องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ 86 การปองร้ายในวัง

Now you are reading องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ Chapter 86 การปองร้ายในวัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อออกมาจากรถม้า หนานกงเย่ก็ไม่เห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้ว เขาจึงถามอาอวี่ อาอวี่บอกว่านางอยู่บริเวณโดยรอย

ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มจิ้งจอกหางสั้นกลับมา หนานกงเย่ก็พบกับนางพอดี

เมื่อเห็นจิ้งจอกหางสั้น สีหน้าของหนานกงเย่ก็นิ่งไป

เขาไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาของเขาฉายแววประหลาดใจ

ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้นที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง นางพยายามไม่มองไปที่หนานกงเย่ และกล่าวว่า:“หม่อมฉันจับมันมาจากข้างหน้าเพคะ มันได้รับบาดเจ็บ เลือดของมันเลอะหม่อมฉันไปหมดทั้งตัว ไม่รู้ว่าใครกันที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ โหดเหี้ยมจนถึงขนาดเกือบจะทำให้มันตาย”

อาอวี่วิ่งมาหน้าตาตื่น:“ท่านอ๋อง เจ้าจิ้งจอกหางสั้นพ่ะย่ะค่ะ ?”

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ:“เจ้ารู้จักด้วยหรือ?”

“ข้าตามหามันมาโดยตลอด” หนานกงเย่เดินไปตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น และกำลังจะดูอาการบาดเจ็บของจิ้งจอกหางสั้น แต่จู่ ๆ จิ้งจอกหางสั้นก็ลืมตาขึ้น มันลุกขึ้นและแยกเขี้ยวใส่หนานกงเย่

ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ:“ไม่เป็นไรแล้วนะ ?”

หนานกงเย่ดึงมือที่กำลังเข้ามาใกล้กลับไป

อาอวี่ดูกังวล:“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ มันรู้จักเจ้าของแล้ว?”

“อืม”

หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในรถม้า จิ้งจอกหางสั้นนอนในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋นอย่างอ่อนแรงและไร้ชีวิตชีวา

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ:“อาอวี่ มันเป็นอะไรไป?”

อาอวี่รู้สึกเศร้าใจมาก:“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ จิ้งจอกหางสั้นเป็นจิ้งจอกที่ฉลาดมาก มันรู้ภาษาและเป็นสัตว์หายาก หากสามารถจับมันได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ นางมองไปที่อาอวี่และไม่พูดอะไร

อาอวี่กล่าวต่อว่า:“เมื่อมันรู้จักเจ้าของแล้ว มันก็จะจำไปจนตาย มันรู้ภาษา ถ้าหากท่านสั่งให้ทำอะไรมันก็จะไปทำให้ท่าน เมื่อครู่ตอนที่ท่านอ๋องเข้าไปใกล้ มันต้องการจะปกป้องพระชายาอย่างไม่กลัวตาย ทั้ง ๆ ที่มันก็มันบาดเจ็บมากขนาดนั้น”

“หรือว่าทานอ๋องมีเจตนาร้ายต่อข้า ?”

ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าสัตว์ล้วนแล้วแต่มีความฉลาด ไม่เพียงแต่รู้ว่าใครดีหรือไม่ดี แต่ยังรู้ว่าเมื่อใดจะเกิดแผ่นดินไหวหรือเมื่อใดจะเกิดน้ำท่วม

เหตุใดเมื่ออาอวี่เข้าใกล้จิ้งจอกหางสั้นถึงไม่โต้ตอบ แต่เมื่อหนานกงเย่เข้าใกล้จิ้งจอกหางสั้นกลับลุกขึ้น

อาอวี่ส่ายหัว:“ข้าก็ไม่แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ เป็นท่านอ๋องที่บอกเรื่องเกี่ยวกับจิ้งจอกหางสั้น ท่านอ๋องตามหาจิ้งจอกหางสั้นมาปีกว่าแล้ว แต่ไม่คิดว่าพระชายาจะเจอมันพ่ะย่ะค่ะ”

อาอวี่เสียดายแทนท่านอ๋อง หลังจากที่ตามหามานาน สุดท้ายก็ถูกพระชายาแย่งไป ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะคิดบัญชีนี้อย่างไร!

“อาอวี่ ยังไม่ไปทำอาหารอีกหรือ?” หนานกงเย่ถามออกมาจากในรถม้า

อาอวี่รีบไปเตรียมอาหารเช้า ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้น และเดินไปที่รถม้าเพื่อหยุ่งเชิงดู หลังจากที่เข้าไปในรถม้า จิ้งจอกหางสั้นก็โต้ตอบในทันที เดิมทีมันกำลังจะตาย แต่จู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นและจ้องมองไปที่หนานกงเย่ มันขนตั้งไปทั้งตัว

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่:“หรือว่าท่านคิดจะฆ่าข้า ?”

ผู้คนมากมายต้องการเลือดของนาง เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นหนานกงเย่ที่ทำ ?

ลองคิดดูแล้วคงจะไม่ใช่ ถ้าหากหนานกงเย่ต้องการจะทำเช่นนั้น เกรงว่าคงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แล้วเหตุใดต้องยุ่งยากขนาดนั้น !

“ข้าตามหามันมาปีกว่าแล้ว และได้เจอมันเพียงแค่สองสามครั้งเท่านั้น มันเป็นสัตว์ ข้าต้องการจะจับมัน เป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่เกลียดข้า”

ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้น:“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พวกท่านเจอมันมานานแล้ว มิน่าล่ะเจ้าถึงได้คิดร้ายกับเขา เจ้าคิดว่าเขาจะทำร้ายเจ้า เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ เขาต้องการที่จะจับเจ้าไปเลี้ยงเพื่อใช้งาน ไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายเจ้า

เขาชื่อหนานกงเย่ เป็นท่านอ๋องเย่แห่งต้าเหลียง เขาอยากได้จิ้งจอกสักตัว ดังนั้นเขาไม่ได้ตามหาเจ้ามาปีกว่า เพื่อที่จะทำร้ายเจ้า

เขาเป็นสามีของข้า ข้ากับเขาเป็นสามีภรรยากัน”

ฉีเฟยอวิ๋นดูเหมือนกำลังพูดคุยกับเด็กคนหนึ่ง หนานกงเย่มองนางด้วยรอยยิ้ม

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่แสนรู้มากแค่ไหน มันก็ไม่ใช่คน แม้แต่คนบางครั้งก็ยังโง่เขลา พูดไปมันก็ไม่เข้าใจหรอก

แต่ดูเหมือนจิ้งจอกหางสั้นจะเข้าใจ มันหันกลับไปมามองฉีเฟยอวิ๋นด้วยแววตาที่น่าสงสาร ฉีเฟยอวิ๋นใจอ่อน:“เขาจะไม่ทำร้ายเจ้า”

จิ้งจอกหางสั้นก้มหัวลงในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋นและหลับตาลง ดูเหมือนมันจะรู้จักเจ้าของแล้ว และเมื่อรู้ว่าสามีของฉีเฟยอวิ๋นคือหนานกงเย่ มันก็เสียใจ

ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้น:“เขาต้องการจับเจ้า เพราะต้องการให้เจ้าเป็นบริวารของเขา แม้ว่าเขาจะพยายามทำทุกวิถีทาง แต่เขาไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเจ้าจริง ๆ นะ แต่ในตอนนี้เจ้าเป็นเช่นนี้ ต้องมีคนทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน แล้วคนเหล่านั้นก็เป็นคนไม่ดี!”

จิ้งจอกหางสั้นส่งเสียงฮือ ๆ อย่างน่าสงสาร ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าจิ้งจอกหางสั้นช่างรู้ภาษาจริง ๆ

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ปล่อยผ่านไปแน่ รอให้เจ้าหายดีก่อน แล้วพาข้าไปหาคนที่ทำร้ายเจ้า ข้าจะระบายความโกรธเคืองแทนเจ้าเอง”

จิ้งจอกหางสั้นลืมตาขึ้นและมองขึ้นไปที่ฉีเฟยอวิ๋น มันกะพริบตาอย่างน่าสงสารและน้ำตาก็ไหลออกมาสองหยด

ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึง จิ้งจอกร้องไห้ได้ด้วยหรือ?

ฉีเฟยอวิ๋นดึงแขนเสื้อของนางมาเช็ดน้ำตาให้กับจิ้งจอกหางสั้น:“เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ จริงสิ……”

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบมีดออกมา และเฉือนที่ข้อมือของนาง จิ้งจอกหางสั้นค่อย ๆ ยืนขึ้น มันจ้องมองไปที่ข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นและดมกลิ่น ราวกับว่ามันได้กลิ่นอะไรบางอย่าง

ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน:“ดูเหมือนว่าเจ้าจะแสนรู้มากจริง ๆ เจ้ากินสิ สิ่งนี้จะทำให้ร่างกายของเจ้าดีขึ้นอย่างรวดเร็ว”

จิ้งจอกหางสั้นหมอบตัวลงและปฏิเสธ ฉีเฟยอวิ๋นก็ยิ่งรู้สึกสงสารมากขึ้น นางจึงหยิบจานขนมในรถม้าออกมา แล้วเทขนมออก จากนั้นก็หยดเลือดลงไป

“ถ้าหากเจ้าไม่กินแล้วโยนทิ้งไปคงน่าเสียดายแย่ ในเมื่อเจ้ารู้ว่านี่เป็นของดี เจ้ากินแล้วก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถที่จะปกป้องข้าได้ ในตอนนี้มีคนมากมายที่ต้องการจะทำร้ายข้า เพื่อเอาเลือดของข้า”

จิ้งจอกหางสั้นลืมตาและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ราวกับว่ามันเป็นห่วงนาง

ฉีเฟยอวิ๋นวางจิ้งจอกหางสั้นลง มันเลียเลือดและรู้สึกว่ามันแข็งแรงขึ้น

หลังจากที่มันกินเสร็จแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็พันข้อมือของนาง จากนั้นก็อุ้มจิ้งจอกหางสั้นขึ้นมาและลูบมันด้วยความสงสาร

“ช่างน่าสงสารจริง ๆ !ข้าจะทำให้คนที่ทำร้ายเจ้าต้องชดใช้”

จิ้งจอกหางสั้นดูมีชีวิตชีวาขึ้น และคลอเคลียมือของฉีเฟยอวิ๋น

“นางเป็นสตรีของข้า เจ้าสำรวมหน่อยจะดีกว่า”

หนานกงเย่ไม่พอใจ จิ้งจอกหางสั้นกระดิกหูและไม่สนใจ

หนานกงเย่ลุกขึ้นนั่งและจ้องมองไปที่มัน

ฉีเฟยอวิ๋นปกป้องจิ้งจอกหางสั้นในทันทีและอธิบายว่า:“มันได้รับบาดเจ็บ จึงอารมณ์ไม่ดี หม่อมฉันจะพูดกับมันเองเพคะ”

หนานกงเย่พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า:“เช่นนั้นก็พูดเลยสิ จะให้ข้าโยนมันออกไป หรือจะให้มันสงบเสงี่ยม แล้วยอมให้ข้าเป็นเจ้านายมัน”

จิ้งจอกหางสั้นกระดิกหูและยังคงไม่สนใจ

ฉีเฟยอวิ๋นห็นว่าจิ้งจอกหางสั้นหยิ่งผยองและไม่ชอบหนานกงเย่

“ต่อไปเจ้าจะต้องเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นเขาจะโกรธ และข้าคงจะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้”

ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้น และจิ้งจอกหางสั้นก็ส่งเสียงฮือ ๆ ออกมา

ถือว่าตกลงแล้วนะ

ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก และอาอวี่ก็เตรียมอาหารขึ้นมาให้บนรถม้า

ทั้งสองทานอาหาร แล้วจากนั้นก็กลับไปที่จวนอ๋องเย่

หลังจากพักผ่อนมาทั้งวัน ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปในวังกับหนานกงเย่

ทั้งสองแยกกันไป หนานกงเย่ไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิอวี้ตี้ที่พระที่นั่งบำรุงฤทัย และฉีเฟยอวิ๋นก็ไปเข้าเฝ้าพระพันปีที่ตำหนักเฉาเฟิ่ง

พระพันปีทรงดีพระทัยมากที่ได้พบฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นจึงใช้โอกาสนี้ในการถวายสีผึ้งกุหลาบ

ไม่เพียงเท่านั้น ฉีเฟยอวิ๋นยังได้สาธิตวิธีการใช้สีผึ้งกุหลาบด้วยตัวเองด้วย

“เสด็จแม่เพคะ พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นความแตกต่างบนใบหน้าของหม่อมฉันหรือไม่เพคะ ?” หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นทำความสะอาดใบหน้าแล้ว นางก็ใช้สีผึ้งกุหลาบทาลงบนใบหน้าซีกหนึ่งของนาง และหลังจากนั้นก็ให้พระพันปีทรงทอดพระเนตร

พระพันปีอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ:“มีบางอย่างที่แตกต่างกัน ใบหน้าซีกหนึ่งที่ทาสีผึ้งกุหลาบเปล่งปลั่งและเกลี้ยงเกลา ในขณะที่อีกหนึ่งดูแย่กว่า”

“สิ่งที่เสด็จแม่ทรงตรัสนั้นถูกต้องอย่างยิ่งเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยความเคารพ

พระพันปีทรงจับกล่องเล็ก ๆ ที่ฉีเฟยอวิ๋นส่งมาให้อย่างเคลิบเคลิ้ม:“ของสิ่งนี้ได้ผลดีจริง ๆ หรือ?”

“เสด็จแม่เพคะ ผิวหนังของคนเรามีผลัดเปลี่ยนทุกยี่สิบแปดวัน แม้ว่าสีผึ้งกุหลาบจะมีสรรพคุณในการให้ความชุ่มชื้น แต่ถ้าหากใช้ตามการผลัดเปลี่ยนผิวหนัง หลังจากยี่สิบแปดวันผิวพรรณของเสด็จแม่ก็จะเกลี้ยงเกลาและนุ่มนวลมากขึ้นเพคะ แม้ว่าจะไม่เหมือนตอนทรงอายุสิบเจ็ดสิบแปด แต่เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว ย่อมมีความแตกต่างมากเพคะ”

พระพันปีพยักหน้า:“อืม……อวิ๋นเอ๋อร์ช่างเอาใจใส่เสียจริง แม้ว่าจะมีคนที่อยู่รอบกายมากมายทำให้ข้ามีความสุข แต่พวกเขาเทียบไม่ได้เลยกับอวิ๋นเอ๋อร์ อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าใช้แล้วหรือไม่?”

“ทูลเสด็จแม่เพคะ ส่วนผสมต่าง ๆ ในสีผึ้งกุหลาบไม่ได้หาได้ในชั่วข้ามคืนและยุ่งยากไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการหลอม หม่อมฉันต้องใช้เวลาสองสามชั่วยาม และก็เคยล้มเหลวในกระบวนนั้นเช่นกัน สรรพคุณที่ดีถูกกลั่นจนหายไปและไม่สามารถใช้งานได้อีก จึงต้องทิ้งไป

ดังนั้นในตอนนี้จึงมีเพียงแค่ขวดเดียวเพคะ

ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องให้หม่อมฉันยืมสมุนไพรในโรงเก็บยาสมุนไพรของจวนอ๋องเย่ หม่อมฉันก็คงไม่สามารถหาสมุนไพรมาทำสีผึ้งกุหลาบได้เพคะ

และนี่ก็เป็นสมุนไพรอันล้ำค่าทั้งหมดที่ได้จากโรงเก็บยาสมุนไพรของจวนอ๋องเย่ และถูกกลั่นออกมาจนเป็นสีผึ้งกุหลาบเพคะ

และแน่นอนว่าหม่อมฉันไม่กล้าที่จะใช้มัน”

“อ้อ!”

พระพันปีอดไม่ได้ที่จะระแวงว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังคิดไม่ดี การเล่นกับสุนัขจิ้งจอกนั้นไม่สนุก และการเล่นกับจิ้งจอกเฒ่านั้นก็ยิ่งไม่สนุก

ฉีเฟยอวิ๋นใจเต้นแรง และกล่าวว่า:“หม่อมฉันก็เคยคิดที่จะใช้สีผึ้งกุหลาบเพคะ เพียงแต่คิดว่าสีผึ้งกุหลาบนี้ล้ำค่ามาก ถ้าหากเสด็จแม่ยังทรงไม่ได้ใช้ แล้วหม่อมฉันใช้มัน เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะอกตัญญูเพคะ

นึกถึงตอนที่หม่อมฉันยังเป็นเด็ก และเพิ่งแต่งเข้ามาในจวนอ๋องเย่ เดิมทีท่านอ๋องเย่ทรงไม่ชอบให้หม่อมฉันผัดหน้า แต่หม่อมฉันแอบทำ เมื่อท่านอ๋องเย่ทรงเห็นก็ตรัสว่าหม่อมฉันแก้มแดงเหมือนลิง หม่อมฉันเกรงกลัวท่านอ๋องเพคะ

เช่นนี้แล้วเพื่อที่จะไม่ให้พระองค์ทรงกริ้ว หม่อมฉันจึงไม่ผัดหน้าเพคะ คงต้องรอให้พระองค์ทรงชอบและตรัสกับหม่อมฉันว่าหม่อมฉันผัดหน้าแล้วงดงามเสียก่อน หม่อมฉันจึงจะกล้าใช้เพคะ

ถึงตอนนั้นหม่อมฉันจะต้องทำให้ท่านอ๋องเย่ทรงมองด้วยความชื่นชมเพคะ !”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ห้าวหาญ และไห่กงกงที่อยู่ข้าง ๆ ก็หัวเราะเยาะออกมา ที่แท้พระยาเย่ก็เป็นคนที่จัดการได้ดี

คำพูดเพียงสองสามประโยคก็ทำให้คนเชื่อถือได้แล้ว

พระพันปีทรงหันไปมอง และตรัสอย่างไม่พอพระทัยว่า:“พระชายาเย่ยังอายุน้อย เจ้าก็อายุน้อยด้วยหรือ?”

“บ่าวมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!”

ไห่กงกงรีบกล่าว พระพันปีหันกลับไปตบมือของฉีเฟยอวิ๋นเบา ๆ นางเชื่อคำพูดของฉีเฟยอวิ๋น

ถึงอย่างไรก็ยังเด็ก น่าเสียดายที่บุตรชายของนางเย่อหยิ่ง ทำให้นางต้องกลัดกลุ้ม

“ข้าชราแล้ว เทียบไม่ได้กับพวกเจ้าที่ยังหนุ่มสาว ทำได้เพียงคิดหาลู่ทาง บรรดาหมอหลวงช่างไร้ประโยชน์เสียจริง แต่อวิ๋นเอ่อร์กลับใส่ใจข้ายิ่งนัก” พระพันปีทรงไม่ได้ตรัสเรื่องที่จะทำสีผึ้งกุหลาบให้ผู้อื่นใช้ และนางก็ไม่อยากให้ผู้อื่นใช้เช่นกัน

ของที่หาได้ยากเช่นนี้ มีเพียงแค่พระองค์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ 86 การปองร้ายในวัง

Now you are reading องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ Chapter 86 การปองร้ายในวัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อออกมาจากรถม้า หนานกงเย่ก็ไม่เห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้ว เขาจึงถามอาอวี่ อาอวี่บอกว่านางอยู่บริเวณโดยรอย

ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มจิ้งจอกหางสั้นกลับมา หนานกงเย่ก็พบกับนางพอดี

เมื่อเห็นจิ้งจอกหางสั้น สีหน้าของหนานกงเย่ก็นิ่งไป

เขาไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาของเขาฉายแววประหลาดใจ

ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้นที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง นางพยายามไม่มองไปที่หนานกงเย่ และกล่าวว่า:“หม่อมฉันจับมันมาจากข้างหน้าเพคะ มันได้รับบาดเจ็บ เลือดของมันเลอะหม่อมฉันไปหมดทั้งตัว ไม่รู้ว่าใครกันที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ โหดเหี้ยมจนถึงขนาดเกือบจะทำให้มันตาย”

อาอวี่วิ่งมาหน้าตาตื่น:“ท่านอ๋อง เจ้าจิ้งจอกหางสั้นพ่ะย่ะค่ะ ?”

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ:“เจ้ารู้จักด้วยหรือ?”

“ข้าตามหามันมาโดยตลอด” หนานกงเย่เดินไปตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น และกำลังจะดูอาการบาดเจ็บของจิ้งจอกหางสั้น แต่จู่ ๆ จิ้งจอกหางสั้นก็ลืมตาขึ้น มันลุกขึ้นและแยกเขี้ยวใส่หนานกงเย่

ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ:“ไม่เป็นไรแล้วนะ ?”

หนานกงเย่ดึงมือที่กำลังเข้ามาใกล้กลับไป

อาอวี่ดูกังวล:“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ มันรู้จักเจ้าของแล้ว?”

“อืม”

หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในรถม้า จิ้งจอกหางสั้นนอนในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋นอย่างอ่อนแรงและไร้ชีวิตชีวา

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ:“อาอวี่ มันเป็นอะไรไป?”

อาอวี่รู้สึกเศร้าใจมาก:“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ จิ้งจอกหางสั้นเป็นจิ้งจอกที่ฉลาดมาก มันรู้ภาษาและเป็นสัตว์หายาก หากสามารถจับมันได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ นางมองไปที่อาอวี่และไม่พูดอะไร

อาอวี่กล่าวต่อว่า:“เมื่อมันรู้จักเจ้าของแล้ว มันก็จะจำไปจนตาย มันรู้ภาษา ถ้าหากท่านสั่งให้ทำอะไรมันก็จะไปทำให้ท่าน เมื่อครู่ตอนที่ท่านอ๋องเข้าไปใกล้ มันต้องการจะปกป้องพระชายาอย่างไม่กลัวตาย ทั้ง ๆ ที่มันก็มันบาดเจ็บมากขนาดนั้น”

“หรือว่าทานอ๋องมีเจตนาร้ายต่อข้า ?”

ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าสัตว์ล้วนแล้วแต่มีความฉลาด ไม่เพียงแต่รู้ว่าใครดีหรือไม่ดี แต่ยังรู้ว่าเมื่อใดจะเกิดแผ่นดินไหวหรือเมื่อใดจะเกิดน้ำท่วม

เหตุใดเมื่ออาอวี่เข้าใกล้จิ้งจอกหางสั้นถึงไม่โต้ตอบ แต่เมื่อหนานกงเย่เข้าใกล้จิ้งจอกหางสั้นกลับลุกขึ้น

อาอวี่ส่ายหัว:“ข้าก็ไม่แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ เป็นท่านอ๋องที่บอกเรื่องเกี่ยวกับจิ้งจอกหางสั้น ท่านอ๋องตามหาจิ้งจอกหางสั้นมาปีกว่าแล้ว แต่ไม่คิดว่าพระชายาจะเจอมันพ่ะย่ะค่ะ”

อาอวี่เสียดายแทนท่านอ๋อง หลังจากที่ตามหามานาน สุดท้ายก็ถูกพระชายาแย่งไป ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะคิดบัญชีนี้อย่างไร!

“อาอวี่ ยังไม่ไปทำอาหารอีกหรือ?” หนานกงเย่ถามออกมาจากในรถม้า

อาอวี่รีบไปเตรียมอาหารเช้า ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้น และเดินไปที่รถม้าเพื่อหยุ่งเชิงดู หลังจากที่เข้าไปในรถม้า จิ้งจอกหางสั้นก็โต้ตอบในทันที เดิมทีมันกำลังจะตาย แต่จู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นและจ้องมองไปที่หนานกงเย่ มันขนตั้งไปทั้งตัว

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่:“หรือว่าท่านคิดจะฆ่าข้า ?”

ผู้คนมากมายต้องการเลือดของนาง เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นหนานกงเย่ที่ทำ ?

ลองคิดดูแล้วคงจะไม่ใช่ ถ้าหากหนานกงเย่ต้องการจะทำเช่นนั้น เกรงว่าคงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แล้วเหตุใดต้องยุ่งยากขนาดนั้น !

“ข้าตามหามันมาปีกว่าแล้ว และได้เจอมันเพียงแค่สองสามครั้งเท่านั้น มันเป็นสัตว์ ข้าต้องการจะจับมัน เป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่เกลียดข้า”

ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้น:“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พวกท่านเจอมันมานานแล้ว มิน่าล่ะเจ้าถึงได้คิดร้ายกับเขา เจ้าคิดว่าเขาจะทำร้ายเจ้า เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ เขาต้องการที่จะจับเจ้าไปเลี้ยงเพื่อใช้งาน ไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายเจ้า

เขาชื่อหนานกงเย่ เป็นท่านอ๋องเย่แห่งต้าเหลียง เขาอยากได้จิ้งจอกสักตัว ดังนั้นเขาไม่ได้ตามหาเจ้ามาปีกว่า เพื่อที่จะทำร้ายเจ้า

เขาเป็นสามีของข้า ข้ากับเขาเป็นสามีภรรยากัน”

ฉีเฟยอวิ๋นดูเหมือนกำลังพูดคุยกับเด็กคนหนึ่ง หนานกงเย่มองนางด้วยรอยยิ้ม

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่แสนรู้มากแค่ไหน มันก็ไม่ใช่คน แม้แต่คนบางครั้งก็ยังโง่เขลา พูดไปมันก็ไม่เข้าใจหรอก

แต่ดูเหมือนจิ้งจอกหางสั้นจะเข้าใจ มันหันกลับไปมามองฉีเฟยอวิ๋นด้วยแววตาที่น่าสงสาร ฉีเฟยอวิ๋นใจอ่อน:“เขาจะไม่ทำร้ายเจ้า”

จิ้งจอกหางสั้นก้มหัวลงในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋นและหลับตาลง ดูเหมือนมันจะรู้จักเจ้าของแล้ว และเมื่อรู้ว่าสามีของฉีเฟยอวิ๋นคือหนานกงเย่ มันก็เสียใจ

ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้น:“เขาต้องการจับเจ้า เพราะต้องการให้เจ้าเป็นบริวารของเขา แม้ว่าเขาจะพยายามทำทุกวิถีทาง แต่เขาไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเจ้าจริง ๆ นะ แต่ในตอนนี้เจ้าเป็นเช่นนี้ ต้องมีคนทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน แล้วคนเหล่านั้นก็เป็นคนไม่ดี!”

จิ้งจอกหางสั้นส่งเสียงฮือ ๆ อย่างน่าสงสาร ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าจิ้งจอกหางสั้นช่างรู้ภาษาจริง ๆ

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ปล่อยผ่านไปแน่ รอให้เจ้าหายดีก่อน แล้วพาข้าไปหาคนที่ทำร้ายเจ้า ข้าจะระบายความโกรธเคืองแทนเจ้าเอง”

จิ้งจอกหางสั้นลืมตาขึ้นและมองขึ้นไปที่ฉีเฟยอวิ๋น มันกะพริบตาอย่างน่าสงสารและน้ำตาก็ไหลออกมาสองหยด

ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึง จิ้งจอกร้องไห้ได้ด้วยหรือ?

ฉีเฟยอวิ๋นดึงแขนเสื้อของนางมาเช็ดน้ำตาให้กับจิ้งจอกหางสั้น:“เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ จริงสิ……”

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบมีดออกมา และเฉือนที่ข้อมือของนาง จิ้งจอกหางสั้นค่อย ๆ ยืนขึ้น มันจ้องมองไปที่ข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นและดมกลิ่น ราวกับว่ามันได้กลิ่นอะไรบางอย่าง

ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน:“ดูเหมือนว่าเจ้าจะแสนรู้มากจริง ๆ เจ้ากินสิ สิ่งนี้จะทำให้ร่างกายของเจ้าดีขึ้นอย่างรวดเร็ว”

จิ้งจอกหางสั้นหมอบตัวลงและปฏิเสธ ฉีเฟยอวิ๋นก็ยิ่งรู้สึกสงสารมากขึ้น นางจึงหยิบจานขนมในรถม้าออกมา แล้วเทขนมออก จากนั้นก็หยดเลือดลงไป

“ถ้าหากเจ้าไม่กินแล้วโยนทิ้งไปคงน่าเสียดายแย่ ในเมื่อเจ้ารู้ว่านี่เป็นของดี เจ้ากินแล้วก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถที่จะปกป้องข้าได้ ในตอนนี้มีคนมากมายที่ต้องการจะทำร้ายข้า เพื่อเอาเลือดของข้า”

จิ้งจอกหางสั้นลืมตาและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ราวกับว่ามันเป็นห่วงนาง

ฉีเฟยอวิ๋นวางจิ้งจอกหางสั้นลง มันเลียเลือดและรู้สึกว่ามันแข็งแรงขึ้น

หลังจากที่มันกินเสร็จแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็พันข้อมือของนาง จากนั้นก็อุ้มจิ้งจอกหางสั้นขึ้นมาและลูบมันด้วยความสงสาร

“ช่างน่าสงสารจริง ๆ !ข้าจะทำให้คนที่ทำร้ายเจ้าต้องชดใช้”

จิ้งจอกหางสั้นดูมีชีวิตชีวาขึ้น และคลอเคลียมือของฉีเฟยอวิ๋น

“นางเป็นสตรีของข้า เจ้าสำรวมหน่อยจะดีกว่า”

หนานกงเย่ไม่พอใจ จิ้งจอกหางสั้นกระดิกหูและไม่สนใจ

หนานกงเย่ลุกขึ้นนั่งและจ้องมองไปที่มัน

ฉีเฟยอวิ๋นปกป้องจิ้งจอกหางสั้นในทันทีและอธิบายว่า:“มันได้รับบาดเจ็บ จึงอารมณ์ไม่ดี หม่อมฉันจะพูดกับมันเองเพคะ”

หนานกงเย่พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า:“เช่นนั้นก็พูดเลยสิ จะให้ข้าโยนมันออกไป หรือจะให้มันสงบเสงี่ยม แล้วยอมให้ข้าเป็นเจ้านายมัน”

จิ้งจอกหางสั้นกระดิกหูและยังคงไม่สนใจ

ฉีเฟยอวิ๋นห็นว่าจิ้งจอกหางสั้นหยิ่งผยองและไม่ชอบหนานกงเย่

“ต่อไปเจ้าจะต้องเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นเขาจะโกรธ และข้าคงจะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้”

ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้น และจิ้งจอกหางสั้นก็ส่งเสียงฮือ ๆ ออกมา

ถือว่าตกลงแล้วนะ

ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก และอาอวี่ก็เตรียมอาหารขึ้นมาให้บนรถม้า

ทั้งสองทานอาหาร แล้วจากนั้นก็กลับไปที่จวนอ๋องเย่

หลังจากพักผ่อนมาทั้งวัน ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปในวังกับหนานกงเย่

ทั้งสองแยกกันไป หนานกงเย่ไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิอวี้ตี้ที่พระที่นั่งบำรุงฤทัย และฉีเฟยอวิ๋นก็ไปเข้าเฝ้าพระพันปีที่ตำหนักเฉาเฟิ่ง

พระพันปีทรงดีพระทัยมากที่ได้พบฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นจึงใช้โอกาสนี้ในการถวายสีผึ้งกุหลาบ

ไม่เพียงเท่านั้น ฉีเฟยอวิ๋นยังได้สาธิตวิธีการใช้สีผึ้งกุหลาบด้วยตัวเองด้วย

“เสด็จแม่เพคะ พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นความแตกต่างบนใบหน้าของหม่อมฉันหรือไม่เพคะ ?” หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นทำความสะอาดใบหน้าแล้ว นางก็ใช้สีผึ้งกุหลาบทาลงบนใบหน้าซีกหนึ่งของนาง และหลังจากนั้นก็ให้พระพันปีทรงทอดพระเนตร

พระพันปีอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ:“มีบางอย่างที่แตกต่างกัน ใบหน้าซีกหนึ่งที่ทาสีผึ้งกุหลาบเปล่งปลั่งและเกลี้ยงเกลา ในขณะที่อีกหนึ่งดูแย่กว่า”

“สิ่งที่เสด็จแม่ทรงตรัสนั้นถูกต้องอย่างยิ่งเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยความเคารพ

พระพันปีทรงจับกล่องเล็ก ๆ ที่ฉีเฟยอวิ๋นส่งมาให้อย่างเคลิบเคลิ้ม:“ของสิ่งนี้ได้ผลดีจริง ๆ หรือ?”

“เสด็จแม่เพคะ ผิวหนังของคนเรามีผลัดเปลี่ยนทุกยี่สิบแปดวัน แม้ว่าสีผึ้งกุหลาบจะมีสรรพคุณในการให้ความชุ่มชื้น แต่ถ้าหากใช้ตามการผลัดเปลี่ยนผิวหนัง หลังจากยี่สิบแปดวันผิวพรรณของเสด็จแม่ก็จะเกลี้ยงเกลาและนุ่มนวลมากขึ้นเพคะ แม้ว่าจะไม่เหมือนตอนทรงอายุสิบเจ็ดสิบแปด แต่เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว ย่อมมีความแตกต่างมากเพคะ”

พระพันปีพยักหน้า:“อืม……อวิ๋นเอ๋อร์ช่างเอาใจใส่เสียจริง แม้ว่าจะมีคนที่อยู่รอบกายมากมายทำให้ข้ามีความสุข แต่พวกเขาเทียบไม่ได้เลยกับอวิ๋นเอ๋อร์ อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าใช้แล้วหรือไม่?”

“ทูลเสด็จแม่เพคะ ส่วนผสมต่าง ๆ ในสีผึ้งกุหลาบไม่ได้หาได้ในชั่วข้ามคืนและยุ่งยากไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการหลอม หม่อมฉันต้องใช้เวลาสองสามชั่วยาม และก็เคยล้มเหลวในกระบวนนั้นเช่นกัน สรรพคุณที่ดีถูกกลั่นจนหายไปและไม่สามารถใช้งานได้อีก จึงต้องทิ้งไป

ดังนั้นในตอนนี้จึงมีเพียงแค่ขวดเดียวเพคะ

ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องให้หม่อมฉันยืมสมุนไพรในโรงเก็บยาสมุนไพรของจวนอ๋องเย่ หม่อมฉันก็คงไม่สามารถหาสมุนไพรมาทำสีผึ้งกุหลาบได้เพคะ

และนี่ก็เป็นสมุนไพรอันล้ำค่าทั้งหมดที่ได้จากโรงเก็บยาสมุนไพรของจวนอ๋องเย่ และถูกกลั่นออกมาจนเป็นสีผึ้งกุหลาบเพคะ

และแน่นอนว่าหม่อมฉันไม่กล้าที่จะใช้มัน”

“อ้อ!”

พระพันปีอดไม่ได้ที่จะระแวงว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังคิดไม่ดี การเล่นกับสุนัขจิ้งจอกนั้นไม่สนุก และการเล่นกับจิ้งจอกเฒ่านั้นก็ยิ่งไม่สนุก

ฉีเฟยอวิ๋นใจเต้นแรง และกล่าวว่า:“หม่อมฉันก็เคยคิดที่จะใช้สีผึ้งกุหลาบเพคะ เพียงแต่คิดว่าสีผึ้งกุหลาบนี้ล้ำค่ามาก ถ้าหากเสด็จแม่ยังทรงไม่ได้ใช้ แล้วหม่อมฉันใช้มัน เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะอกตัญญูเพคะ

นึกถึงตอนที่หม่อมฉันยังเป็นเด็ก และเพิ่งแต่งเข้ามาในจวนอ๋องเย่ เดิมทีท่านอ๋องเย่ทรงไม่ชอบให้หม่อมฉันผัดหน้า แต่หม่อมฉันแอบทำ เมื่อท่านอ๋องเย่ทรงเห็นก็ตรัสว่าหม่อมฉันแก้มแดงเหมือนลิง หม่อมฉันเกรงกลัวท่านอ๋องเพคะ

เช่นนี้แล้วเพื่อที่จะไม่ให้พระองค์ทรงกริ้ว หม่อมฉันจึงไม่ผัดหน้าเพคะ คงต้องรอให้พระองค์ทรงชอบและตรัสกับหม่อมฉันว่าหม่อมฉันผัดหน้าแล้วงดงามเสียก่อน หม่อมฉันจึงจะกล้าใช้เพคะ

ถึงตอนนั้นหม่อมฉันจะต้องทำให้ท่านอ๋องเย่ทรงมองด้วยความชื่นชมเพคะ !”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ห้าวหาญ และไห่กงกงที่อยู่ข้าง ๆ ก็หัวเราะเยาะออกมา ที่แท้พระยาเย่ก็เป็นคนที่จัดการได้ดี

คำพูดเพียงสองสามประโยคก็ทำให้คนเชื่อถือได้แล้ว

พระพันปีทรงหันไปมอง และตรัสอย่างไม่พอพระทัยว่า:“พระชายาเย่ยังอายุน้อย เจ้าก็อายุน้อยด้วยหรือ?”

“บ่าวมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!”

ไห่กงกงรีบกล่าว พระพันปีหันกลับไปตบมือของฉีเฟยอวิ๋นเบา ๆ นางเชื่อคำพูดของฉีเฟยอวิ๋น

ถึงอย่างไรก็ยังเด็ก น่าเสียดายที่บุตรชายของนางเย่อหยิ่ง ทำให้นางต้องกลัดกลุ้ม

“ข้าชราแล้ว เทียบไม่ได้กับพวกเจ้าที่ยังหนุ่มสาว ทำได้เพียงคิดหาลู่ทาง บรรดาหมอหลวงช่างไร้ประโยชน์เสียจริง แต่อวิ๋นเอ่อร์กลับใส่ใจข้ายิ่งนัก” พระพันปีทรงไม่ได้ตรัสเรื่องที่จะทำสีผึ้งกุหลาบให้ผู้อื่นใช้ และนางก็ไม่อยากให้ผู้อื่นใช้เช่นกัน

ของที่หาได้ยากเช่นนี้ มีเพียงแค่พระองค์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+