Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 19 โทรศัพท์

Now you are reading Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน Chapter 19 โทรศัพท์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

‘บัตรธนาคารเลขลงท้ายด้วย 9527 ได้รับเงินโอน จำนวนเงิน 74,087 หยวน ยอดเงินในบัญชี 74,783 หยวน’

วันที่ 5 ธันวาคม

หลินเยวียนได้รับข้อความแบบนี้

ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังได้รับข้อความจากแผนกการเงิน ‘รายได้ประจำเดือนจากส่วนแบ่งยอดดาวน์โหลดผลงาน ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ของคุณได้โอนเข้าบัญชีแล้ว หลังจากนี้ในวันที่ห้าของทุกเดือน ส่วนแบ่งจากยอดดาวน์โหลดเพลงรวมไปถึงเงินเดือนพื้นฐานจะโอนไปยังบัญชีธนาคารของคุณตรงเวลาทุกเดือน หากมีข้อสงสัยกรุณาตรวจสอบได้ที่แผนกการเงิน’

ในที่สุดก็ได้เงินแล้ว

หลินเยวียนรู้สึกดีใจอยู่บ้าง

เดือนธันวาคมเคลื่อนคล้อยมาถึง หมายความว่าฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ของปีนี้ได้จบลงแล้ว

ต้องขอบคุณการโปรโมตอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงกลางเดือนของบริษัท สุดท้ายแล้วยอดดาวน์โหลดของ ‘ชีวิตดั่งมวลบุปผายามคิมหันต์’ ก็ทะลุเกินห้าแสน ผลงานครั้งนี้เหนือกว่าผลงานของอันดับหนึ่งในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ที่ผ่านมา และก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผลงานชิ้นนี้ของหลินเยวียนนั้นยอดเยี่ยม

หลังจากหักภาษีมูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นหยวนไปแล้ว เงินที่เหลือซึ่งแบ่งมาถึงมือหลินเยวียนคิดเป็นหกหมื่นกว่าหยวน

รวมกับเงินเดือนขั้นพื้นฐานของหลินเยวียนอีกหนึ่งหมื่นหยวน ทำให้สุดท้ายแล้วบัญชีของเขาได้รับเงินเจ็ดหมื่นกว่าหยวน

แม้ว่าหากคำนวณอย่างเคร่งครัดแล้ว ระยะเวลาหลินเยวียนเข้าทำงานนั้นยังไม่ครบหนึ่งเดือน

นี่คงจะเป็นโบนัสที่บริษัทมอบให้กับเด็กใหม่สินะ

ถ้าอยู่ในโลกเดิม เพลงที่เด็กใหม่เขียนคงไม่มีมูลค่าสูงถึงขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องรายได้จากเพลงของหลินเยวียน

ในวันข้างหน้า

ตราบใดที่ยังมีคนดาวน์โหลดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เรื่อยๆ หลินเยวียนก็จะมีรายได้จากส่วนแบ่ง

ยอดดาวน์โหลดเพลงเข้ามาเรื่อยๆ

มิน่าล่ะวงการนักประพันธ์เพลงถึงได้มีคำพูดว่า ‘เพลงดีเพลงเดียวกินได้ชั่วชีวิต’

ต่อให้หลังจากนี้หลินเยวียนเขียนผลงานดีๆ ออกมาไม่ได้อีก ลำพังแค่ส่วนแบ่งที่ได้จาก ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ในอนาคต ก็หมดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในปัจจัยสี่แล้ว

แน่นอนว่ายังคงเป็นดังเช่นคำพูดนั้น

หลังจากนี้ยอดดาวน์โหลดของเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ก็จะค่อยๆ ลดลงอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นผลงานใด ความเป็นที่นิยมก็จะมีกระบวนการตั้งแต่ระยะแรกจนถึงจุดอิ่มตัว ฉะนั้นส่วนแบ่งที่ได้รับจากเพลงนี้ก็ย่อมต้องค่อยๆ ลดลงด้วย

ดังนั้นต้องปล่อยเพลงใหม่น่ะถูกแล้ว

ได้ทั้งชื่อเสียงได้ทั้งเงิน

หลินเยวียนตั้งหน้าตั้งตาคอยส่วนแบ่งรายได้ที่ ‘ปลายักษ์’ จะนำมาให้ตนอย่างอดไม่ได้

เพลงนี้ลำพังส่วนแบ่งจากห้าล้านหยวนที่บริษัทกำหนดก็ปาไปหกแสนกว่าหยวนแล้ว บวกกับส่วนแบ่งกับยอดดาวน์โหลดอีก ต้องดูดีมากทีเดียว

หลังจากนี้

ก็ได้ทำสิ่งที่ตนอยากทำมาตลอดหลังทะลุมิติมาแล้ว

หลินเยวียนโทรศัพท์หาจ้าวเจวี๋ย ไหว้วานเธอเรื่องหนึ่ง

จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ในสมองระลึกถึงท่าทางยามที่เจ้าของร่างสนทนากับแม่ เมื่อแน่ใจว่าเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต่อสายโทรศัพท์หามารดาซึ่งเป็นครูสอนดนตรีอยู่ที่บ้านเกิด

ไม่นานก็ต่อสายติด

ปลายสายเป็นเสียงซึ่งระคนความเหนื่อยล้า “เสี่ยวเยวียน ค่าขนมไม่พอเหรอลูก เดี๋ยวแม่โอนไปให้”

“เปล่าครับ”

หลินเยวียนรีบพูด “ผมมีข่าวดีจะบอกแม่”

หลินเยวียนยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมาจากปลายสาย “เฉินจิ่น ชั้นสินค้าฝั่งตะวันออกว่างแล้ว เธอเอาออเดอร์ไปหยิบของจากโกดังมาเติมหน่อย…”

โทรศัพท์ตัดสายในทันใด

แต่หลินเยวียนก็พอจะนึกภาพแม่ตัดสายทิ้งอย่างรีบร้อนได้

ผ่านไปห้านาที แม่จึงโทรศัพท์กลับมาอีกครั้ง พร้อมกระซิบว่า “เมื่อกี้สัญญาณไม่ดี”

“แม่”

หัวใจของหลินเยวียนพลันเจ็บปวด “ไม่ต้องโกหกหรอกครับ แม่ต้องไปทำงานพิเศษอีกแล้วแน่”

“ประเด็นคือวันนี้ที่โรงเรียนก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร”

แม่รู้สึกผิดขึ้นมา “ลูกก็รู้ว่าแม่เป็นครูสอนดนตรี วันนี้คาบเรียนถูกครูคณิตแย่งไปอีกแล้ว ทำได้แค่ออกมาหาอะไรทำ ยังไงก็อยู่ว่างๆ”

หลินเยวียนไม่พอใจ “ครูคณิตมาแย่งคาบเรียนแม่อีกแล้วเหรอ!”

แม่กล่าวกลั้วหัวเราะ “อย่าเอ็ดไป ครูวรรณคดีก็ชอบแย่งคาบเรียนแม่”

หลินเยวียนจนปัญญา “แล้วร่างกายแม่ไหวหรือเปล่า ลืมเรื่องที่ครั้งก่อนทำงานพิเศษสามงาน เหนื่อยจนต้องไป

ให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลไปแล้วเหรอครับ”

“แม่ก็แค่มาช่วยงานที่ซูเปอร์มาร์เก็ต…จริงสิ เมื่อกี้ลูกบอกว่ามีข่าวดีอะไรเหรอ”

แม่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

หลินเยวียนไม่ได้เปิดโปง เพียงพูดว่า “ผมย้ายไปที่สาขาประพันธ์เพลงแล้ว ก็เลยได้เรียนเขียนเพลง แล้วเมื่อเดือนที่แล้วเพลงนี้ก็ดังมาก ผมเลยได้เงินมาหนึ่งแสนหยวนน่ะครับ”

“หนึ่งแสน? เขียนเพลง?”

แม่ไม่เพียงไม่ดีใจ แต่สติเตลิดไปเรียบร้อย “ลูกอย่าล้อแม่เล่นนะ! บอกมา ลูกไปทำอะไรไม่ดีมาหรือเปล่า เสี่ยวเยวียน มีเรื่องอะไรไม่ต้องกลัว บอกแม่มา…ลูกคงไม่ได้ขายอวัยวะหรอกใช่มั้ย!?”

เสียงของแม่อู้อี้ราวกับจะร้องไห้

หลินเยวียนกลับร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “เลยเถิดกันไปใหญ่แล้วครับแม่ ผมเขียนเพลงแล้วได้เงินจริงๆ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แม่รู้จักมั้ยครับ”

“คุ้นหูอยู่อยู่บ้างนะ…ที่ห้องทำงานเหมือนว่าจะมีคนเปิดอยู่…เป็นเพลงที่ลูกเขียนเหรอ”

“ผมเขียนครับ”

“ตั้งแต่เด็กจนโตลูกไม่พูดโกหก เป็นเพลงของลูกจริงๆ เหรอ”

“เป็นเพลงที่ผมเขียนจริงๆ ครับ คนแต่งเพลงที่ชื่อเซี่ยนอวี๋ก็คือผมเอง คนที่ร้องเพลงก็คือรุ่นพี่ผม”

“ลูก…ลูก…”

“ถ้าแม่ไม่เชื่อเดี๋ยวให้หัวหน้าบริษัทผมคุยกับแม่ก็ได้นะ เรื่องที่ผมเซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์ตอนปีหนึ่งแม่ก็รู้ใช่มั้ยครับ แม่เก็บเบอร์โทรศัพท์ของพี่จ้าวผู้จัดการของผมไว้ เธอคงไม่ถึงกับโกหกแม่หรอกใช่มั้ยครับ”

“แม่เชื่อแล้ว…เชื่อแล้ว…แล้วเงินหนึ่งแสนหยวน…”

“หนึ่งแสนหยวนนี้ ผมต้องเก็บไว้สำรองสักสองสามหมื่น ที่เหลือจะโอนให้แม่ หลังจากนี้แม่ไม่ต้องทำงานแล้วนะ ผมมีเงินแล้ว ไม่ต้องให้แม่แบกภาระเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว”

“โอนให้แม่ โอนให้แม่”

น้ำเสียงที่แม่พูดนั้นสั่นเครืออยู่บ้าง “แม่จะเก็บไว้ให้ลูก ถ้าอาการของลูกกำเริบขึ้นมาอีก พวกเราจะได้มีเงินรักษา ไม่ต้องไปรบกวนญาติๆ แล้ว”

“ไม่ใช่ครับ”

หลินเยวียนบอก “ผมหวังว่าแม่จะจ่ายหนี้ของบ้านเราให้หมด หลายปีมานี้ใช้เงินรักษาผมไปมาก แม่ยืมเงินไปเท่าไหร่ไม่เคยบอกพวกเราเลย”

“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ…แม่จะเอาไปคืน ขอแค่แม่ยังไม่ตาย เงินพวกนี้แม่จะเอาไปจ่ายคืนไม่ให้ขาดสักนิดเดียว ดอกเบี้ยแม่ก็จะจ่ายด้วย!”

“ตามนั้นครับ”

ลำคอของหลินเยวียนตีบตันเล็กน้อย “แม่ หลังจากนี้ก็จะได้เงินจากเพลงนี้อีก อีกเรื่องคือตอนนี้ผมย้ายไปอยู่แผนกประพันธ์เพลงของบริษัทแล้ว เงินเดือนขั้นต่ำทุกเดือนออกจะ เฮ้อ ออกจะมากอยู่สักหน่อย ตั้งสองหมื่นหยวน เพราะงั้นหลังจากนี้เงินที่ผมหาได้จะพอให้รักษาโรคของผม แม่บอกผมได้มั้ยว่าสรุปแล้วที่บ้านติดหนี้เท่าไหร่”

“แสนกว่าหยวน”

แม่แสร้งทำเสียงเรียบเฉย

หลินเยวียนพูดว่า “ผมจริงจังนะ”

แม่เปลี่ยนคำพูดเป็น “สองแสนกว่ามั้ง”

หลินเยวียนครุ่นคิด “แม่สอนพวกเราสามคนตั้งแต่เด็กว่าไม่ให้โกหก”

ปลายสายเงียบไป

ผ่านไปหลายวินาที เสียงของแม่จากปลายสายจึงดังขึ้นมาอีกครั้ง ฟังดูหนักใจอยู่บ้าง “รวมกับดอกเบี้ย ทั้งหมดแล้วก็ห้าแสนสองหมื่นแปดพันหกร้อยสามสิบหกหยวน”

“ได้ครับ”

หลินเยวียนพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ปีนี้ผมจะใช้หนี้ให้หมด! แม่ไม่ต้องทำงานพิเศษแล้ว เชื่อผมนะ! ใช้หนี้ก่อน! ยังไม่ต้องใช้หนี้ให้หมด แม่เก็บไว้ใช้สักสองหมื่น เดี๋ยวอีกสักระยะผมจะโอนให้แม่ ช่วงนี้ผมเขียนเพลงมาอีก น่าจะทำเงินได้ไม่น้อยเลย”

“เฮ้อ”

แม่พูดอย่างขุ่นเคือง “เด็กคนนี้ ยังจะภูมิใจอีก โชคดีมีเป็นครั้งคราว ดังเพลงนึงก็ดีขนาดไหนแล้ว ลูกเรียนเขียนเพลง คิดจะให้ดังทุกเพลงเลยหรือไง”

“ผมมั่นใจ”

“โอเคๆๆ ลูกมั่นใจ ว่าแต่เงินนี้น่ะ แม่จะแบ่งให้พี่นิดนึงนะ แล้วก็จะบอกข่าวดีเธอด้วย ตอนนี้พี่เขาเพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน หางานก็ยาก โทรศัพท์ใช้มาห้าปีแล้วไม่ยอมเปลี่ยนสักที” แม่คล้ายกับว่ากำลังขอความเห็นจากหลินเยวียน

“ผมจัดการเอง”

หลินเยวียนยิ้มเอ่ย “เดี๋ยวผมบอกพี่เองครับ แล้วจะเปลี่ยนโทรศัพท์ให้พี่ด้วย หลายปีมานี้พี่ดูแลผม ให้โอกาส

ผมได้ตอบแทนบ้าง”

“ที่ลูกพูดก็มีเหตุผล”

แม่รู้สึกผิดต่อพี่สาวและน้องสาวของหลินเยวียน บุตรสาวทั้งสองต้องเสียสละไปมากเพื่อหลินเยวียน “งั้นลูกก็อย่าลืมนะ”

“ครับ”

สนทนากันต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงเต็มๆ หลินเยียนก็กำชับแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ต้องทำงานพิเศษอีก จึงค่อยวางโทรศัพท์อย่างอ้อยอิ่ง

หลังจากวางสาย

หลินเยวียนก็เปิดแอปพลิเคชันโอนเงินให้แม่เจ็ดหมื่นสามพันหยวน

แม่กดรับเงินอย่างว่องไว ทั้งยังส่งข้อความเสียงมาอีกว่า “เงินที่เหลือลูกก็ใช้ประหยัดๆ หน่อยนะ สองสามหมื่นหยวนอย่าใช้สุรุ่ยสุร่าย”

“รู้แล้วครับ”

หลินเยวียนกล่าวกลั้วหัวเราะ

ที่บอกว่ายังทำเงินได้หนึ่งแสนแน่นอนก็เพื่อให้แม่สบายใจ และบอกว่าเงินเดือนสองหมื่นหยวนก็เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน

อันที่จริงเขาเหลือเงินแค่หมื่นกว่าหยวน

แต่หมื่นกว่าหยวนก็เพียงพอให้เขาอยู่ไปจนถึงเดือนหน้าแล้ว

……

เมื่อได้รับเงิน เฉินจิ่นแม่ของหลินเยวียนก็ยังไม่วางใจ

สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่เคยยอมแพ้ต่อการรักษาพยาบาลลูกชาย คุณค่าของเงินหนึ่งแสนหยวนนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน!

เธอลังเลอยู่สักพัก แล้วจึงโทรศัพท์ไปหาจ้าวเจวี๋ย เพื่อสอบถามเรื่องของหลินเยวียน

เมื่อยืนยันสถานการณ์แล้ว เธอจึงวางใจขึ้นมา

เธอยืนใจลอยอยู่ที่โกดังเก็บของ หยดน้ำตาเอ่อท้นออกมา พานให้พนักงานด้านข้างคนหนึ่งตกใจจนแทบกระโดด “เธอเป็นอะไรน่ะ”

เฉินจิ่นปากน้ำตา “ฉันดีใจ”

พนักงานหัวเราะ “ต้องเป็นเรื่องน่ายินดีขนาดไหนถึงทำให้เธอดีใจจนร้องไห้”

“เธอฟังเพลงหรือเปล่า”

“อะไรเหรอ”

“เธอไปฟังเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เพราะมากเลยละ!”

“ฮะ?”

พนักงานตอบไปด้วยความสับสน “อ้อ…ได้…ได้เลย…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 19 โทรศัพท์

Now you are reading Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน Chapter 19 โทรศัพท์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

‘บัตรธนาคารเลขลงท้ายด้วย 9527 ได้รับเงินโอน จำนวนเงิน 74,087 หยวน ยอดเงินในบัญชี 74,783 หยวน’

วันที่ 5 ธันวาคม

หลินเยวียนได้รับข้อความแบบนี้

ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังได้รับข้อความจากแผนกการเงิน ‘รายได้ประจำเดือนจากส่วนแบ่งยอดดาวน์โหลดผลงาน ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ของคุณได้โอนเข้าบัญชีแล้ว หลังจากนี้ในวันที่ห้าของทุกเดือน ส่วนแบ่งจากยอดดาวน์โหลดเพลงรวมไปถึงเงินเดือนพื้นฐานจะโอนไปยังบัญชีธนาคารของคุณตรงเวลาทุกเดือน หากมีข้อสงสัยกรุณาตรวจสอบได้ที่แผนกการเงิน’

ในที่สุดก็ได้เงินแล้ว

หลินเยวียนรู้สึกดีใจอยู่บ้าง

เดือนธันวาคมเคลื่อนคล้อยมาถึง หมายความว่าฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ของปีนี้ได้จบลงแล้ว

ต้องขอบคุณการโปรโมตอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงกลางเดือนของบริษัท สุดท้ายแล้วยอดดาวน์โหลดของ ‘ชีวิตดั่งมวลบุปผายามคิมหันต์’ ก็ทะลุเกินห้าแสน ผลงานครั้งนี้เหนือกว่าผลงานของอันดับหนึ่งในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ที่ผ่านมา และก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผลงานชิ้นนี้ของหลินเยวียนนั้นยอดเยี่ยม

หลังจากหักภาษีมูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นหยวนไปแล้ว เงินที่เหลือซึ่งแบ่งมาถึงมือหลินเยวียนคิดเป็นหกหมื่นกว่าหยวน

รวมกับเงินเดือนขั้นพื้นฐานของหลินเยวียนอีกหนึ่งหมื่นหยวน ทำให้สุดท้ายแล้วบัญชีของเขาได้รับเงินเจ็ดหมื่นกว่าหยวน

แม้ว่าหากคำนวณอย่างเคร่งครัดแล้ว ระยะเวลาหลินเยวียนเข้าทำงานนั้นยังไม่ครบหนึ่งเดือน

นี่คงจะเป็นโบนัสที่บริษัทมอบให้กับเด็กใหม่สินะ

ถ้าอยู่ในโลกเดิม เพลงที่เด็กใหม่เขียนคงไม่มีมูลค่าสูงถึงขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องรายได้จากเพลงของหลินเยวียน

ในวันข้างหน้า

ตราบใดที่ยังมีคนดาวน์โหลดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เรื่อยๆ หลินเยวียนก็จะมีรายได้จากส่วนแบ่ง

ยอดดาวน์โหลดเพลงเข้ามาเรื่อยๆ

มิน่าล่ะวงการนักประพันธ์เพลงถึงได้มีคำพูดว่า ‘เพลงดีเพลงเดียวกินได้ชั่วชีวิต’

ต่อให้หลังจากนี้หลินเยวียนเขียนผลงานดีๆ ออกมาไม่ได้อีก ลำพังแค่ส่วนแบ่งที่ได้จาก ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ในอนาคต ก็หมดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในปัจจัยสี่แล้ว

แน่นอนว่ายังคงเป็นดังเช่นคำพูดนั้น

หลังจากนี้ยอดดาวน์โหลดของเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ก็จะค่อยๆ ลดลงอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นผลงานใด ความเป็นที่นิยมก็จะมีกระบวนการตั้งแต่ระยะแรกจนถึงจุดอิ่มตัว ฉะนั้นส่วนแบ่งที่ได้รับจากเพลงนี้ก็ย่อมต้องค่อยๆ ลดลงด้วย

ดังนั้นต้องปล่อยเพลงใหม่น่ะถูกแล้ว

ได้ทั้งชื่อเสียงได้ทั้งเงิน

หลินเยวียนตั้งหน้าตั้งตาคอยส่วนแบ่งรายได้ที่ ‘ปลายักษ์’ จะนำมาให้ตนอย่างอดไม่ได้

เพลงนี้ลำพังส่วนแบ่งจากห้าล้านหยวนที่บริษัทกำหนดก็ปาไปหกแสนกว่าหยวนแล้ว บวกกับส่วนแบ่งกับยอดดาวน์โหลดอีก ต้องดูดีมากทีเดียว

หลังจากนี้

ก็ได้ทำสิ่งที่ตนอยากทำมาตลอดหลังทะลุมิติมาแล้ว

หลินเยวียนโทรศัพท์หาจ้าวเจวี๋ย ไหว้วานเธอเรื่องหนึ่ง

จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ในสมองระลึกถึงท่าทางยามที่เจ้าของร่างสนทนากับแม่ เมื่อแน่ใจว่าเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต่อสายโทรศัพท์หามารดาซึ่งเป็นครูสอนดนตรีอยู่ที่บ้านเกิด

ไม่นานก็ต่อสายติด

ปลายสายเป็นเสียงซึ่งระคนความเหนื่อยล้า “เสี่ยวเยวียน ค่าขนมไม่พอเหรอลูก เดี๋ยวแม่โอนไปให้”

“เปล่าครับ”

หลินเยวียนรีบพูด “ผมมีข่าวดีจะบอกแม่”

หลินเยวียนยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมาจากปลายสาย “เฉินจิ่น ชั้นสินค้าฝั่งตะวันออกว่างแล้ว เธอเอาออเดอร์ไปหยิบของจากโกดังมาเติมหน่อย…”

โทรศัพท์ตัดสายในทันใด

แต่หลินเยวียนก็พอจะนึกภาพแม่ตัดสายทิ้งอย่างรีบร้อนได้

ผ่านไปห้านาที แม่จึงโทรศัพท์กลับมาอีกครั้ง พร้อมกระซิบว่า “เมื่อกี้สัญญาณไม่ดี”

“แม่”

หัวใจของหลินเยวียนพลันเจ็บปวด “ไม่ต้องโกหกหรอกครับ แม่ต้องไปทำงานพิเศษอีกแล้วแน่”

“ประเด็นคือวันนี้ที่โรงเรียนก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร”

แม่รู้สึกผิดขึ้นมา “ลูกก็รู้ว่าแม่เป็นครูสอนดนตรี วันนี้คาบเรียนถูกครูคณิตแย่งไปอีกแล้ว ทำได้แค่ออกมาหาอะไรทำ ยังไงก็อยู่ว่างๆ”

หลินเยวียนไม่พอใจ “ครูคณิตมาแย่งคาบเรียนแม่อีกแล้วเหรอ!”

แม่กล่าวกลั้วหัวเราะ “อย่าเอ็ดไป ครูวรรณคดีก็ชอบแย่งคาบเรียนแม่”

หลินเยวียนจนปัญญา “แล้วร่างกายแม่ไหวหรือเปล่า ลืมเรื่องที่ครั้งก่อนทำงานพิเศษสามงาน เหนื่อยจนต้องไป

ให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลไปแล้วเหรอครับ”

“แม่ก็แค่มาช่วยงานที่ซูเปอร์มาร์เก็ต…จริงสิ เมื่อกี้ลูกบอกว่ามีข่าวดีอะไรเหรอ”

แม่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

หลินเยวียนไม่ได้เปิดโปง เพียงพูดว่า “ผมย้ายไปที่สาขาประพันธ์เพลงแล้ว ก็เลยได้เรียนเขียนเพลง แล้วเมื่อเดือนที่แล้วเพลงนี้ก็ดังมาก ผมเลยได้เงินมาหนึ่งแสนหยวนน่ะครับ”

“หนึ่งแสน? เขียนเพลง?”

แม่ไม่เพียงไม่ดีใจ แต่สติเตลิดไปเรียบร้อย “ลูกอย่าล้อแม่เล่นนะ! บอกมา ลูกไปทำอะไรไม่ดีมาหรือเปล่า เสี่ยวเยวียน มีเรื่องอะไรไม่ต้องกลัว บอกแม่มา…ลูกคงไม่ได้ขายอวัยวะหรอกใช่มั้ย!?”

เสียงของแม่อู้อี้ราวกับจะร้องไห้

หลินเยวียนกลับร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “เลยเถิดกันไปใหญ่แล้วครับแม่ ผมเขียนเพลงแล้วได้เงินจริงๆ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แม่รู้จักมั้ยครับ”

“คุ้นหูอยู่อยู่บ้างนะ…ที่ห้องทำงานเหมือนว่าจะมีคนเปิดอยู่…เป็นเพลงที่ลูกเขียนเหรอ”

“ผมเขียนครับ”

“ตั้งแต่เด็กจนโตลูกไม่พูดโกหก เป็นเพลงของลูกจริงๆ เหรอ”

“เป็นเพลงที่ผมเขียนจริงๆ ครับ คนแต่งเพลงที่ชื่อเซี่ยนอวี๋ก็คือผมเอง คนที่ร้องเพลงก็คือรุ่นพี่ผม”

“ลูก…ลูก…”

“ถ้าแม่ไม่เชื่อเดี๋ยวให้หัวหน้าบริษัทผมคุยกับแม่ก็ได้นะ เรื่องที่ผมเซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์ตอนปีหนึ่งแม่ก็รู้ใช่มั้ยครับ แม่เก็บเบอร์โทรศัพท์ของพี่จ้าวผู้จัดการของผมไว้ เธอคงไม่ถึงกับโกหกแม่หรอกใช่มั้ยครับ”

“แม่เชื่อแล้ว…เชื่อแล้ว…แล้วเงินหนึ่งแสนหยวน…”

“หนึ่งแสนหยวนนี้ ผมต้องเก็บไว้สำรองสักสองสามหมื่น ที่เหลือจะโอนให้แม่ หลังจากนี้แม่ไม่ต้องทำงานแล้วนะ ผมมีเงินแล้ว ไม่ต้องให้แม่แบกภาระเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว”

“โอนให้แม่ โอนให้แม่”

น้ำเสียงที่แม่พูดนั้นสั่นเครืออยู่บ้าง “แม่จะเก็บไว้ให้ลูก ถ้าอาการของลูกกำเริบขึ้นมาอีก พวกเราจะได้มีเงินรักษา ไม่ต้องไปรบกวนญาติๆ แล้ว”

“ไม่ใช่ครับ”

หลินเยวียนบอก “ผมหวังว่าแม่จะจ่ายหนี้ของบ้านเราให้หมด หลายปีมานี้ใช้เงินรักษาผมไปมาก แม่ยืมเงินไปเท่าไหร่ไม่เคยบอกพวกเราเลย”

“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ…แม่จะเอาไปคืน ขอแค่แม่ยังไม่ตาย เงินพวกนี้แม่จะเอาไปจ่ายคืนไม่ให้ขาดสักนิดเดียว ดอกเบี้ยแม่ก็จะจ่ายด้วย!”

“ตามนั้นครับ”

ลำคอของหลินเยวียนตีบตันเล็กน้อย “แม่ หลังจากนี้ก็จะได้เงินจากเพลงนี้อีก อีกเรื่องคือตอนนี้ผมย้ายไปอยู่แผนกประพันธ์เพลงของบริษัทแล้ว เงินเดือนขั้นต่ำทุกเดือนออกจะ เฮ้อ ออกจะมากอยู่สักหน่อย ตั้งสองหมื่นหยวน เพราะงั้นหลังจากนี้เงินที่ผมหาได้จะพอให้รักษาโรคของผม แม่บอกผมได้มั้ยว่าสรุปแล้วที่บ้านติดหนี้เท่าไหร่”

“แสนกว่าหยวน”

แม่แสร้งทำเสียงเรียบเฉย

หลินเยวียนพูดว่า “ผมจริงจังนะ”

แม่เปลี่ยนคำพูดเป็น “สองแสนกว่ามั้ง”

หลินเยวียนครุ่นคิด “แม่สอนพวกเราสามคนตั้งแต่เด็กว่าไม่ให้โกหก”

ปลายสายเงียบไป

ผ่านไปหลายวินาที เสียงของแม่จากปลายสายจึงดังขึ้นมาอีกครั้ง ฟังดูหนักใจอยู่บ้าง “รวมกับดอกเบี้ย ทั้งหมดแล้วก็ห้าแสนสองหมื่นแปดพันหกร้อยสามสิบหกหยวน”

“ได้ครับ”

หลินเยวียนพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ปีนี้ผมจะใช้หนี้ให้หมด! แม่ไม่ต้องทำงานพิเศษแล้ว เชื่อผมนะ! ใช้หนี้ก่อน! ยังไม่ต้องใช้หนี้ให้หมด แม่เก็บไว้ใช้สักสองหมื่น เดี๋ยวอีกสักระยะผมจะโอนให้แม่ ช่วงนี้ผมเขียนเพลงมาอีก น่าจะทำเงินได้ไม่น้อยเลย”

“เฮ้อ”

แม่พูดอย่างขุ่นเคือง “เด็กคนนี้ ยังจะภูมิใจอีก โชคดีมีเป็นครั้งคราว ดังเพลงนึงก็ดีขนาดไหนแล้ว ลูกเรียนเขียนเพลง คิดจะให้ดังทุกเพลงเลยหรือไง”

“ผมมั่นใจ”

“โอเคๆๆ ลูกมั่นใจ ว่าแต่เงินนี้น่ะ แม่จะแบ่งให้พี่นิดนึงนะ แล้วก็จะบอกข่าวดีเธอด้วย ตอนนี้พี่เขาเพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน หางานก็ยาก โทรศัพท์ใช้มาห้าปีแล้วไม่ยอมเปลี่ยนสักที” แม่คล้ายกับว่ากำลังขอความเห็นจากหลินเยวียน

“ผมจัดการเอง”

หลินเยวียนยิ้มเอ่ย “เดี๋ยวผมบอกพี่เองครับ แล้วจะเปลี่ยนโทรศัพท์ให้พี่ด้วย หลายปีมานี้พี่ดูแลผม ให้โอกาส

ผมได้ตอบแทนบ้าง”

“ที่ลูกพูดก็มีเหตุผล”

แม่รู้สึกผิดต่อพี่สาวและน้องสาวของหลินเยวียน บุตรสาวทั้งสองต้องเสียสละไปมากเพื่อหลินเยวียน “งั้นลูกก็อย่าลืมนะ”

“ครับ”

สนทนากันต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงเต็มๆ หลินเยียนก็กำชับแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ต้องทำงานพิเศษอีก จึงค่อยวางโทรศัพท์อย่างอ้อยอิ่ง

หลังจากวางสาย

หลินเยวียนก็เปิดแอปพลิเคชันโอนเงินให้แม่เจ็ดหมื่นสามพันหยวน

แม่กดรับเงินอย่างว่องไว ทั้งยังส่งข้อความเสียงมาอีกว่า “เงินที่เหลือลูกก็ใช้ประหยัดๆ หน่อยนะ สองสามหมื่นหยวนอย่าใช้สุรุ่ยสุร่าย”

“รู้แล้วครับ”

หลินเยวียนกล่าวกลั้วหัวเราะ

ที่บอกว่ายังทำเงินได้หนึ่งแสนแน่นอนก็เพื่อให้แม่สบายใจ และบอกว่าเงินเดือนสองหมื่นหยวนก็เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน

อันที่จริงเขาเหลือเงินแค่หมื่นกว่าหยวน

แต่หมื่นกว่าหยวนก็เพียงพอให้เขาอยู่ไปจนถึงเดือนหน้าแล้ว

……

เมื่อได้รับเงิน เฉินจิ่นแม่ของหลินเยวียนก็ยังไม่วางใจ

สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่เคยยอมแพ้ต่อการรักษาพยาบาลลูกชาย คุณค่าของเงินหนึ่งแสนหยวนนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน!

เธอลังเลอยู่สักพัก แล้วจึงโทรศัพท์ไปหาจ้าวเจวี๋ย เพื่อสอบถามเรื่องของหลินเยวียน

เมื่อยืนยันสถานการณ์แล้ว เธอจึงวางใจขึ้นมา

เธอยืนใจลอยอยู่ที่โกดังเก็บของ หยดน้ำตาเอ่อท้นออกมา พานให้พนักงานด้านข้างคนหนึ่งตกใจจนแทบกระโดด “เธอเป็นอะไรน่ะ”

เฉินจิ่นปากน้ำตา “ฉันดีใจ”

พนักงานหัวเราะ “ต้องเป็นเรื่องน่ายินดีขนาดไหนถึงทำให้เธอดีใจจนร้องไห้”

“เธอฟังเพลงหรือเปล่า”

“อะไรเหรอ”

“เธอไปฟังเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เพราะมากเลยละ!”

“ฮะ?”

พนักงานตอบไปด้วยความสับสน “อ้อ…ได้…ได้เลย…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+