Dungeon Defense (WN) 51 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (5)
“ก็อบลิน,ก็อบลินบุกมาแล้ว!”
“ยึดแนวรั้วไว้! แม่งเอ้ย อย่าหนีสิวะ! ยึดรั้วไว้!
“ซีฟาร์ ไอ้แม่งเอ้ย! คิดว่าวิ่งหนีแล้วจะรอดเหรอ ครอบครัวมึงโดนแทนแน่!”
ชาวบ้านต่างตกอยู่ในความวุ่นวายโดยสมบูรณ์ พวกเขารวมตัวหลบอยู่หลังรั้วไม้แต่ดูเหมือนมีบางคนตะโกนให้ชาวบ้านเกาะยึดแนวรั้วไว้ ในขณะที่บางคนกำลังผละจากแนวรั้ว บางคนกรีดร้องอย่างที่ไม่อาจช่วยเหลือ และบางคนหยิบฉวยอะไรก็ได้เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ มีผู้คนมากมายหลากหลายแบบที่แสดงถึงสิ่งที่เรียกว่า ความโกลาหล
พวกเราเฝ้าดูหมู่บ้านจากระยะห่าง ทุ่งที่เป็นชั้นๆรอบหมู่บ้านไม่ช่วยให้มันกลายเป็นวิวทิวทัศน์ที่แสนโรแมนติก แต่เป็นเพียงทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ดีแห่งหนึ่งในสายตาผม หากไม่มีผู้คนที่วิ่งอย่างสิ้นหวังกลับไปที่หมู่บ้าน
ผมพูดขึ้นอย่างสบาย
“ช่างน่าประหลาดมากที่เห็นว่า ไม่มีใครพยายามจะหนีเลยแม้แต่คนเดียว”
“แม้ก็อบลินจะหลั่งไหลมาไม่หยุดก็ตาม แต่ไม่มีมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในหุบเขาจะเลิกล้มง่ายๆ พวกเขาอยู่ในโลกที่ต่างจากพวกขี้ขลาดที่อยู่ในทุ่งหญ้า”
พาร์ซินั้นแสดงความภูมิใจที่ดูล้นเกิน ผมแอบสงสัยว่าคงมีความไม่ถูกกันระหว่างชาวภูเขากับชาวที่ราบ
ผมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แค่มีอะไรที่แตกต่างกันภายนอกแค่นั้นเอง
มนุษย์ก็ยังเป็นประเภทที่ยึดติดกับเหตุผลเพื่อที่จะได้แบ่งแยก
“พวกมันเป็นคนเร่ร่อนในหมู่พวกชั้นต่ำ”
ลอร่าบอกผมขณะที่อยู่ข้างกายผม เธอสะบัดผมสีบลอนด์ให้ลอยไปตามลม แต่วิธีการที่เธอแสดงออกนั้นเท่เสียจนเกือบลืมไปเลยว่า เธอกำลังขี่ลาอยู่
พูดง่ายๆคือ มันช่างน่าขัน หลังจากนี้พอกลับไปผมจะให้ของขวัญเธอเป็นม้าอย่างแน่นอน
“พวกเขาขี่มอนสเตอร์ข้ามแนวเขาเพื่อหนีการเก็บภาษีจากลอร์ดประจำดินแดนนั้น พวกเขาทำแบบนั้นเพื่อปกป้องสิ่งที่เป็นของๆตน แต่โลกไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้หากไม่แก้ไขตน”
“เจ้ารู้สึกผิดที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์หรือเปล่า?”
“พวกเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่กล้าชี้ดาบเข้าหาฝ่าบาทก่อน หญิงสาวผู้นี้ไม่เคยถูกสอนว่าให้เห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่เป็นศัตรูของฝ่าบาท”
เธอให้คำตอบที่ฟังดูน่าเชื่อถือ
เป็นเวลาพักใหญ่ที่ก็อบลินเริ่มตะโกนกู่ร้องออกมาทั้งที่ผมไม่ได้สั่งพวกมัน มันเหมือนกับฝูงลิงจำนวนมากที่พยายามส่งเสียงแหบๆออกมาโดยมีทั้งเสียงทุ้มแหลม และจังหวะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ก็อบลินกระโดดไปรอบข้างอย่างสุ่มๆ ร้องด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ━
มันฟังดูคล้ายๆกับเสียง
‘คุรุ กุรุ กุรุ กุรุ!’
━และเต้นระบำไปรอบๆพลางสะบัดแขนสะบัดขา หนึ่งในพวกเขานั้นทุบกลองหนังสีเขียวและตัวอื่นๆก็พยายามทำตามจังหวะนั้น มันเป็นเพลงสดุดีของก็อบลิน.
“จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้”
“ช่างน่าสนใจ ในบรรดาดนตรีทั้งหมดที่ข้าได้เคยฟังมา ข้าชอบเพลงนี้ที่สุดแล้ว”
“ขอประทานอภัย ฝ่าบาท แต่เพลงจำพวกใดที่ฝ่าบาทนั้นชื่นชอบมากที่สุด?”
“ข้าเกลียดดนตรี”
ลอร่าหัวเราะ
ชาวบ้านที่อยู่อีกฝั่งของรั้วก็เร่งเสียงขึ้นอย่างรุนแรงบ้าง เพลงของพวกเขานั้นเป็นเพลงกี่ยวกับการปกป้องความอุดมสมบูรณ์ของข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวได้ในภูเขา เครื่องดนตรีทุกอย่างถูกหยิบมาใช้ราวกับเป็นวงออเคสตร้า ทักษะทางดนตรีของพวกเขาเห็นได้ชัดเลยว่าสูงกว่าพวกก็อบลิน
เมื่อผู้นำวงดนตรีเริ่มการบรรเลง ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ทำตาม มีบางคนที่จะหยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาแล้วเล่นไปตามจังหวะ
ผมถึงได้รู้เรื่องที่ทำให้แปลกใจ ในหมู่ชาวบ้านนั้นมีฆ้องด้วย พูดกันตามตรงนะ ในบรรดาเครื่องดนตรีทั้งหลาย ผมเกลียดฆ้องมากที่สุด ผมสงสัยมาเสมอว่าฆ้องนั้นประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่ออะไร เล่นกับดนตรีแบบไหน
แต่ถึงอย่างนั้นในโลกเดิมผมก็ยังไขปริศนาไม่ได้ แต่กลับมาเข้าใจในโลกนี้ แทน ผมแน่ใจแล้วว่า ฆ้องนั้นเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้อย่างเป็นทางการในสงคราม!
เนื่องจากเสียงอันดังมากของทั้งฝั่งก็อบลินและมนุษย์ ฆ้องนั้นส่งเสียงดังก้องทะลวงผ่านทุกเสียงที่อยู่ที่นั่น
“ฆ่าพวกมันนน ฆ่ามันให้ตาย!”
“เออ รู้แล้วโว้ย ได้ยินแล้ว!”
“ฆ่าพวกมันนน ฆ่ามันนนนน!”
ทั่วภูเขาใกล้กับเขตหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงสาปแช่งและเสียงเครื่องดนตรี ว่ากันตามตรงนะ ผมอาจจะเหยียดหยามมากเกินไปหากจะพูดว่า นั่นเป็นเสียงดนตรี แต่ไม่ใช่เลย มันก็แค่เสียงดังหนวกหูเท่านั้น
“นี่พวกเราต้องรออีกนานแค่ไหนกัน!?”
แม้ผมจะตะโกนถามออกไปแต่เสียงของผมกลับถูกเสียงพวกนั้นกลบมิด
“ขอโทษ นายท่าน! ปกติแล้ว มีกฏความวุ่นวายตอนที่กองทัพมนุษย์เผชิญหน้าต่อกัน! มันเป็นข้อตกลงที่ไร้เงื่อนไขที่ว่า ต้องเป็นไปตามนั้นไม่ว่าจะชนะหรือแพ้! ตัวตนต่ำต้อยนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ดูมอนสเตอร์กับมนุษย์สู้กันแบบโกลาหล ดังนั้นผมจึงไม่แน่ใจ!”
“พาร์ซิ!”
“ขอรวบรัด!”
พาร์ซิพยายามตอบด้วยเสียงดังที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“เราจะรอจนกว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ่อนล้า!”
ช่างเป็นกฏที่ง่ายนัก หากไม่ใช่ว่าตอนนี้ผมกำลังฟังเสียงระยำนั่นอยู่ ผมคงพูดสรรเสริญคนที่สร้างกฏนั้นขึ้นมาแล้ว
“แล้วถ้าหาก การศึกมันลากยาวไปอีกล่ะ!?”
“ถ้ามันลากยาว ก็ให้ลากยาวครับ! ถ้าท่านเบื่อ นายท่าน ลองเต้นรำแก้เบื่อดูไหม? ก็อบลินมันก็เริ่มคลั่งกันแล้ว!”
แน่ล่ะ ก็อบลินมันเต้นกันเป็นกลุ่มแล้วตอนนี้ ไม่ว่าจะมองยังไง ผมก็รู้สึกเหมือนกำลังมองพวกพ่อมดที่พยายามเฉลิมฉลองด้วยการอัญเชิญจ้าวปีศาจออกมา
นี่อย่าบอกนะว่า กระโดดจากตรงกลางนั่นแล้วส่ายสะโพกไปด้วย? จะบ้าตายจริงๆ
นับเป็นโชคดีที่ ผิดไปจากที่ผมห่วงไว้ จิตวิญญาณการต่อสู้นั้นมาเร็วไปเร็ว ชาวบ้านไม่เกิน 50 คนนั้นน้อยเกินไปที่จะต่อต้านก็อบลินนับร้อยตัวได้
ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ เสียงของมนุษย์ก็ยิ่งถูกกลบฝังด้วยเพลงสดุดีของก็อบลินก่อนหน้า ยิ่งไปกว่านั้นเหลือแต่เสียงฆ้องที่ได้ยินมาจากฝั่งพวกเขา พวกเขาเริ่มเหนื่อยล้ากันแล้ว
━ เครุรุรุรุ!
━ คิรุรุก! เครุ, คิรุรุรุก!
ก็อบลินส่งเสียงเชียร์ด้วยชัยชนะ พวกนั้นตะโกนไปอีกสักพักหนึ่ง แต่ดูไม่เหนื่อยเลย น่าแปลกเหลือเกิน ในสงคราม ผู้คนนั้นจะหลงลืมความเหนื่อยล้าแล้วเต็มไปด้วยแรงขับทางใจเคลื่อนที่หล่อเลี้ยง
พูดได้ว่า เมื่อสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ทั้งความแข็งแกร่งทางร่างกายทั้งหลายจะถูก ความเครียด ความอ่อนล้า เข้าเหยียบย่ำกดขี่บีทาเหนือคุณ และนั่นคือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน ณ ตอนนี้
ทหารอาสานั้นได้ย้ายไปรวมกับพวกปาร์ตี้นักผจญภัยชั่วคราว
กำลังคนของเขายังถือว่าขาดแคลนเมื่อเทียบกับมอนสเตอร์ แม้แต่กำลังใจก็ลดลงเช่นกัน
จงชนะก่อนที่จะชนะ กองทัพนั้นจะต้องได้รับชัยชนะแล้วจึงทำการรบ โดยไม่เสียเลือดแม้สักหยด ผู้ชนะได้รับการตัดสินแล้วว่าเป็นฝ่ายไหน
“่ฝ่าบาท ถึงเวลาแล้ว”
“แน่นอน”
“ท่านช่วยพูดบางอย่างก่อนรบได้ไหม?”
ผมหันตัวกลับมา
กองทัพก็อบลินจำนวนมากต่างเบียดเสียดเข้ามาอยู่ในการมองเห็นของผม ผมสามารถมองเห็นพวกมันทุกตนด้วยการกวาดตาเพียงครั้งเดียวเพราะก็อบลินนั้นตัวเตี้ย ก็อบลินสีเขียวที่เต็มหุบเขาสีเขียวขจี จนดูคล้ายกับฝูงหนอนเขียวที่เต้นขลุกขลัก
ผมฉีกคัมภีร์ที่จะช่วยขยายเสียง มีแผ่นโปร่งใสปรากฏขึ้นตรงหน้าผม ผมสั่งใช้ สกิล <การแสดง> ก่อนตะโกนออกมา
“เหล่านักรบทั้งหลาย!”
ดวงตากว่าร้อยคู่หันมาจ้องผมเป็นตาเดียว ผมหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดสุนทรพจน์ต่อ
“ข้าขอให้พวกเจ้าทั้งหลายดูที่รั้วเหล่านั้น!”
ผมเหยียดแขนชี้ไปที่หมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็เงียบเพื่อฟังผมเช่นกัน
“ไอ้พวกชาวภูเขาพวกนั้นมันเย่อหยิ่ง พวกมันสร้างรั้วด้วยคิดว่า ดินแดนนี้เป็นของมัน หลังจากสร้างหมู่บ้านของพวกมันและก่อขึ้นด้วยไม้ พวกมันก็เริ่มทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของภูเขาแถบนี้
……แล้วเจ้าพวกมนุษย์เหล่านั้นเป็นเจ้าของหุบเขาแถบนี้หรือ?”
━ เครุรุรุก!
━ คิรุก! คุรุรุก!
ก็อบลินได้กระโดดไปรอบๆด้วยท่าทางเหมือนลิงที่กำลังโกรธ เมื่อผมถามคำถามนั้น ความดุร้ายของสัตว์ป่าได้แพร่ขยายไปทั่วพื้นที่ ผมสามารถเข้าใจความรู้สึกจากคำพูดของพวกมันนับตั้งแต่ที่ผมเป็นจอมมาร
“ก็อบลินได้อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนมนุษย์จะมาวางรั้วของพวกมัน
ก็อบลินได้อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนมนุษย์จะมาเริ่มทำฟาร์มของพวกมัน
ก่อนมนุษย์จะกล้ามาเหยียบย่างในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ก็อบลินเคยอยู่ที่นี่มานับร้อยปี!”
━ คิรุรุรุรุร!
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้น ขอถามพวกเจ้าหน่อยในฐานะเผ่าพันธุ์ที่น่าภาคภูมิใจแห่งเขาลูกนี้”
ผมยกแขนขึ้น
“พวกเจ้าน่ะ รักภูเขาศักดิ์สิทธิ์แถบนี้ไหม!?”
━ เครุรุก! คุรุก! เครุรุก!
ก็อบลินตอบพร้อมเพรียงกันเช่นเดียวกับที่กระทืบเท้า
ผมตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
“พวกเจ้าคือ นักรบผู้คุมกฏแห่งภูเขานี้ ใช่หรือไม่?!?”
━ เครุก! เครุก! เครุรุก!
“เจ้าจะลงโทษหมูจองหองที่บุกเข้ามาดินแดนของพวกเราหรือไม่!?”
ก็อบลินตะโกนออกมา
“ถูกต้องแล้ว! ฆ่ามัน!”
ผมกำหมัดแน่น
“จงอย่าอภัยให้หมูระยำพวกนั้นที่มาทำให้อาหารพวกเราแปดเปื้อน! เฉือนเนื้อมัน!ถลกหนังมัน! ตัดไส้มัน! ฟันหัวมัน! พิสูจน์ให้พวกมันเห็นว่า ใครเป็นเจ้าของภูเขาลูกนี้ตัวจริง!
ทำให้มันรู้ว่า มันไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากไอ้หมูกักขฬะ แสดงให้พวกมันเห็นว่า ใครคือผู้ล่า ━และใครคือ เหยื่อ!”
ผมหันหลังให้กับกองกำลังก็อบลินจำนวนมากที่ผมพึ่งพูดจบ
ขณะนั้นเอง ลอร่าฉีกม้วนคัมภีร์เวทย์ ซึ่งพวกเราเตรียมไว้ก่อนแล้ว คัมภีร์ที่ฉีกนั้นเป็น เวทย์เทเลพอร์ทระดับกลางโกเลมจึงปรากฏพร้อมกับแสงสว่างสีขาว แผ่นดินไหวเล็กน้อยเมื่อมันมาถึงพื้น ก็อบลินส่งเสียงเชียร์ตะโกนที่กองหนุนปรากฏขึ้น ในขณะที่มนุษย์กรีดร้องด้วยความหวาดผวา
ผมจึงมอบคำสั่งสุดท้าย
“ทหารทุกนาย! บุกเข้าไป!”
━ คูว้าาาาาาา!
━ คิรุรุรุรุก!
เสียงคำรามระบือลั่นเหนือเสียงเพลงทั้งหมด ได้ก้องสะท้อนไปทั่วทุกพื้นที่ โกเลมเป็นแนวหน้านำทัพ รั้วไม้ถูกทำลายราวกับไม้ขีดไฟทันทีที่โกเลมทั้งหลายเหวี่ยงหมัดตันๆ
“นะ-หนีเร็ว!!”
“พวกเราจะตายหมด ถ้าแนวรบถูกดันกลับมา! พวกเราจะตายหมดถ้าแนวหน้าถูกดันกลับมา━!”
“แม่งเอ้ย! ไม่มีทางที่พวกเราจะต้านพวกมันได้!”
“ไม่! ติดกับรั้วไว้! มันไม่สำคัญว่าเป็นหรือตาย ติดกับรั้วไว้สิวะ ไอ้โง่เอ๊ย!”
เพียงการขยับเคลื่อนเพียงครั้งเดียวก็ทำลายกระบวนทัพของชาวบ้าน โกเลมของผมที่เลเวลเฉลี่ยอยู่ที่เลเวล 7 อาจไม่ใช่สิ่งที่ชาวภูเขาจัดการได้โดยง่าย
หากมีแต่ก็อบลิน พวกเขาคงจะปกป้องรั้วไปได้สักพักด้วยการใช้หอกแทงระหว่างรั้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาไม่เคยคิดถึงการที่จะป้องกันจากโกเลม
เมื่อโกเลมทำลายรั้วได้ง่ายดายเหมือนเอาค้อนทุบ ก็อบลินก็หลั่งไหลเข้าไปตามช่องที่เปิดเหมือนกับน้ำ
มันจบแบบนั้นแหละ ชาวบ้านส่วนหนึ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมา คนที่ยังคงสู้อยู่สุดท้ายแล้วก็เสียความตั้งใจที่จะสู้ต่อ เมื่อเห็นคนอื่นวิ่งหนีไป
ยิ่งกว่านั้น พวกนักวิ่งกับนักธนูต่างชนกันเองทำให้ยิ่งสับสนอลหม่านยิ่งกว่าเดิม ก็อบลินและโกเลมก็ได้บุกทำลายเข้าไปเหมือนกับโรยเกลือลงบนแผลสด
“อย่าฆ่━แอ่ก!”
“โอ้ววว อ๊ากกกกก!”
ผมทำลงไปโดยไร้ความปราณี ผมอนุญาตให้ก็อบลินนั้นปล้นสดมภ์ได้ตามสะดวก สำหรับก็อบลิน การปล้นสดมภ์นั้นหมายถึง การเชือดเนื้อเถือกระดูกมนุษย์ มันจะเข่นฆ่าโดยไม่แบ่งแยกว่า เป็นชายเป็นหญิง เป็นเด็กเป็นคนแก่ ต่างได้รับเสมอกันหมด
ผมเดินผ่านเข้าไปท่ามกลางการฆ่าล้างหมู่ ลอร่าและพาร์ซินั้นยืนเคียงข้างเหมือนเป็นบอดี้การ์ด พาร์ซินั้นดูตกใจและหวาดกลัวมาก แต่ก็ยังดีที่เขายังพอมีความกล้ามากพอที่จะไม่โดนทิ้งไว้ข้างหลัง ผมไม่ค่อยอยากเชื่อเลยจากภาพลักษณ์ภายนอกของเขา ความจริงแล้วเขาอายุ 15 ปี
“คุ้มกันยุ้งฉาง กลุ่ม 1 ไปทางนั้น กลุ่ม4 ไปทางนั้น”
ลอร่าได้ให้คำสั่งระหว่างที่เธอกำลังเดินอยู่ ตั้งแต่ที่ผมมอบอำนาจให้เธอมีสิทธิ์ในการสั่ง โกเลมก็ยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ว่ากันตามตรงแล้ว สีหน้าของลอร่านั้นไม่เปลี่ยนเลยตั้งแต่เริ่มการศึกมา ไม่น่าเชื่อ เธอนั้นอายุ 15 ปีเช่นกัน
‘อย่างที่คิดเลยว่า หนุ่มสาวในยุคกลางนั้นจะมีวุฒิภาวะเร็ว’
ผมแอบสะเทือนใจกับผู้คนแห่งยุคนี้
ความจริงที่ชาวบ้านยังคงพยายามสู้กลับแม้ฝ่ายมอนสเตอร์จะได้เปรียบเป็นอย่างมากในแง่จำนวน ได้สร้างความประหลาดใจให้ผม
ผมชะลอการปรากฏตัวของโกเลมเพราะห่วงว่า การต่อสู้อาจเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่ชาวบ้านวิ่งหนีก็อบลินทันทีที่เห็น
มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยอมแพ้มากกว่าที่ผมคิดไว้ เป็นที่แน่นอนว่า มันก็มีบุคคลที่ทิ้งครอบครัว สหายและทุกๆคนเพียงเพื่อจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ แต่พวกนั้นก็เป็นจำนวนที่น้อยมากๆ
“โอ ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่! ฉันขออ้อนวอนท่าน ไว้ชีวิตเด็กน้อยผู้นี้ด้วย!”
ผู้หญิงที่ทะลุผ่านกำแพงก็อบลินมาและหมอบคลานอยู่หน้าผม เธอทิ้งแขนขวาไว้ที่ไหนสักแห่งในขณะที่แขนซ้ายยังคงอุ้มทารก
ผมหยุดเดิน
“เด็กคนนี้……เด็กคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด! ได้โปรด……!”
“ลอร่า”
ไม่จำเป็นสำหรับผมที่ต้องให้คำอธิบายกับเธอ
ลอร่าดึงดาบยาวออกมาจากสะเอวแล้วแทงไปที่อกข้างหญิงผู้นั้นในทันที คมดาบนั้นทะลวงผ่านอกนิ่มๆ ออกมาทางแผ่นหลัง
ลอร่าดึงดาบออกอย่างลื่นไหล เลือดได้กระจัดกระจายเต็มพื้น เธอล้มตัวลงกับพื้น และยังคงอ้อนวอนขอความเห็นใจแม้กระทั่งวาระสุดท้าย
ผมไม่สนใจศพผู้หญิงและทารกที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ ผมยังคงเดินหน้าต่อไป
พาร์ซิมาทางขวามือผม
“เอ่อ ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องฆ่าคนๆนั้นนี่ครับ?”
“ไม่เลย ไม่จำเป็น”
การมองดูฝูงมนุษย์ที่ถูกฆ่าล้างนั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียใจระดับที่สามารถเรียกได้ว่า เป็นโศกนาฏกรรม
สัญชาติญาณความเป็นแม่ของหญิงผู้นั้นที่ทำให้เธอกล้าผ่านฝูงก็อบลินมาโดยที่ยังเสียแขนทำให้ผมเจ็บปวดใจเหลือเกิน
แต่ถึงอย่างนั้น วางเรื่องความรู้สึกส่วนตัวไว้
นี่คือ การต่อสู้กันระหว่างมอนสเตอร์และมนุษย์ ผมเป็นผู้นำของมอนสเตอร์พวกนี้ ผมไม่ให้ผู้อื่นเห็นว่า ผมมีความเห็นอกเห็นใจแก่พวกมนุษย์
ผมจึงพูดกึ่งการเมืองหยอกกลับไป
“แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องไว้ชีวิตเธอด้วยเช่นกัน”
Comments
Dungeon Defense (WN) 51 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (5)
“ก็อบลิน,ก็อบลินบุกมาแล้ว!”
“ยึดแนวรั้วไว้! แม่งเอ้ย อย่าหนีสิวะ! ยึดรั้วไว้!
“ซีฟาร์ ไอ้แม่งเอ้ย! คิดว่าวิ่งหนีแล้วจะรอดเหรอ ครอบครัวมึงโดนแทนแน่!”
ชาวบ้านต่างตกอยู่ในความวุ่นวายโดยสมบูรณ์ พวกเขารวมตัวหลบอยู่หลังรั้วไม้แต่ดูเหมือนมีบางคนตะโกนให้ชาวบ้านเกาะยึดแนวรั้วไว้ ในขณะที่บางคนกำลังผละจากแนวรั้ว บางคนกรีดร้องอย่างที่ไม่อาจช่วยเหลือ และบางคนหยิบฉวยอะไรก็ได้เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ มีผู้คนมากมายหลากหลายแบบที่แสดงถึงสิ่งที่เรียกว่า ความโกลาหล
พวกเราเฝ้าดูหมู่บ้านจากระยะห่าง ทุ่งที่เป็นชั้นๆรอบหมู่บ้านไม่ช่วยให้มันกลายเป็นวิวทิวทัศน์ที่แสนโรแมนติก แต่เป็นเพียงทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ดีแห่งหนึ่งในสายตาผม หากไม่มีผู้คนที่วิ่งอย่างสิ้นหวังกลับไปที่หมู่บ้าน
ผมพูดขึ้นอย่างสบาย
“ช่างน่าประหลาดมากที่เห็นว่า ไม่มีใครพยายามจะหนีเลยแม้แต่คนเดียว”
“แม้ก็อบลินจะหลั่งไหลมาไม่หยุดก็ตาม แต่ไม่มีมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในหุบเขาจะเลิกล้มง่ายๆ พวกเขาอยู่ในโลกที่ต่างจากพวกขี้ขลาดที่อยู่ในทุ่งหญ้า”
พาร์ซินั้นแสดงความภูมิใจที่ดูล้นเกิน ผมแอบสงสัยว่าคงมีความไม่ถูกกันระหว่างชาวภูเขากับชาวที่ราบ
ผมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แค่มีอะไรที่แตกต่างกันภายนอกแค่นั้นเอง
มนุษย์ก็ยังเป็นประเภทที่ยึดติดกับเหตุผลเพื่อที่จะได้แบ่งแยก
“พวกมันเป็นคนเร่ร่อนในหมู่พวกชั้นต่ำ”
ลอร่าบอกผมขณะที่อยู่ข้างกายผม เธอสะบัดผมสีบลอนด์ให้ลอยไปตามลม แต่วิธีการที่เธอแสดงออกนั้นเท่เสียจนเกือบลืมไปเลยว่า เธอกำลังขี่ลาอยู่
พูดง่ายๆคือ มันช่างน่าขัน หลังจากนี้พอกลับไปผมจะให้ของขวัญเธอเป็นม้าอย่างแน่นอน
“พวกเขาขี่มอนสเตอร์ข้ามแนวเขาเพื่อหนีการเก็บภาษีจากลอร์ดประจำดินแดนนั้น พวกเขาทำแบบนั้นเพื่อปกป้องสิ่งที่เป็นของๆตน แต่โลกไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้หากไม่แก้ไขตน”
“เจ้ารู้สึกผิดที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์หรือเปล่า?”
“พวกเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่กล้าชี้ดาบเข้าหาฝ่าบาทก่อน หญิงสาวผู้นี้ไม่เคยถูกสอนว่าให้เห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่เป็นศัตรูของฝ่าบาท”
เธอให้คำตอบที่ฟังดูน่าเชื่อถือ
เป็นเวลาพักใหญ่ที่ก็อบลินเริ่มตะโกนกู่ร้องออกมาทั้งที่ผมไม่ได้สั่งพวกมัน มันเหมือนกับฝูงลิงจำนวนมากที่พยายามส่งเสียงแหบๆออกมาโดยมีทั้งเสียงทุ้มแหลม และจังหวะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ก็อบลินกระโดดไปรอบข้างอย่างสุ่มๆ ร้องด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ━
มันฟังดูคล้ายๆกับเสียง
‘คุรุ กุรุ กุรุ กุรุ!’
━และเต้นระบำไปรอบๆพลางสะบัดแขนสะบัดขา หนึ่งในพวกเขานั้นทุบกลองหนังสีเขียวและตัวอื่นๆก็พยายามทำตามจังหวะนั้น มันเป็นเพลงสดุดีของก็อบลิน.
“จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้”
“ช่างน่าสนใจ ในบรรดาดนตรีทั้งหมดที่ข้าได้เคยฟังมา ข้าชอบเพลงนี้ที่สุดแล้ว”
“ขอประทานอภัย ฝ่าบาท แต่เพลงจำพวกใดที่ฝ่าบาทนั้นชื่นชอบมากที่สุด?”
“ข้าเกลียดดนตรี”
ลอร่าหัวเราะ
ชาวบ้านที่อยู่อีกฝั่งของรั้วก็เร่งเสียงขึ้นอย่างรุนแรงบ้าง เพลงของพวกเขานั้นเป็นเพลงกี่ยวกับการปกป้องความอุดมสมบูรณ์ของข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวได้ในภูเขา เครื่องดนตรีทุกอย่างถูกหยิบมาใช้ราวกับเป็นวงออเคสตร้า ทักษะทางดนตรีของพวกเขาเห็นได้ชัดเลยว่าสูงกว่าพวกก็อบลิน
เมื่อผู้นำวงดนตรีเริ่มการบรรเลง ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ทำตาม มีบางคนที่จะหยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาแล้วเล่นไปตามจังหวะ
ผมถึงได้รู้เรื่องที่ทำให้แปลกใจ ในหมู่ชาวบ้านนั้นมีฆ้องด้วย พูดกันตามตรงนะ ในบรรดาเครื่องดนตรีทั้งหลาย ผมเกลียดฆ้องมากที่สุด ผมสงสัยมาเสมอว่าฆ้องนั้นประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่ออะไร เล่นกับดนตรีแบบไหน
แต่ถึงอย่างนั้นในโลกเดิมผมก็ยังไขปริศนาไม่ได้ แต่กลับมาเข้าใจในโลกนี้ แทน ผมแน่ใจแล้วว่า ฆ้องนั้นเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้อย่างเป็นทางการในสงคราม!
เนื่องจากเสียงอันดังมากของทั้งฝั่งก็อบลินและมนุษย์ ฆ้องนั้นส่งเสียงดังก้องทะลวงผ่านทุกเสียงที่อยู่ที่นั่น
“ฆ่าพวกมันนน ฆ่ามันให้ตาย!”
“เออ รู้แล้วโว้ย ได้ยินแล้ว!”
“ฆ่าพวกมันนน ฆ่ามันนนนน!”
ทั่วภูเขาใกล้กับเขตหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงสาปแช่งและเสียงเครื่องดนตรี ว่ากันตามตรงนะ ผมอาจจะเหยียดหยามมากเกินไปหากจะพูดว่า นั่นเป็นเสียงดนตรี แต่ไม่ใช่เลย มันก็แค่เสียงดังหนวกหูเท่านั้น
“นี่พวกเราต้องรออีกนานแค่ไหนกัน!?”
แม้ผมจะตะโกนถามออกไปแต่เสียงของผมกลับถูกเสียงพวกนั้นกลบมิด
“ขอโทษ นายท่าน! ปกติแล้ว มีกฏความวุ่นวายตอนที่กองทัพมนุษย์เผชิญหน้าต่อกัน! มันเป็นข้อตกลงที่ไร้เงื่อนไขที่ว่า ต้องเป็นไปตามนั้นไม่ว่าจะชนะหรือแพ้! ตัวตนต่ำต้อยนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ดูมอนสเตอร์กับมนุษย์สู้กันแบบโกลาหล ดังนั้นผมจึงไม่แน่ใจ!”
“พาร์ซิ!”
“ขอรวบรัด!”
พาร์ซิพยายามตอบด้วยเสียงดังที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“เราจะรอจนกว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ่อนล้า!”
ช่างเป็นกฏที่ง่ายนัก หากไม่ใช่ว่าตอนนี้ผมกำลังฟังเสียงระยำนั่นอยู่ ผมคงพูดสรรเสริญคนที่สร้างกฏนั้นขึ้นมาแล้ว
“แล้วถ้าหาก การศึกมันลากยาวไปอีกล่ะ!?”
“ถ้ามันลากยาว ก็ให้ลากยาวครับ! ถ้าท่านเบื่อ นายท่าน ลองเต้นรำแก้เบื่อดูไหม? ก็อบลินมันก็เริ่มคลั่งกันแล้ว!”
แน่ล่ะ ก็อบลินมันเต้นกันเป็นกลุ่มแล้วตอนนี้ ไม่ว่าจะมองยังไง ผมก็รู้สึกเหมือนกำลังมองพวกพ่อมดที่พยายามเฉลิมฉลองด้วยการอัญเชิญจ้าวปีศาจออกมา
นี่อย่าบอกนะว่า กระโดดจากตรงกลางนั่นแล้วส่ายสะโพกไปด้วย? จะบ้าตายจริงๆ
นับเป็นโชคดีที่ ผิดไปจากที่ผมห่วงไว้ จิตวิญญาณการต่อสู้นั้นมาเร็วไปเร็ว ชาวบ้านไม่เกิน 50 คนนั้นน้อยเกินไปที่จะต่อต้านก็อบลินนับร้อยตัวได้
ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ เสียงของมนุษย์ก็ยิ่งถูกกลบฝังด้วยเพลงสดุดีของก็อบลินก่อนหน้า ยิ่งไปกว่านั้นเหลือแต่เสียงฆ้องที่ได้ยินมาจากฝั่งพวกเขา พวกเขาเริ่มเหนื่อยล้ากันแล้ว
━ เครุรุรุรุ!
━ คิรุรุก! เครุ, คิรุรุรุก!
ก็อบลินส่งเสียงเชียร์ด้วยชัยชนะ พวกนั้นตะโกนไปอีกสักพักหนึ่ง แต่ดูไม่เหนื่อยเลย น่าแปลกเหลือเกิน ในสงคราม ผู้คนนั้นจะหลงลืมความเหนื่อยล้าแล้วเต็มไปด้วยแรงขับทางใจเคลื่อนที่หล่อเลี้ยง
พูดได้ว่า เมื่อสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ทั้งความแข็งแกร่งทางร่างกายทั้งหลายจะถูก ความเครียด ความอ่อนล้า เข้าเหยียบย่ำกดขี่บีทาเหนือคุณ และนั่นคือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน ณ ตอนนี้
ทหารอาสานั้นได้ย้ายไปรวมกับพวกปาร์ตี้นักผจญภัยชั่วคราว
กำลังคนของเขายังถือว่าขาดแคลนเมื่อเทียบกับมอนสเตอร์ แม้แต่กำลังใจก็ลดลงเช่นกัน
จงชนะก่อนที่จะชนะ กองทัพนั้นจะต้องได้รับชัยชนะแล้วจึงทำการรบ โดยไม่เสียเลือดแม้สักหยด ผู้ชนะได้รับการตัดสินแล้วว่าเป็นฝ่ายไหน
“่ฝ่าบาท ถึงเวลาแล้ว”
“แน่นอน”
“ท่านช่วยพูดบางอย่างก่อนรบได้ไหม?”
ผมหันตัวกลับมา
กองทัพก็อบลินจำนวนมากต่างเบียดเสียดเข้ามาอยู่ในการมองเห็นของผม ผมสามารถมองเห็นพวกมันทุกตนด้วยการกวาดตาเพียงครั้งเดียวเพราะก็อบลินนั้นตัวเตี้ย ก็อบลินสีเขียวที่เต็มหุบเขาสีเขียวขจี จนดูคล้ายกับฝูงหนอนเขียวที่เต้นขลุกขลัก
ผมฉีกคัมภีร์ที่จะช่วยขยายเสียง มีแผ่นโปร่งใสปรากฏขึ้นตรงหน้าผม ผมสั่งใช้ สกิล <การแสดง> ก่อนตะโกนออกมา
“เหล่านักรบทั้งหลาย!”
ดวงตากว่าร้อยคู่หันมาจ้องผมเป็นตาเดียว ผมหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดสุนทรพจน์ต่อ
“ข้าขอให้พวกเจ้าทั้งหลายดูที่รั้วเหล่านั้น!”
ผมเหยียดแขนชี้ไปที่หมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็เงียบเพื่อฟังผมเช่นกัน
“ไอ้พวกชาวภูเขาพวกนั้นมันเย่อหยิ่ง พวกมันสร้างรั้วด้วยคิดว่า ดินแดนนี้เป็นของมัน หลังจากสร้างหมู่บ้านของพวกมันและก่อขึ้นด้วยไม้ พวกมันก็เริ่มทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของภูเขาแถบนี้
……แล้วเจ้าพวกมนุษย์เหล่านั้นเป็นเจ้าของหุบเขาแถบนี้หรือ?”
━ เครุรุรุก!
━ คิรุก! คุรุรุก!
ก็อบลินได้กระโดดไปรอบๆด้วยท่าทางเหมือนลิงที่กำลังโกรธ เมื่อผมถามคำถามนั้น ความดุร้ายของสัตว์ป่าได้แพร่ขยายไปทั่วพื้นที่ ผมสามารถเข้าใจความรู้สึกจากคำพูดของพวกมันนับตั้งแต่ที่ผมเป็นจอมมาร
“ก็อบลินได้อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนมนุษย์จะมาวางรั้วของพวกมัน
ก็อบลินได้อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนมนุษย์จะมาเริ่มทำฟาร์มของพวกมัน
ก่อนมนุษย์จะกล้ามาเหยียบย่างในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ก็อบลินเคยอยู่ที่นี่มานับร้อยปี!”
━ คิรุรุรุรุร!
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้น ขอถามพวกเจ้าหน่อยในฐานะเผ่าพันธุ์ที่น่าภาคภูมิใจแห่งเขาลูกนี้”
ผมยกแขนขึ้น
“พวกเจ้าน่ะ รักภูเขาศักดิ์สิทธิ์แถบนี้ไหม!?”
━ เครุรุก! คุรุก! เครุรุก!
ก็อบลินตอบพร้อมเพรียงกันเช่นเดียวกับที่กระทืบเท้า
ผมตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
“พวกเจ้าคือ นักรบผู้คุมกฏแห่งภูเขานี้ ใช่หรือไม่?!?”
━ เครุก! เครุก! เครุรุก!
“เจ้าจะลงโทษหมูจองหองที่บุกเข้ามาดินแดนของพวกเราหรือไม่!?”
ก็อบลินตะโกนออกมา
“ถูกต้องแล้ว! ฆ่ามัน!”
ผมกำหมัดแน่น
“จงอย่าอภัยให้หมูระยำพวกนั้นที่มาทำให้อาหารพวกเราแปดเปื้อน! เฉือนเนื้อมัน!ถลกหนังมัน! ตัดไส้มัน! ฟันหัวมัน! พิสูจน์ให้พวกมันเห็นว่า ใครเป็นเจ้าของภูเขาลูกนี้ตัวจริง!
ทำให้มันรู้ว่า มันไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากไอ้หมูกักขฬะ แสดงให้พวกมันเห็นว่า ใครคือผู้ล่า ━และใครคือ เหยื่อ!”
ผมหันหลังให้กับกองกำลังก็อบลินจำนวนมากที่ผมพึ่งพูดจบ
ขณะนั้นเอง ลอร่าฉีกม้วนคัมภีร์เวทย์ ซึ่งพวกเราเตรียมไว้ก่อนแล้ว คัมภีร์ที่ฉีกนั้นเป็น เวทย์เทเลพอร์ทระดับกลางโกเลมจึงปรากฏพร้อมกับแสงสว่างสีขาว แผ่นดินไหวเล็กน้อยเมื่อมันมาถึงพื้น ก็อบลินส่งเสียงเชียร์ตะโกนที่กองหนุนปรากฏขึ้น ในขณะที่มนุษย์กรีดร้องด้วยความหวาดผวา
ผมจึงมอบคำสั่งสุดท้าย
“ทหารทุกนาย! บุกเข้าไป!”
━ คูว้าาาาาาา!
━ คิรุรุรุรุก!
เสียงคำรามระบือลั่นเหนือเสียงเพลงทั้งหมด ได้ก้องสะท้อนไปทั่วทุกพื้นที่ โกเลมเป็นแนวหน้านำทัพ รั้วไม้ถูกทำลายราวกับไม้ขีดไฟทันทีที่โกเลมทั้งหลายเหวี่ยงหมัดตันๆ
“นะ-หนีเร็ว!!”
“พวกเราจะตายหมด ถ้าแนวรบถูกดันกลับมา! พวกเราจะตายหมดถ้าแนวหน้าถูกดันกลับมา━!”
“แม่งเอ้ย! ไม่มีทางที่พวกเราจะต้านพวกมันได้!”
“ไม่! ติดกับรั้วไว้! มันไม่สำคัญว่าเป็นหรือตาย ติดกับรั้วไว้สิวะ ไอ้โง่เอ๊ย!”
เพียงการขยับเคลื่อนเพียงครั้งเดียวก็ทำลายกระบวนทัพของชาวบ้าน โกเลมของผมที่เลเวลเฉลี่ยอยู่ที่เลเวล 7 อาจไม่ใช่สิ่งที่ชาวภูเขาจัดการได้โดยง่าย
หากมีแต่ก็อบลิน พวกเขาคงจะปกป้องรั้วไปได้สักพักด้วยการใช้หอกแทงระหว่างรั้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาไม่เคยคิดถึงการที่จะป้องกันจากโกเลม
เมื่อโกเลมทำลายรั้วได้ง่ายดายเหมือนเอาค้อนทุบ ก็อบลินก็หลั่งไหลเข้าไปตามช่องที่เปิดเหมือนกับน้ำ
มันจบแบบนั้นแหละ ชาวบ้านส่วนหนึ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมา คนที่ยังคงสู้อยู่สุดท้ายแล้วก็เสียความตั้งใจที่จะสู้ต่อ เมื่อเห็นคนอื่นวิ่งหนีไป
ยิ่งกว่านั้น พวกนักวิ่งกับนักธนูต่างชนกันเองทำให้ยิ่งสับสนอลหม่านยิ่งกว่าเดิม ก็อบลินและโกเลมก็ได้บุกทำลายเข้าไปเหมือนกับโรยเกลือลงบนแผลสด
“อย่าฆ่━แอ่ก!”
“โอ้ววว อ๊ากกกกก!”
ผมทำลงไปโดยไร้ความปราณี ผมอนุญาตให้ก็อบลินนั้นปล้นสดมภ์ได้ตามสะดวก สำหรับก็อบลิน การปล้นสดมภ์นั้นหมายถึง การเชือดเนื้อเถือกระดูกมนุษย์ มันจะเข่นฆ่าโดยไม่แบ่งแยกว่า เป็นชายเป็นหญิง เป็นเด็กเป็นคนแก่ ต่างได้รับเสมอกันหมด
ผมเดินผ่านเข้าไปท่ามกลางการฆ่าล้างหมู่ ลอร่าและพาร์ซินั้นยืนเคียงข้างเหมือนเป็นบอดี้การ์ด พาร์ซินั้นดูตกใจและหวาดกลัวมาก แต่ก็ยังดีที่เขายังพอมีความกล้ามากพอที่จะไม่โดนทิ้งไว้ข้างหลัง ผมไม่ค่อยอยากเชื่อเลยจากภาพลักษณ์ภายนอกของเขา ความจริงแล้วเขาอายุ 15 ปี
“คุ้มกันยุ้งฉาง กลุ่ม 1 ไปทางนั้น กลุ่ม4 ไปทางนั้น”
ลอร่าได้ให้คำสั่งระหว่างที่เธอกำลังเดินอยู่ ตั้งแต่ที่ผมมอบอำนาจให้เธอมีสิทธิ์ในการสั่ง โกเลมก็ยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ว่ากันตามตรงแล้ว สีหน้าของลอร่านั้นไม่เปลี่ยนเลยตั้งแต่เริ่มการศึกมา ไม่น่าเชื่อ เธอนั้นอายุ 15 ปีเช่นกัน
‘อย่างที่คิดเลยว่า หนุ่มสาวในยุคกลางนั้นจะมีวุฒิภาวะเร็ว’
ผมแอบสะเทือนใจกับผู้คนแห่งยุคนี้
ความจริงที่ชาวบ้านยังคงพยายามสู้กลับแม้ฝ่ายมอนสเตอร์จะได้เปรียบเป็นอย่างมากในแง่จำนวน ได้สร้างความประหลาดใจให้ผม
ผมชะลอการปรากฏตัวของโกเลมเพราะห่วงว่า การต่อสู้อาจเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่ชาวบ้านวิ่งหนีก็อบลินทันทีที่เห็น
มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยอมแพ้มากกว่าที่ผมคิดไว้ เป็นที่แน่นอนว่า มันก็มีบุคคลที่ทิ้งครอบครัว สหายและทุกๆคนเพียงเพื่อจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ แต่พวกนั้นก็เป็นจำนวนที่น้อยมากๆ
“โอ ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่! ฉันขออ้อนวอนท่าน ไว้ชีวิตเด็กน้อยผู้นี้ด้วย!”
ผู้หญิงที่ทะลุผ่านกำแพงก็อบลินมาและหมอบคลานอยู่หน้าผม เธอทิ้งแขนขวาไว้ที่ไหนสักแห่งในขณะที่แขนซ้ายยังคงอุ้มทารก
ผมหยุดเดิน
“เด็กคนนี้……เด็กคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด! ได้โปรด……!”
“ลอร่า”
ไม่จำเป็นสำหรับผมที่ต้องให้คำอธิบายกับเธอ
ลอร่าดึงดาบยาวออกมาจากสะเอวแล้วแทงไปที่อกข้างหญิงผู้นั้นในทันที คมดาบนั้นทะลวงผ่านอกนิ่มๆ ออกมาทางแผ่นหลัง
ลอร่าดึงดาบออกอย่างลื่นไหล เลือดได้กระจัดกระจายเต็มพื้น เธอล้มตัวลงกับพื้น และยังคงอ้อนวอนขอความเห็นใจแม้กระทั่งวาระสุดท้าย
ผมไม่สนใจศพผู้หญิงและทารกที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ ผมยังคงเดินหน้าต่อไป
พาร์ซิมาทางขวามือผม
“เอ่อ ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องฆ่าคนๆนั้นนี่ครับ?”
“ไม่เลย ไม่จำเป็น”
การมองดูฝูงมนุษย์ที่ถูกฆ่าล้างนั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียใจระดับที่สามารถเรียกได้ว่า เป็นโศกนาฏกรรม
สัญชาติญาณความเป็นแม่ของหญิงผู้นั้นที่ทำให้เธอกล้าผ่านฝูงก็อบลินมาโดยที่ยังเสียแขนทำให้ผมเจ็บปวดใจเหลือเกิน
แต่ถึงอย่างนั้น วางเรื่องความรู้สึกส่วนตัวไว้
นี่คือ การต่อสู้กันระหว่างมอนสเตอร์และมนุษย์ ผมเป็นผู้นำของมอนสเตอร์พวกนี้ ผมไม่ให้ผู้อื่นเห็นว่า ผมมีความเห็นอกเห็นใจแก่พวกมนุษย์
ผมจึงพูดกึ่งการเมืองหยอกกลับไป
“แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องไว้ชีวิตเธอด้วยเช่นกัน”
Comments