Dungeon Defense (WN) 182 ความเกลียดชังมนุษย์ (4)
เจเรมิหยิบข้าวของมากมายออกจากกระเป๋าอุปกรณ์ เธอนั้นเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
“พวกนี้เป็นโพชั่นที่ฉันเก็บสะสมไว้”
ในกล่องไม้นั้นมีขวดใสอยู่มากมาย แต่ละขวดบรรจุด้วยของเหลวหลากหลายสีสัน มีทั้งโพชั่น,มีดผ่าตัด,เครื่องหอม และผงสมุนไพรที่ผมเห็นก่อนหน้าแบ่งไว้เป็นสัดเป็นส่วน จะนิยามว่ายังไงดีนะ?
เหมือนผมกำลังมองข้างของที่เป็นของนักเก็บสมุนไพร,หมอและนักทำน้ำหอมในเวลาเดียวกัน
“อื้มฮึ ดูเหมือนเธอจะไม่ใช่มือสังหารธรรมดา หากแต่ยังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุผู้ชำนาญนี่น่ะ?”
“เป็นปกติค่ะสำหรับมือสังหารที่จะต้องรู้เรื่องตัวยา อย่างน้อยถ้าหากอยากเป็นหัวหน้าในกลุ่มมือสังหาร”
มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับการที่รู้จักตัวสารพิษต่างๆและแก๊สพิษทั้งหลายสินะ? ในกรณีนั้นมือสังหารต้องเชี่ยวชาญทั้งสองอย่าง ภาพที่ผมมีในหัวเกี่ยวกับมือสังหารเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
พอเตรียมการเสร็จพวกเราก็กลับไปที่รถม้า
เดซี่ยังคงล้มนอนอยู่กับพื้นรถม้า เจเรมิรีบพาเดซี่ขึ้นบนเตียงแล้วรักษาเธอในทันที เธอเทของเหลวสีเหลืองเข้าไปในปากของเดซี่ พอผมถามเธอว่านั่นคืออะไร สิ่งนั้นก็คือน้ำผึ้งที่ผสมตัวยาสมุนไพรต่างๆละลายเจือลงไปด้วย
“นี่ไม่ใช่ผลกระทบหลังการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวแล้วค่ะ……
เฮ่ออออ ฝ่าบาทคะ ท่านทำกับเธอรุนแรงเกินไปแล้ว ดูที่ริมฝีปากสิคะ ฉันว่า อาการบาดเจ็บตอนนี้หนักหนากว่าหลังผ่าตัดเสียอีก”
ในรถม้านั้นมีแต่แสงเทียน เจเรมิถอดเสื้อผ้าของโทรมๆของเดซี่ออกแล้วจุ่มผ้าขนหนูลงไปในน้ำสมุนไพรต้มเพื่อทำความสะอาดร่างกายของเดซี่
“เธอยังเป็นเด็กผู้หญิงอยู่เลย ท่านไม่ควรทำลายใบหน้าเธอนะคะ”
“พอเธอพูดแบบนี้แล้วฟังดูมีน้ำหนักน่าเชื่อจริงๆ”
“ฟุฟุ”
ใบหน้าครึ่งซีกของเจเรมิโดนแผดเผาอย่างน่ากลัว ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
“นังหนูมันยั่วโมโหข้า”
ผมทิ้งตัวลงกับที่นั่งอีกข้างหนึ่ง
“อีหนูน่าขยะแขยงขี้ฉ้อนี่”
“โอ้ นางยั่วโมโหท่านเหรอ? นางยั่วโมโหแบบไหนกันถึงสามารถทำฝ่าบาทโกรธได้? ปกติท่านออกจะนิ่งสงบเก็บงำอารมณ์เก่ง ทำเอาฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆนะคะ”
(TTL : นี่ เจเรมิ หรือ จิตันดะ เอรุ กันเนี่ย [จากเรื่อง ‘เฮียวกะ ปริศนาความทรงจำ’] ขี้สงสัยไปเสียทุกอย่างจริงๆ! )
“เรื่องไม่จำเป็นไว้ทีหลังเถอะ”
แม่นั่นพูดถึงแม่ผม
ผมโกรธขนาดนี่ตัวเองยังตกใจเลย แต่เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ
‘นังหนูนี่มันรู้วิธีครอบงำอารมณ์ผม’
ผมคิดกับตัวเองขณะที่ดูการรักษาอยู่ข้างๆ
เหมือนกับตอนที่อยู่ในหมู่บ้านร้างนั่น เด็กสาวอายุ 10 ปี พูดแต่ในสิ่งที่ควรจะพูดเพื่อให้มันมีผลต่อความคิดของผม
สิ่งที่เธอทำคือ ดึงด้านดีๆของผมออกมา เพื่อให้ผมเข้าใจและเมตตา ราวกับว่า เธอกำลังอ่านใจเพื่อนเก่าของเธอ
ความโกรธของผมคงบรรเทาลงหากเดซี่ยอมขอโทษที่พยายามที่จะลอบสังหารผม
เธอน่ะเป็นฮีโร่อยู่แล้ว ไม่สิ เธอน่ะมันเป็นแค่เปลือกของฮีโร่คนหนึ่ง เห็นกันชัดๆเลยว่า เธอต้องการจะฆ่าผม
แต่ถึงอย่างนั้น ผมจะไม่มีวันให้อภัยเธอกับการที่พยายามจะลอบฆ่าผมโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว
นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่มีทางอภัยให้ได้อย่างเด็ดขาด
อะไรที่คาดเดาไม่ได้ และเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยที่ผมไม่รู้เป็น และยังเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะได้รับประสบการณ์แบบนั้นอีกแล้ว
“นังหนูนั่นทำข้าขนลุก การผ่าตัดนั่นต้องเจ็บมากแน่ แต่นังหนูมันกลับ…….”
“เธอทำให้ฝ่าบาทขนลุก? มันเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
“เธอตั้งใจที่จะไม่ขอโทษแม้จะต้องตาย”
ผมขบเคี่ยวเคี้ยวฟัน เธออ่านนิสัยผมออกไม่ต่างจากหนังสือ ผมเองก็อ่านใจเธอได้ง่ายๆเช่นกัน มันเห็นกันอยู่ชัดๆ
แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนเจเรมิจะไม่เข้าใจ ว่าผมหมายถึงอะไรอยู่เธอจึงเอียงคอสงสัย
“ฉันขอโทษด้วยค่ะ ฝ่าบาท แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ว่าให้ง่ายเข้า มันเป็นการต่อสู้ด้วยศักดิ์ศรี
นางไม่ต้องการขอโทษที่พยายามจะลอบสังหารข้า เพราะหากนางขอโทษก็แปลว่า นางจะไม่สามารถพยายามทำแบบนั้นได้อีกต่อไป
แถมยังไม่ต้องการได้รับความเมตตาการุณจากข้าด้วยเช่นกัน”
แม่นั่นต้องการสร้างสภาวะทางความรู้สึกให้เสมอเท่าเทียมกันกับผม
“……ท่านกำลังจะบอกว่า แม่หนูนี่พยายามยั่วยุท่านทั้งๆที่รู้ว่า จะต้องถูกทุบตีอย่างนี้เหรอคะ?”
“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วนี่? เธอไม่ได้ทำไปแบบไม่คิดอะไร เธอทำทุกอย่างโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว”
ข้างในผมมันก็เดือดขึ้นมาทันที
“เธอประกาศสงครามกับข้า เด็กสาวที่ไม่คิดหวังจะสร้างความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกันนับตั้งแต่ที่เราสองอยู่ในฐานะนายกับทาส
เรามาเชือดเฉือนกันเองและใช้เวลาในแต่ละวันที่อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างกับอยู่ในนรกไปด้วยกันเถอะ ……
นี่คือ สิ่งที่แม่นั่นต้องการจะบอกข้า นังหนูจากนรกเอ๊ย”
แถมแม่นี่ยังวางแผนจะทำลายแผนที่ผมวางไว้ตั้งแต่แรก
ผมมั่นใจได้เลยล่ะ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนเดิมของผม ผมจะอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบด้วยการแสดงความใจดีต่อเดซี่ในเวลาที่เธออ่อนแอสุดๆหลังจากการผ่าตัด
มันไม่สำคัญหรอกว่า ความใจดีตอนนั้นของผมจะเป็นของจริงหรือปลอม ความจริงที่ว่า ที่ผมใจดีต่อเดซี่จะทำให้เธอไม่อาจทำอะไรโดยไม่คิดได้
พอผมเมตตาเดซี่แบบนั้นเข้า เธอก็ทำอะไรผมไม่ได้ ความใจดีของผมจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆยิ่งเวลาผ่านไปก่อนจะทันรู้ตัว เดซี่ก็จะกลายเป็นของผมโดยสมบูรณ์ นั่นเป็นแผนเดิมที่ผมวางไว้
แต่คืนที่ผ่านมาทำให้สถานการณ์นั้นมันไม่เกิดขึ้น เธอยั่วโมโหผมเพื่อให้ผมทุบตีเธอ
ถ้ามองกันคร่าวๆ ผมไม่ได้แต่ทุบตีเธอในฐานะทาสแต่ผมยังบังคับให้เธอต้องรับการผ่าตัดที่น่าสะพรึงด้วย แถมผมยังทำร้ายคนป่วยอีกต่างหาก
ถือว่าผมพ่ายแพ้ในสงครามจิตวิทยาไปแล้ว ต่อให้ผมใจดีกับเธอตอนนี้ มันก็แค่เป็นความใจดีที่เกิดขึ้นจากการต้องการการชดเชยทุกอย่างที่ได้ทำกับเธอลงไป
นังหนูหยาบคายนี่
“…….”
เจเรมิฟังผมเงียบๆก่อนจะพูดขึ้นอย่างระวัง
“อืมฮึ ……ฝ่าบาทคะ? ท่านคิด ‘แบบนั้น’ ตลอดเวลาที่ท่านมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเลยเหรอคะ?
อย่างเช่นว่า อีกฝ่ายคิดอะไร เขามีโครงสร้างความรู้สึกนึกคิดแบบไหน และจะชิงความได้เปรียบอย่างไร……?
ยิ่งกว่านั้น ท่านกำลังจะบอกว่า เด็กสาวคนนี้ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน?”
“ถูกต้อง”
ผมขมวดคิ้ว
“ข้าเป็นจอมมารที่อ่อนแอที่สุด จอมมารลำดับ 71 หากข้าไม่อาจเข้าใจเจตนาว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรและตั้งใจจะทำอะไร ถ้าอย่างนั้นข้าก็กลายเป็นเหยื่อให้ล่าง่ายๆสิ
หากเจ้ารู้จักตัวเอง รู้จักศัตรูของเจ้า เจ้าก็ชนะได้ในทุกศึก ที่มันพื้นฐานของพื้นฐานเลยไม่ใช่รึ?”
“โดยปกติแล้ว……
การพยายามทำความเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ การที่ใครสักคนที่จะพูดแบบนั้น วางตัวแบบนั้นน่ะมัน ……
เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ ช่างมันเถอะ”
เจเรมิถอนใจออกมา
“มันเป็นแนวทางของนักวางแผน ฉันเข้าใจแล้วค่ะ
เฮ่อ วิถีชีวิตที่ผิดปกติแบบนั้นก็มีด้วยว่าแต่ฝ่าบาทรู้ได้ยังไงกันคะว่าเด็กคนนี้เป็นคนเช่นเดียวกันกับท่าน?”
ผมพ่นลมออกจมูก
“แค่ดูก็รู้แล้ว ว่าแม่นี่มันตัวก่อเรื่อง”
“…….”
มือของเจเรมิหยุดลงขณะรักษาเดซี่ไปชั่วครู่ก่อนจะมองผมด้วยความงงงวย
ปากของเธอขยับพะงาบเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถอนใจแล้วกลับไปทำงานแทน เธอบ่นพึมพัมบางอย่างขณะส่ายหัว แต่ผมไม่ได้ยินเธอ
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เดซี่ลืมตาตื่นขึ้นมา ต้องขอบคุณพลังของน้ำสมุนไพรที่ทำให้ริมฝีปากของเธอหาย ผิวหนังกลับมาดีเหมือนเดิม
“…….”
เดซี่หันมามองทางนี้ มองไปมาระหว่างผมกับเจเรมิก่อนที่จะก้มหัวแสดงความเคารพต่อเจเรมิ
“ขอบคุณที่รักษาหนูค่ะ”
“โอ้แหม อย่าใส่ใจเลยจ่ะ”
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงเปรียะในหัวขึ้นมาอีกครั้ง นังหนูระยำนี่!
การแสดงความขอบคุณต่อเจเรมินั้นเป็นการแสดงที่ต้องการบอกกับผมว่า
หนูไม่ขอบคุณคุณนะคะ
นั่นเป็นสิ่งที่เธออยากจะบอกผม
ผมหมุนลูกบอลไม้ด้วยมือที่สั่น ผมพยายามคุมตัวเองด้วยการคลึงหมุนลูกบอลด้วยฝ่ามือ
หัวผมเย็นลงเมื่อรับรู้สัมผัสลูกบอลกดฝ่ามือ
ใช่ ใช่เลย ถูกแล้ว เย็นไว้นะ ดันทาเลี่ยน…….
นางเด็กกว่านายถึง 10 ปี อย่าไปตกหลุมแผนโต้งๆนั่น เราแค่เสียแผนการแรกไป เธอไม่ได้มีแผนอื่นอะไรซ่อนไว้อีกแล้ว
“ดูเหมือนแม่สาวผู้มีอนาคตเป็นมือสังหารจะตื่นขึ้นแล้ว”
ผมยิ้มออกมา ผมยังคงแสดงท่าทีที่ปิดบังความโกรธด้วยรอยยิ้ม แต่ก็อดไม่ด้ที่จะเยาะเย้ยถากถาง
“ข้าสงสัยเหลือเกินว่า เจ้าจะหลับสบายดีไหม ไม่สงสัยหรือว่า แขนขาพ่อแม่เจ้าจะยังอยู่ดีอยู่หรือเปล่า?”
“……ฮึ”
เด็กสาวพ่นลมออกจมูก ห่าเอ้ย ทำท่าแบบนั้น
เห็นชัดเลยว่า แม่นี่จงใจจะให้ผมสติแตก สีหน้าของเธอนั้นไร้ซึ่งอารมณ์แต่ไอ้การที่พ่นลมออกมาเพื่อเยาะเย้ยด้วยการแสดงความโกรธแบบนั้นออกมา
ผมเผลอบีบลูกบอลไม้ในมือโดยมันทันรู้ตัว ผมอยากจะซัดหน้าเด็กสาวที่แสนน่ารำคาญอีกซักครั้ง มันเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะแขวนคอบนตะแลงแกงด้วยความผิดที่ฮึดฮัดใส่ชาวบ้าน
มันไม่ผิดกฏหมายหรอกน่า ยัยนี่มันเป็นอาวุธ! การปฏิบัติต่ออาวุธด้วยการตบตีนั่นเป็นเรื่องที่รับได้
ผมห่อปากก่อนจะพูดออกมา
“เอาล่ะ เรื่องไม่จำเป็นไว้ทีหลัง”
“หนูยังไม่ได้พูดอะไร”
เดซี่มองมาที่ผมราวกับกำลังตำหนิ
แรงกระตุ้นอยากฆ่าของมันปะทุขึ้นมา
“……ข้าช่างรู้สึกประทับใจกับการที่เจ้าทำในคืนที่ผ่านมา มันเป็นการประกาศสงครามที่ยอดเยี่ยมนัก แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มีของขวัญอย่างให้เจ้า รู้ไหมว่านี่คืออะไรเอ่ย?”
ผมยกมือขวาขึ้น สิ่งที่โปร่งใสนุ่มนิ่มขยับตัวดึ๋งด้วยรูปร่างที่กลมเกลี้ยง
“สไลม์ยังไงล่ะ”
“ตอนนี้ข้าจะเอามันใส่เข้าไปในร่างของเจ้า หวังว่าเจ้าจะยินดีรับมันเข้าไปนะ”
“ตามใจท่าน”
เธอตอบสั้นๆ เธอยังไม่ยอมละทิ้งท่าทีที่ว่าต่อให้ตัวเองตายก็ไม่เป็นไร
โฮ่ ช่างเป็นผู้ที่โอหังบังอาจนัก ว่าที่ฮีโร่เดซี่เอ๋ย ข้าจะเฝ้าดูว่าเจ้าจะรักษาความโอหังแบบนั้นไปได้สักกี่วัน
“เจเรมิ”
“รับทราบค่ะ”
เจเรมิรับสไลม์ไปจากผม เธอแตะจิ้มตรงแกนกลางสไลม์ด้วยนิ้วมือ สไลม์ตัวนั้นก็แบ่งตัวเป็นสองส่วน
“เอาล่ะ คุณเดซี่ ทีนี้แหกขาออกนะ”
“…….”
ดูเหมือนตอนนี้เดซี่จะรู้แล้วว่า สไลม์มีไว้ทำอะไร
เธอมองสไลม์ด้วยแววตาไร้อารมณ์ก่อนที่จะหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าแววตาแบบเดียวกันอีกครั้ง มันเป็นวิธีการบอกอ้อมๆกับผมว่า อย่าดูนะ
แล้วเธอจะทำแบบนั้นไปทำไม ในเมื่อผมเห็นทุกอย่างแล้วนับตั้งแต่ตอนผ่าตัดสลักตราทาสที่หัวใจ?
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ท่าทางประหลาดๆนั่นก็น่าเอ็นดูเสียจนผมต้องยอมหันหน้าไปทางอื่น ผมได้ยินเสียงบางอย่าง
“นับแต่นี้ข้าจะให้การศึกษากับเจ้า มันเป็นปัญหามากหากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า”
“……เข้าใจแล้วค่ะ”
นั่นคือขั้นตอนแรกเจเรมินั้นใส่สไลม์ครึ่งหนึ่ง ‘เข้าไปใน’ เดซี่ สไลม์ตัวโปร่งใสเลื้อยเข้าไปแบบเก้ๆกังๆ แต่สุดท้ายก็คลานเข้าไปข้างในจนสุด
“…….”
หรือเธอคิดว่า นี่มันเริ่มขึ้นแล้วอย่างนั้นรึ? ผมได้ยินเสียงเดซี่กลั้นหายใจ สัมผัสประหลาดจากสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเข้าไปทั้งที่มันยังมีชีวิต มันเป็นมอนสเตอร์ประเภทนั้นนั่นแหละ
ผ่านไปเกือบนาที ผมเคาะเท้าด้วยความเบื่อหน่าย
เจเรมิพูดขึ้น
“เสร็จแล้ว คราวนี้จะใส่เข้าไปอีกชิ้น”
“……?”
ตอนนี้สไลม์ที่เข้าไปก่อนหน้าโดนดึงออกมา
ผมหัวไปมองเดซี่ เธอก็มองผมเช่นกัน จากมุมมองของเธอคงเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น
จากสายตาของเธอคงพยายามจะคิดให้ออกว่าจุดประสงค์ของผมคืออะไร ผมรู้สึกสบายๆจึงมอบรอยยิ้มให้เธอ
ระหว่างนั้นเองเจเรมิก็ใส่สไลม์ตัวที่สองเข้าไป
คราวนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากครั้งแรกสไลม์ตัวแรก สไลม์ตัวที่สองไม่ได้โดนดึงออกมา
ดังนั้นสไลม์ตัวที่สองยังคงอยู่ข้างในร่างกายของเดซี่
“รู้สึกอึดอัดไหม?”
“……ไม่ ไม่รู้สึก”
ดูเหมือนเดซี่คิดว่า มันจะจบลงแล้ว
“หนูแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย”
“แหมที่รัก ก็ดีแล้ว ถือว่าสำเร็จลุล่วง ถ้าอย่างนั้น”
เจเรมิพูดอย่างอ่อนโยน
“ตอนนี้ก็ลุกขึ้นมาแล้วห่มผ้า ไม่หิวหรือหลังจากนอนมาตั้งนาน? ยังมีซุปเหลืออยู่ในหม้อ ไปกินได้นะ”
เจเรมิประคองให้เดซี่ลุกขึ้นมา เธอห่อตัวเดซี่ด้วยผ้าคลุมที่เตรียมไว้ก่อนหน้า แม้มันจะดูเก่าแต่เป็นไอเท็มชั้นเลิศที่มีเวทย์กันความหนาวร่ายลงไป
“เอ้อ ต่อจากนี้เรียกฉันว่า อาจารย์นะ”
“……ค่ะ อาจารย์ หนูอยู่ในการดูแลของอาจารย์แล้วค่ะ”
เจเรมิออกจากรถม้าไปพร้อมกับเดซี่
เดซี่ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความสงสัยแม้จะออกไปจากรถม้าแล้ว แต่เธอจะไปรู้อะไรล่ะ? ผมหัวเราะเอิ้กกับตัวเองขณะที่อยู่ตามลำพังในห้องรถม้า
ไม่ว่าเธอจะฉลาดแค่ไหน ก็อายุแค่ 10 ปี เธอไม่สามารถทันรับอะไรแบบนี้ได้หรอก นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเล็งไว้…….
การโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญทางการทหาร ไม่ผิดตรงไหนอยู่แล้ว ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่า เธอจะทำสีหน้าแบบไหนกัน
แต่ถึงอย่างนั้นโชคไม่ดีเหลือเกิน ที่ผมน่ะจะต้องไปพบปะกับจอมมารตอนอื่นก่อน…….
ผมจะเอาคืนสิ่งที่เธอทำไปเมื่อคืนน่ะ ก็ตอนที่ผมกลับมาจากการประชุมแล้วนั่นแหละ
Comments
Dungeon Defense (WN) 182 ความเกลียดชังมนุษย์ (4)
เจเรมิหยิบข้าวของมากมายออกจากกระเป๋าอุปกรณ์ เธอนั้นเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
“พวกนี้เป็นโพชั่นที่ฉันเก็บสะสมไว้”
ในกล่องไม้นั้นมีขวดใสอยู่มากมาย แต่ละขวดบรรจุด้วยของเหลวหลากหลายสีสัน มีทั้งโพชั่น,มีดผ่าตัด,เครื่องหอม และผงสมุนไพรที่ผมเห็นก่อนหน้าแบ่งไว้เป็นสัดเป็นส่วน จะนิยามว่ายังไงดีนะ?
เหมือนผมกำลังมองข้างของที่เป็นของนักเก็บสมุนไพร,หมอและนักทำน้ำหอมในเวลาเดียวกัน
“อื้มฮึ ดูเหมือนเธอจะไม่ใช่มือสังหารธรรมดา หากแต่ยังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุผู้ชำนาญนี่น่ะ?”
“เป็นปกติค่ะสำหรับมือสังหารที่จะต้องรู้เรื่องตัวยา อย่างน้อยถ้าหากอยากเป็นหัวหน้าในกลุ่มมือสังหาร”
มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับการที่รู้จักตัวสารพิษต่างๆและแก๊สพิษทั้งหลายสินะ? ในกรณีนั้นมือสังหารต้องเชี่ยวชาญทั้งสองอย่าง ภาพที่ผมมีในหัวเกี่ยวกับมือสังหารเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
พอเตรียมการเสร็จพวกเราก็กลับไปที่รถม้า
เดซี่ยังคงล้มนอนอยู่กับพื้นรถม้า เจเรมิรีบพาเดซี่ขึ้นบนเตียงแล้วรักษาเธอในทันที เธอเทของเหลวสีเหลืองเข้าไปในปากของเดซี่ พอผมถามเธอว่านั่นคืออะไร สิ่งนั้นก็คือน้ำผึ้งที่ผสมตัวยาสมุนไพรต่างๆละลายเจือลงไปด้วย
“นี่ไม่ใช่ผลกระทบหลังการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวแล้วค่ะ……
เฮ่ออออ ฝ่าบาทคะ ท่านทำกับเธอรุนแรงเกินไปแล้ว ดูที่ริมฝีปากสิคะ ฉันว่า อาการบาดเจ็บตอนนี้หนักหนากว่าหลังผ่าตัดเสียอีก”
ในรถม้านั้นมีแต่แสงเทียน เจเรมิถอดเสื้อผ้าของโทรมๆของเดซี่ออกแล้วจุ่มผ้าขนหนูลงไปในน้ำสมุนไพรต้มเพื่อทำความสะอาดร่างกายของเดซี่
“เธอยังเป็นเด็กผู้หญิงอยู่เลย ท่านไม่ควรทำลายใบหน้าเธอนะคะ”
“พอเธอพูดแบบนี้แล้วฟังดูมีน้ำหนักน่าเชื่อจริงๆ”
“ฟุฟุ”
ใบหน้าครึ่งซีกของเจเรมิโดนแผดเผาอย่างน่ากลัว ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
“นังหนูมันยั่วโมโหข้า”
ผมทิ้งตัวลงกับที่นั่งอีกข้างหนึ่ง
“อีหนูน่าขยะแขยงขี้ฉ้อนี่”
“โอ้ นางยั่วโมโหท่านเหรอ? นางยั่วโมโหแบบไหนกันถึงสามารถทำฝ่าบาทโกรธได้? ปกติท่านออกจะนิ่งสงบเก็บงำอารมณ์เก่ง ทำเอาฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆนะคะ”
(TTL : นี่ เจเรมิ หรือ จิตันดะ เอรุ กันเนี่ย [จากเรื่อง ‘เฮียวกะ ปริศนาความทรงจำ’] ขี้สงสัยไปเสียทุกอย่างจริงๆ! )
“เรื่องไม่จำเป็นไว้ทีหลังเถอะ”
แม่นั่นพูดถึงแม่ผม
ผมโกรธขนาดนี่ตัวเองยังตกใจเลย แต่เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ
‘นังหนูนี่มันรู้วิธีครอบงำอารมณ์ผม’
ผมคิดกับตัวเองขณะที่ดูการรักษาอยู่ข้างๆ
เหมือนกับตอนที่อยู่ในหมู่บ้านร้างนั่น เด็กสาวอายุ 10 ปี พูดแต่ในสิ่งที่ควรจะพูดเพื่อให้มันมีผลต่อความคิดของผม
สิ่งที่เธอทำคือ ดึงด้านดีๆของผมออกมา เพื่อให้ผมเข้าใจและเมตตา ราวกับว่า เธอกำลังอ่านใจเพื่อนเก่าของเธอ
ความโกรธของผมคงบรรเทาลงหากเดซี่ยอมขอโทษที่พยายามที่จะลอบสังหารผม
เธอน่ะเป็นฮีโร่อยู่แล้ว ไม่สิ เธอน่ะมันเป็นแค่เปลือกของฮีโร่คนหนึ่ง เห็นกันชัดๆเลยว่า เธอต้องการจะฆ่าผม
แต่ถึงอย่างนั้น ผมจะไม่มีวันให้อภัยเธอกับการที่พยายามจะลอบฆ่าผมโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว
นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่มีทางอภัยให้ได้อย่างเด็ดขาด
อะไรที่คาดเดาไม่ได้ และเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยที่ผมไม่รู้เป็น และยังเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะได้รับประสบการณ์แบบนั้นอีกแล้ว
“นังหนูนั่นทำข้าขนลุก การผ่าตัดนั่นต้องเจ็บมากแน่ แต่นังหนูมันกลับ…….”
“เธอทำให้ฝ่าบาทขนลุก? มันเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
“เธอตั้งใจที่จะไม่ขอโทษแม้จะต้องตาย”
ผมขบเคี่ยวเคี้ยวฟัน เธออ่านนิสัยผมออกไม่ต่างจากหนังสือ ผมเองก็อ่านใจเธอได้ง่ายๆเช่นกัน มันเห็นกันอยู่ชัดๆ
แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนเจเรมิจะไม่เข้าใจ ว่าผมหมายถึงอะไรอยู่เธอจึงเอียงคอสงสัย
“ฉันขอโทษด้วยค่ะ ฝ่าบาท แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ว่าให้ง่ายเข้า มันเป็นการต่อสู้ด้วยศักดิ์ศรี
นางไม่ต้องการขอโทษที่พยายามจะลอบสังหารข้า เพราะหากนางขอโทษก็แปลว่า นางจะไม่สามารถพยายามทำแบบนั้นได้อีกต่อไป
แถมยังไม่ต้องการได้รับความเมตตาการุณจากข้าด้วยเช่นกัน”
แม่นั่นต้องการสร้างสภาวะทางความรู้สึกให้เสมอเท่าเทียมกันกับผม
“……ท่านกำลังจะบอกว่า แม่หนูนี่พยายามยั่วยุท่านทั้งๆที่รู้ว่า จะต้องถูกทุบตีอย่างนี้เหรอคะ?”
“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วนี่? เธอไม่ได้ทำไปแบบไม่คิดอะไร เธอทำทุกอย่างโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว”
ข้างในผมมันก็เดือดขึ้นมาทันที
“เธอประกาศสงครามกับข้า เด็กสาวที่ไม่คิดหวังจะสร้างความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกันนับตั้งแต่ที่เราสองอยู่ในฐานะนายกับทาส
เรามาเชือดเฉือนกันเองและใช้เวลาในแต่ละวันที่อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างกับอยู่ในนรกไปด้วยกันเถอะ ……
นี่คือ สิ่งที่แม่นั่นต้องการจะบอกข้า นังหนูจากนรกเอ๊ย”
แถมแม่นี่ยังวางแผนจะทำลายแผนที่ผมวางไว้ตั้งแต่แรก
ผมมั่นใจได้เลยล่ะ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนเดิมของผม ผมจะอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบด้วยการแสดงความใจดีต่อเดซี่ในเวลาที่เธออ่อนแอสุดๆหลังจากการผ่าตัด
มันไม่สำคัญหรอกว่า ความใจดีตอนนั้นของผมจะเป็นของจริงหรือปลอม ความจริงที่ว่า ที่ผมใจดีต่อเดซี่จะทำให้เธอไม่อาจทำอะไรโดยไม่คิดได้
พอผมเมตตาเดซี่แบบนั้นเข้า เธอก็ทำอะไรผมไม่ได้ ความใจดีของผมจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆยิ่งเวลาผ่านไปก่อนจะทันรู้ตัว เดซี่ก็จะกลายเป็นของผมโดยสมบูรณ์ นั่นเป็นแผนเดิมที่ผมวางไว้
แต่คืนที่ผ่านมาทำให้สถานการณ์นั้นมันไม่เกิดขึ้น เธอยั่วโมโหผมเพื่อให้ผมทุบตีเธอ
ถ้ามองกันคร่าวๆ ผมไม่ได้แต่ทุบตีเธอในฐานะทาสแต่ผมยังบังคับให้เธอต้องรับการผ่าตัดที่น่าสะพรึงด้วย แถมผมยังทำร้ายคนป่วยอีกต่างหาก
ถือว่าผมพ่ายแพ้ในสงครามจิตวิทยาไปแล้ว ต่อให้ผมใจดีกับเธอตอนนี้ มันก็แค่เป็นความใจดีที่เกิดขึ้นจากการต้องการการชดเชยทุกอย่างที่ได้ทำกับเธอลงไป
นังหนูหยาบคายนี่
“…….”
เจเรมิฟังผมเงียบๆก่อนจะพูดขึ้นอย่างระวัง
“อืมฮึ ……ฝ่าบาทคะ? ท่านคิด ‘แบบนั้น’ ตลอดเวลาที่ท่านมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเลยเหรอคะ?
อย่างเช่นว่า อีกฝ่ายคิดอะไร เขามีโครงสร้างความรู้สึกนึกคิดแบบไหน และจะชิงความได้เปรียบอย่างไร……?
ยิ่งกว่านั้น ท่านกำลังจะบอกว่า เด็กสาวคนนี้ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน?”
“ถูกต้อง”
ผมขมวดคิ้ว
“ข้าเป็นจอมมารที่อ่อนแอที่สุด จอมมารลำดับ 71 หากข้าไม่อาจเข้าใจเจตนาว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรและตั้งใจจะทำอะไร ถ้าอย่างนั้นข้าก็กลายเป็นเหยื่อให้ล่าง่ายๆสิ
หากเจ้ารู้จักตัวเอง รู้จักศัตรูของเจ้า เจ้าก็ชนะได้ในทุกศึก ที่มันพื้นฐานของพื้นฐานเลยไม่ใช่รึ?”
“โดยปกติแล้ว……
การพยายามทำความเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ การที่ใครสักคนที่จะพูดแบบนั้น วางตัวแบบนั้นน่ะมัน ……
เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ ช่างมันเถอะ”
เจเรมิถอนใจออกมา
“มันเป็นแนวทางของนักวางแผน ฉันเข้าใจแล้วค่ะ
เฮ่อ วิถีชีวิตที่ผิดปกติแบบนั้นก็มีด้วยว่าแต่ฝ่าบาทรู้ได้ยังไงกันคะว่าเด็กคนนี้เป็นคนเช่นเดียวกันกับท่าน?”
ผมพ่นลมออกจมูก
“แค่ดูก็รู้แล้ว ว่าแม่นี่มันตัวก่อเรื่อง”
“…….”
มือของเจเรมิหยุดลงขณะรักษาเดซี่ไปชั่วครู่ก่อนจะมองผมด้วยความงงงวย
ปากของเธอขยับพะงาบเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถอนใจแล้วกลับไปทำงานแทน เธอบ่นพึมพัมบางอย่างขณะส่ายหัว แต่ผมไม่ได้ยินเธอ
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เดซี่ลืมตาตื่นขึ้นมา ต้องขอบคุณพลังของน้ำสมุนไพรที่ทำให้ริมฝีปากของเธอหาย ผิวหนังกลับมาดีเหมือนเดิม
“…….”
เดซี่หันมามองทางนี้ มองไปมาระหว่างผมกับเจเรมิก่อนที่จะก้มหัวแสดงความเคารพต่อเจเรมิ
“ขอบคุณที่รักษาหนูค่ะ”
“โอ้แหม อย่าใส่ใจเลยจ่ะ”
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงเปรียะในหัวขึ้นมาอีกครั้ง นังหนูระยำนี่!
การแสดงความขอบคุณต่อเจเรมินั้นเป็นการแสดงที่ต้องการบอกกับผมว่า
หนูไม่ขอบคุณคุณนะคะ
นั่นเป็นสิ่งที่เธออยากจะบอกผม
ผมหมุนลูกบอลไม้ด้วยมือที่สั่น ผมพยายามคุมตัวเองด้วยการคลึงหมุนลูกบอลด้วยฝ่ามือ
หัวผมเย็นลงเมื่อรับรู้สัมผัสลูกบอลกดฝ่ามือ
ใช่ ใช่เลย ถูกแล้ว เย็นไว้นะ ดันทาเลี่ยน…….
นางเด็กกว่านายถึง 10 ปี อย่าไปตกหลุมแผนโต้งๆนั่น เราแค่เสียแผนการแรกไป เธอไม่ได้มีแผนอื่นอะไรซ่อนไว้อีกแล้ว
“ดูเหมือนแม่สาวผู้มีอนาคตเป็นมือสังหารจะตื่นขึ้นแล้ว”
ผมยิ้มออกมา ผมยังคงแสดงท่าทีที่ปิดบังความโกรธด้วยรอยยิ้ม แต่ก็อดไม่ด้ที่จะเยาะเย้ยถากถาง
“ข้าสงสัยเหลือเกินว่า เจ้าจะหลับสบายดีไหม ไม่สงสัยหรือว่า แขนขาพ่อแม่เจ้าจะยังอยู่ดีอยู่หรือเปล่า?”
“……ฮึ”
เด็กสาวพ่นลมออกจมูก ห่าเอ้ย ทำท่าแบบนั้น
เห็นชัดเลยว่า แม่นี่จงใจจะให้ผมสติแตก สีหน้าของเธอนั้นไร้ซึ่งอารมณ์แต่ไอ้การที่พ่นลมออกมาเพื่อเยาะเย้ยด้วยการแสดงความโกรธแบบนั้นออกมา
ผมเผลอบีบลูกบอลไม้ในมือโดยมันทันรู้ตัว ผมอยากจะซัดหน้าเด็กสาวที่แสนน่ารำคาญอีกซักครั้ง มันเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะแขวนคอบนตะแลงแกงด้วยความผิดที่ฮึดฮัดใส่ชาวบ้าน
มันไม่ผิดกฏหมายหรอกน่า ยัยนี่มันเป็นอาวุธ! การปฏิบัติต่ออาวุธด้วยการตบตีนั่นเป็นเรื่องที่รับได้
ผมห่อปากก่อนจะพูดออกมา
“เอาล่ะ เรื่องไม่จำเป็นไว้ทีหลัง”
“หนูยังไม่ได้พูดอะไร”
เดซี่มองมาที่ผมราวกับกำลังตำหนิ
แรงกระตุ้นอยากฆ่าของมันปะทุขึ้นมา
“……ข้าช่างรู้สึกประทับใจกับการที่เจ้าทำในคืนที่ผ่านมา มันเป็นการประกาศสงครามที่ยอดเยี่ยมนัก แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มีของขวัญอย่างให้เจ้า รู้ไหมว่านี่คืออะไรเอ่ย?”
ผมยกมือขวาขึ้น สิ่งที่โปร่งใสนุ่มนิ่มขยับตัวดึ๋งด้วยรูปร่างที่กลมเกลี้ยง
“สไลม์ยังไงล่ะ”
“ตอนนี้ข้าจะเอามันใส่เข้าไปในร่างของเจ้า หวังว่าเจ้าจะยินดีรับมันเข้าไปนะ”
“ตามใจท่าน”
เธอตอบสั้นๆ เธอยังไม่ยอมละทิ้งท่าทีที่ว่าต่อให้ตัวเองตายก็ไม่เป็นไร
โฮ่ ช่างเป็นผู้ที่โอหังบังอาจนัก ว่าที่ฮีโร่เดซี่เอ๋ย ข้าจะเฝ้าดูว่าเจ้าจะรักษาความโอหังแบบนั้นไปได้สักกี่วัน
“เจเรมิ”
“รับทราบค่ะ”
เจเรมิรับสไลม์ไปจากผม เธอแตะจิ้มตรงแกนกลางสไลม์ด้วยนิ้วมือ สไลม์ตัวนั้นก็แบ่งตัวเป็นสองส่วน
“เอาล่ะ คุณเดซี่ ทีนี้แหกขาออกนะ”
“…….”
ดูเหมือนตอนนี้เดซี่จะรู้แล้วว่า สไลม์มีไว้ทำอะไร
เธอมองสไลม์ด้วยแววตาไร้อารมณ์ก่อนที่จะหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าแววตาแบบเดียวกันอีกครั้ง มันเป็นวิธีการบอกอ้อมๆกับผมว่า อย่าดูนะ
แล้วเธอจะทำแบบนั้นไปทำไม ในเมื่อผมเห็นทุกอย่างแล้วนับตั้งแต่ตอนผ่าตัดสลักตราทาสที่หัวใจ?
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ท่าทางประหลาดๆนั่นก็น่าเอ็นดูเสียจนผมต้องยอมหันหน้าไปทางอื่น ผมได้ยินเสียงบางอย่าง
“นับแต่นี้ข้าจะให้การศึกษากับเจ้า มันเป็นปัญหามากหากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า”
“……เข้าใจแล้วค่ะ”
นั่นคือขั้นตอนแรกเจเรมินั้นใส่สไลม์ครึ่งหนึ่ง ‘เข้าไปใน’ เดซี่ สไลม์ตัวโปร่งใสเลื้อยเข้าไปแบบเก้ๆกังๆ แต่สุดท้ายก็คลานเข้าไปข้างในจนสุด
“…….”
หรือเธอคิดว่า นี่มันเริ่มขึ้นแล้วอย่างนั้นรึ? ผมได้ยินเสียงเดซี่กลั้นหายใจ สัมผัสประหลาดจากสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเข้าไปทั้งที่มันยังมีชีวิต มันเป็นมอนสเตอร์ประเภทนั้นนั่นแหละ
ผ่านไปเกือบนาที ผมเคาะเท้าด้วยความเบื่อหน่าย
เจเรมิพูดขึ้น
“เสร็จแล้ว คราวนี้จะใส่เข้าไปอีกชิ้น”
“……?”
ตอนนี้สไลม์ที่เข้าไปก่อนหน้าโดนดึงออกมา
ผมหัวไปมองเดซี่ เธอก็มองผมเช่นกัน จากมุมมองของเธอคงเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น
จากสายตาของเธอคงพยายามจะคิดให้ออกว่าจุดประสงค์ของผมคืออะไร ผมรู้สึกสบายๆจึงมอบรอยยิ้มให้เธอ
ระหว่างนั้นเองเจเรมิก็ใส่สไลม์ตัวที่สองเข้าไป
คราวนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากครั้งแรกสไลม์ตัวแรก สไลม์ตัวที่สองไม่ได้โดนดึงออกมา
ดังนั้นสไลม์ตัวที่สองยังคงอยู่ข้างในร่างกายของเดซี่
“รู้สึกอึดอัดไหม?”
“……ไม่ ไม่รู้สึก”
ดูเหมือนเดซี่คิดว่า มันจะจบลงแล้ว
“หนูแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย”
“แหมที่รัก ก็ดีแล้ว ถือว่าสำเร็จลุล่วง ถ้าอย่างนั้น”
เจเรมิพูดอย่างอ่อนโยน
“ตอนนี้ก็ลุกขึ้นมาแล้วห่มผ้า ไม่หิวหรือหลังจากนอนมาตั้งนาน? ยังมีซุปเหลืออยู่ในหม้อ ไปกินได้นะ”
เจเรมิประคองให้เดซี่ลุกขึ้นมา เธอห่อตัวเดซี่ด้วยผ้าคลุมที่เตรียมไว้ก่อนหน้า แม้มันจะดูเก่าแต่เป็นไอเท็มชั้นเลิศที่มีเวทย์กันความหนาวร่ายลงไป
“เอ้อ ต่อจากนี้เรียกฉันว่า อาจารย์นะ”
“……ค่ะ อาจารย์ หนูอยู่ในการดูแลของอาจารย์แล้วค่ะ”
เจเรมิออกจากรถม้าไปพร้อมกับเดซี่
เดซี่ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความสงสัยแม้จะออกไปจากรถม้าแล้ว แต่เธอจะไปรู้อะไรล่ะ? ผมหัวเราะเอิ้กกับตัวเองขณะที่อยู่ตามลำพังในห้องรถม้า
ไม่ว่าเธอจะฉลาดแค่ไหน ก็อายุแค่ 10 ปี เธอไม่สามารถทันรับอะไรแบบนี้ได้หรอก นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเล็งไว้…….
การโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญทางการทหาร ไม่ผิดตรงไหนอยู่แล้ว ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่า เธอจะทำสีหน้าแบบไหนกัน
แต่ถึงอย่างนั้นโชคไม่ดีเหลือเกิน ที่ผมน่ะจะต้องไปพบปะกับจอมมารตอนอื่นก่อน…….
ผมจะเอาคืนสิ่งที่เธอทำไปเมื่อคืนน่ะ ก็ตอนที่ผมกลับมาจากการประชุมแล้วนั่นแหละ
Comments