สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว

บทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว

วันนี้ไม่ใช่วันไปตลาด บนถนนเส้นนั้นจึงมีคนไม่มาก ลู่อี้แบกหมูป่าตรงไปร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุด

เสี่ยวเอ้อร์เฟิงเจิงออกมาทักทายจากร้านอาหารเล็ก ๆ ด้วยความคุ้นเคย และเมื่อเห็นหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ก็ถึงกับตกใจ “ท่านพี่อี้ จับหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร”

ลู่อี้เผยรอยยิ้มมุมปากออกมา “ข้าโชคดีน่ะ”

“นี่ไม่ใช่เพียงแค่โชคดีนะ ท่านนี่แข็งแกร่งแท้ ๆ” เฟิงเจิงยกนิ้วให้ “เยี่ยมมาก เยี่ยมจริง ๆ เดี๋ยวข้าจะไปตามเจ้าของร้านมา ครั้งนี้ของใหญ่เกินไป เจ้าของร้านต้องตัดสินใจเอง”

“ขอบคุณมากน้องเฟิง”

ลู่อี้นำหมูป่ามาวางไว้หน้าประตูแล้วจัดการเช็ดมือให้สะอาดเรียบร้อย

เห็นได้ชัดว่าเป็นการเคลื่อนไหวอย่างลวก ๆ แต่เขาก็ทำมันได้อย่างสง่างาม

คนที่เดินผ่านไปมาเมื่อเห็นหมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ต่างก็ตกตะลึง

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มองแผ่นหลังของลู่อี้ พอเขาหันหน้ากลับมา ความเขินอายบนใบหน้าก็หายไปจนเหลือเพียงความหวาดกลัว

ลู่อี้ลูบไล้แผลเป็นบนใบหน้าของเขาด้วยความเย้ยหยัน

“ท่านบัณฑิตฟาง พูดแล้วก็บังเอิญเสียจริง วันนี้มีคนเอาหมูป่ามาขายพอดี ท่านเข้ามาดูด้วยตนเองเถิด หากจะให้เหมาะสม ข้าจะสั่งหมูป่าตัวนี้ไว้สำหรับงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้”

เจ้าของร้านที่แต่งตัวดีเดินนำชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา

ชายหนุ่มสวมเสื้อคล้ายพวกบัณฑิต สวมหมวกทรงสูงสามเหลี่ยมท่าทางดูสง่างาม

ลู่อี้ได้ยินเสียงเจ้าของร้านพอดีกับสายตาของชายหนุ่มคนนั้นมองมา

ชายหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจ เขามองลู่อี้หัวจรดเท้าก่อนจะยกมุมปาก สายตาดูถูกเหยียดหยามเผยออกมาอย่างปิดไม่มิด

“คนที่เจ้าของร้านเอ่ยถึงคือเจ้านี่เอง”

เจ้าของร้านมองทั้งสองคนพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านบัณฑิตฟางรู้จักพรานลู่หรือ?”

“รู้จักสิ เหตุใดจึงจะไม่รู้จักเล่า เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของข้า”

ทั้งสองจิกกัดกันอย่างหนัก ประชดประชันกันซึ่ง ๆ หน้า

เจ้าของร้านเฉลียวฉลาด ถึงจะด้วยเหตุผลอะไรที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ เขาก็หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “บัณฑิตฟางได้พบเพื่อนร่วมชั้นในวันนี้นับว่าเป็นโชคชะตาแล้ว”

ฟางโจวอวี่เดินไปทางลู่อี้ สายตากวาดไปที่ชุดผ้าเนื้อหยาบที่เปื้อนเลือด ก่อนจะหยุดลงที่ร่างหมูป่า

“ไม่ได้เจอกันนานนี่”

ลู่อี้มองอีกฝ่ายแบบผ่าน ๆ “เจ้าสอบเลื่อนขั้นได้เป็นบัณฑิตแล้วรึ”

ฟางโจวอวี่ดูภูมิใจ “บังเอิญน่ะ”

“อืม” ลู่อี้ส่ายหัวแล้วพูดกับเจ้าของร้านว่า “หมูป่านี่ท่านต้องการหรือไม่? หากว่าไม่ต้องการ ข้าจะได้แบกกลับ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางโจวอวี่หายไป

ดูท่าว่าอีกฝ่ายยังคงเย่อหยิ่งเช่นเคย…

ไม่รู้ว่าลู่อี้ยังได้รับการยกย่องอย่างสูงจากหัวหน้าบัณทิตและอาจารย์อยู่หรือไม่

ฟังจากคำที่คนอื่นเรียกเขาว่าพรานลู่… เป็นนายพรานงั้นรึ?

“ลู่อี้ เจ้ารีบไปไหนหรือไม่ นานแล้วที่เราไม่ได้พบกัน เช่นนี้ถือว่าเป็นโชคชะตา พรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่ร้านอาหาร อาจารย์กับเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดก็อยู่ที่นั่น เจ้าก็มาด้วยสิ!”

“ยังต้องการหมูอยู่ไหม?” ลู่อี้ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ฟางโจวอวี่ “…”

เจ้าของร้านตอบทั้งรอยยิ้ม “ต้องการสิ!”

“20 ตำลึง” ลู่อี้ยื่นมือออกไป

เจ้าของร้านพลันเบิกตากว้าง “ไม่แพงเกินไปรึ!”

“แพงรึ ” ลู่อี้มองไปทางฟางโจวอวี่ “หมูป่าหายาก ราคานี้ข้าคำนวณจากคนที่ต้องเลี้ยงดูภายในบ้าน ให้พูดอีกครั้งคือของหายากต้องมีราคาแพง ราคานี้เหมาะสมแล้ว 20 ตำลึง พรุ่งนี้ข้าจะมาเอา”

ฟางโจวอวี่ตะคอกใส่อย่างเย็นชา “เอาเถอะ! เอา 20 ตำลึงให้เขา!”

ตราบใดที่ลู่อี้สามารถมาได้ เขาก็จะจ่ายเงินให้

ฟางโจวอวี่เป็นผู้สมัครคนเดียวที่สอบผ่านในปีนี้ เขาได้สังกัดสำนักบัณทิตเพื่อที่เขาจะได้เตรียมตัวสำหรับการสอบขุนนางครั้งต่อไป

เจ้าของร้านเรียกเฟิงเจิงที่อยู่ไม่ไกล “เจ้าพาลู่อี้ไปที่ห้องคิดเงิน”

“รับทราบ” เฟิงเจิงมองอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วจึงเข้ามารับแขก “ท่านพี่อี้ เชิญด้านนี้”

เมื่อเห็นว่าบัณฑิตฟางมีสายตาที่ราวกับว่าอยู่เหนือผู้อื่น เฟิงเจิงก็ขยิบตาให้ลู่อี้ด้วยท่าทางดูน่าขบขัน

ฟางโจวอวี่มองตามลู่อี้ที่เดินจากไป ความโกรธและความเกลียดชังของเขาเผยออกมาผ่านแววตา

เมื่อตอนที่ลู่อี้ยังอยู่ในสำนัก เจ้าสำนักและอาจารย์ทุกคนจับมืออีกฝ่ายไว้ เทียบกับคนอัจฉริยะอย่างลู่อี้แล้ว คนอื่น ๆ ดูธรรมดามาก ฟางโจวอวี่เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกอีกฝ่ายบดขยี้จนตาย

ฟางโจวอวี่จะไม่มีวันลืมอดีตที่เขาเรียนหนักทุกวัน กระนั้นก็ยังถูกลูอี้บดขยี้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะเมื่อเห็นลู่อี้ในตอนนี้ ชายหนุ่มก็รู้ว่าสถานะของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เจ้าของร้านเห็นว่าสีหน้าของฟางโจวอวี่ดูไม่ดีนัก เขาจึงเอ่ยประจบประแจงมากมายเพื่อทำให้อีกฝ่ายมีความสุข

ฟางโจวอวี่ดูภูมิใจ

ดูสิ ลู่อี้ไม่เหมือนวันวานแล้ว

เมื่อเขาได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ในรายชื่อทองคำ คนธรรมดาอย่างลู่อี้ก็ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าของเขาด้วยซ้ำ

ลู่อี้หยิบเหรียญ 10 เหวินออกมาแล้วยัดใส่มือเฟิงเจิง

ทว่าเฟิงเจิงรีบปฏิเสธ “ท่านพี่อี้ ข้ารู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับท่าน อย่าสุภาพกับข้านักเลย ตราบใดที่ข้าช่วยท่านได้ ข้าก็จะช่วย”

“ขอบคุณมาก” ลู่อี้จดจำเฟิงเจิงที่ดีกับเขาได้เสมอ

“แต่ท่านพี่อี้ พรุ่งนี้ท่านจะมาจริง ๆ หรือ คนเช่นบัณฑิตท่านนั้น พวกข้าก็ไม่ได้จัดการง่าย ๆ เหมือนกัน ดูสายตาที่มองท่านสิ มุ่งร้ายชัด ๆ”

“ไม่ต้องกังวลไป”

หากเขารับปากในทันที เขาจะได้รับเงินจำนวนมากเช่นนี้ได้อย่างไร

นอกจากนี้ เขาเองก็คิดถึงอาจารย์ของเขาด้วย

พวกเขาคงต้องผิดหวังเพราะเขามากใช่หรือไม่

เมื่อนึกถึงอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขา ลู่อี้ก็รู้สึกหนักใจ

ลู่อี้รับเงิน 20 ตำลึงมา ก่อนจะหยิบไม้เท้าขึ้นมาแล้วกลับไปที่หมู่บ้าน

“20 ตำลึง” มู่ซืออวี่มองเงินที่อยู่ตรงหน้านาง “ต้องหาหมูมาอีกสองตัวถึงจะใช้หนี้ได้หมด”

ลู่อี้ที่กำลังคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ พอได้ยินนางพูดเช่นนั้นจึงหันไปมอง

มู่ซืออวี่มองดูเงินด้วยความประหลาดใจ ความอยากรู้อยากเห็นเผยอยู่ในแววตาของนาง แต่ไม่มีความละโมบแฝงอยู่เลยสักนิด

หากเขายังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของคนเช่นนี้ได้ ฉายา ‘อัจฉริยะ’ ก็คงจะไร้ประโยชน์

“แม้ว่าหมูป่าจะมีค่า แต่ก็ไม่สามารถขายได้ในราคาที่สูงขนาดนั้น ท่านพี่ ท่านขายมันมาได้อย่างไร?” ลู่เซวียนถาม

“ข้าเจอกับฟางโจวอวี่ เขาสอบผ่านได้เป็นบัณฑิต พรุ่งนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงขึ้น เขาเป็นคนซื้อหมูป่าตัวนั้นไป” ลู่อี้ตอบเสียงเบา

“ฟางโจวอวี่ คนที่ขัดท่านมาตลอดน่ะรึ เขาสอบผ่านได้เป็นบัณฑิตจริง ๆ หรือ” ลู่เซวียนพลันมีใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นรื่อย ๆ

“คนนั้นคือใครกัน?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามขึ้นมา

“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า” ลู่เซวียนชักจะรำคาญใจ

“เจ้าไม่ต้องพูด ข้าก็พอจะเดาได้” มู่ซืออวี่บ่นขึ้นมา ก่อนจะเริ่มนับเงิน “หนึ่ง… สอง… สาม…”

“เจ้าจะเดาได้อย่างไร” ลู่เซวียนมองไปที่นาง

เมื่อเห็นนางเปลี่ยนไปนับเงินแทน เขาก็เคาะโต๊ะอย่างกระวนกระวาย “เจ้าบอกว่าเจ้าเดาได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่พูดเล่า?”

“แล้วเจ้ารีบอะไรด้วย” มู่ซืออวี่นับถึงเลขแปด ที่เหลือก็นำไปให้ลู่ฉาวอวี่ “เจ้าเอาไปให้ท่านหมอจูใช้หนี้ค่าตรวจรักษาของพวกเรา”

“ไม่ใช่ 20 ตำลึงรึ” มู่เจิ้งหานถาม

“นั่นพวกข้าตั้งใจทำให้พวกมู่ต้าซานกลัวต่างหาก ความจริงแล้วค่ารักษาของท่านแม่ใช้เงินแค่ 3 ตำลึง แต่ก่อนหน้านี้เราติดหนี้ท่านหมอจูอยู่ ทั้งหมดก็รวมเป็น 12 ตำลึง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว

บทที่ 35 ศัตรูกลายเป็นบัณฑิตแล้ว

วันนี้ไม่ใช่วันไปตลาด บนถนนเส้นนั้นจึงมีคนไม่มาก ลู่อี้แบกหมูป่าตรงไปร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุด

เสี่ยวเอ้อร์เฟิงเจิงออกมาทักทายจากร้านอาหารเล็ก ๆ ด้วยความคุ้นเคย และเมื่อเห็นหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ก็ถึงกับตกใจ “ท่านพี่อี้ จับหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร”

ลู่อี้เผยรอยยิ้มมุมปากออกมา “ข้าโชคดีน่ะ”

“นี่ไม่ใช่เพียงแค่โชคดีนะ ท่านนี่แข็งแกร่งแท้ ๆ” เฟิงเจิงยกนิ้วให้ “เยี่ยมมาก เยี่ยมจริง ๆ เดี๋ยวข้าจะไปตามเจ้าของร้านมา ครั้งนี้ของใหญ่เกินไป เจ้าของร้านต้องตัดสินใจเอง”

“ขอบคุณมากน้องเฟิง”

ลู่อี้นำหมูป่ามาวางไว้หน้าประตูแล้วจัดการเช็ดมือให้สะอาดเรียบร้อย

เห็นได้ชัดว่าเป็นการเคลื่อนไหวอย่างลวก ๆ แต่เขาก็ทำมันได้อย่างสง่างาม

คนที่เดินผ่านไปมาเมื่อเห็นหมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ต่างก็ตกตะลึง

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มองแผ่นหลังของลู่อี้ พอเขาหันหน้ากลับมา ความเขินอายบนใบหน้าก็หายไปจนเหลือเพียงความหวาดกลัว

ลู่อี้ลูบไล้แผลเป็นบนใบหน้าของเขาด้วยความเย้ยหยัน

“ท่านบัณฑิตฟาง พูดแล้วก็บังเอิญเสียจริง วันนี้มีคนเอาหมูป่ามาขายพอดี ท่านเข้ามาดูด้วยตนเองเถิด หากจะให้เหมาะสม ข้าจะสั่งหมูป่าตัวนี้ไว้สำหรับงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้”

เจ้าของร้านที่แต่งตัวดีเดินนำชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา

ชายหนุ่มสวมเสื้อคล้ายพวกบัณฑิต สวมหมวกทรงสูงสามเหลี่ยมท่าทางดูสง่างาม

ลู่อี้ได้ยินเสียงเจ้าของร้านพอดีกับสายตาของชายหนุ่มคนนั้นมองมา

ชายหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจ เขามองลู่อี้หัวจรดเท้าก่อนจะยกมุมปาก สายตาดูถูกเหยียดหยามเผยออกมาอย่างปิดไม่มิด

“คนที่เจ้าของร้านเอ่ยถึงคือเจ้านี่เอง”

เจ้าของร้านมองทั้งสองคนพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านบัณฑิตฟางรู้จักพรานลู่หรือ?”

“รู้จักสิ เหตุใดจึงจะไม่รู้จักเล่า เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของข้า”

ทั้งสองจิกกัดกันอย่างหนัก ประชดประชันกันซึ่ง ๆ หน้า

เจ้าของร้านเฉลียวฉลาด ถึงจะด้วยเหตุผลอะไรที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ เขาก็หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “บัณฑิตฟางได้พบเพื่อนร่วมชั้นในวันนี้นับว่าเป็นโชคชะตาแล้ว”

ฟางโจวอวี่เดินไปทางลู่อี้ สายตากวาดไปที่ชุดผ้าเนื้อหยาบที่เปื้อนเลือด ก่อนจะหยุดลงที่ร่างหมูป่า

“ไม่ได้เจอกันนานนี่”

ลู่อี้มองอีกฝ่ายแบบผ่าน ๆ “เจ้าสอบเลื่อนขั้นได้เป็นบัณฑิตแล้วรึ”

ฟางโจวอวี่ดูภูมิใจ “บังเอิญน่ะ”

“อืม” ลู่อี้ส่ายหัวแล้วพูดกับเจ้าของร้านว่า “หมูป่านี่ท่านต้องการหรือไม่? หากว่าไม่ต้องการ ข้าจะได้แบกกลับ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางโจวอวี่หายไป

ดูท่าว่าอีกฝ่ายยังคงเย่อหยิ่งเช่นเคย…

ไม่รู้ว่าลู่อี้ยังได้รับการยกย่องอย่างสูงจากหัวหน้าบัณทิตและอาจารย์อยู่หรือไม่

ฟังจากคำที่คนอื่นเรียกเขาว่าพรานลู่… เป็นนายพรานงั้นรึ?

“ลู่อี้ เจ้ารีบไปไหนหรือไม่ นานแล้วที่เราไม่ได้พบกัน เช่นนี้ถือว่าเป็นโชคชะตา พรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่ร้านอาหาร อาจารย์กับเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดก็อยู่ที่นั่น เจ้าก็มาด้วยสิ!”

“ยังต้องการหมูอยู่ไหม?” ลู่อี้ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ฟางโจวอวี่ “…”

เจ้าของร้านตอบทั้งรอยยิ้ม “ต้องการสิ!”

“20 ตำลึง” ลู่อี้ยื่นมือออกไป

เจ้าของร้านพลันเบิกตากว้าง “ไม่แพงเกินไปรึ!”

“แพงรึ ” ลู่อี้มองไปทางฟางโจวอวี่ “หมูป่าหายาก ราคานี้ข้าคำนวณจากคนที่ต้องเลี้ยงดูภายในบ้าน ให้พูดอีกครั้งคือของหายากต้องมีราคาแพง ราคานี้เหมาะสมแล้ว 20 ตำลึง พรุ่งนี้ข้าจะมาเอา”

ฟางโจวอวี่ตะคอกใส่อย่างเย็นชา “เอาเถอะ! เอา 20 ตำลึงให้เขา!”

ตราบใดที่ลู่อี้สามารถมาได้ เขาก็จะจ่ายเงินให้

ฟางโจวอวี่เป็นผู้สมัครคนเดียวที่สอบผ่านในปีนี้ เขาได้สังกัดสำนักบัณทิตเพื่อที่เขาจะได้เตรียมตัวสำหรับการสอบขุนนางครั้งต่อไป

เจ้าของร้านเรียกเฟิงเจิงที่อยู่ไม่ไกล “เจ้าพาลู่อี้ไปที่ห้องคิดเงิน”

“รับทราบ” เฟิงเจิงมองอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วจึงเข้ามารับแขก “ท่านพี่อี้ เชิญด้านนี้”

เมื่อเห็นว่าบัณฑิตฟางมีสายตาที่ราวกับว่าอยู่เหนือผู้อื่น เฟิงเจิงก็ขยิบตาให้ลู่อี้ด้วยท่าทางดูน่าขบขัน

ฟางโจวอวี่มองตามลู่อี้ที่เดินจากไป ความโกรธและความเกลียดชังของเขาเผยออกมาผ่านแววตา

เมื่อตอนที่ลู่อี้ยังอยู่ในสำนัก เจ้าสำนักและอาจารย์ทุกคนจับมืออีกฝ่ายไว้ เทียบกับคนอัจฉริยะอย่างลู่อี้แล้ว คนอื่น ๆ ดูธรรมดามาก ฟางโจวอวี่เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกอีกฝ่ายบดขยี้จนตาย

ฟางโจวอวี่จะไม่มีวันลืมอดีตที่เขาเรียนหนักทุกวัน กระนั้นก็ยังถูกลูอี้บดขยี้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะเมื่อเห็นลู่อี้ในตอนนี้ ชายหนุ่มก็รู้ว่าสถานะของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เจ้าของร้านเห็นว่าสีหน้าของฟางโจวอวี่ดูไม่ดีนัก เขาจึงเอ่ยประจบประแจงมากมายเพื่อทำให้อีกฝ่ายมีความสุข

ฟางโจวอวี่ดูภูมิใจ

ดูสิ ลู่อี้ไม่เหมือนวันวานแล้ว

เมื่อเขาได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ในรายชื่อทองคำ คนธรรมดาอย่างลู่อี้ก็ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าของเขาด้วยซ้ำ

ลู่อี้หยิบเหรียญ 10 เหวินออกมาแล้วยัดใส่มือเฟิงเจิง

ทว่าเฟิงเจิงรีบปฏิเสธ “ท่านพี่อี้ ข้ารู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับท่าน อย่าสุภาพกับข้านักเลย ตราบใดที่ข้าช่วยท่านได้ ข้าก็จะช่วย”

“ขอบคุณมาก” ลู่อี้จดจำเฟิงเจิงที่ดีกับเขาได้เสมอ

“แต่ท่านพี่อี้ พรุ่งนี้ท่านจะมาจริง ๆ หรือ คนเช่นบัณฑิตท่านนั้น พวกข้าก็ไม่ได้จัดการง่าย ๆ เหมือนกัน ดูสายตาที่มองท่านสิ มุ่งร้ายชัด ๆ”

“ไม่ต้องกังวลไป”

หากเขารับปากในทันที เขาจะได้รับเงินจำนวนมากเช่นนี้ได้อย่างไร

นอกจากนี้ เขาเองก็คิดถึงอาจารย์ของเขาด้วย

พวกเขาคงต้องผิดหวังเพราะเขามากใช่หรือไม่

เมื่อนึกถึงอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขา ลู่อี้ก็รู้สึกหนักใจ

ลู่อี้รับเงิน 20 ตำลึงมา ก่อนจะหยิบไม้เท้าขึ้นมาแล้วกลับไปที่หมู่บ้าน

“20 ตำลึง” มู่ซืออวี่มองเงินที่อยู่ตรงหน้านาง “ต้องหาหมูมาอีกสองตัวถึงจะใช้หนี้ได้หมด”

ลู่อี้ที่กำลังคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ พอได้ยินนางพูดเช่นนั้นจึงหันไปมอง

มู่ซืออวี่มองดูเงินด้วยความประหลาดใจ ความอยากรู้อยากเห็นเผยอยู่ในแววตาของนาง แต่ไม่มีความละโมบแฝงอยู่เลยสักนิด

หากเขายังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของคนเช่นนี้ได้ ฉายา ‘อัจฉริยะ’ ก็คงจะไร้ประโยชน์

“แม้ว่าหมูป่าจะมีค่า แต่ก็ไม่สามารถขายได้ในราคาที่สูงขนาดนั้น ท่านพี่ ท่านขายมันมาได้อย่างไร?” ลู่เซวียนถาม

“ข้าเจอกับฟางโจวอวี่ เขาสอบผ่านได้เป็นบัณฑิต พรุ่งนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงขึ้น เขาเป็นคนซื้อหมูป่าตัวนั้นไป” ลู่อี้ตอบเสียงเบา

“ฟางโจวอวี่ คนที่ขัดท่านมาตลอดน่ะรึ เขาสอบผ่านได้เป็นบัณฑิตจริง ๆ หรือ” ลู่เซวียนพลันมีใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นรื่อย ๆ

“คนนั้นคือใครกัน?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามขึ้นมา

“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า” ลู่เซวียนชักจะรำคาญใจ

“เจ้าไม่ต้องพูด ข้าก็พอจะเดาได้” มู่ซืออวี่บ่นขึ้นมา ก่อนจะเริ่มนับเงิน “หนึ่ง… สอง… สาม…”

“เจ้าจะเดาได้อย่างไร” ลู่เซวียนมองไปที่นาง

เมื่อเห็นนางเปลี่ยนไปนับเงินแทน เขาก็เคาะโต๊ะอย่างกระวนกระวาย “เจ้าบอกว่าเจ้าเดาได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่พูดเล่า?”

“แล้วเจ้ารีบอะไรด้วย” มู่ซืออวี่นับถึงเลขแปด ที่เหลือก็นำไปให้ลู่ฉาวอวี่ “เจ้าเอาไปให้ท่านหมอจูใช้หนี้ค่าตรวจรักษาของพวกเรา”

“ไม่ใช่ 20 ตำลึงรึ” มู่เจิ้งหานถาม

“นั่นพวกข้าตั้งใจทำให้พวกมู่ต้าซานกลัวต่างหาก ความจริงแล้วค่ารักษาของท่านแม่ใช้เงินแค่ 3 ตำลึง แต่ก่อนหน้านี้เราติดหนี้ท่านหมอจูอยู่ ทั้งหมดก็รวมเป็น 12 ตำลึง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+