Dungeon Defense (WN) 182 ความเกลียดชังมนุษย์ (4)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 182 ความเกลียดชังมนุษย์ (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

เจเรมิหยิบข้าวของมากมายออกจากกระเป๋าอุปกรณ์ เธอนั้นเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น

 

“พวกนี้เป็นโพชั่นที่ฉันเก็บสะสมไว้”

 

ในกล่องไม้นั้นมีขวดใสอยู่มากมาย แต่ละขวดบรรจุด้วยของเหลวหลากหลายสีสัน มีทั้งโพชั่น,มีดผ่าตัด,เครื่องหอม และผงสมุนไพรที่ผมเห็นก่อนหน้าแบ่งไว้เป็นสัดเป็นส่วน จะนิยามว่ายังไงดีนะ? 

เหมือนผมกำลังมองข้างของที่เป็นของนักเก็บสมุนไพร,หมอและนักทำน้ำหอมในเวลาเดียวกัน

 

“อื้มฮึ ดูเหมือนเธอจะไม่ใช่มือสังหารธรรมดา หากแต่ยังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุผู้ชำนาญนี่น่ะ?”

 

“เป็นปกติค่ะสำหรับมือสังหารที่จะต้องรู้เรื่องตัวยา อย่างน้อยถ้าหากอยากเป็นหัวหน้าในกลุ่มมือสังหาร”

 

มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับการที่รู้จักตัวสารพิษต่างๆและแก๊สพิษทั้งหลายสินะ? ในกรณีนั้นมือสังหารต้องเชี่ยวชาญทั้งสองอย่าง ภาพที่ผมมีในหัวเกี่ยวกับมือสังหารเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

พอเตรียมการเสร็จพวกเราก็กลับไปที่รถม้า

 

เดซี่ยังคงล้มนอนอยู่กับพื้นรถม้า เจเรมิรีบพาเดซี่ขึ้นบนเตียงแล้วรักษาเธอในทันที เธอเทของเหลวสีเหลืองเข้าไปในปากของเดซี่ พอผมถามเธอว่านั่นคืออะไร สิ่งนั้นก็คือน้ำผึ้งที่ผสมตัวยาสมุนไพรต่างๆละลายเจือลงไปด้วย

 

“นี่ไม่ใช่ผลกระทบหลังการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวแล้วค่ะ……

เฮ่ออออ ฝ่าบาทคะ ท่านทำกับเธอรุนแรงเกินไปแล้ว ดูที่ริมฝีปากสิคะ ฉันว่า อาการบาดเจ็บตอนนี้หนักหนากว่าหลังผ่าตัดเสียอีก”

 

ในรถม้านั้นมีแต่แสงเทียน เจเรมิถอดเสื้อผ้าของโทรมๆของเดซี่ออกแล้วจุ่มผ้าขนหนูลงไปในน้ำสมุนไพรต้มเพื่อทำความสะอาดร่างกายของเดซี่

 

“เธอยังเป็นเด็กผู้หญิงอยู่เลย ท่านไม่ควรทำลายใบหน้าเธอนะคะ”

 

“พอเธอพูดแบบนี้แล้วฟังดูมีน้ำหนักน่าเชื่อจริงๆ”

 

“ฟุฟุ”

 

ใบหน้าครึ่งซีกของเจเรมิโดนแผดเผาอย่างน่ากลัว ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

 

“นังหนูมันยั่วโมโหข้า”

ผมทิ้งตัวลงกับที่นั่งอีกข้างหนึ่ง

 

“อีหนูน่าขยะแขยงขี้ฉ้อนี่”

 

“โอ้ นางยั่วโมโหท่านเหรอ? นางยั่วโมโหแบบไหนกันถึงสามารถทำฝ่าบาทโกรธได้? ปกติท่านออกจะนิ่งสงบเก็บงำอารมณ์เก่ง ทำเอาฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆนะคะ”

 

 

(TTL : นี่ เจเรมิ หรือ จิตันดะ เอรุ กันเนี่ย [จากเรื่อง ‘เฮียวกะ ปริศนาความทรงจำ’] ขี้สงสัยไปเสียทุกอย่างจริงๆ! )

 

 

“เรื่องไม่จำเป็นไว้ทีหลังเถอะ”

แม่นั่นพูดถึงแม่ผม

ผมโกรธขนาดนี่ตัวเองยังตกใจเลย แต่เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ

‘นังหนูนี่มันรู้วิธีครอบงำอารมณ์ผม’

ผมคิดกับตัวเองขณะที่ดูการรักษาอยู่ข้างๆ

 

เหมือนกับตอนที่อยู่ในหมู่บ้านร้างนั่น เด็กสาวอายุ 10 ปี พูดแต่ในสิ่งที่ควรจะพูดเพื่อให้มันมีผลต่อความคิดของผม

สิ่งที่เธอทำคือ ดึงด้านดีๆของผมออกมา เพื่อให้ผมเข้าใจและเมตตา ราวกับว่า เธอกำลังอ่านใจเพื่อนเก่าของเธอ

 

ความโกรธของผมคงบรรเทาลงหากเดซี่ยอมขอโทษที่พยายามที่จะลอบสังหารผม 

เธอน่ะเป็นฮีโร่อยู่แล้ว ไม่สิ เธอน่ะมันเป็นแค่เปลือกของฮีโร่คนหนึ่ง เห็นกันชัดๆเลยว่า เธอต้องการจะฆ่าผม 

แต่ถึงอย่างนั้น ผมจะไม่มีวันให้อภัยเธอกับการที่พยายามจะลอบฆ่าผมโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว

 

 

นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่มีทางอภัยให้ได้อย่างเด็ดขาด

อะไรที่คาดเดาไม่ได้ และเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยที่ผมไม่รู้เป็น และยังเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะได้รับประสบการณ์แบบนั้นอีกแล้ว

 

 

“นังหนูนั่นทำข้าขนลุก การผ่าตัดนั่นต้องเจ็บมากแน่ แต่นังหนูมันกลับ…….”

 

“เธอทำให้ฝ่าบาทขนลุก? มันเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน?”

 

“เธอตั้งใจที่จะไม่ขอโทษแม้จะต้องตาย”

 

ผมขบเคี่ยวเคี้ยวฟัน เธออ่านนิสัยผมออกไม่ต่างจากหนังสือ ผมเองก็อ่านใจเธอได้ง่ายๆเช่นกัน มันเห็นกันอยู่ชัดๆ

แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนเจเรมิจะไม่เข้าใจ ว่าผมหมายถึงอะไรอยู่เธอจึงเอียงคอสงสัย

 

“ฉันขอโทษด้วยค่ะ ฝ่าบาท แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าท่านหมายความว่าอย่างไร”

 

“ว่าให้ง่ายเข้า มันเป็นการต่อสู้ด้วยศักดิ์ศรี 

นางไม่ต้องการขอโทษที่พยายามจะลอบสังหารข้า เพราะหากนางขอโทษก็แปลว่า นางจะไม่สามารถพยายามทำแบบนั้นได้อีกต่อไป

แถมยังไม่ต้องการได้รับความเมตตาการุณจากข้าด้วยเช่นกัน”

แม่นั่นต้องการสร้างสภาวะทางความรู้สึกให้เสมอเท่าเทียมกันกับผม

 

 

“……ท่านกำลังจะบอกว่า แม่หนูนี่พยายามยั่วยุท่านทั้งๆที่รู้ว่า จะต้องถูกทุบตีอย่างนี้เหรอคะ?”

 

“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วนี่? เธอไม่ได้ทำไปแบบไม่คิดอะไร เธอทำทุกอย่างโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว”

 

ข้างในผมมันก็เดือดขึ้นมาทันที

 

“เธอประกาศสงครามกับข้า เด็กสาวที่ไม่คิดหวังจะสร้างความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกันนับตั้งแต่ที่เราสองอยู่ในฐานะนายกับทาส 

เรามาเชือดเฉือนกันเองและใช้เวลาในแต่ละวันที่อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างกับอยู่ในนรกไปด้วยกันเถอะ ……

นี่คือ สิ่งที่แม่นั่นต้องการจะบอกข้า นังหนูจากนรกเอ๊ย”

 

แถมแม่นี่ยังวางแผนจะทำลายแผนที่ผมวางไว้ตั้งแต่แรก

 

ผมมั่นใจได้เลยล่ะ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนเดิมของผม ผมจะอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบด้วยการแสดงความใจดีต่อเดซี่ในเวลาที่เธออ่อนแอสุดๆหลังจากการผ่าตัด 

มันไม่สำคัญหรอกว่า ความใจดีตอนนั้นของผมจะเป็นของจริงหรือปลอม ความจริงที่ว่า ที่ผมใจดีต่อเดซี่จะทำให้เธอไม่อาจทำอะไรโดยไม่คิดได้

 

พอผมเมตตาเดซี่แบบนั้นเข้า เธอก็ทำอะไรผมไม่ได้ ความใจดีของผมจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆยิ่งเวลาผ่านไปก่อนจะทันรู้ตัว เดซี่ก็จะกลายเป็นของผมโดยสมบูรณ์ นั่นเป็นแผนเดิมที่ผมวางไว้

 

 

แต่คืนที่ผ่านมาทำให้สถานการณ์นั้นมันไม่เกิดขึ้น เธอยั่วโมโหผมเพื่อให้ผมทุบตีเธอ 

ถ้ามองกันคร่าวๆ ผมไม่ได้แต่ทุบตีเธอในฐานะทาสแต่ผมยังบังคับให้เธอต้องรับการผ่าตัดที่น่าสะพรึงด้วย แถมผมยังทำร้ายคนป่วยอีกต่างหาก

 

 

ถือว่าผมพ่ายแพ้ในสงครามจิตวิทยาไปแล้ว ต่อให้ผมใจดีกับเธอตอนนี้ มันก็แค่เป็นความใจดีที่เกิดขึ้นจากการต้องการการชดเชยทุกอย่างที่ได้ทำกับเธอลงไป 

 

 

นังหนูหยาบคายนี่

 

“…….”

 

เจเรมิฟังผมเงียบๆก่อนจะพูดขึ้นอย่างระวัง

 

“อืมฮึ ……ฝ่าบาทคะ? ท่านคิด ‘แบบนั้น’ ตลอดเวลาที่ท่านมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเลยเหรอคะ? 

อย่างเช่นว่า อีกฝ่ายคิดอะไร เขามีโครงสร้างความรู้สึกนึกคิดแบบไหน และจะชิงความได้เปรียบอย่างไร……? 

ยิ่งกว่านั้น ท่านกำลังจะบอกว่า เด็กสาวคนนี้ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน?”

 

“ถูกต้อง”

ผมขมวดคิ้ว

 

“ข้าเป็นจอมมารที่อ่อนแอที่สุด จอมมารลำดับ 71 หากข้าไม่อาจเข้าใจเจตนาว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรและตั้งใจจะทำอะไร ถ้าอย่างนั้นข้าก็กลายเป็นเหยื่อให้ล่าง่ายๆสิ 

หากเจ้ารู้จักตัวเอง รู้จักศัตรูของเจ้า เจ้าก็ชนะได้ในทุกศึก ที่มันพื้นฐานของพื้นฐานเลยไม่ใช่รึ?”

 

 

“โดยปกติแล้ว……

การพยายามทำความเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ การที่ใครสักคนที่จะพูดแบบนั้น วางตัวแบบนั้นน่ะมัน ……

เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ ช่างมันเถอะ”

 

เจเรมิถอนใจออกมา

 

 

“มันเป็นแนวทางของนักวางแผน ฉันเข้าใจแล้วค่ะ 

เฮ่อ วิถีชีวิตที่ผิดปกติแบบนั้นก็มีด้วยว่าแต่ฝ่าบาทรู้ได้ยังไงกันคะว่าเด็กคนนี้เป็นคนเช่นเดียวกันกับท่าน?”

 

ผมพ่นลมออกจมูก

 

“แค่ดูก็รู้แล้ว ว่าแม่นี่มันตัวก่อเรื่อง”

 

“…….”

 

มือของเจเรมิหยุดลงขณะรักษาเดซี่ไปชั่วครู่ก่อนจะมองผมด้วยความงงงวย 

ปากของเธอขยับพะงาบเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถอนใจแล้วกลับไปทำงานแทน เธอบ่นพึมพัมบางอย่างขณะส่ายหัว แต่ผมไม่ได้ยินเธอ

 

ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เดซี่ลืมตาตื่นขึ้นมา ต้องขอบคุณพลังของน้ำสมุนไพรที่ทำให้ริมฝีปากของเธอหาย ผิวหนังกลับมาดีเหมือนเดิม

 

“…….”

เดซี่หันมามองทางนี้ มองไปมาระหว่างผมกับเจเรมิก่อนที่จะก้มหัวแสดงความเคารพต่อเจเรมิ

 

“ขอบคุณที่รักษาหนูค่ะ”

 

“โอ้แหม อย่าใส่ใจเลยจ่ะ”

ผมรู้สึกได้ถึงเสียงเปรียะในหัวขึ้นมาอีกครั้ง นังหนูระยำนี่! 

 

การแสดงความขอบคุณต่อเจเรมินั้นเป็นการแสดงที่ต้องการบอกกับผมว่า 

หนูไม่ขอบคุณคุณนะคะ 

นั่นเป็นสิ่งที่เธออยากจะบอกผม

 

ผมหมุนลูกบอลไม้ด้วยมือที่สั่น ผมพยายามคุมตัวเองด้วยการคลึงหมุนลูกบอลด้วยฝ่ามือ

 

หัวผมเย็นลงเมื่อรับรู้สัมผัสลูกบอลกดฝ่ามือ 

ใช่ ใช่เลย ถูกแล้ว เย็นไว้นะ ดันทาเลี่ยน…….

นางเด็กกว่านายถึง 10 ปี อย่าไปตกหลุมแผนโต้งๆนั่น เราแค่เสียแผนการแรกไป เธอไม่ได้มีแผนอื่นอะไรซ่อนไว้อีกแล้ว

 

 

“ดูเหมือนแม่สาวผู้มีอนาคตเป็นมือสังหารจะตื่นขึ้นแล้ว”

 

ผมยิ้มออกมา ผมยังคงแสดงท่าทีที่ปิดบังความโกรธด้วยรอยยิ้ม แต่ก็อดไม่ด้ที่จะเยาะเย้ยถากถาง

 

“ข้าสงสัยเหลือเกินว่า เจ้าจะหลับสบายดีไหม ไม่สงสัยหรือว่า แขนขาพ่อแม่เจ้าจะยังอยู่ดีอยู่หรือเปล่า?”

 

“……ฮึ”

เด็กสาวพ่นลมออกจมูก ห่าเอ้ย ทำท่าแบบนั้น

 

เห็นชัดเลยว่า แม่นี่จงใจจะให้ผมสติแตก สีหน้าของเธอนั้นไร้ซึ่งอารมณ์แต่ไอ้การที่พ่นลมออกมาเพื่อเยาะเย้ยด้วยการแสดงความโกรธแบบนั้นออกมา

 

ผมเผลอบีบลูกบอลไม้ในมือโดยมันทันรู้ตัว ผมอยากจะซัดหน้าเด็กสาวที่แสนน่ารำคาญอีกซักครั้ง มันเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะแขวนคอบนตะแลงแกงด้วยความผิดที่ฮึดฮัดใส่ชาวบ้าน

 

มันไม่ผิดกฏหมายหรอกน่า ยัยนี่มันเป็นอาวุธ! การปฏิบัติต่ออาวุธด้วยการตบตีนั่นเป็นเรื่องที่รับได้

 

 

ผมห่อปากก่อนจะพูดออกมา

 

“เอาล่ะ เรื่องไม่จำเป็นไว้ทีหลัง”

 

“หนูยังไม่ได้พูดอะไร”

เดซี่มองมาที่ผมราวกับกำลังตำหนิ

แรงกระตุ้นอยากฆ่าของมันปะทุขึ้นมา

 

 

“……ข้าช่างรู้สึกประทับใจกับการที่เจ้าทำในคืนที่ผ่านมา มันเป็นการประกาศสงครามที่ยอดเยี่ยมนัก แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มีของขวัญอย่างให้เจ้า รู้ไหมว่านี่คืออะไรเอ่ย?”

ผมยกมือขวาขึ้น สิ่งที่โปร่งใสนุ่มนิ่มขยับตัวดึ๋งด้วยรูปร่างที่กลมเกลี้ยง

 

“สไลม์ยังไงล่ะ”

 

“ตอนนี้ข้าจะเอามันใส่เข้าไปในร่างของเจ้า หวังว่าเจ้าจะยินดีรับมันเข้าไปนะ”

 

“ตามใจท่าน”

 

เธอตอบสั้นๆ เธอยังไม่ยอมละทิ้งท่าทีที่ว่าต่อให้ตัวเองตายก็ไม่เป็นไร 

โฮ่ ช่างเป็นผู้ที่โอหังบังอาจนัก ว่าที่ฮีโร่เดซี่เอ๋ย ข้าจะเฝ้าดูว่าเจ้าจะรักษาความโอหังแบบนั้นไปได้สักกี่วัน

 

“เจเรมิ”

 

“รับทราบค่ะ”

 

เจเรมิรับสไลม์ไปจากผม เธอแตะจิ้มตรงแกนกลางสไลม์ด้วยนิ้วมือ สไลม์ตัวนั้นก็แบ่งตัวเป็นสองส่วน

 

“เอาล่ะ คุณเดซี่ ทีนี้แหกขาออกนะ”

 

“…….”

 

ดูเหมือนตอนนี้เดซี่จะรู้แล้วว่า สไลม์มีไว้ทำอะไร

 

เธอมองสไลม์ด้วยแววตาไร้อารมณ์ก่อนที่จะหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าแววตาแบบเดียวกันอีกครั้ง มันเป็นวิธีการบอกอ้อมๆกับผมว่า อย่าดูนะ

แล้วเธอจะทำแบบนั้นไปทำไม ในเมื่อผมเห็นทุกอย่างแล้วนับตั้งแต่ตอนผ่าตัดสลักตราทาสที่หัวใจ?

 

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ท่าทางประหลาดๆนั่นก็น่าเอ็นดูเสียจนผมต้องยอมหันหน้าไปทางอื่น ผมได้ยินเสียงบางอย่าง

 

“นับแต่นี้ข้าจะให้การศึกษากับเจ้า มันเป็นปัญหามากหากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า”

 

“……เข้าใจแล้วค่ะ”

 

นั่นคือขั้นตอนแรกเจเรมินั้นใส่สไลม์ครึ่งหนึ่ง ‘เข้าไปใน’ เดซี่  สไลม์ตัวโปร่งใสเลื้อยเข้าไปแบบเก้ๆกังๆ แต่สุดท้ายก็คลานเข้าไปข้างในจนสุด

 

 

“…….”

 

หรือเธอคิดว่า นี่มันเริ่มขึ้นแล้วอย่างนั้นรึ? ผมได้ยินเสียงเดซี่กลั้นหายใจ สัมผัสประหลาดจากสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเข้าไปทั้งที่มันยังมีชีวิต มันเป็นมอนสเตอร์ประเภทนั้นนั่นแหละ

ผ่านไปเกือบนาที ผมเคาะเท้าด้วยความเบื่อหน่าย

 

เจเรมิพูดขึ้น

“เสร็จแล้ว คราวนี้จะใส่เข้าไปอีกชิ้น”

 

“……?”

 

ตอนนี้สไลม์ที่เข้าไปก่อนหน้าโดนดึงออกมา

ผมหัวไปมองเดซี่ เธอก็มองผมเช่นกัน จากมุมมองของเธอคงเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น

 

จากสายตาของเธอคงพยายามจะคิดให้ออกว่าจุดประสงค์ของผมคืออะไร ผมรู้สึกสบายๆจึงมอบรอยยิ้มให้เธอ

 

ระหว่างนั้นเองเจเรมิก็ใส่สไลม์ตัวที่สองเข้าไป

 

คราวนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากครั้งแรกสไลม์ตัวแรก สไลม์ตัวที่สองไม่ได้โดนดึงออกมา

ดังนั้นสไลม์ตัวที่สองยังคงอยู่ข้างในร่างกายของเดซี่

 

“รู้สึกอึดอัดไหม?”

 

“……ไม่ ไม่รู้สึก”

ดูเหมือนเดซี่คิดว่า มันจะจบลงแล้ว

“หนูแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย”

 

“แหมที่รัก ก็ดีแล้ว ถือว่าสำเร็จลุล่วง ถ้าอย่างนั้น”

 

เจเรมิพูดอย่างอ่อนโยน

 

“ตอนนี้ก็ลุกขึ้นมาแล้วห่มผ้า ไม่หิวหรือหลังจากนอนมาตั้งนาน? ยังมีซุปเหลืออยู่ในหม้อ ไปกินได้นะ”

 

เจเรมิประคองให้เดซี่ลุกขึ้นมา เธอห่อตัวเดซี่ด้วยผ้าคลุมที่เตรียมไว้ก่อนหน้า แม้มันจะดูเก่าแต่เป็นไอเท็มชั้นเลิศที่มีเวทย์กันความหนาวร่ายลงไป

 

“เอ้อ ต่อจากนี้เรียกฉันว่า อาจารย์นะ”

 

“……ค่ะ อาจารย์ หนูอยู่ในการดูแลของอาจารย์แล้วค่ะ”

เจเรมิออกจากรถม้าไปพร้อมกับเดซี่

 

เดซี่ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความสงสัยแม้จะออกไปจากรถม้าแล้ว แต่เธอจะไปรู้อะไรล่ะ? ผมหัวเราะเอิ้กกับตัวเองขณะที่อยู่ตามลำพังในห้องรถม้า

 

ไม่ว่าเธอจะฉลาดแค่ไหน ก็อายุแค่ 10 ปี เธอไม่สามารถทันรับอะไรแบบนี้ได้หรอก นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเล็งไว้…….

 

 

การโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญทางการทหาร ไม่ผิดตรงไหนอยู่แล้ว  ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่า เธอจะทำสีหน้าแบบไหนกัน

 

แต่ถึงอย่างนั้นโชคไม่ดีเหลือเกิน ที่ผมน่ะจะต้องไปพบปะกับจอมมารตอนอื่นก่อน……. 

ผมจะเอาคืนสิ่งที่เธอทำไปเมื่อคืนน่ะ ก็ตอนที่ผมกลับมาจากการประชุมแล้วนั่นแหละ

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 182 ความเกลียดชังมนุษย์ (4)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 182 ความเกลียดชังมนุษย์ (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

เจเรมิหยิบข้าวของมากมายออกจากกระเป๋าอุปกรณ์ เธอนั้นเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น

 

“พวกนี้เป็นโพชั่นที่ฉันเก็บสะสมไว้”

 

ในกล่องไม้นั้นมีขวดใสอยู่มากมาย แต่ละขวดบรรจุด้วยของเหลวหลากหลายสีสัน มีทั้งโพชั่น,มีดผ่าตัด,เครื่องหอม และผงสมุนไพรที่ผมเห็นก่อนหน้าแบ่งไว้เป็นสัดเป็นส่วน จะนิยามว่ายังไงดีนะ? 

เหมือนผมกำลังมองข้างของที่เป็นของนักเก็บสมุนไพร,หมอและนักทำน้ำหอมในเวลาเดียวกัน

 

“อื้มฮึ ดูเหมือนเธอจะไม่ใช่มือสังหารธรรมดา หากแต่ยังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุผู้ชำนาญนี่น่ะ?”

 

“เป็นปกติค่ะสำหรับมือสังหารที่จะต้องรู้เรื่องตัวยา อย่างน้อยถ้าหากอยากเป็นหัวหน้าในกลุ่มมือสังหาร”

 

มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับการที่รู้จักตัวสารพิษต่างๆและแก๊สพิษทั้งหลายสินะ? ในกรณีนั้นมือสังหารต้องเชี่ยวชาญทั้งสองอย่าง ภาพที่ผมมีในหัวเกี่ยวกับมือสังหารเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

พอเตรียมการเสร็จพวกเราก็กลับไปที่รถม้า

 

เดซี่ยังคงล้มนอนอยู่กับพื้นรถม้า เจเรมิรีบพาเดซี่ขึ้นบนเตียงแล้วรักษาเธอในทันที เธอเทของเหลวสีเหลืองเข้าไปในปากของเดซี่ พอผมถามเธอว่านั่นคืออะไร สิ่งนั้นก็คือน้ำผึ้งที่ผสมตัวยาสมุนไพรต่างๆละลายเจือลงไปด้วย

 

“นี่ไม่ใช่ผลกระทบหลังการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวแล้วค่ะ……

เฮ่ออออ ฝ่าบาทคะ ท่านทำกับเธอรุนแรงเกินไปแล้ว ดูที่ริมฝีปากสิคะ ฉันว่า อาการบาดเจ็บตอนนี้หนักหนากว่าหลังผ่าตัดเสียอีก”

 

ในรถม้านั้นมีแต่แสงเทียน เจเรมิถอดเสื้อผ้าของโทรมๆของเดซี่ออกแล้วจุ่มผ้าขนหนูลงไปในน้ำสมุนไพรต้มเพื่อทำความสะอาดร่างกายของเดซี่

 

“เธอยังเป็นเด็กผู้หญิงอยู่เลย ท่านไม่ควรทำลายใบหน้าเธอนะคะ”

 

“พอเธอพูดแบบนี้แล้วฟังดูมีน้ำหนักน่าเชื่อจริงๆ”

 

“ฟุฟุ”

 

ใบหน้าครึ่งซีกของเจเรมิโดนแผดเผาอย่างน่ากลัว ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

 

“นังหนูมันยั่วโมโหข้า”

ผมทิ้งตัวลงกับที่นั่งอีกข้างหนึ่ง

 

“อีหนูน่าขยะแขยงขี้ฉ้อนี่”

 

“โอ้ นางยั่วโมโหท่านเหรอ? นางยั่วโมโหแบบไหนกันถึงสามารถทำฝ่าบาทโกรธได้? ปกติท่านออกจะนิ่งสงบเก็บงำอารมณ์เก่ง ทำเอาฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆนะคะ”

 

 

(TTL : นี่ เจเรมิ หรือ จิตันดะ เอรุ กันเนี่ย [จากเรื่อง ‘เฮียวกะ ปริศนาความทรงจำ’] ขี้สงสัยไปเสียทุกอย่างจริงๆ! )

 

 

“เรื่องไม่จำเป็นไว้ทีหลังเถอะ”

แม่นั่นพูดถึงแม่ผม

ผมโกรธขนาดนี่ตัวเองยังตกใจเลย แต่เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ

‘นังหนูนี่มันรู้วิธีครอบงำอารมณ์ผม’

ผมคิดกับตัวเองขณะที่ดูการรักษาอยู่ข้างๆ

 

เหมือนกับตอนที่อยู่ในหมู่บ้านร้างนั่น เด็กสาวอายุ 10 ปี พูดแต่ในสิ่งที่ควรจะพูดเพื่อให้มันมีผลต่อความคิดของผม

สิ่งที่เธอทำคือ ดึงด้านดีๆของผมออกมา เพื่อให้ผมเข้าใจและเมตตา ราวกับว่า เธอกำลังอ่านใจเพื่อนเก่าของเธอ

 

ความโกรธของผมคงบรรเทาลงหากเดซี่ยอมขอโทษที่พยายามที่จะลอบสังหารผม 

เธอน่ะเป็นฮีโร่อยู่แล้ว ไม่สิ เธอน่ะมันเป็นแค่เปลือกของฮีโร่คนหนึ่ง เห็นกันชัดๆเลยว่า เธอต้องการจะฆ่าผม 

แต่ถึงอย่างนั้น ผมจะไม่มีวันให้อภัยเธอกับการที่พยายามจะลอบฆ่าผมโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว

 

 

นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่มีทางอภัยให้ได้อย่างเด็ดขาด

อะไรที่คาดเดาไม่ได้ และเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยที่ผมไม่รู้เป็น และยังเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะได้รับประสบการณ์แบบนั้นอีกแล้ว

 

 

“นังหนูนั่นทำข้าขนลุก การผ่าตัดนั่นต้องเจ็บมากแน่ แต่นังหนูมันกลับ…….”

 

“เธอทำให้ฝ่าบาทขนลุก? มันเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน?”

 

“เธอตั้งใจที่จะไม่ขอโทษแม้จะต้องตาย”

 

ผมขบเคี่ยวเคี้ยวฟัน เธออ่านนิสัยผมออกไม่ต่างจากหนังสือ ผมเองก็อ่านใจเธอได้ง่ายๆเช่นกัน มันเห็นกันอยู่ชัดๆ

แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนเจเรมิจะไม่เข้าใจ ว่าผมหมายถึงอะไรอยู่เธอจึงเอียงคอสงสัย

 

“ฉันขอโทษด้วยค่ะ ฝ่าบาท แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าท่านหมายความว่าอย่างไร”

 

“ว่าให้ง่ายเข้า มันเป็นการต่อสู้ด้วยศักดิ์ศรี 

นางไม่ต้องการขอโทษที่พยายามจะลอบสังหารข้า เพราะหากนางขอโทษก็แปลว่า นางจะไม่สามารถพยายามทำแบบนั้นได้อีกต่อไป

แถมยังไม่ต้องการได้รับความเมตตาการุณจากข้าด้วยเช่นกัน”

แม่นั่นต้องการสร้างสภาวะทางความรู้สึกให้เสมอเท่าเทียมกันกับผม

 

 

“……ท่านกำลังจะบอกว่า แม่หนูนี่พยายามยั่วยุท่านทั้งๆที่รู้ว่า จะต้องถูกทุบตีอย่างนี้เหรอคะ?”

 

“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วนี่? เธอไม่ได้ทำไปแบบไม่คิดอะไร เธอทำทุกอย่างโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว”

 

ข้างในผมมันก็เดือดขึ้นมาทันที

 

“เธอประกาศสงครามกับข้า เด็กสาวที่ไม่คิดหวังจะสร้างความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกันนับตั้งแต่ที่เราสองอยู่ในฐานะนายกับทาส 

เรามาเชือดเฉือนกันเองและใช้เวลาในแต่ละวันที่อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างกับอยู่ในนรกไปด้วยกันเถอะ ……

นี่คือ สิ่งที่แม่นั่นต้องการจะบอกข้า นังหนูจากนรกเอ๊ย”

 

แถมแม่นี่ยังวางแผนจะทำลายแผนที่ผมวางไว้ตั้งแต่แรก

 

ผมมั่นใจได้เลยล่ะ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนเดิมของผม ผมจะอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบด้วยการแสดงความใจดีต่อเดซี่ในเวลาที่เธออ่อนแอสุดๆหลังจากการผ่าตัด 

มันไม่สำคัญหรอกว่า ความใจดีตอนนั้นของผมจะเป็นของจริงหรือปลอม ความจริงที่ว่า ที่ผมใจดีต่อเดซี่จะทำให้เธอไม่อาจทำอะไรโดยไม่คิดได้

 

พอผมเมตตาเดซี่แบบนั้นเข้า เธอก็ทำอะไรผมไม่ได้ ความใจดีของผมจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆยิ่งเวลาผ่านไปก่อนจะทันรู้ตัว เดซี่ก็จะกลายเป็นของผมโดยสมบูรณ์ นั่นเป็นแผนเดิมที่ผมวางไว้

 

 

แต่คืนที่ผ่านมาทำให้สถานการณ์นั้นมันไม่เกิดขึ้น เธอยั่วโมโหผมเพื่อให้ผมทุบตีเธอ 

ถ้ามองกันคร่าวๆ ผมไม่ได้แต่ทุบตีเธอในฐานะทาสแต่ผมยังบังคับให้เธอต้องรับการผ่าตัดที่น่าสะพรึงด้วย แถมผมยังทำร้ายคนป่วยอีกต่างหาก

 

 

ถือว่าผมพ่ายแพ้ในสงครามจิตวิทยาไปแล้ว ต่อให้ผมใจดีกับเธอตอนนี้ มันก็แค่เป็นความใจดีที่เกิดขึ้นจากการต้องการการชดเชยทุกอย่างที่ได้ทำกับเธอลงไป 

 

 

นังหนูหยาบคายนี่

 

“…….”

 

เจเรมิฟังผมเงียบๆก่อนจะพูดขึ้นอย่างระวัง

 

“อืมฮึ ……ฝ่าบาทคะ? ท่านคิด ‘แบบนั้น’ ตลอดเวลาที่ท่านมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเลยเหรอคะ? 

อย่างเช่นว่า อีกฝ่ายคิดอะไร เขามีโครงสร้างความรู้สึกนึกคิดแบบไหน และจะชิงความได้เปรียบอย่างไร……? 

ยิ่งกว่านั้น ท่านกำลังจะบอกว่า เด็กสาวคนนี้ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน?”

 

“ถูกต้อง”

ผมขมวดคิ้ว

 

“ข้าเป็นจอมมารที่อ่อนแอที่สุด จอมมารลำดับ 71 หากข้าไม่อาจเข้าใจเจตนาว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรและตั้งใจจะทำอะไร ถ้าอย่างนั้นข้าก็กลายเป็นเหยื่อให้ล่าง่ายๆสิ 

หากเจ้ารู้จักตัวเอง รู้จักศัตรูของเจ้า เจ้าก็ชนะได้ในทุกศึก ที่มันพื้นฐานของพื้นฐานเลยไม่ใช่รึ?”

 

 

“โดยปกติแล้ว……

การพยายามทำความเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ การที่ใครสักคนที่จะพูดแบบนั้น วางตัวแบบนั้นน่ะมัน ……

เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ ช่างมันเถอะ”

 

เจเรมิถอนใจออกมา

 

 

“มันเป็นแนวทางของนักวางแผน ฉันเข้าใจแล้วค่ะ 

เฮ่อ วิถีชีวิตที่ผิดปกติแบบนั้นก็มีด้วยว่าแต่ฝ่าบาทรู้ได้ยังไงกันคะว่าเด็กคนนี้เป็นคนเช่นเดียวกันกับท่าน?”

 

ผมพ่นลมออกจมูก

 

“แค่ดูก็รู้แล้ว ว่าแม่นี่มันตัวก่อเรื่อง”

 

“…….”

 

มือของเจเรมิหยุดลงขณะรักษาเดซี่ไปชั่วครู่ก่อนจะมองผมด้วยความงงงวย 

ปากของเธอขยับพะงาบเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถอนใจแล้วกลับไปทำงานแทน เธอบ่นพึมพัมบางอย่างขณะส่ายหัว แต่ผมไม่ได้ยินเธอ

 

ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เดซี่ลืมตาตื่นขึ้นมา ต้องขอบคุณพลังของน้ำสมุนไพรที่ทำให้ริมฝีปากของเธอหาย ผิวหนังกลับมาดีเหมือนเดิม

 

“…….”

เดซี่หันมามองทางนี้ มองไปมาระหว่างผมกับเจเรมิก่อนที่จะก้มหัวแสดงความเคารพต่อเจเรมิ

 

“ขอบคุณที่รักษาหนูค่ะ”

 

“โอ้แหม อย่าใส่ใจเลยจ่ะ”

ผมรู้สึกได้ถึงเสียงเปรียะในหัวขึ้นมาอีกครั้ง นังหนูระยำนี่! 

 

การแสดงความขอบคุณต่อเจเรมินั้นเป็นการแสดงที่ต้องการบอกกับผมว่า 

หนูไม่ขอบคุณคุณนะคะ 

นั่นเป็นสิ่งที่เธออยากจะบอกผม

 

ผมหมุนลูกบอลไม้ด้วยมือที่สั่น ผมพยายามคุมตัวเองด้วยการคลึงหมุนลูกบอลด้วยฝ่ามือ

 

หัวผมเย็นลงเมื่อรับรู้สัมผัสลูกบอลกดฝ่ามือ 

ใช่ ใช่เลย ถูกแล้ว เย็นไว้นะ ดันทาเลี่ยน…….

นางเด็กกว่านายถึง 10 ปี อย่าไปตกหลุมแผนโต้งๆนั่น เราแค่เสียแผนการแรกไป เธอไม่ได้มีแผนอื่นอะไรซ่อนไว้อีกแล้ว

 

 

“ดูเหมือนแม่สาวผู้มีอนาคตเป็นมือสังหารจะตื่นขึ้นแล้ว”

 

ผมยิ้มออกมา ผมยังคงแสดงท่าทีที่ปิดบังความโกรธด้วยรอยยิ้ม แต่ก็อดไม่ด้ที่จะเยาะเย้ยถากถาง

 

“ข้าสงสัยเหลือเกินว่า เจ้าจะหลับสบายดีไหม ไม่สงสัยหรือว่า แขนขาพ่อแม่เจ้าจะยังอยู่ดีอยู่หรือเปล่า?”

 

“……ฮึ”

เด็กสาวพ่นลมออกจมูก ห่าเอ้ย ทำท่าแบบนั้น

 

เห็นชัดเลยว่า แม่นี่จงใจจะให้ผมสติแตก สีหน้าของเธอนั้นไร้ซึ่งอารมณ์แต่ไอ้การที่พ่นลมออกมาเพื่อเยาะเย้ยด้วยการแสดงความโกรธแบบนั้นออกมา

 

ผมเผลอบีบลูกบอลไม้ในมือโดยมันทันรู้ตัว ผมอยากจะซัดหน้าเด็กสาวที่แสนน่ารำคาญอีกซักครั้ง มันเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะแขวนคอบนตะแลงแกงด้วยความผิดที่ฮึดฮัดใส่ชาวบ้าน

 

มันไม่ผิดกฏหมายหรอกน่า ยัยนี่มันเป็นอาวุธ! การปฏิบัติต่ออาวุธด้วยการตบตีนั่นเป็นเรื่องที่รับได้

 

 

ผมห่อปากก่อนจะพูดออกมา

 

“เอาล่ะ เรื่องไม่จำเป็นไว้ทีหลัง”

 

“หนูยังไม่ได้พูดอะไร”

เดซี่มองมาที่ผมราวกับกำลังตำหนิ

แรงกระตุ้นอยากฆ่าของมันปะทุขึ้นมา

 

 

“……ข้าช่างรู้สึกประทับใจกับการที่เจ้าทำในคืนที่ผ่านมา มันเป็นการประกาศสงครามที่ยอดเยี่ยมนัก แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มีของขวัญอย่างให้เจ้า รู้ไหมว่านี่คืออะไรเอ่ย?”

ผมยกมือขวาขึ้น สิ่งที่โปร่งใสนุ่มนิ่มขยับตัวดึ๋งด้วยรูปร่างที่กลมเกลี้ยง

 

“สไลม์ยังไงล่ะ”

 

“ตอนนี้ข้าจะเอามันใส่เข้าไปในร่างของเจ้า หวังว่าเจ้าจะยินดีรับมันเข้าไปนะ”

 

“ตามใจท่าน”

 

เธอตอบสั้นๆ เธอยังไม่ยอมละทิ้งท่าทีที่ว่าต่อให้ตัวเองตายก็ไม่เป็นไร 

โฮ่ ช่างเป็นผู้ที่โอหังบังอาจนัก ว่าที่ฮีโร่เดซี่เอ๋ย ข้าจะเฝ้าดูว่าเจ้าจะรักษาความโอหังแบบนั้นไปได้สักกี่วัน

 

“เจเรมิ”

 

“รับทราบค่ะ”

 

เจเรมิรับสไลม์ไปจากผม เธอแตะจิ้มตรงแกนกลางสไลม์ด้วยนิ้วมือ สไลม์ตัวนั้นก็แบ่งตัวเป็นสองส่วน

 

“เอาล่ะ คุณเดซี่ ทีนี้แหกขาออกนะ”

 

“…….”

 

ดูเหมือนตอนนี้เดซี่จะรู้แล้วว่า สไลม์มีไว้ทำอะไร

 

เธอมองสไลม์ด้วยแววตาไร้อารมณ์ก่อนที่จะหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าแววตาแบบเดียวกันอีกครั้ง มันเป็นวิธีการบอกอ้อมๆกับผมว่า อย่าดูนะ

แล้วเธอจะทำแบบนั้นไปทำไม ในเมื่อผมเห็นทุกอย่างแล้วนับตั้งแต่ตอนผ่าตัดสลักตราทาสที่หัวใจ?

 

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ท่าทางประหลาดๆนั่นก็น่าเอ็นดูเสียจนผมต้องยอมหันหน้าไปทางอื่น ผมได้ยินเสียงบางอย่าง

 

“นับแต่นี้ข้าจะให้การศึกษากับเจ้า มันเป็นปัญหามากหากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า”

 

“……เข้าใจแล้วค่ะ”

 

นั่นคือขั้นตอนแรกเจเรมินั้นใส่สไลม์ครึ่งหนึ่ง ‘เข้าไปใน’ เดซี่  สไลม์ตัวโปร่งใสเลื้อยเข้าไปแบบเก้ๆกังๆ แต่สุดท้ายก็คลานเข้าไปข้างในจนสุด

 

 

“…….”

 

หรือเธอคิดว่า นี่มันเริ่มขึ้นแล้วอย่างนั้นรึ? ผมได้ยินเสียงเดซี่กลั้นหายใจ สัมผัสประหลาดจากสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเข้าไปทั้งที่มันยังมีชีวิต มันเป็นมอนสเตอร์ประเภทนั้นนั่นแหละ

ผ่านไปเกือบนาที ผมเคาะเท้าด้วยความเบื่อหน่าย

 

เจเรมิพูดขึ้น

“เสร็จแล้ว คราวนี้จะใส่เข้าไปอีกชิ้น”

 

“……?”

 

ตอนนี้สไลม์ที่เข้าไปก่อนหน้าโดนดึงออกมา

ผมหัวไปมองเดซี่ เธอก็มองผมเช่นกัน จากมุมมองของเธอคงเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น

 

จากสายตาของเธอคงพยายามจะคิดให้ออกว่าจุดประสงค์ของผมคืออะไร ผมรู้สึกสบายๆจึงมอบรอยยิ้มให้เธอ

 

ระหว่างนั้นเองเจเรมิก็ใส่สไลม์ตัวที่สองเข้าไป

 

คราวนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากครั้งแรกสไลม์ตัวแรก สไลม์ตัวที่สองไม่ได้โดนดึงออกมา

ดังนั้นสไลม์ตัวที่สองยังคงอยู่ข้างในร่างกายของเดซี่

 

“รู้สึกอึดอัดไหม?”

 

“……ไม่ ไม่รู้สึก”

ดูเหมือนเดซี่คิดว่า มันจะจบลงแล้ว

“หนูแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย”

 

“แหมที่รัก ก็ดีแล้ว ถือว่าสำเร็จลุล่วง ถ้าอย่างนั้น”

 

เจเรมิพูดอย่างอ่อนโยน

 

“ตอนนี้ก็ลุกขึ้นมาแล้วห่มผ้า ไม่หิวหรือหลังจากนอนมาตั้งนาน? ยังมีซุปเหลืออยู่ในหม้อ ไปกินได้นะ”

 

เจเรมิประคองให้เดซี่ลุกขึ้นมา เธอห่อตัวเดซี่ด้วยผ้าคลุมที่เตรียมไว้ก่อนหน้า แม้มันจะดูเก่าแต่เป็นไอเท็มชั้นเลิศที่มีเวทย์กันความหนาวร่ายลงไป

 

“เอ้อ ต่อจากนี้เรียกฉันว่า อาจารย์นะ”

 

“……ค่ะ อาจารย์ หนูอยู่ในการดูแลของอาจารย์แล้วค่ะ”

เจเรมิออกจากรถม้าไปพร้อมกับเดซี่

 

เดซี่ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความสงสัยแม้จะออกไปจากรถม้าแล้ว แต่เธอจะไปรู้อะไรล่ะ? ผมหัวเราะเอิ้กกับตัวเองขณะที่อยู่ตามลำพังในห้องรถม้า

 

ไม่ว่าเธอจะฉลาดแค่ไหน ก็อายุแค่ 10 ปี เธอไม่สามารถทันรับอะไรแบบนี้ได้หรอก นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเล็งไว้…….

 

 

การโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญทางการทหาร ไม่ผิดตรงไหนอยู่แล้ว  ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่า เธอจะทำสีหน้าแบบไหนกัน

 

แต่ถึงอย่างนั้นโชคไม่ดีเหลือเกิน ที่ผมน่ะจะต้องไปพบปะกับจอมมารตอนอื่นก่อน……. 

ผมจะเอาคืนสิ่งที่เธอทำไปเมื่อคืนน่ะ ก็ตอนที่ผมกลับมาจากการประชุมแล้วนั่นแหละ

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+