Dungeon Defense (WN) 117 15 นาที ที่ยาวนานที่สุด(2)
* * *
ที่ราบกลับเงียบสงัด
มิใช่แต่เพียงกองกำลังฝ่ายมนุษย์ แม้แต่ปีศาจจากกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราก็แทบจะหยุดหายใจ
จอมมารทั้ง 5 ที่ได้รับฟังคำพูดโดยตรงจากด้านหลังดันทาเลี่ยน ―ลำดับ 2 อกาเรส,ลำดับ 4 กามิกิน ,ลำดับ 5 มาร์บาส,ลำดับ 8 บาร์บาทอส และ ลำดับ 9 ไพมอน ต่างอยู่อย่างเงียบๆ
“ว้าว เขานี่ช่างเป็นนักพูดที่เก่งจริงๆ”
กามิกินพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายทำลายบรรยากาศตึงเครียด
“ไม่ใช่ว่าเตรียมตัววมาสองวันหรอกรึ? น่าประทับใจดี”
“เอาล่ะ ถือว่าเขาเอาตัวรอดได้ด้วยลิ้นโดยแท้”
บาร์บาทอสบ่นออกมาก
“……แต่ข้าไม่คิดว่า เขาจะพูดได้ดีขนาดนั้น มันต้องยากแน่ๆที่ต้องจำบทสุนทรพจน์ทั้งหมดนั่น”
“บทพูดนั่นดูเหมือนจะเป็นการด้นสดอย่างน่าประหลาด มันมีความเป็นไปได้ที่บุคคลนั้นจะเป็นที่รักของเทพีโพลี่ฮิมเนีย(Polyhymnia)”
“ตาแก่มาร์บาส ข้าเดิมพันทุกอย่างกับท่านเลย ข้าว่ามันไม่ใช่การด้นสด หากเป็นการด้นสดจริงล่ะก็พวกนักพูดทั้งหลายได้กัดลิ้นฆ่าตัวตายแน่”
เหล่าจอมมารกระซิบกระซาบกันเอง ส่วนใหญ่ต่างสรุปว่าการพูดของดันทาเลี่ยนนั้นวิเศษ และทำให้กองทัพของเหล่ามนุษย์นั้นต้องตกอยู่ในความวุ่นวาย
ในกองกำลังจอมมารนั้น นายพลและทหารโดยมากต่างสู้ด้วยร่างกายและจิตใจเดียวกัน กองทัพมนุษย์นั้นมักมาจากกองกำลังป้องกันภูเขาดำและกองกำลังที่ส่งมาโดยมาร์คกราฟ เขาเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากความขัดแย้งภายใน
ยิ่งไปกว่านั้นแนวคิดที่มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นในกองทัพเดียวกันเองนั้น เป็นแนวคิดที่ยิ่งไกลห่างไปจากกองทัพจอมมาร
นั่นคือ เหตุผลที่ว่าทำไมจอมมารส่วนมากจึงไม่คุ้นเคยกับกลอุบายและแผนการ พวกเขานั้นนำกำลังที่เป็นหนึ่งเข้าร่วมสู้กับศัตรูที่เป็นหนึ่ง
พวกเขานั้นคุ้นเคยกับการเล่นกลยุทธกับศัตรูในสนามรบมากกว่า แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำให้ศัตรูแตกแยกกันเอา เพื่อเอาชนะคะคานกันทางการเมือง พวกเขาไม่ประสีประสานัก
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบุคคลหนึ่ง
“ทุกท่าน…….”
มันยังมีจอมมารตนหนึ่งที่เฝ้าสนใจในมนุษย์และเชื่อว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการร่วมมือกับพวกมนุษย์เพื่อให้เผ่าปีศาจดำรงอยู่ต่อไปได้
ไพมอนพยายามเต็มที่เพื่อที่ระงับความปรารถนาเพื่อไม่ให้มันเล็ดลอดออกมาทางคำพูด
“ทุกท่าน ได้ตระหนักถึงความหมายเบื้องหลังสุนทรพจน์นี้หรือเปล่า?”
“หืมม?”
กามิกินส่ายหัว
“ความหมายรึ? ก็เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมดีนี่”
“มันเป็นยิ่งกว่านั้นอีก! มันคือ การปฏิวัติ!”
ใบหน้าของไพมอนกลับแดงขึ้น
“สังคมมนุษย์นั้นเหมือนกันกับสังคมปีศาจ แต่มันก็ยังมีความต่าง ลำดับศักดิ์ชนชั้นมีอยู่ในสังคมปีศาจด้วยเช่นกัน แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยความสามารถ!
แม้จะเกิดมาเป็นก็อบลิน แต่ก็มีโอกาสที่จะผลักดันตัวเองไปยังจุดสูงสุดได้ด้วยการพัฒนาตัวเองในฐานะนักเวทย์!”
ทอร์เค่ล หนึ่งในบุคคลที่เป็นทั้งก็อบลินและผู้บริบริหารคนหนึ่งในบริษัทเคียนคุสก้า เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นนี้ เขาสามารถขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงๆด้วยทักษะและความสามารถถึงแม้ว่าจะเป็นก็อบลินก็ตามที
“แต่ไม่ใช่ในกรณีของมนุษย์…….ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขานั้นถูกตัดสินโดยชัดเจนมาตั้งแต่กำเนิด!
แม้บุคคลที่มีพรสวรรค์พอจะเป็นอัศวิน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นได้แค่อัศวินระดับล่าง
พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามสายเลือดของพวกเขาได้ ดันทาเลี่ยนได้ชี้ให้เห็นถึงเนื้อแท้อันย้อนแย้งในสังคมมนุษย์! ……อาาา!”
ไพมอนขมวดคิ้วขึ้นเมื่อตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เธอคอตกและเริ่มพึมพัมกับตัวเอ
“นี่น่ะหรือ……? เหตุผลนี้น่ะหรือ!? ที่เป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงแพร่กาฬโรคออกไป
……. นี่จะสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงเป็นผู้เดียวที่กระจายสมุนไพรดำให้กับชนชั้นสูงของสังคมมนุษย์
ทำไมเขาถึงยึดแบรนเดนเบิร์กมาเป็นดินแดนของตนแล้วกำจัดพวกมอนสเตอร์
…….ทั้งหมดเพื่อชั่วขณะนี้นี่เอง!?”
ร่างกายทั้งร่างของเธอนั่นเย็นวาบ เมื่อเธอตระหนักได้ว่า ดันทาเลี่ยนนั้นเป็นตัวตนที่อันตราย เธอเคยใช้เส้นสายส่วนตัวและความร่ำรวยในการหาข้อมูลของดันทาเลี่ยน
เธอจึงรู้ข้อมูลของดันทาเลี่ยนว่าได้ทำอะไรมากกว่าจอมมารตนอื่นที่อยู่ตรงนี้ แม้แต่บาร์บาทอสก็ตามที
เธอคิดว่า เขานั้นเป็นชายที่ฉลาด เธอยังเกรงขามในความหลักแหลมของเขา และยังเสียดายที่ตัวเธอนั้นได้เคยพยายามทำร้ายเขาในตอนที่พิจารณาคดี
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ดันทาเลี่ยนนั้นจะไม่ได้เป็นคนที่แพร่กระจายกาฬโรค
การพิจารณาคดีครั้งนั้นมันประหลาดเกินไป ทันทีที่ดันทาเลี่ยนกระซิบอะไรบางอย่างกับอิวาร์ ล็อดบรอค ประธานบริษัทเคียนคุสก้า ความคิดของอิวาร์ก็เปลี่ยนไป 180 องศา โดยเขาทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น มือขวาของเธออย่าง ทอร์เค่ลกลับฆ่าตัวตาย ……ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็มีมีอะไรที่แปลกๆ
ไพมอนจึงแน่ใจแล้วว่า จอมมารลำดับ 71 ดันทาเลี่ยนนั้นเป็นผู้สร้างกาฬโรคขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่ถึงอย่างนั้นกาฬโรคก็เป็นอะไรที่เทียบไม่ได้กับอุบัติภัยแท้จริง อุบัติภัยอันน่ากลัวอีกทั้งร้ายแรงที่ไหลออกมาจากปากของดันทาเลี่ยน ณ ตอนนี้
โรคระบาดนั้นอาจกลืนกินทั่วทั้งทวีปในชั่วขณะ และกดดันผู้คนนับแสนคน ผู้คนทั้งหลายต่างเต็มใจจะช่วยกัน!
ไพมอนไม่อาจหักห้ามร่างกายมิให้สั่นได้
แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็กลับมีความสุข
ตัวตนที่เธอเคยคิดว่า เป็นลูกน้องผู้เชื่อถือได้ของศัตรู มาในตอนนี้กลับกลายเป็นผู้มีความคิดอย่างเดียวกันกับเธอ
ความจริงที่ว่า ผู้คนนั้นต่างเท่าเทียมกัน ความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรทุกชีวิตนั้นต่างเท่าเทียมและเป็นนายเจ้าชีวิตของตนเองด้วยกันทั้งนั้น
ดันทาเลี่ยนนั้นฉลาดพอที่จะเลี่ยงการใช้คำตรงๆอย่าง ความเท่าเทียม และ เสรีภาพ เขาเพียงแต่พูดง่ายๆให้เห็นถึง ความคับแค้นใจของผู้คนที่ต้องมีต่อชนชั้นสูง
ขณะที่แม้แต่เหล่าจอมมารก็ยังฟังว่า สุนทรพจน์ของดันทาเลี่ยนนั้นเป็นดั่ง ‘แผนที่จะสร้างความแตกแยกให้กับชนชั้นสูงและสามัญชน’
แต่คิดว่า ไพมอนไม่อาจจะมองเห็นสิ่งนี้อย่างนั้นหรือ? เธอจะมองไม่เห็นความเชื่อเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมที่ซ่อนอยู่ใต้คำพูดเหล่านั้นเหมือนดั่งแมกม่าได้อย่างไรกัน?
เขานั้นเหมือนกันกับเธอ สหายผู้แบ่งปันแนวคิดเดียวกัน ที่แม้แต่จอมมารทั้งหลายในฝ่ายภูเขายังไม่พยายาม และไม่เข้าใจด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันยิ่งทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสิ่งเร่งด่วนขึ้นมาทันที
‘พวกเราต้องหยุด หยุดการพูดของเขาทั้งหมดเดี๋ยวนี้‘’
ไพมอนได้แอบวางแผนร้ายไปในการปราศรัยครั้งนี้ แผนที่ถึงแก่ชีวิต เธอจะพยายามไม่ให้ดันทาเลี่ยนตกลงสู่กับดักนั้น เธอจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อโน้มน้าวจอมมารตนอื่นเพื่อให้เอาดันทาเลี่ยนกลับมา―
(TTL : โดนขายฝัน จากสุนทรพจน์ไปแล้ว 1 )
“เฮ้ย, นังกะหรี่แพศยา”
บาร์บาทอสนั้นฮึดฮัดแล้วพูดขึ้น
“ข้าไม่แคร์หรอกถ้าแกจะไปทำตัวปัญญาอ่อนที่ไหน แต่ไอ้การที่ดันทาเลี่ยนมันไม่ใช่คนที่แพร่กาฬโรคน่ะมันรู้กันอยู่แล้วหรือเปล่า?
แกเคยทำตัวโง่ๆแบบนั้นตอนโดนทำให้ขายขี้หน้ากลางงานพิจารณาคดีไม่ใช่รึไง? ควรเลิกสงสัยเรื่องนั้นได้แล้ว ในตอนที่แกยังทำได้”
“ไม่ใช่ ปัญหาไม่ใช่เรื่องนั้น! มีมนุษย์ไม่น้อยกว่า 150,000 คน ที่เป็นคนธรรมดาพร้อมอาวุธครบมือได้ฟังสุนทรพจน์นั่น! ประวัติศาสตร์ของทวีปนี้กำลัง…….”
ไพมอนก็พบว่า ตัวเองได้เงยหน้าขึ้นพูดด้วยความเร่าร้อนอีกครั้ง จอมมารทั้ง 4 ตน จ้องมองเธอด้วยสีหน้าที่ไม่น่าเชื่อ
‘อ่าาา’
ตอนนั้นเองที่เธอพึ่งรู้ตัว
‘พวกเขา……พวกเขาต้องคิดว่า ข้ากำลังพยายามใส่ร้าย ดันทาเลี่ยนอยู่’
มันเป็นเหตุที่สมควรแล้ว
ก่อนหน้านี้เธอได้แสดงตัวว่าเป็นจอมมารที่คุกคามอย่างโจ่งแจ้งใส่ดันทาเลี่ยน นับตั้งแต่ที่เขาได้ปรากฏตัวครั้งแรกในงานราตรีวัลเพอกีสตลอดจนถึงการพูดสุนทรพจน์ครั้งนี้
ไพมอนได้พยายามหาเรื่องขัดแข้งขัดขาดันทาเลี่ยนไม่หยุดหย่อน
ดันทาเลี่ยนได้รับคำตัดสินว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในระหว่างการพิจารณาคดีเรื่อง กาฬโรค ไพมอนก็ได้ขอโทษในเรื่องนั้นไปแล้ว
แต่ในความเป็นจริงนั้นการที่มันจบลงด้วยการขอโทษนั้น นับเป็นการลงโทษที่แสนเมตตายิ่ง มันไม่แปลกหรอกหากเธอจะรู้สึกว่า เหมือนเป็นหนี้บุญคุณดันทาเลี่ยน ด้วยเหตุนั้นเอง ไพมอนจึงพยายามไล่ต้อนดันทาเลี่ยน
มันจึงไม่แปลกที่จอมมารตนอื่นจะบอกให้เธอรู้จักเพลาๆลงเสียบ้าง
บาร์บาทอสพูดออกมาอย่างเย็นชา
‘แล้วทำไมแกถึงให้ดันทาเลี่ยนเป็นตัวแทนฝ่ายเรา?”
“อะไรนะ?”
“แล้วแกจะบ่นนั่นบ่นนี่หาเรื่องตำหนิดันทาเลี่ยนของบทสุนทรพจน์เขาทำไมวะ? ฮ่าาา อีกะหรี่นี่แม่งไม่รู้เหมาะสมห่าอะไรเลย
เฮ้ย ที่คิดว่า ข้าน่ะอ่อนแอขนาดที่จะยอมปล่อยให้แกเห่าหอนใส่ฝ่ายที่ราบของข้าอีกรอบรึไง?
นี่แกอยากจะซัดกับข้าเต็มที่แล้วใช่ไหม?”
ความรู้สึกของไพมอนร้องว่า นี่เป็นเหตุการณ์เร่งด่วนมาก
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ เลดี้ผู้นี้ตั้งใจจะทำ แต่ทว่า―”
“มันไม่สำคัญว่าแกจะตั้งใจทำอะไร แกนั่งลงแล้วหุบปากไป ไม่อย่างนั้นข้าก็มีสิทธิ์ที่จะบั่นคอแกในทันที”
“บาร์บาทอส”
ไพมอนเอ่ยชื่อศัตรูของเธออย่างสิ้นหวัง
“ได้โปรดเชื่อข้าเถอะ พวกเราต้องหยุดการพูดของดันทาเลี่ยน เขาจะเป็นอันตรายหากพวกเราให้เขาพูดต่อไป”
สีหน้าของบาร์บาทอสไม่เปลี่ยนไป ดวงตาสีเธอของเธอยังคงจับจ้องไปที่ไพมอน
“ข้าบอกให้แกหุบปาก”
“…….”
ไพมอนคอตก ไม่อะไรที่เธอทำได้แล้ว หากเธอไม่สามารถแม้แต่จะโน้มน้าวหัวหน้าฝ่ายที่ราบ ดันทาเลี่ยนจะต้องจบลงที่การเผชิญหน้ากับตัวแทนนักพูดจากฝ่ายมนุษย์…….
มันเป็นสิ่งที่สอดคล้องต้องกัน
การที่มนุษย์และปีศาจรวม 200,000 นาย มีเพียงสองคนนั่นคือ อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์ก,เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ และไพมอน,ผู้นำแห่งฝ่ายภูเขา ที่รู้เจตนาที่แท้จริงของดันทาเลี่ยน ศัตรูขั้วตครงข้ามกับดันทาเลี่ยนนั้นเข้าใจเขาได้ดีที่สุด
หลังจากที่สงสัยและไม่ไว้ใจดันทาเลี่ยนมาตลอด ในที่สุดเธอก็ได้พบว่า เขานั้นไม่ใช่ศัตรูของเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สายไปแล้ว แม้เธอจะต้องการช่วยเหลือดันทาเลี่ยนจากอันตรายเธอก็ไม่อาจทำได้เช่นนั้น
และเมื่อทุกสิ่ง เมื่อสุนทรพจน์นี้จบลงโดยสมบูรณ์ พวกเขาก็จะกลับไปเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกันแทน กับดักที่เขาตกลงไปนั้นผู้ขุดขึ้นมิใช่ผู้อื่นผู้ใดหากแต่เป็นไพมอน เพียงคนเดียว
ไพมอนหลับตาสนิท
นี่หากข้า พบเรื่องนี้ก่อนหน้านี้
―เร็วกว่านี้อีกสักหน่อย
“ดูเหมือนตัวแทนฝ่ายกองกำลังมนุษย์จะออกมาแล้ว”
“ว้าว สวยนะเนี่ย! แม่นั่นใครกันน่ะ?”
“ข้าไม่รู้สิ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กและราชินีแห่งบริทททานี่เป็นผู้หญิงเพียงสองคนที่มีอำนาจในฝ่ายโลกมนุษย์ที่จะมาเป็นตัวแทนของกองกำลังมนุฝษย์ แต่อาจจะเป็นเจ้าหญิงจักรวรรรดิล่ะมั้ง? แหมมม
เธอนั้นงดงามเสียจริง น่ากินมาก ข้าไม่รังเกียจถ้าจะได้ลองขึ้นขี่นางดูสักครั้ง”
“……บาร์บาทอส ข้าไม่ได้อยากจะมาคุยเรื่องรสนิยมกับท่าน ดังนั้นจะพูดก็รักษาเกียรติสักหน่อยได้ไหม?”
เหล่าจอมมารต่างแสดงความเห็นกับความงดงามของตัวแทนฝ่ายมนุษย์ ผมสีเงินที่ส่องประกายวับของเจ้าหญิงอลิซาเบธ นั้นแม้แต่จอมมารผู้อยู่มานานถึงพันปีก็ยังได้แต่อึ้งกับความงามของเธอ
ไพมอนนั้นไม่ได้ร่วมบทสนทนานี้เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ก้มหน้าลง มันไม่มีอะไรที่เธอทำได้อีกต่อไป เธอได้แต่สวดขอพรให้ดันทาเลี่ยนสามารถออกจากวิกฤติครั้งนี้ได้ด้วยความชาญฉลาดของเขา
มันไม่ใช่เรื่องปรกติที่บุคคลผู้วางกับดักนั้นจะเป็นผู้สวดขอพรเช่นนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่ไพมอนจะสามารถทำได้เลย…….
Ο
* * *
ภาพของเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ อลิซาเบธนั้นปรากฏขึ้นเป็นภาพใหญ่และมองออกไป
อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์กนั้น……. เกิดมาในฐานะเจ้าหญิงลำดับที่สาม เธอจะได้เป็นจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิผู้ปกครองสูงสุดผู้ครองไปครึ่งทวีป
อัจฉริยะผู้ครอบครองกำลังทั้งทางการทหาร การเมือง การต่อสู้ กลยุทธ ความนิยมของประชาชน รวมถึงทางการทูต เหล่าแฟนๆของ <Dungeon Attack> ต่างก็รู้ว่า เธอเป็นนางเอกที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเกม
ถ้าหากไม่มีเธอแล้ว ตัวเอกของเรื่องก็ไม่มีทางยืนหยัดได้มั่นคงได้แน่ ผู้คนต่างสูญเสียครอบครัวและเสียหมู่บ้านไปในยุคที่มีการกระทำเลวร้ายต่อกัน แย่ยิ่งกว่านั้น ตัวเอกนั้นมาจากหมู่บ้านที่โดนเข่นฆ่าและวางเพลิงจนสูญสิ้น เขาจึงไม่ต่างจากทาส
เจ้าหญิงจักรวรรดิอลิซาเบธจึงตัดสินใจที่จะแต่งตั้งให้ตัวเอกหลังจากเห็นความสามารถของเขาแล้ว ทุกคนรอบข้างเธอต่างไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยังสนับสนุนตัวเอกจนถึงที่สุด
ผลลัพธ์ก็คือ เธอนั้นสามารถที่จะขับไล่จอมมารออกจากทวีปได้…….ดังนั้นคุณไม่อาจเทียบเธอกับพวกผู้ปกครองธรรมดาๆได้
ผมก็ชอบเธอเหมือนกันนะ มันทำให้ผมรู้สึกมีอารมณ์เวลาเห็นเธอมาอยู่หน้าผม เธอนั้นดูอ่อนเยาว์กว่าภาพจากเกมเสียอีก ทั้งหน้าผากขาว ผมสีเงิน ปากกระชับ ดวงตาคมแต่ใสกระจ่าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นั่นเป็นบุคคลอันทรงเสน่ห์ของเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ์ อลิซาเบธ
เธอนั้นเป็นดั่งนกร็อค ที่ยามเมื่อกางปีกตนแล้วมังกรตัวใดก็ไม่อาจเทียบเทียมได้
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าศัตรูที่ผมต้องกำจัด
“อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์ก เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิ รู้จักกันในนาม เอิร์ล เอวาเทรีย ท่านได้มีเสน่ห์สมเช่นดั่งข่าวลือที่แพร่ไปทั่วทั้งทวีป ช่างเป็นเกียรติต่อดวงตาของข้าที่ได้ชมความงามของท่าน”
อลิซาเบธเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่เธอประหลาดใจที่ผมรู้จักเธอหรือเปล่านะ?
สีหน้าสีตาของเธอไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงความสง่า ช่างน่าเสียดายเสียนี่กระไร มันคงดีกว่านี้หากเธอตระหนกสักเล็กน้อย
…….เสือนั้นแม้จะเล็กแต่ก็ยังเป็นเสือสินะ เฮ่อ? เธอนี่ช่างไม่ใช่เป้าหมายที่จีบได้ง่ายเลยจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้น อารมณ์ตอนนี้ก็ออกจะตึงเคร่ง มันคงจะเป็นอะไรที่แปลกหากเธอไม่รู้สึกอะไรเลยหากได้รับฟังสุนทรพจน์มาจนถึงตอนนี้
หากเธอไม่ผ่อนคลายลงอีกสักหน่อย ผมจะเริ่มแล้วนะ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กเอ๋ย เธอเตรียมพร้อมหรือยัง?
“การโกหกคำโตของเจ้าออกจะเป็นสิ่งที่น่าตื่นตา”
“โอ้? ที่ท่านกำลังจะพูดว่า ข้าโกหกอย่างนั้นสิ?”
เจ้าหญิงจักรวรรดิพยักหน้า
“เช่นนั้นแหละ ตั้งแต่เริ่มจนจบ คำพูดของท่านเต็มไปด้วยคำโป้ปดหลอกลวง”
Comments
Dungeon Defense (WN) 117 15 นาที ที่ยาวนานที่สุด(2)
* * *
ที่ราบกลับเงียบสงัด
มิใช่แต่เพียงกองกำลังฝ่ายมนุษย์ แม้แต่ปีศาจจากกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราก็แทบจะหยุดหายใจ
จอมมารทั้ง 5 ที่ได้รับฟังคำพูดโดยตรงจากด้านหลังดันทาเลี่ยน ―ลำดับ 2 อกาเรส,ลำดับ 4 กามิกิน ,ลำดับ 5 มาร์บาส,ลำดับ 8 บาร์บาทอส และ ลำดับ 9 ไพมอน ต่างอยู่อย่างเงียบๆ
“ว้าว เขานี่ช่างเป็นนักพูดที่เก่งจริงๆ”
กามิกินพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายทำลายบรรยากาศตึงเครียด
“ไม่ใช่ว่าเตรียมตัววมาสองวันหรอกรึ? น่าประทับใจดี”
“เอาล่ะ ถือว่าเขาเอาตัวรอดได้ด้วยลิ้นโดยแท้”
บาร์บาทอสบ่นออกมาก
“……แต่ข้าไม่คิดว่า เขาจะพูดได้ดีขนาดนั้น มันต้องยากแน่ๆที่ต้องจำบทสุนทรพจน์ทั้งหมดนั่น”
“บทพูดนั่นดูเหมือนจะเป็นการด้นสดอย่างน่าประหลาด มันมีความเป็นไปได้ที่บุคคลนั้นจะเป็นที่รักของเทพีโพลี่ฮิมเนีย(Polyhymnia)”
“ตาแก่มาร์บาส ข้าเดิมพันทุกอย่างกับท่านเลย ข้าว่ามันไม่ใช่การด้นสด หากเป็นการด้นสดจริงล่ะก็พวกนักพูดทั้งหลายได้กัดลิ้นฆ่าตัวตายแน่”
เหล่าจอมมารกระซิบกระซาบกันเอง ส่วนใหญ่ต่างสรุปว่าการพูดของดันทาเลี่ยนนั้นวิเศษ และทำให้กองทัพของเหล่ามนุษย์นั้นต้องตกอยู่ในความวุ่นวาย
ในกองกำลังจอมมารนั้น นายพลและทหารโดยมากต่างสู้ด้วยร่างกายและจิตใจเดียวกัน กองทัพมนุษย์นั้นมักมาจากกองกำลังป้องกันภูเขาดำและกองกำลังที่ส่งมาโดยมาร์คกราฟ เขาเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากความขัดแย้งภายใน
ยิ่งไปกว่านั้นแนวคิดที่มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นในกองทัพเดียวกันเองนั้น เป็นแนวคิดที่ยิ่งไกลห่างไปจากกองทัพจอมมาร
นั่นคือ เหตุผลที่ว่าทำไมจอมมารส่วนมากจึงไม่คุ้นเคยกับกลอุบายและแผนการ พวกเขานั้นนำกำลังที่เป็นหนึ่งเข้าร่วมสู้กับศัตรูที่เป็นหนึ่ง
พวกเขานั้นคุ้นเคยกับการเล่นกลยุทธกับศัตรูในสนามรบมากกว่า แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำให้ศัตรูแตกแยกกันเอา เพื่อเอาชนะคะคานกันทางการเมือง พวกเขาไม่ประสีประสานัก
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบุคคลหนึ่ง
“ทุกท่าน…….”
มันยังมีจอมมารตนหนึ่งที่เฝ้าสนใจในมนุษย์และเชื่อว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการร่วมมือกับพวกมนุษย์เพื่อให้เผ่าปีศาจดำรงอยู่ต่อไปได้
ไพมอนพยายามเต็มที่เพื่อที่ระงับความปรารถนาเพื่อไม่ให้มันเล็ดลอดออกมาทางคำพูด
“ทุกท่าน ได้ตระหนักถึงความหมายเบื้องหลังสุนทรพจน์นี้หรือเปล่า?”
“หืมม?”
กามิกินส่ายหัว
“ความหมายรึ? ก็เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมดีนี่”
“มันเป็นยิ่งกว่านั้นอีก! มันคือ การปฏิวัติ!”
ใบหน้าของไพมอนกลับแดงขึ้น
“สังคมมนุษย์นั้นเหมือนกันกับสังคมปีศาจ แต่มันก็ยังมีความต่าง ลำดับศักดิ์ชนชั้นมีอยู่ในสังคมปีศาจด้วยเช่นกัน แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยความสามารถ!
แม้จะเกิดมาเป็นก็อบลิน แต่ก็มีโอกาสที่จะผลักดันตัวเองไปยังจุดสูงสุดได้ด้วยการพัฒนาตัวเองในฐานะนักเวทย์!”
ทอร์เค่ล หนึ่งในบุคคลที่เป็นทั้งก็อบลินและผู้บริบริหารคนหนึ่งในบริษัทเคียนคุสก้า เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นนี้ เขาสามารถขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงๆด้วยทักษะและความสามารถถึงแม้ว่าจะเป็นก็อบลินก็ตามที
“แต่ไม่ใช่ในกรณีของมนุษย์…….ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขานั้นถูกตัดสินโดยชัดเจนมาตั้งแต่กำเนิด!
แม้บุคคลที่มีพรสวรรค์พอจะเป็นอัศวิน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นได้แค่อัศวินระดับล่าง
พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามสายเลือดของพวกเขาได้ ดันทาเลี่ยนได้ชี้ให้เห็นถึงเนื้อแท้อันย้อนแย้งในสังคมมนุษย์! ……อาาา!”
ไพมอนขมวดคิ้วขึ้นเมื่อตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เธอคอตกและเริ่มพึมพัมกับตัวเอ
“นี่น่ะหรือ……? เหตุผลนี้น่ะหรือ!? ที่เป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงแพร่กาฬโรคออกไป
……. นี่จะสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงเป็นผู้เดียวที่กระจายสมุนไพรดำให้กับชนชั้นสูงของสังคมมนุษย์
ทำไมเขาถึงยึดแบรนเดนเบิร์กมาเป็นดินแดนของตนแล้วกำจัดพวกมอนสเตอร์
…….ทั้งหมดเพื่อชั่วขณะนี้นี่เอง!?”
ร่างกายทั้งร่างของเธอนั่นเย็นวาบ เมื่อเธอตระหนักได้ว่า ดันทาเลี่ยนนั้นเป็นตัวตนที่อันตราย เธอเคยใช้เส้นสายส่วนตัวและความร่ำรวยในการหาข้อมูลของดันทาเลี่ยน
เธอจึงรู้ข้อมูลของดันทาเลี่ยนว่าได้ทำอะไรมากกว่าจอมมารตนอื่นที่อยู่ตรงนี้ แม้แต่บาร์บาทอสก็ตามที
เธอคิดว่า เขานั้นเป็นชายที่ฉลาด เธอยังเกรงขามในความหลักแหลมของเขา และยังเสียดายที่ตัวเธอนั้นได้เคยพยายามทำร้ายเขาในตอนที่พิจารณาคดี
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ดันทาเลี่ยนนั้นจะไม่ได้เป็นคนที่แพร่กระจายกาฬโรค
การพิจารณาคดีครั้งนั้นมันประหลาดเกินไป ทันทีที่ดันทาเลี่ยนกระซิบอะไรบางอย่างกับอิวาร์ ล็อดบรอค ประธานบริษัทเคียนคุสก้า ความคิดของอิวาร์ก็เปลี่ยนไป 180 องศา โดยเขาทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น มือขวาของเธออย่าง ทอร์เค่ลกลับฆ่าตัวตาย ……ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็มีมีอะไรที่แปลกๆ
ไพมอนจึงแน่ใจแล้วว่า จอมมารลำดับ 71 ดันทาเลี่ยนนั้นเป็นผู้สร้างกาฬโรคขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่ถึงอย่างนั้นกาฬโรคก็เป็นอะไรที่เทียบไม่ได้กับอุบัติภัยแท้จริง อุบัติภัยอันน่ากลัวอีกทั้งร้ายแรงที่ไหลออกมาจากปากของดันทาเลี่ยน ณ ตอนนี้
โรคระบาดนั้นอาจกลืนกินทั่วทั้งทวีปในชั่วขณะ และกดดันผู้คนนับแสนคน ผู้คนทั้งหลายต่างเต็มใจจะช่วยกัน!
ไพมอนไม่อาจหักห้ามร่างกายมิให้สั่นได้
แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็กลับมีความสุข
ตัวตนที่เธอเคยคิดว่า เป็นลูกน้องผู้เชื่อถือได้ของศัตรู มาในตอนนี้กลับกลายเป็นผู้มีความคิดอย่างเดียวกันกับเธอ
ความจริงที่ว่า ผู้คนนั้นต่างเท่าเทียมกัน ความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรทุกชีวิตนั้นต่างเท่าเทียมและเป็นนายเจ้าชีวิตของตนเองด้วยกันทั้งนั้น
ดันทาเลี่ยนนั้นฉลาดพอที่จะเลี่ยงการใช้คำตรงๆอย่าง ความเท่าเทียม และ เสรีภาพ เขาเพียงแต่พูดง่ายๆให้เห็นถึง ความคับแค้นใจของผู้คนที่ต้องมีต่อชนชั้นสูง
ขณะที่แม้แต่เหล่าจอมมารก็ยังฟังว่า สุนทรพจน์ของดันทาเลี่ยนนั้นเป็นดั่ง ‘แผนที่จะสร้างความแตกแยกให้กับชนชั้นสูงและสามัญชน’
แต่คิดว่า ไพมอนไม่อาจจะมองเห็นสิ่งนี้อย่างนั้นหรือ? เธอจะมองไม่เห็นความเชื่อเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมที่ซ่อนอยู่ใต้คำพูดเหล่านั้นเหมือนดั่งแมกม่าได้อย่างไรกัน?
เขานั้นเหมือนกันกับเธอ สหายผู้แบ่งปันแนวคิดเดียวกัน ที่แม้แต่จอมมารทั้งหลายในฝ่ายภูเขายังไม่พยายาม และไม่เข้าใจด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันยิ่งทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสิ่งเร่งด่วนขึ้นมาทันที
‘พวกเราต้องหยุด หยุดการพูดของเขาทั้งหมดเดี๋ยวนี้‘’
ไพมอนได้แอบวางแผนร้ายไปในการปราศรัยครั้งนี้ แผนที่ถึงแก่ชีวิต เธอจะพยายามไม่ให้ดันทาเลี่ยนตกลงสู่กับดักนั้น เธอจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อโน้มน้าวจอมมารตนอื่นเพื่อให้เอาดันทาเลี่ยนกลับมา―
(TTL : โดนขายฝัน จากสุนทรพจน์ไปแล้ว 1 )
“เฮ้ย, นังกะหรี่แพศยา”
บาร์บาทอสนั้นฮึดฮัดแล้วพูดขึ้น
“ข้าไม่แคร์หรอกถ้าแกจะไปทำตัวปัญญาอ่อนที่ไหน แต่ไอ้การที่ดันทาเลี่ยนมันไม่ใช่คนที่แพร่กาฬโรคน่ะมันรู้กันอยู่แล้วหรือเปล่า?
แกเคยทำตัวโง่ๆแบบนั้นตอนโดนทำให้ขายขี้หน้ากลางงานพิจารณาคดีไม่ใช่รึไง? ควรเลิกสงสัยเรื่องนั้นได้แล้ว ในตอนที่แกยังทำได้”
“ไม่ใช่ ปัญหาไม่ใช่เรื่องนั้น! มีมนุษย์ไม่น้อยกว่า 150,000 คน ที่เป็นคนธรรมดาพร้อมอาวุธครบมือได้ฟังสุนทรพจน์นั่น! ประวัติศาสตร์ของทวีปนี้กำลัง…….”
ไพมอนก็พบว่า ตัวเองได้เงยหน้าขึ้นพูดด้วยความเร่าร้อนอีกครั้ง จอมมารทั้ง 4 ตน จ้องมองเธอด้วยสีหน้าที่ไม่น่าเชื่อ
‘อ่าาา’
ตอนนั้นเองที่เธอพึ่งรู้ตัว
‘พวกเขา……พวกเขาต้องคิดว่า ข้ากำลังพยายามใส่ร้าย ดันทาเลี่ยนอยู่’
มันเป็นเหตุที่สมควรแล้ว
ก่อนหน้านี้เธอได้แสดงตัวว่าเป็นจอมมารที่คุกคามอย่างโจ่งแจ้งใส่ดันทาเลี่ยน นับตั้งแต่ที่เขาได้ปรากฏตัวครั้งแรกในงานราตรีวัลเพอกีสตลอดจนถึงการพูดสุนทรพจน์ครั้งนี้
ไพมอนได้พยายามหาเรื่องขัดแข้งขัดขาดันทาเลี่ยนไม่หยุดหย่อน
ดันทาเลี่ยนได้รับคำตัดสินว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในระหว่างการพิจารณาคดีเรื่อง กาฬโรค ไพมอนก็ได้ขอโทษในเรื่องนั้นไปแล้ว
แต่ในความเป็นจริงนั้นการที่มันจบลงด้วยการขอโทษนั้น นับเป็นการลงโทษที่แสนเมตตายิ่ง มันไม่แปลกหรอกหากเธอจะรู้สึกว่า เหมือนเป็นหนี้บุญคุณดันทาเลี่ยน ด้วยเหตุนั้นเอง ไพมอนจึงพยายามไล่ต้อนดันทาเลี่ยน
มันจึงไม่แปลกที่จอมมารตนอื่นจะบอกให้เธอรู้จักเพลาๆลงเสียบ้าง
บาร์บาทอสพูดออกมาอย่างเย็นชา
‘แล้วทำไมแกถึงให้ดันทาเลี่ยนเป็นตัวแทนฝ่ายเรา?”
“อะไรนะ?”
“แล้วแกจะบ่นนั่นบ่นนี่หาเรื่องตำหนิดันทาเลี่ยนของบทสุนทรพจน์เขาทำไมวะ? ฮ่าาา อีกะหรี่นี่แม่งไม่รู้เหมาะสมห่าอะไรเลย
เฮ้ย ที่คิดว่า ข้าน่ะอ่อนแอขนาดที่จะยอมปล่อยให้แกเห่าหอนใส่ฝ่ายที่ราบของข้าอีกรอบรึไง?
นี่แกอยากจะซัดกับข้าเต็มที่แล้วใช่ไหม?”
ความรู้สึกของไพมอนร้องว่า นี่เป็นเหตุการณ์เร่งด่วนมาก
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ เลดี้ผู้นี้ตั้งใจจะทำ แต่ทว่า―”
“มันไม่สำคัญว่าแกจะตั้งใจทำอะไร แกนั่งลงแล้วหุบปากไป ไม่อย่างนั้นข้าก็มีสิทธิ์ที่จะบั่นคอแกในทันที”
“บาร์บาทอส”
ไพมอนเอ่ยชื่อศัตรูของเธออย่างสิ้นหวัง
“ได้โปรดเชื่อข้าเถอะ พวกเราต้องหยุดการพูดของดันทาเลี่ยน เขาจะเป็นอันตรายหากพวกเราให้เขาพูดต่อไป”
สีหน้าของบาร์บาทอสไม่เปลี่ยนไป ดวงตาสีเธอของเธอยังคงจับจ้องไปที่ไพมอน
“ข้าบอกให้แกหุบปาก”
“…….”
ไพมอนคอตก ไม่อะไรที่เธอทำได้แล้ว หากเธอไม่สามารถแม้แต่จะโน้มน้าวหัวหน้าฝ่ายที่ราบ ดันทาเลี่ยนจะต้องจบลงที่การเผชิญหน้ากับตัวแทนนักพูดจากฝ่ายมนุษย์…….
มันเป็นสิ่งที่สอดคล้องต้องกัน
การที่มนุษย์และปีศาจรวม 200,000 นาย มีเพียงสองคนนั่นคือ อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์ก,เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ และไพมอน,ผู้นำแห่งฝ่ายภูเขา ที่รู้เจตนาที่แท้จริงของดันทาเลี่ยน ศัตรูขั้วตครงข้ามกับดันทาเลี่ยนนั้นเข้าใจเขาได้ดีที่สุด
หลังจากที่สงสัยและไม่ไว้ใจดันทาเลี่ยนมาตลอด ในที่สุดเธอก็ได้พบว่า เขานั้นไม่ใช่ศัตรูของเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สายไปแล้ว แม้เธอจะต้องการช่วยเหลือดันทาเลี่ยนจากอันตรายเธอก็ไม่อาจทำได้เช่นนั้น
และเมื่อทุกสิ่ง เมื่อสุนทรพจน์นี้จบลงโดยสมบูรณ์ พวกเขาก็จะกลับไปเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกันแทน กับดักที่เขาตกลงไปนั้นผู้ขุดขึ้นมิใช่ผู้อื่นผู้ใดหากแต่เป็นไพมอน เพียงคนเดียว
ไพมอนหลับตาสนิท
นี่หากข้า พบเรื่องนี้ก่อนหน้านี้
―เร็วกว่านี้อีกสักหน่อย
“ดูเหมือนตัวแทนฝ่ายกองกำลังมนุษย์จะออกมาแล้ว”
“ว้าว สวยนะเนี่ย! แม่นั่นใครกันน่ะ?”
“ข้าไม่รู้สิ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กและราชินีแห่งบริทททานี่เป็นผู้หญิงเพียงสองคนที่มีอำนาจในฝ่ายโลกมนุษย์ที่จะมาเป็นตัวแทนของกองกำลังมนุฝษย์ แต่อาจจะเป็นเจ้าหญิงจักรวรรรดิล่ะมั้ง? แหมมม
เธอนั้นงดงามเสียจริง น่ากินมาก ข้าไม่รังเกียจถ้าจะได้ลองขึ้นขี่นางดูสักครั้ง”
“……บาร์บาทอส ข้าไม่ได้อยากจะมาคุยเรื่องรสนิยมกับท่าน ดังนั้นจะพูดก็รักษาเกียรติสักหน่อยได้ไหม?”
เหล่าจอมมารต่างแสดงความเห็นกับความงดงามของตัวแทนฝ่ายมนุษย์ ผมสีเงินที่ส่องประกายวับของเจ้าหญิงอลิซาเบธ นั้นแม้แต่จอมมารผู้อยู่มานานถึงพันปีก็ยังได้แต่อึ้งกับความงามของเธอ
ไพมอนนั้นไม่ได้ร่วมบทสนทนานี้เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ก้มหน้าลง มันไม่มีอะไรที่เธอทำได้อีกต่อไป เธอได้แต่สวดขอพรให้ดันทาเลี่ยนสามารถออกจากวิกฤติครั้งนี้ได้ด้วยความชาญฉลาดของเขา
มันไม่ใช่เรื่องปรกติที่บุคคลผู้วางกับดักนั้นจะเป็นผู้สวดขอพรเช่นนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่ไพมอนจะสามารถทำได้เลย…….
Ο
* * *
ภาพของเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ อลิซาเบธนั้นปรากฏขึ้นเป็นภาพใหญ่และมองออกไป
อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์กนั้น……. เกิดมาในฐานะเจ้าหญิงลำดับที่สาม เธอจะได้เป็นจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิผู้ปกครองสูงสุดผู้ครองไปครึ่งทวีป
อัจฉริยะผู้ครอบครองกำลังทั้งทางการทหาร การเมือง การต่อสู้ กลยุทธ ความนิยมของประชาชน รวมถึงทางการทูต เหล่าแฟนๆของ <Dungeon Attack> ต่างก็รู้ว่า เธอเป็นนางเอกที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเกม
ถ้าหากไม่มีเธอแล้ว ตัวเอกของเรื่องก็ไม่มีทางยืนหยัดได้มั่นคงได้แน่ ผู้คนต่างสูญเสียครอบครัวและเสียหมู่บ้านไปในยุคที่มีการกระทำเลวร้ายต่อกัน แย่ยิ่งกว่านั้น ตัวเอกนั้นมาจากหมู่บ้านที่โดนเข่นฆ่าและวางเพลิงจนสูญสิ้น เขาจึงไม่ต่างจากทาส
เจ้าหญิงจักรวรรดิอลิซาเบธจึงตัดสินใจที่จะแต่งตั้งให้ตัวเอกหลังจากเห็นความสามารถของเขาแล้ว ทุกคนรอบข้างเธอต่างไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยังสนับสนุนตัวเอกจนถึงที่สุด
ผลลัพธ์ก็คือ เธอนั้นสามารถที่จะขับไล่จอมมารออกจากทวีปได้…….ดังนั้นคุณไม่อาจเทียบเธอกับพวกผู้ปกครองธรรมดาๆได้
ผมก็ชอบเธอเหมือนกันนะ มันทำให้ผมรู้สึกมีอารมณ์เวลาเห็นเธอมาอยู่หน้าผม เธอนั้นดูอ่อนเยาว์กว่าภาพจากเกมเสียอีก ทั้งหน้าผากขาว ผมสีเงิน ปากกระชับ ดวงตาคมแต่ใสกระจ่าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นั่นเป็นบุคคลอันทรงเสน่ห์ของเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ์ อลิซาเบธ
เธอนั้นเป็นดั่งนกร็อค ที่ยามเมื่อกางปีกตนแล้วมังกรตัวใดก็ไม่อาจเทียบเทียมได้
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าศัตรูที่ผมต้องกำจัด
“อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์ก เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิ รู้จักกันในนาม เอิร์ล เอวาเทรีย ท่านได้มีเสน่ห์สมเช่นดั่งข่าวลือที่แพร่ไปทั่วทั้งทวีป ช่างเป็นเกียรติต่อดวงตาของข้าที่ได้ชมความงามของท่าน”
อลิซาเบธเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่เธอประหลาดใจที่ผมรู้จักเธอหรือเปล่านะ?
สีหน้าสีตาของเธอไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงความสง่า ช่างน่าเสียดายเสียนี่กระไร มันคงดีกว่านี้หากเธอตระหนกสักเล็กน้อย
…….เสือนั้นแม้จะเล็กแต่ก็ยังเป็นเสือสินะ เฮ่อ? เธอนี่ช่างไม่ใช่เป้าหมายที่จีบได้ง่ายเลยจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้น อารมณ์ตอนนี้ก็ออกจะตึงเคร่ง มันคงจะเป็นอะไรที่แปลกหากเธอไม่รู้สึกอะไรเลยหากได้รับฟังสุนทรพจน์มาจนถึงตอนนี้
หากเธอไม่ผ่อนคลายลงอีกสักหน่อย ผมจะเริ่มแล้วนะ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กเอ๋ย เธอเตรียมพร้อมหรือยัง?
“การโกหกคำโตของเจ้าออกจะเป็นสิ่งที่น่าตื่นตา”
“โอ้? ที่ท่านกำลังจะพูดว่า ข้าโกหกอย่างนั้นสิ?”
เจ้าหญิงจักรวรรดิพยักหน้า
“เช่นนั้นแหละ ตั้งแต่เริ่มจนจบ คำพูดของท่านเต็มไปด้วยคำโป้ปดหลอกลวง”
Comments