวุโสใหญ่เห็นดังนั้น ก็ไม่กล่าวมากความอีก พาลู่เซิ่งเดินตัดทะลุลานลงทัณฑ์ที่มีหนามแหลมปักเต็มไปหมดมาถึงด้านหน้าประตูใหญ่ของตำหนักวิชาลับ

เขากดสองมือบนประตูใหญ่ แล้วออกแรงผลักเบาๆ

ครืน…

ประตูหินอันหนักอึ้งใหญ่โตค่อยๆ ถูกเปิดเป็นร่องแยกสายหนึ่ง พอให้สองคนเข้าไปได้

“ไปเถอะ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปห้ามส่งเสียงใดๆ ดูเฉยๆ ก็พอ” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเสียงต่ำ

“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายอันตรายและเร้นลับแผ่พุ่งในอากาศ

นี่ทำให้เขาตื่นตัวเล็กน้อย ควรทราบว่าเขาในตอนนี้แค่สภาพหยินโชติช่วงที่อ่อนแอที่สุดก็มีพลังระดับฉลักษณ์แล้ว หนำซ้ำนี้ยังไม่ใช่ฉลักษณ์ของสำนักมารกำเนิด แต่ว่าเป็นฉลักษณ์ที่เหี้ยมหาญซึ่งเข่นฆ่ากับลูกหลานตระกูลขุนนางได้อย่างแท้จริง

ระดับพันธนาการของสำนักมารกำเนิดเทียบกับสำนักอื่นๆ ในขอบเขตเดียวกันแล้ว พลังต่อสู้จะต่ำกว่าสองระดับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเปรียบเทียบกับคนจากตระกูลขุนนาง

เป็นเพราะมีแสงจากอาวุธเทพศัสตรามารปกคลุมอยู่ตลอด สายเลือดในร่างคนของตระกูลขุนนางจึงแข็งแกร่งสุดขีด วิชาลับวิชาเดียวกันถ้าอยู่ในมือพวกเขา กลับแข็งแกร่งกว่าคนในสำนักไม่น้อย

ดังนั้นความจริงแล้วพลังระดับฉลักษณ์ของลู่เซิ่งจึงถือว่าเป็นระดับสัตตะลักษณ์อันเป็นขอบเขตสูงสุดในสำนักได้

สิ่่งที่ทำให้เขาที่อยู่ในระดับชั้นนี้รู้สึกถึงการคุกคามได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในตำหนักวิชาลับนี้จะต้องซุกซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่ไว้แน่

ผู้อาวุโสใหญ่พาลู่เซิ่งเดินเข้าประตู

ด้านในประตูเป็นตำหนักใหญ่ที่กว้างขวางและมืดสลัว เหมือนกับพระราชวัง

บนผนังสองฟากข้างของตำหนักใหญ่เสียบคบเพลิงที่เปลวไฟเป็นสีน้ำเงินไว้หลายดุ้น แสงไฟสีน้ำเงินขับตำหนักจนสว่างไสว

ผู้อาวุโสไม่ได้เข้าตำหนักหลัก แต่ว่าเลี้ยวเข้าเส้นทางเล็กๆ ทางซ้าย เดินไปตามทางระเบียงที่มีหน้าต่าง

ลู่เซิ่งตามอยู่ด้านหลังติดๆ ไม่พูดอะไรสักคำ

ไม่รู้ว่าเดินนานขนาดไหน ตรงหน้าเริ่มมีเสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังมา เสียงฝีเท้านั่นประหลาดยิ่ง เหมือนกับโลหะกระแทกกับพื้นอย่างหนักหน่วง

ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้พูดอะไร ลู่เซิ่งเองก็ไม่กล้าถาม ในเมื่อบอกไว้ก่อนแล้วว่าห้ามส่งเสียง เช่นนั้นจะต้องมีเหตุผล

ทั้งสองเข้าไปในระเบียที่งติดหน้าต่าง ในที่สุดก็มาถึงด้านในตำหนักรองแห่งหนึ่ง

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดวิถีแห่งปีศาจ 217 การบ้าน (1)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter 217 การบ้าน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 217 การบ้าน (1)

‘เลื่อนระดับมากเกินไปในครั้งเดียว ร่างกายเลยปรับตัวไม่ทัน ต้องพักก่อน’ ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าร่างกายที่เดิมควบคุมได้ดั่งใจ เริ่มเสียการควบคุมบ้างแล้วระหว่างยกระดับวิชาไร้มูลเหตุ ทราบว่าเป็นเพราะกล้ามเนื้อมัดน้อยที่แข็งแกร่งขึ้นจากวิชาไร้มูลเหตุ

ถ้าหากบอกว่าการออกกำลังในวิถีวรยุทธ์ทำให้กล้ามเนื้อหลักของกายเนื้อพองขยายแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว เช่นนั้นการฝึกวิชาลับของสำนักและตระกูลขุนนางก็ทำให้กล้ามเนื้อมัดน้อยกับกล้ามเนื้ออวัยวะภายในจำนวนมากนอกจากมัดหลักได้รับการชุบหลอมเช่นกัน

หนึ่งหลักหนึ่งรอง ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์

เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของตนกำลังสมบูรณ์มากขึ้น

‘ร่างกายของคนมีขีดจำกัดอยู่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกมีขีดจำกัดของตัวเอง จำนวนครั้งการแบ่งเซลล์เป็นสิ่งตายตัว ถึงแม้ว่าจะทำลายเซลล์เก่า สร้างเซลล์ใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมผ่านการฝึกฝนได้ แต่จำนวนการแบ่งก็กำหนดไว้ว่ากระบวนการแบบนี้ไม่อาจรักษาได้ตลอดไป’

ลู่เซิ่งทราบดีว่าตนเองก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ร่างกายนี้สุดท้ายก็เป็นร่างคนธรรมดา

ความสมบูรณ์หมายถึงยกระดับร่างกายสู่จุดสูงสุดจนไม่อาจพัฒนาได้อีก

‘ตอนแรกตระกูลขุนนางก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทำไมพวกเขาถึงไปถึงระดับที่สูงกว่าเดิมได้’ เขาพลันนึกถึงคำถามข้อหนึ่ง

‘แสงของอาวุธเทพศัสตรามารเหมือนกับรังสีบางชนิด…บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งนี้ เลยทำให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์ ทำให้ข้อจำกัดในการแบ่งเซลล์ของพวกเขาหายไป แล้วได้รับความสามารถในการฟื้นตัวด้วยความเร็วที่น่ากลัวมา แต่ทำไมพวกเขาไม่ได้รับความสามารถในการเติบโตล่ะ’

‘ช่างเถอะ หยุดคิดมากได้แล้ว ขั้นต่อไป คือหลังจากชินกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแล้ว ค่อยเริ่มฝึกเคล็ดวิชาหน้ามารต่อ’ ลู่เซิ่งเริ่มทบทวนเนื้อหาของเคล็ดวิชาหน้ามาร ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เก็บสภาพหยินหยางอย่างรวดเร็ว วิชาไร้มูลเหตุกระจายทั่วตัวเหมือนระลอกคลื่น ทำให้เยื่อดำชั้นหนึ่งปกคลุมผิวหนังบนร่างกายด้วยความเร็วสูง กั้นหมอกพิษเอาไว้ด้านนอก

ปราณมารหมอกพิษเมื่อไม่มีแหล่งดึงดูด จึงค่อยหายไปอย่างช้าๆ

‘ค่ำแล้ว ควรกลับได้สักที’ ลู่เซิ่งมองป่าหินด้านนอก ถีบเท้าข้างหนึ่งพุ่งตัวออกจากในถ้ำ สะกิดเท้าใส่เสาหินในป่าหินติดต่อกัน พุ่งไปยังธารน้ำเบื้องล่างอย่างแผ่วพลิ้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงบนพื้นเมื่อขามา

พอดีที่เสียงระฆังทึบหนักดังผ่านกำแพงมาแต่ไกล

ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย ที่นี่ก็ได้ยินเสียงระฆังเหมือนกันหรือ เขากวาดตามองรอบๆ หน้าผาหินหนามีสีแวววาวโดยธรรมชาติ บางแห่งที่มีตะไคร่น้ำสีเขียวอ่อนงอกอยู่ก็จะเรืองแสง ไม่มีร่องรอยของคน นี่แสดงให้เห็นว่าที่นี่อยู่ห่างจากพื้นที่อยู่อาศัยหลักของสำนักไกลมาก

‘เสียงระฆังนี้…’ เขาใคร่ครวญ ไม่คิดมากอีก หมุนตัวรุดไปยังทิศทางขามาอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าๆๆ! ลิ่วซานจื่อ ไม่เจอกันนาน ช่วงนี้สบายดีหรือ” ด้านนอกตำหนักวิชาลับสำนักมารกำเนิด ชายชราหน้าดำ ร่างอ้วนตันคนหนึ่ง นำบุรุษสตรีวัยกลางคนสวมเสื้อสีเหลืองหลายคนทักทายลิ่วซานจื่อแต่ไกลโดยที่ยังมาไม่ถึง

“ที่แท้เป็นเจ้าสำนักเก้ากระดิ่งมาเอง เสียคารวะๆ” ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าไร้อารมณ์ ปัจจุบันสำนักมารกำเนิดไม่มีแม้แต่คนเฝ้าประตู เขาถึงขั้นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าสำนักมา จนมาถึงตำหนักวิชาลับแล้ว

“แต่จำได้ว่า ข้าไม่เคยเชิญเจ้าสำนักหงมานี่”

เจ้าสำนักเก้ากระดิ่งแซ่หงชื่อชิง ตั้งแต่ปกครองสำนัก หงชิงก็ทำให้สำนักรุ่งเรือง สั่งสมขุมกำลัง ไม่เลือกใช้วิธีการ พัฒนาสำนักเก้ากระดิ่งจนยิ่งใหญ่ในเวลาไม่กี่ปี

เป็นเพราะเทียบกับอาณาเขตของสำนักสามขั้นล่างแต่เดิมแล้ว อาณาเขตเล็กๆ แบบนั้นไม่สอดคล้องกับขนาดของสำนักเก้ากระดิ่งในปัจจุบันอีกแล้ว

ดังนั้นพวกเขาต้องการสถานที่ที่ใหญ่กว่าเดิม และฝึกฝนได้สะดวกกว่าเดิม ไม่ใช่ยังหมกตัวอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ทั้งๆ ที่มีพลังระดับสำนักสามขั้นกลางแล้ว

ดังนั้นหงชิงจึงคัดเลือกอย่างตั้งใจ แล้วที่อยู่ของหน่วยหลักสำนักมารกำเนิดที่ตกต่ำลงทุกวันก็เข้าตาเขา กลายเป็นอาณาเขตที่สำนักเก้ากระดิ่งคิดยึดครองที่สุด

“ข้ามาเองจริงๆ เพียงแค่ไม่มีอะไรทำ ผ่านมาแถวนี้พอดี จึงคิดมาดูสภาพในปัจจุบันของสหายลิ่วซานจื่อ” หงชิงหัวเราะลั่น “ดูเหมือนสภาพของสหายลิ่วซานจื่อจะไม่ดีนัก”

“เรื่องของสำนักข้า ไม่ต้องให้เจ้าสำนักหงมาเป็นห่วง” ลิ่วซานจื่อกล่าวอย่างเฉยชา

“จะว่าไป สหายลิ่วซานไม่รู้สึกลำบากบ้างหรือ สำนักมารกำเนิดที่ใหญ่โตแบบนี้มีคนอยู่แค่นี้ แต่ยังครอบครองพื้นที่ใหญ่แบบนี้ ข้าเป็นห่วงแทนพวกท่านจริงๆ…” หงชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าสำนักหงหมายความว่าอย่างไร” ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าเคร่งเครียด

“จริงๆ แล้วความหมายของข้ารวบรัดยิ่ง ขอแค่สหายลิ่วซานตัดสินใจมอบที่ตั้งสำนักมารกำเนิดให้พวกเราสำนักเก้ากระดิ่ง พวกเราจะช่วยสำนักมารกำเนิดรักษาการสืบทอดสำนักในชุมนุมร้อยเส้นสายต่อไป” ในที่สุดหงชิงก็บอกแผนการของตนเอง

ที่เขาบอกว่าจะรักษาการสืบทอดของสำนักมารกำเนิดอย่างจริงใจ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ คนที่ขุดมุมกำแพงสำนักมารกำเนิดมาโดยตลอดก็คือเขาหงชิง

ขอแค่ลิ่วซานจื่อตกปากรับคำ อย่างนั้นเขาก็จะเข้ายึดที่ตั้งของสำนักมารกำเนิดได้อย่างเหมาะสม ภายหลังแม้เขายอมรักษาการสืบทอด แต่ถ้าศิษย์สำนักมารกำเนิดยินยอมเข้าร่วมสำนักเก้ากระดิ่งของเขาเล่า

เขาคำนวณในใจ ลิ่วซานจื่อก็ทราบแก่ใจดีว่าใครวางกลอุบายอยู่เบื้องหลัง ทั้งสองฝ่ายรู้ดี

“สหายลิ่วซาน ตอนนี้สำนักมารกำเนิดรวมท่านด้วยมีสามคน ศิษย์แค่สองคนท่านยังคิดให้พวกเขารักษาที่ดินของสำนักที่ใหญ่ขนาดนี้ต่อไป นี่ไม่ใช่การบ่มเพาะพวกเขา แต่กำลังทำร้ายพวกเขาอยู่…” หงชิงพูดไปพูดมา อยู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อ

“ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีความสามารถย่อมได้ครองทำเลทอง ในเมื่อสำนักมารกำเนิดไม่มีปัญญา ก็สมควรมอบสถานที่ให้สำนักเก้ากระดิ่งของพวกเราพัฒนา ไม่ใช่ผลาญทรัพยากรอยู่ที่นี่อย่างไร้ประโยชน์ เช่นนี้แน่นอนจะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ดีกว่าสุดท้ายไม่ได้อะไรเลย…ท่านว่าถูกหรือไม่”

นี่คือการข่มขู่!

ลิ่วซานจื่อบังเกิดเพลิงโทสะในใจ แต่พอนึกถึงสภาพของสำนักมารกำเนิดในปัจจุบัน ก็หมดอาลัยตายอยากทันที

“คิดให้ดีๆ เถอะนะสหายลิ่วซาน นี่เป็นคำเตือนที่สำนักเก้ากระดิ่งขอมอบให้ท่าน” หงชิงหัวเราะเหอะๆ แล้วหมุนตัวพาศิษย์หลายคนไปยังทางที่มา

“จริงด้วย ถ้าไม่ถือสา ข้าขอพาศิษย์ไปชมดูได้กระมัง” หงชิงพลันหมุนตัวมาถาม

“ถือสายิ่ง” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยเรียบเฉย

หงชิงไม่นำพา

“ก็ได้ อย่างไรวันหน้าก็มีเวลาชมอยู่ดี” เขาหัวเราะอย่างได้ใจ ก่อนพาลูกศิษย์เดินไปยังปากถ้ำ

ผู้อาวุโสใหญ่ยืนเงียบอยู่ที่เดิม

นับตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่หงชิงปกครองสำนักเก้ากระดิ่ง เขาก็ปะทะอีกฝ่ายแล้ว ทั้งสองคนคู่คี่สูสี ไม่มีใครทำอะไรกันได้

เพียงแต่วันนี้…

เขาไม่มีความคิดอย่างไร้เดียงสาว่า ถ้ามอบสำนักหลักให้ จะได้รับการคุ้มครองจากสำนักเก้ากระดิ่ง

ที่สำนักมารกำเนิดตกต่ำถึงระดับนี้ ไม่ใช่เพราะสำนักเก้ากระดิ่งผลักดันหลายๆ ทางในที่ลับหรอกหรือ ไม่อย่างนั้นกว่าจะมาถึงขั้นนี้ อย่างน้อยสำนักมารกำเนิดต้องใช้เวลาอีกหลายปี

ผู้อาวุโสใหญ่เข้าใจดีว่าที่หงชิงมาที่นี่ก็เพื่อข่มขู่ หากไม่ให้หน่วยหลัก เขาก็จะฆ่าให้หมดสิ้น

‘เพียงแต่ว่าถึงจะให้ไป เจ้าจะไม่ลงมือหรือ’ ดวงตาของผู้อาวุโสใหญ่ปรากฏความเย็นชาแวบหนึ่ง เขารู้จักนิสัยของหงชิงดีเกินไป

ในซอกหลืบที่อยู่ไม่ไกลออกไป ลู่เซิ่งยืนเงียบๆ มองมาทางนี้

“เสี่ยวเซิ่งเอ๋ย…เจ้ามาแล้วหรือ” ลิ่วซานจื่อเห็นลู่เซิ่งแล้ว

“อาจารย์ พวกคนก่อนหน้านี้คือ?” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย

“อ้อ คนของสำนักเก้ากระดิ่ง มาเยี่ยมชมหน่วยหลักของพวกเรา เจ้าไม่ต้องคิดมาก ตั้งใจฝึกฝนเอาไว้ก็พอ” ลิ่วซานจื่อตอบอย่างอบอุ่น

“ขอรับ”

“เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้าจะพาเจ้าไปดูตำหนักวิชาลับที่เคยใช้ถ่ายทอดวิชาลับสำนักมารกำเนิดของพวกเรา” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เข้าไปได้หรือขอรับ ข้าได้ยินศิษย์พี่เหอจื่อบอกว่า…” ลู่เซิ่งยังพูดไม่ทันจบก็ถูกลิ่วซานจื่อตัดบท

“เข้าได้ เพียงแต่ว่าสำหรับเจ้าแล้ว อันตรายไปบ้างเท่านั้น ด้านในมีหุ่นเชิดคุมกฎไม่น้อย ถูกสำนึกชั่วร้ายของบูรพาจารย์ประจำสำนักที่เคยโดนธาตุไฟเข้าแทรกยึดครอง จึงล่องลอยไปมาอยู่ด้านใน” ผู้อาวุโสใหญ่สงบจิตใจ ต่อหน้าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของตน ที่กำหนดไว้แล้วว่าจะถ่ายทอดวิชาลับให้ เขายิ่งรู้จัก ยิ่งรู้สึกชบชอบ

ลู่เซิ่งเฉลียวฉลาด เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างง่ายดาย คุณสมบัติก็ยอดเยี่ยม บวกกับอายุยี่สิบกว่าปีก็มีประสบการณ์และความรู้แบบนี้แล้ว นี่ทั้งทำให้เขารู้สึกโชคดีและเสียดาย

รู้สึกโชคดีที่สุดท้ายก็หาคนสืบทอดเจอ รู้สึกเสียดายที่ถ้าเจอลู่เซิ่งเร็วกว่านี้ก็คงดี ตอนนี้สายเกินไปแล้ว…

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ยิ่งผู้อาวุโสใหญ่รู้จัก ก็ยิ่งชอบลู่เซิ่ง ไม่ว่าตนเองจะสอนอะไร เขาก็ทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย นักเรียนที่ไม่ทำให้อาจารย์หนักใจแบบนี้ แม้เขาปกครองสำนักมารกำเนิดมาหลายปี แต่ก็หาได้ยากมาก

“เช่นนั้นก็ขอรบกวนอาจารย์แล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพ

ต่อหน้าผู้อาวุโสใหญ่ที่ประทานวิชาแก่เขา เขาเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่

“ไม่เป็นไร ไปเถอะ” ลิ่วซานจื่อนำลู่เซิ่งหมุนตัวเดินไปยังตำหนักวิชาลับขนาดใหญ่โต

ตำหนักวิชาลับกินพื้นที่กว้างใหญ่ อยู่ในโพรงถ้ำมืดมิด เหมือนกับตำหนักขนาดมหึมา

ตรงกลางเป็นตำหนักหลัก สองฟากข้างเป็นตำหนักรองด้านละแห่ง ตำหนักหลักเตี้ยกว่าตำหนักรองมาก ทว่ากว้างขวางกว่า

ลู่เซิ่งมองไป เห็นตำหนักวิชาลับเต็มไปด้วยถ้ำว่างซึ่งมีหน้าต่างเล็กๆ ช่องหน้าต่างมากมายมืดสนิทเป็นแผ่นผืน

ผู้อาวุโสใหญ่พาเขาเดินเข้าประตูกำแพงใหญ่ด้านนอกตำหนักวิชาลับ แล้วเข้าสู่ตัวลานที่เปล่าเปลี่ยว

หนามแหลมโลหะที่บ้างเอียงบ้างล้มตั้งอยู่ในตัวลาน หนามเหล่านี้เหมือนอาวุธขาดยักษ์หลายเล่มปักเอียงๆ บนพื้น ที่สั้นสุดสูงห้าหกหมี่ ยาวสูงเจ็ดแปดหมี่

โซ่สีแดงเข้มมากมายพันบนหนามแหลม บนโซ่เปล่งแสงสีแดงจางๆ คล้ายไม่ใช่วัตถุสิ่งของ

“ที่นี่คือลานลงทัณฑ์ ก่อนหน้านี้เป็นลานประหารผู้ลอบขโมยวิชาลับ” ผู้อาวุโสใหญ่แนะนำคร่าวๆ “แต่ตอนนี้เอาไว้ดูเท่านั้น นานแล้วที่ไม่เคยมีใครหาวิชาลับในตำหนักวิชาลับเจอ”

“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“มาเถอะ วันนี้ที่ข้าพาเจ้ามาเพราะจะให้เจ้าได้เห็นว่าจุดกำเนิดแรกสุดของสำนักมารกำเนิดของพวกเรามาจากที่ใด” ผู้อาวุโสใหญ่พูดอย่างราบเรียบ

“จุดกำเนิดแรกสุดหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็ตื่นเต้นเล็กน้อย

“เป็นอย่างที่เจ้าคิด ที่ข้าพาเจ้ามาดูก็คือสิ่งที่พวกเราสำนักมารกำเนิดศึกษามาโดยตลอด มาร” ดวงตาผู้อาวุโสใหญ่ปรากฏความเคร่งขรึม

ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างขึงขัง

ผู้อาวุโสใหญ่เห็นดังนั้น ก็ไม่กล่าวมากความอีก พาลู่เซิ่งเดินตัดทะลุลานลงทัณฑ์ที่มีหนามแหลมปักเต็มไปหมดมาถึงด้านหน้าประตูใหญ่ของตำหนักวิชาลับ

เขากดสองมือบนประตูใหญ่ แล้วออกแรงผลักเบาๆ

ครืน…

ประตูหินอันหนักอึ้งใหญ่โตค่อยๆ ถูกเปิดเป็นร่องแยกสายหนึ่ง พอให้สองคนเข้าไปได้

“ไปเถอะ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปห้ามส่งเสียงใดๆ ดูเฉยๆ ก็พอ” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเสียงต่ำ

“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายอันตรายและเร้นลับแผ่พุ่งในอากาศ

นี่ทำให้เขาตื่นตัวเล็กน้อย ควรทราบว่าเขาในตอนนี้แค่สภาพหยินโชติช่วงที่อ่อนแอที่สุดก็มีพลังระดับฉลักษณ์แล้ว หนำซ้ำนี้ยังไม่ใช่ฉลักษณ์ของสำนักมารกำเนิด แต่ว่าเป็นฉลักษณ์ที่เหี้ยมหาญซึ่งเข่นฆ่ากับลูกหลานตระกูลขุนนางได้อย่างแท้จริง

ระดับพันธนาการของสำนักมารกำเนิดเทียบกับสำนักอื่นๆ ในขอบเขตเดียวกันแล้ว พลังต่อสู้จะต่ำกว่าสองระดับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเปรียบเทียบกับคนจากตระกูลขุนนาง

เป็นเพราะมีแสงจากอาวุธเทพศัสตรามารปกคลุมอยู่ตลอด สายเลือดในร่างคนของตระกูลขุนนางจึงแข็งแกร่งสุดขีด วิชาลับวิชาเดียวกันถ้าอยู่ในมือพวกเขา กลับแข็งแกร่งกว่าคนในสำนักไม่น้อย

ดังนั้นความจริงแล้วพลังระดับฉลักษณ์ของลู่เซิ่งจึงถือว่าเป็นระดับสัตตะลักษณ์อันเป็นขอบเขตสูงสุดในสำนักได้

สิ่่งที่ทำให้เขาที่อยู่ในระดับชั้นนี้รู้สึกถึงการคุกคามได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในตำหนักวิชาลับนี้จะต้องซุกซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่ไว้แน่

ผู้อาวุโสใหญ่พาลู่เซิ่งเดินเข้าประตู

ด้านในประตูเป็นตำหนักใหญ่ที่กว้างขวางและมืดสลัว เหมือนกับพระราชวัง

บนผนังสองฟากข้างของตำหนักใหญ่เสียบคบเพลิงที่เปลวไฟเป็นสีน้ำเงินไว้หลายดุ้น แสงไฟสีน้ำเงินขับตำหนักจนสว่างไสว

ผู้อาวุโสไม่ได้เข้าตำหนักหลัก แต่ว่าเลี้ยวเข้าเส้นทางเล็กๆ ทางซ้าย เดินไปตามทางระเบียงที่มีหน้าต่าง

ลู่เซิ่งตามอยู่ด้านหลังติดๆ ไม่พูดอะไรสักคำ

ไม่รู้ว่าเดินนานขนาดไหน ตรงหน้าเริ่มมีเสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังมา เสียงฝีเท้านั่นประหลาดยิ่ง เหมือนกับโลหะกระแทกกับพื้นอย่างหนักหน่วง

ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้พูดอะไร ลู่เซิ่งเองก็ไม่กล้าถาม ในเมื่อบอกไว้ก่อนแล้วว่าห้ามส่งเสียง เช่นนั้นจะต้องมีเหตุผล

ทั้งสองเข้าไปในระเบียที่งติดหน้าต่าง ในที่สุดก็มาถึงด้านในตำหนักรองแห่งหนึ่ง

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+