Dungeon Defense (WN) 197 เส้นทางแห่งการแสวงบุญ (6)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 197 เส้นทางแห่งการแสวงบุญ (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

วันต่อมา แจ็กเกอรี่กลับมาพร้อมกับข่าว

 

“กองทัพของบริททานี่ได้เข้าไปถึงเมืองหลวงจักรวรรดิแล้ว”

 

“อืมฮึ ยี่สิบวันถ้วน นับจากวันที่ข้ามชายแดนเข้ามาสินะ…….”

 

ผมทอดสายตามองแผนที่ที่คลี่ออกบนโต๊ะ

 

“ดูพวกเขาจะเคลื่อนทัพมาพร้อมกับกองกำลังที่กล้าแข็ง”

 

“รุนแรงพอที่จะหักโค่นกำไผ่……? อย่างนั้นสินะ”

 

คนแคระผู้นั้น แจ็กเกอรี่ผงกหัวให้ สำนวนที่ผมพูดไปได้รับการแปลโดยอัตโนมัติ กลไกแบบนั้นมันทำงานได้ยังไงกันนะ?

 

โอ้ ใช่แล้ว 

ผมพบเรื่องนี้หลังจากที่มายังฟรานเคีย คำพูดคำจาของผมนั้นออกจะลุ่มลึกขึ้น แจ็กเกอรี่ชี้ให้ผมรู้ถึงเรื่องนั้นในวันที่เราดื่มเหล้ากัน

 

‘ฝ่าบาทพูดเหมือนชนชั้นสูงในวังเลย ฝ่าบาทได้รับการศึกษามาจากที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าครับ?’

‘อ้อ อื้ม มันก็เป็นอะไรประมาณนั้นแหละนะ’

‘ข้าได้ยินมาว่า ท่านคล่องแคล่วในภาษาชาวฮับบวร์ก แล้วยังมีภาษาอื่นที่ท่านเชี่ยวชาญไหมครับ?’

 

ดูเหมือนผมจะใช้ทุกภาษาที่มีได้เป็นอย่างดีเลย ผู้คนในโลกนี้ตามปรกติแล้วจะไม่พยายามเรียนรู้ภาษาชาวต่างประเทศ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในประเทศที่ร่ำรวยพอที่จะซื้ออาติแฟคเวทย์มนตร์ เวทย์มนตร์แปลภาษา น่ะ

 

‘อื้ม ข้ารู้ภาษาของพวกมนุษย์ส่วนใหญ่เลยล่ะ’

‘จริงหรือครับ? โอ้ สุดยอดมาก!’

 

แจ็กเกอรี่ดูประหลาดใจ

 

‘จอมมารส่วนมากก็ขี้เกียจที่จะเรียนรู้ ……. ไม่สิ ไม่สิ ฝ่าบาทนั้นไม่ได้เป็นอย่างจอมมารทั่วไป ท่านนี่สุดยอดอย่างแท้จริง ’

‘หืมมม หึหึ’

 

 

แจ็กเกอรี่เริ่มมองผมด้วยแววตาที่เคารพนับถือเป็นอย่างมากหลังเราพูดคุยเรื่องนั้นกัน 

ผมยังคงปิดปากเงียบอยู่ ผมแอบรู้สึกผิดเลยล่ะ แต่จะไปสนใจทำไมกันล่ะ? ทันทีที่รู้สึกผิดขึ้นมาปุ๊บ ผมก็เชือดเฉือนเจ้าความรู้สึกนั่นเป็นร้อยส่วนแล้วโยนมันทิ้ง

 

 

ถึงอย่างไรเสีย สถานการณ์ในฟรานเคียน่ะมันก็สลักสำคัญกว่าความงดงามเอเลแก้นท์ทางภาษาของผมอยู่แล้ว

 

กองกำลังต่างชาติบุกเข้ามาถึงใจกลางเมืองหลวงได้โดยใช้เวลาแค่ 20 วัน นี่มันเร็วจนผิดธรรมดา

การที่มันกลายเป็นเป็นแบบนี้ก็เชื่อได้แน่ว่า พวกเขาคงเดินทัพกันต่อเนื่องโดยไม่เจอการปะทะต่อสู้เลยแม้สักครั้ง 

 

และหากไม่เจอการต่อสู้ใดเลย…….

 

“ฟรานเคียนี่มันเกินเยียวยาแล้ว แต่ทำไมพวกนั้นถึงได้แย่ขนาดนั้นล่ะ?”

 

“ราชอาณาจักรบริททานี่นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่คาดไว้ ชื่อเสียงของราชินีเองก็ไม่ธรรมดา”

 

สถานการณ์น่ะมันเป็นแบบนี้:

ชนชั้นสูงของฟรานเคียต่างแตกตื่นพอได้รู้ว่า จู่ๆของทัพต่างชาติบุกเข้ามา ทั้งที่สงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทรายังไม่สิ้นสุดด้วยซ้ำ

 

ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่า จะมีกองกำลังทหารจากฝ่ายมนุษย์ด้วยกันที่อยู่เคียงข้างจะมาบุกในขณะที่กองทัพจอมมารกับกองทัพมนุษย์ยังคงปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน

 

“ที่หนักหนากว่านั้นอีก เหล่าชนชั้นสูงในฟรานเคียได้ส่งทหารหาญของตนไปรบกับกองกำลังเสี้ยวจันทรา 

การตรวจตราที่ฉนวนชายแดนก็เลยอ่อนลงกว่าปรกติ”

 

แจ็กเกอรี่ลูบหนวดตัวเอง

 

“ชนชั้นสูงของฟรานเคียต่างวิพากย์พวกบริททานี่อย่างเผ็ดร้อนเรื่องการลอบจู่โจมชาติอื่นขณะที่มนุษยชาติยังอยู่ท่ามกลางการสู้รบกับพวกปีศาจ”

 

“โง่เง่าเต่าตุ่นอะไรเช่นนี้”

 

เพียงเท่านี้ก็เห็นภาพความต่างทางความสามารถระหว่างบริททานี่และฟรานเคียแล้ว

 

“ราชินีเฮนริเอตต้าแห่งบริททานี่นั้นคาดคะแนนว่า การรุกรานของพันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นจบลงแล้ว

สาธารณรัฐฮับบวร์กใหม่เองก็ไม่สามารถจะทนต่อการโจมตีของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้อีกต่อไป

เมื่อเป็นดังนั้นกองทัพพันธมิตรเองก็จะเริ่มการบุกพวกเขาต่อ

……. เธอคงใช้เหตุผลนี้เป็นตัวผลักดันนั่นแหละ”

 

เธอรู้แล้วว่า กองกำลังจอมมารน่ะเริ่มมีการแบ่งแยกฝักฝ่าย 

จอมมารที่เลื่องชื่อลือชาในแง่ของการทำอะไรไร้สาระมาโดยตลอดในช่วงการรบของสงครามพันธมิตร

 

เจ้าพวกนั้นทำให้ผมโคตรผิดหวังเลยที่มาเกิดใหม่ในฐานะที่โดนเหมารวมไปแบบนั้นด้วย

 

(TTL : เกิดใหม่ทั้งทีกลายเป็นจอมมารลำดับ 72 ที่อ่อนกากแถมโดนเหมารวมว่า เป็นจอมมารที่ชอบทำอะไรไร้สาระในสงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทราไปเสียแล้ว แต่…โทษทีนะ ผมนี่แหละดันทาเลี่ยนผู้ต่ำช้าสาระยำ เป็นขยะที่สุดในบรรดาขยะด้วยกัน,ผู้นี้จะเอาคืนโลกใบนี้ทั้งฝ่ายมนุษย์และฝ่ายจอมมารให้แสบไส้ไปเลย ซึ่งความจริงแล้วทั้งหมดที่ผมทำไปน่ะก็แค่อยากจะมีชีวิตอยู่รอดในโลกแห่งเกมที่ชื่อ <Dungeon Attack> เฉยๆแหละ  <<<ชื่อเรื่องในสไตล์ไล้ท์โนเวลญี่ปุ่นยาวจนจะเป็นเรื่องย่อ 555 ) 

 

 

ราชินีเฮนริเอตต้าคงกำลังหัวเราะเยาะพวกเหล่าจอมมารอยู่ในใจนั่นแหละ ทั้งที่โอกาสในการกวาดล้างมนุษยชาติอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่เจ้าพวกงั่งนั่นก็ดันทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างฝ่ายทำให้พลาดโอกาสที่อาจมีครั้งเดียวในชีวิตไป น่าสมเพซอะไรเช่นนี้หนอ…….

 

“จากข้อมูลที่ได้มาจากสายสืบ ราชินีเฮนริเอตต้านั้นตระเตรียมกองกำลังไว้ก่อนแล้ว 

เธอคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า มนุษยชาติจะพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์ที่ฮับบวร์ก จึงได้เตรียมอีกกองกำลังแยกไว้”

 

ซึ่งนั่นเป็นกองกำลังที่ใช้เพื่อรุกรานฟรานเคีย

แต่ฟรานเคียเองก็ใช่ว่าจะมีแต่คนโง่ที่ไหน พวกทหารในพื้นที่เองก็เร่งรีบระดมเหล่ามาร์ควิสไว้ที่ศูนย์กลาง

 

เหล่ามาร์ควิสที่ชำนาญการศึกได้เริ่มตอบโต้กลับไปขณะที่นำกองกำลัง แต่ทว่าระเบิดลูกใหม่จู่ๆก็โดนยิงมาจากทางเมืองหลวง

 

 

 

‘บริททานี่มิใช่ศัตรูของพวกเรา พวกเขาเป็นพันธมิตร ขอสั่งการให้ทุกหน่วยทุกกองเปิดทางให้บริททานี่ และส่งมอบเสบียงและการสนับสนุนที่พวกเขาร้องขอมา’

 

ไม่ต้องก็รู้ใช่ไหมล่ะ? ว่านั่น จักรพรรดิแห่งฟรานเคียเป็นผู้สั่งมา

ตอนนั้นเองที่ทำให้เหล่าผู้บัญชาการทหารทั่วฟรานเคียยิ่งสับสนอลหม่าน

 

 

จักรพรรดิแบบไหนกันที่เปิดทางให้กองทัพต่างชาติเข้ามาแถมยังจัดหาเสบียงให้ด้วยอีกต่างหาก?

พวกเขาย่อมต้องไม่มีทางเชื่อแน่ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น

พวกเขาจะต่อต้านกองกำลังต่างชาติหรือจะยอมเชื่อฟังคำสั่งราชโองการของจักรพรรดิล่ะ? เกิดการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดระหว่างเหล่าผู้บัญชาการ มันเป็นสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

บริททานี่ฉวยโอกาสที่กำลังวุ่นวายๆนั่นแหละรุกเข้ามาในฟรานเคียอย่างสบายใจเฉิบ

โดยไม่มีใครสักคนมาขวางทางพวกเขาเลย

 

‘แต่นี่เป็นราชโองการสั่งมาโดยตรงจากองค์จักรพรรดิแห่งฟรานเคีย’

‘พวกเราอยู่ที่นี่เพื่อป้องกัน…….’

‘เงียบซะ! เจ้าพวกงั่ง! แกตั้งใจจะขัดคำสั่งของจักรพรรดิรึยังไง!?’

 

ราชินีเฮนริเอตต้าต้องตะโกนเถียงกลับไปแบบนั้นแน่

เธอน่ะเทียวไปเทียวมาพร้อมกับราชโองการที่ลงนามด้วยจักรพรรดิเอง

 

หากเป็นตามปรกติ ผู้คนคงหัวเราะเยาะแล้วบอกว่านั่นมันเป็นราชโองการปลอมแน่ๆ แต่กลายเป็นว่าแม้แต่กองทัพหลวงของจักรวรรดิเองก็ยังต้องถอยให้…….

 

“รวมแล้วก็มีกองทัพถึง 3 กองทัพที่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นขณะที่กองกำลังของจักรวรรดิบริททานี่บุกเข้ามา พวกเขาบอกว่า แม้แต่ทหารรักษาการณ์เองก็ยังยอมปลดอาวุธ”

 

นั่นเป็นจักรพรรดิที่โง่เสียจนเหล่าจอมมารทั้งหลายยังเทียบไม่ติด

 

กองทัพบริททานี่เองก็ข้ามผ่านชายแดน ผ่านพื้นที่เขตป้อมปราการมาได้โดยไม่สูญเสียกองกำลังเลยแม้แต่น้อย

ถึงจุดนั้นเองที่ชนชั้นสูงของฟรานเคียหลายคนเริ่มคิดแล้วว่า นี่อาจจะผิด

 

 

ชนชั้นสูงผู้ฝักใฝ่สาธารณรัฐถึงกับอึ้ง เทียบไปแล้วก็เหมือนตอนที่ราชาแห่งโชซอนได้นำทหารญี่ปุ่นเข้ามาเพื่อสั่งสอนข้าราชการนั่นแหละ

 

‘จักรพรรดิเชิญพวกบริททานี่ ผู้เป็นศัตรูตลอดกาลของพวกเราเข้ามา เพื่อจะกำจัดพวกเราทิ้ง!’

ชนชั้นสูงหลายต่อลหายคนไม่อาจอยู่เงียบๆได้ต่อไปก็ลุกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพฟรานเคียอย่าง นายพลมงมอเรนซี่(General Montmorency), ดยุคกุยส์(Duke Guise), นายพล นักบุญองเดร(General Saint Andre), และคนอื่นอีกมากมาย 

ชนชั้นสูงทั้งจากฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ และฝ่ายที่เป็นกลางต่างรวมกำลังกัน พวกเขารวมกองกำลังกันเพื่อต่อต้าน

 

จำนวนทหารที่มีก็ราว 15,000 นาย บริททานี่นั้นบุกโหมกระหน่ำราวกับพายุบุแคม พวกเขาจึงต้องผนึกกำลังในชั่วระยะเวลาสั้นๆตามที่มี

 

ในทางกลับกัน กองทัพของบริททานี่มีทหารราว  9,000 นาย  ในแง่ของจำนวนแล้ว ฟรานเคียนั้นล้นหลามกว่ามาก สำหรับทวีปประเทศที่ตั้งตนเป็นจักรวรรดิน่ะ ผมควรจะชื่นชมพวกเขาไหม? 

 

ทั้งกองทัพของจักรวรรดิและกองทัพราชอาณาจักรต่างเข้าปะทะกันในจุดยุทธศาสตร์ที่กำหนด

 

 

“กองทัพทหารชาวแฟรงนั้นเชื่อว่า พวกเขามีโอกาสที่จะเอาชนะได้เนื่องจากจำนวนที่มากกว่า”

 

“เอาล่ะ พวกเขาคงคิดแหละว่าจะสามารถขับไล่พวกบริททานี่ออกไปได้”

 

ใครๆต่างก็คิดเช่นนั้น

ยกเว้นคนเพียงคนเดียว

 

 

 

* * *

 

 

กองทัพราชอาณาจักรบริททานี่นั้นกำลังประชุมกลยุทธกันเสียงดัง

“พวกเราต้องรอจนกว่าจักรพรรดิฟรานเคียนั้นจะส่งกำลังเสริมมา”

 

“พวกเราจะไว้ใจจักรพรรดินั่นได้จริงหรือ? พวกเราก็แค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ เราก็แค่บอกว่า เรามาอยู่ที่นี่ตามราชโองการขององค์จักรพรรดิ แค่นั้นเจ้าพวกนั้นก็แตกตื่นแล้วโกยแน่บไปด้วยความกลัวแล้ว!”

 

“ข้าไม่แน่ใจเรื่องนั้นนัก นายพลมงมอเรนซี่เป็นผู้บัญชาการสูงสุด ณ ตอนนี้ ป่านนี้เขาคงสบถอะไรสักอย่างออกมานั่นแหละ”

 

ความเห็นส่วนมากของชนชั้นสูงต่างเป็นไปในทิศทางที่ว่า ให้รออีกสักหน่อย

 

การเผชิญหน้ากับทหารจำนวน 15,000 นาย ด้วยกำลังทหาร 9,000 นายออกจะหนักเกินไป มันเป็นการตอบสนองตามปรกติอย่างที่ควรเป็นอยู่แล้ว

 

ราชินีเฮนริเอตต้าเฝ้าจับตาดูการประชุมขณะนั่งบนเก้าอี้อันทรงเกียรติ 

ราชินีได้พูดขึ้นปิดท้ายหลังเหล่านายพลใกล้จะถึงจุดข้อสรุป

 

“พวกเราจะบุกเต็มกำลังในวันพรุ่งนี้ ตอนเช้าตรู่”

มาควิส โคลิกนี่(Marquis Coligny) ทหารผู้เชี่ยวชาญการรบ พูดขึ้นมาแทนชนชั้นสูงอื่นที่ยังคงเงียบอยู่

 

“ฝ่าบาท จักรวรรดิแฟรงนั้น สัญญากับพวกเราว่าจะส่งกองกำลังเสริมมา เราเชื่อว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะมุ่งเข้าสู่สถานการณ์อันตรายขนาดนั้นเมื่อพวกเรามีจำนวนน้อยกว่ามาก”

 

“พวกทหารจักรวรรดิตรงหน้าเราก็ไม่ต่างจากหัวหุ่น ที่ภายนอกดูแข็งแกร่งแต่ข้างในน่ะกลวงว่าง”

 

ราชินี ผู้ยังเยาว์ และมีผมสีแดงสการ์เล็ทพูดออกมาอย่างมั่นใจ

 

“จำนวนของพวกเขามากมาย แต่พวกเขาไม่ได้มีพลขี่ม้ามากมายขนาดนั้น ในจำนวนทหาร  15,000  นาย ยังมีทหารม้าน้อยกว่า 3,000 นายเสียด้วยซ้ำในขณะที่พวกเราอาจมีทหารเพียง 9,000 นาย แต่พวกเรามีทหารม้าถึง 5,000 นาย ทุกคน ดูเหมือนพวกเจ้าทุกคนต่างเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าชูนิ้วขึ้นมา 4 นิ้ว

 

“พวกเขาไม่ได้มีจำนวนมากกว่าเรา เราต่างหากที่มีจำนวนมากกว่าพวกเขาถึง 4 เท่า”

 

“……อะไรนะครับ? ที่บอกว่า มีมากกว่า 4เท่า คืออย่างไรกับ,ฝ่าบาท?”

 

“ชนชั้นของพวกนั้นน่ะมัวแต่ลังเลเพราะเป็นคำสั่งของจักรพรรดิ แต่ทหารส่วนมากตรงหน้าเราต่างเป็นทหารเกณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ใช่อัศวิน แถมยังขาดพลม้า ถ้าหากจะมีก็คงมีอัศวินอยู่ไม่มากมายเท่าไหร่นัก สูงสุดก็คงสักร้อยคน”

 

ราชินีเฮนริเอตต้ายิ้มออกมา

 

“ในขณะที่ฝ่ายเรามี อัศวิน 900 นาย พวกเราน่ะมีมากเหลือในแง่จำนวน และนั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมกองทัพของพวกเราจึงมากกว่าฝ่ายนั้นถึง ‘2 เท่า’ ”

 

ต่อจากนั้นราชินีก็พูดโดยพับนิ้วลงสองนิ้ว

 

 

“ต่อให้พวกเขาระดมกำลังเข้าด้วยกัน พวกเขาก็ยังคงวิตกกับการที่ต้องต่อต้านคำสั่งจักรพรรดิ ก็ต้องฝืนใจรบไปอย่างนั้น

ศัตรูของพวกเราน่ะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็ต้องการโจมตี อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องการที่จะรั้งรอก่อน เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นแล้ว”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าจึงพับสองนิ้วสุดท้ายลง

 

“พวกเราจึงกำลังเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ดูเหมือนแข็งแกร่งก็จริงหากแต่กำลังทหารกลับลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว 

นั่นแหละคือ สาเหตุที่ว่าทำไมข้าถึงบอกว่า  พวกเขาน่ะอ่อนแอกว่าพวกเราถึง 4 เท่า

เหล่าทหารหาญเอ๋ย! พวกเรานั้นเป็นหนึ่งเดียวกันในขณะที่พวกเขาแตกแยกกัน”

 

ชนชั้นสูงทั้งหลายต่างจับจ้องไปที่กำปั้นของราชินีโดยไร้ถ้อยคำ พวกเขาต่างจมดิ่งไปกับน้ำเสียงอันเปี่ยมเสน่ห์ขององค์ราชินี

 

“ยิ่งนานมากเท่าไหร่ กองกำลังฝ่ายศัตรูก็ยิ่งมีผู้ต่อต้านราชโองการของจักรพรรดิมากขึ้น 

ตอนนี้เป็นโอกาสของพวกเราแล้ว ในขณะที่ชนชั้นสูงของฝ่ายนั้นโดยมากยังอยู่ในกำมือเรา!”

 

ราชินีทุบกำปั้นลงไปบนโต๊ะ

 

“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญยิ่ง มงมอเรนซี่,กุย และนักบุญองเดร ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังศัตรู! 

พวกเขานั้นเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าของฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ 

หากพวกเรากำจัดพวกเขาได้ แกนกลางของฝ่ายจักรพรรดินีย่อมต้องอ่อนกำลังลงอย่างมาก

ทหารหาญทุกนายเอ๋ย องค์เทพีได้จัดเตรียมงานเลี้ยงอันยอดเยี่ยมให้แก่พวกเรา!”

ราชินีเฮนริเอตต้ายิ้มออกมา

 

“ไปรายงานอัศวินทั้งหลาย เหล่าทวยเทพได้เตรียมชัยชนะอันเรืองโรจน์แด่บริททานี่ของพวกเราในวันพรุ่งนี้เช้า

ศัตรูจะไม่มีแม้แต่กระทั่งโอกาสในการส่งเสียงร้อง ได้แต่ตายไปเหมือนหมู”

 

 

 

* * *

 

 

กองกำลังจักรวรรดิพ่ายแพ้ราบคาบ

 

หลักการพื้นฐานการรบเป็นเช่นนี้ : 

ทหารเดินเท้านั้นจะอยู่ในตำแหน่งกลางทัพ ในขณะที่ทหารม้านั้นจะอยู่ปีกข้าง ทหารม้าที่ห้อมล้อมศัตรูทั้งสองฝั่งส่วนทหารเดินเท้านั้นจะคอยตรึงกำลังอีกฝ่ายตรงกลาง

 

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ราชินีเฮนริเอตต้าได้จัดตำแหน่งทหารม้าของเธอไว้ ‘ตรงกลาง’

 

อัศวินร้อยนายและทหารม้านับพัน พุ่งตรงไปข้างหน้า

 

กองทัพของแฟรงนั้นถึงกับตกใจ พวกเขาพยายามระดมทหารและส่งทหารม้า 2,000 นายไปปะทะ ทหารม้า 2,000 นายนั้นเป็นจำนวนปรกติเท่าที่สมควรจะมี

 

พวกเขาหวังว่าจะพอซื้อเวลาได้บ้าง

 

แต่การสู้รบของทหารม้าจบลงหลังการปะทะเพียงครั้งเดียว ทหารม้าที่นำโดยราชินีเฮนริเอตต้านั้นแทบจะบดขยี้กองกำลังของแฟรงเป็นชิ้นๆ

 

กองทหารของแฟรงนั้นถึงกับสติแตก หายนะที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเมื่อต้องเห็นพรรคพวกถูกเกือกม้าย่ำเหยียบทำให้ทหารทั้งหลายต่างวิ่งหนี…….

 

ผู้บัญชาการสูงสุดอย่างมาควิส มงมอเรนซี่ก็ลากสังขารอายุเจ็ดสิบปีลงสมรภูมิมาเนื่องจากต้องการรักษาตำแหน่งของตนไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ดีอัศวินจากบริททานี่ก็กระซวกอกเขาก่อนจะได้ทันตั้งแนวรูปขบวน

พอผู้บัญชาการสูงสุดตายทันทีตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ ทหารของแฟรงก็เสียกำลังใจในการรบหลังเห็นความพ่ายแพ้ของเหล่าทหารม้าฝ่ายตน และนั่นก็ตามมาด้วยความสับสนไร้ระเบียบ

 

ราชินีเฮนริเอตต้าเองมิใช่บุคคลที่จะยอมปล่อยโอกาสดีเช่นนั้นหลุดลอยไป

 

 

กองทหารบริททานี่นั้นเข้าทำลายใจกลางของกองทัพแฟรง 

กองทัพแฟรงนั้นย่อยยับเป็นส่วนๆไม่อาจทำอะไรได้ และค่อยๆถูกตีแตกไปเรื่อยๆ…….

 

สุดท้ายแล้วนั้น

 

“กองทัพแฟรงบาดเจ็บล้มตาย 5,000 คน อีก 6,000 คนถูกจับเป็นเชลย ……. ในขณะที่ฝ่ายทหารบริททานี่นั้นสูญเสียไปเพียง 400 นาย”

 

“ช่างเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายเสียนี่กระไร”

 

ผมยิ้มอย่างชั่วร้าย

 

 

เฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่ สมแล้วที่เป็นราชวงศ์ที่นำโดย ตุลาการหญิงเหล็ก ลอร่า เดอ ฟานาร์เซ่ ใน <Dungeon Attack> และมีความปรารถนาที่จะควบรวมทวีปให้เป็นหนึ่งเดียว

 

ไม่ต้องสงสัยเลยล่ะผู้หญิงคนนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะจัดการ

 

 

 

 

 

 

คำส่งท้ายนักเขียน

 

ในการรบที่ <ภูเขาดำ> สถานที่ดันทาเลี่ยนเดบิวตัวเอง

 

มีฉากหนึ่งที่บาร์บาทอสแสดงความยินดีกับกองทัพของเธอหลังรบจบ และแหย่เซปาร์ผู้เป็นทหารแนวหน้า

 

เธอเรียกเขาว่า ‘ไอ้เวรที่พุ่งเข้าหาอัศวินแล้วเสียทหารไปจนหมด’ 

อัศวินบริททานี่นั้นเองแหละที่เป็นผู้กวาดล้างกองทัพของเซปาร์

 

ราชอาณาจักรบริททานี่และทิวทันนั้นต่างมั่นใจว่า มีอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดบนผืนทวีป

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 197 เส้นทางแห่งการแสวงบุญ (6)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 197 เส้นทางแห่งการแสวงบุญ (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

วันต่อมา แจ็กเกอรี่กลับมาพร้อมกับข่าว

 

“กองทัพของบริททานี่ได้เข้าไปถึงเมืองหลวงจักรวรรดิแล้ว”

 

“อืมฮึ ยี่สิบวันถ้วน นับจากวันที่ข้ามชายแดนเข้ามาสินะ…….”

 

ผมทอดสายตามองแผนที่ที่คลี่ออกบนโต๊ะ

 

“ดูพวกเขาจะเคลื่อนทัพมาพร้อมกับกองกำลังที่กล้าแข็ง”

 

“รุนแรงพอที่จะหักโค่นกำไผ่……? อย่างนั้นสินะ”

 

คนแคระผู้นั้น แจ็กเกอรี่ผงกหัวให้ สำนวนที่ผมพูดไปได้รับการแปลโดยอัตโนมัติ กลไกแบบนั้นมันทำงานได้ยังไงกันนะ?

 

โอ้ ใช่แล้ว 

ผมพบเรื่องนี้หลังจากที่มายังฟรานเคีย คำพูดคำจาของผมนั้นออกจะลุ่มลึกขึ้น แจ็กเกอรี่ชี้ให้ผมรู้ถึงเรื่องนั้นในวันที่เราดื่มเหล้ากัน

 

‘ฝ่าบาทพูดเหมือนชนชั้นสูงในวังเลย ฝ่าบาทได้รับการศึกษามาจากที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าครับ?’

‘อ้อ อื้ม มันก็เป็นอะไรประมาณนั้นแหละนะ’

‘ข้าได้ยินมาว่า ท่านคล่องแคล่วในภาษาชาวฮับบวร์ก แล้วยังมีภาษาอื่นที่ท่านเชี่ยวชาญไหมครับ?’

 

ดูเหมือนผมจะใช้ทุกภาษาที่มีได้เป็นอย่างดีเลย ผู้คนในโลกนี้ตามปรกติแล้วจะไม่พยายามเรียนรู้ภาษาชาวต่างประเทศ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในประเทศที่ร่ำรวยพอที่จะซื้ออาติแฟคเวทย์มนตร์ เวทย์มนตร์แปลภาษา น่ะ

 

‘อื้ม ข้ารู้ภาษาของพวกมนุษย์ส่วนใหญ่เลยล่ะ’

‘จริงหรือครับ? โอ้ สุดยอดมาก!’

 

แจ็กเกอรี่ดูประหลาดใจ

 

‘จอมมารส่วนมากก็ขี้เกียจที่จะเรียนรู้ ……. ไม่สิ ไม่สิ ฝ่าบาทนั้นไม่ได้เป็นอย่างจอมมารทั่วไป ท่านนี่สุดยอดอย่างแท้จริง ’

‘หืมมม หึหึ’

 

 

แจ็กเกอรี่เริ่มมองผมด้วยแววตาที่เคารพนับถือเป็นอย่างมากหลังเราพูดคุยเรื่องนั้นกัน 

ผมยังคงปิดปากเงียบอยู่ ผมแอบรู้สึกผิดเลยล่ะ แต่จะไปสนใจทำไมกันล่ะ? ทันทีที่รู้สึกผิดขึ้นมาปุ๊บ ผมก็เชือดเฉือนเจ้าความรู้สึกนั่นเป็นร้อยส่วนแล้วโยนมันทิ้ง

 

 

ถึงอย่างไรเสีย สถานการณ์ในฟรานเคียน่ะมันก็สลักสำคัญกว่าความงดงามเอเลแก้นท์ทางภาษาของผมอยู่แล้ว

 

กองกำลังต่างชาติบุกเข้ามาถึงใจกลางเมืองหลวงได้โดยใช้เวลาแค่ 20 วัน นี่มันเร็วจนผิดธรรมดา

การที่มันกลายเป็นเป็นแบบนี้ก็เชื่อได้แน่ว่า พวกเขาคงเดินทัพกันต่อเนื่องโดยไม่เจอการปะทะต่อสู้เลยแม้สักครั้ง 

 

และหากไม่เจอการต่อสู้ใดเลย…….

 

“ฟรานเคียนี่มันเกินเยียวยาแล้ว แต่ทำไมพวกนั้นถึงได้แย่ขนาดนั้นล่ะ?”

 

“ราชอาณาจักรบริททานี่นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่คาดไว้ ชื่อเสียงของราชินีเองก็ไม่ธรรมดา”

 

สถานการณ์น่ะมันเป็นแบบนี้:

ชนชั้นสูงของฟรานเคียต่างแตกตื่นพอได้รู้ว่า จู่ๆของทัพต่างชาติบุกเข้ามา ทั้งที่สงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทรายังไม่สิ้นสุดด้วยซ้ำ

 

ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่า จะมีกองกำลังทหารจากฝ่ายมนุษย์ด้วยกันที่อยู่เคียงข้างจะมาบุกในขณะที่กองทัพจอมมารกับกองทัพมนุษย์ยังคงปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน

 

“ที่หนักหนากว่านั้นอีก เหล่าชนชั้นสูงในฟรานเคียได้ส่งทหารหาญของตนไปรบกับกองกำลังเสี้ยวจันทรา 

การตรวจตราที่ฉนวนชายแดนก็เลยอ่อนลงกว่าปรกติ”

 

แจ็กเกอรี่ลูบหนวดตัวเอง

 

“ชนชั้นสูงของฟรานเคียต่างวิพากย์พวกบริททานี่อย่างเผ็ดร้อนเรื่องการลอบจู่โจมชาติอื่นขณะที่มนุษยชาติยังอยู่ท่ามกลางการสู้รบกับพวกปีศาจ”

 

“โง่เง่าเต่าตุ่นอะไรเช่นนี้”

 

เพียงเท่านี้ก็เห็นภาพความต่างทางความสามารถระหว่างบริททานี่และฟรานเคียแล้ว

 

“ราชินีเฮนริเอตต้าแห่งบริททานี่นั้นคาดคะแนนว่า การรุกรานของพันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นจบลงแล้ว

สาธารณรัฐฮับบวร์กใหม่เองก็ไม่สามารถจะทนต่อการโจมตีของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้อีกต่อไป

เมื่อเป็นดังนั้นกองทัพพันธมิตรเองก็จะเริ่มการบุกพวกเขาต่อ

……. เธอคงใช้เหตุผลนี้เป็นตัวผลักดันนั่นแหละ”

 

เธอรู้แล้วว่า กองกำลังจอมมารน่ะเริ่มมีการแบ่งแยกฝักฝ่าย 

จอมมารที่เลื่องชื่อลือชาในแง่ของการทำอะไรไร้สาระมาโดยตลอดในช่วงการรบของสงครามพันธมิตร

 

เจ้าพวกนั้นทำให้ผมโคตรผิดหวังเลยที่มาเกิดใหม่ในฐานะที่โดนเหมารวมไปแบบนั้นด้วย

 

(TTL : เกิดใหม่ทั้งทีกลายเป็นจอมมารลำดับ 72 ที่อ่อนกากแถมโดนเหมารวมว่า เป็นจอมมารที่ชอบทำอะไรไร้สาระในสงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทราไปเสียแล้ว แต่…โทษทีนะ ผมนี่แหละดันทาเลี่ยนผู้ต่ำช้าสาระยำ เป็นขยะที่สุดในบรรดาขยะด้วยกัน,ผู้นี้จะเอาคืนโลกใบนี้ทั้งฝ่ายมนุษย์และฝ่ายจอมมารให้แสบไส้ไปเลย ซึ่งความจริงแล้วทั้งหมดที่ผมทำไปน่ะก็แค่อยากจะมีชีวิตอยู่รอดในโลกแห่งเกมที่ชื่อ <Dungeon Attack> เฉยๆแหละ  <<<ชื่อเรื่องในสไตล์ไล้ท์โนเวลญี่ปุ่นยาวจนจะเป็นเรื่องย่อ 555 ) 

 

 

ราชินีเฮนริเอตต้าคงกำลังหัวเราะเยาะพวกเหล่าจอมมารอยู่ในใจนั่นแหละ ทั้งที่โอกาสในการกวาดล้างมนุษยชาติอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่เจ้าพวกงั่งนั่นก็ดันทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างฝ่ายทำให้พลาดโอกาสที่อาจมีครั้งเดียวในชีวิตไป น่าสมเพซอะไรเช่นนี้หนอ…….

 

“จากข้อมูลที่ได้มาจากสายสืบ ราชินีเฮนริเอตต้านั้นตระเตรียมกองกำลังไว้ก่อนแล้ว 

เธอคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า มนุษยชาติจะพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์ที่ฮับบวร์ก จึงได้เตรียมอีกกองกำลังแยกไว้”

 

ซึ่งนั่นเป็นกองกำลังที่ใช้เพื่อรุกรานฟรานเคีย

แต่ฟรานเคียเองก็ใช่ว่าจะมีแต่คนโง่ที่ไหน พวกทหารในพื้นที่เองก็เร่งรีบระดมเหล่ามาร์ควิสไว้ที่ศูนย์กลาง

 

เหล่ามาร์ควิสที่ชำนาญการศึกได้เริ่มตอบโต้กลับไปขณะที่นำกองกำลัง แต่ทว่าระเบิดลูกใหม่จู่ๆก็โดนยิงมาจากทางเมืองหลวง

 

 

 

‘บริททานี่มิใช่ศัตรูของพวกเรา พวกเขาเป็นพันธมิตร ขอสั่งการให้ทุกหน่วยทุกกองเปิดทางให้บริททานี่ และส่งมอบเสบียงและการสนับสนุนที่พวกเขาร้องขอมา’

 

ไม่ต้องก็รู้ใช่ไหมล่ะ? ว่านั่น จักรพรรดิแห่งฟรานเคียเป็นผู้สั่งมา

ตอนนั้นเองที่ทำให้เหล่าผู้บัญชาการทหารทั่วฟรานเคียยิ่งสับสนอลหม่าน

 

 

จักรพรรดิแบบไหนกันที่เปิดทางให้กองทัพต่างชาติเข้ามาแถมยังจัดหาเสบียงให้ด้วยอีกต่างหาก?

พวกเขาย่อมต้องไม่มีทางเชื่อแน่ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น

พวกเขาจะต่อต้านกองกำลังต่างชาติหรือจะยอมเชื่อฟังคำสั่งราชโองการของจักรพรรดิล่ะ? เกิดการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดระหว่างเหล่าผู้บัญชาการ มันเป็นสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

บริททานี่ฉวยโอกาสที่กำลังวุ่นวายๆนั่นแหละรุกเข้ามาในฟรานเคียอย่างสบายใจเฉิบ

โดยไม่มีใครสักคนมาขวางทางพวกเขาเลย

 

‘แต่นี่เป็นราชโองการสั่งมาโดยตรงจากองค์จักรพรรดิแห่งฟรานเคีย’

‘พวกเราอยู่ที่นี่เพื่อป้องกัน…….’

‘เงียบซะ! เจ้าพวกงั่ง! แกตั้งใจจะขัดคำสั่งของจักรพรรดิรึยังไง!?’

 

ราชินีเฮนริเอตต้าต้องตะโกนเถียงกลับไปแบบนั้นแน่

เธอน่ะเทียวไปเทียวมาพร้อมกับราชโองการที่ลงนามด้วยจักรพรรดิเอง

 

หากเป็นตามปรกติ ผู้คนคงหัวเราะเยาะแล้วบอกว่านั่นมันเป็นราชโองการปลอมแน่ๆ แต่กลายเป็นว่าแม้แต่กองทัพหลวงของจักรวรรดิเองก็ยังต้องถอยให้…….

 

“รวมแล้วก็มีกองทัพถึง 3 กองทัพที่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นขณะที่กองกำลังของจักรวรรดิบริททานี่บุกเข้ามา พวกเขาบอกว่า แม้แต่ทหารรักษาการณ์เองก็ยังยอมปลดอาวุธ”

 

นั่นเป็นจักรพรรดิที่โง่เสียจนเหล่าจอมมารทั้งหลายยังเทียบไม่ติด

 

กองทัพบริททานี่เองก็ข้ามผ่านชายแดน ผ่านพื้นที่เขตป้อมปราการมาได้โดยไม่สูญเสียกองกำลังเลยแม้แต่น้อย

ถึงจุดนั้นเองที่ชนชั้นสูงของฟรานเคียหลายคนเริ่มคิดแล้วว่า นี่อาจจะผิด

 

 

ชนชั้นสูงผู้ฝักใฝ่สาธารณรัฐถึงกับอึ้ง เทียบไปแล้วก็เหมือนตอนที่ราชาแห่งโชซอนได้นำทหารญี่ปุ่นเข้ามาเพื่อสั่งสอนข้าราชการนั่นแหละ

 

‘จักรพรรดิเชิญพวกบริททานี่ ผู้เป็นศัตรูตลอดกาลของพวกเราเข้ามา เพื่อจะกำจัดพวกเราทิ้ง!’

ชนชั้นสูงหลายต่อลหายคนไม่อาจอยู่เงียบๆได้ต่อไปก็ลุกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพฟรานเคียอย่าง นายพลมงมอเรนซี่(General Montmorency), ดยุคกุยส์(Duke Guise), นายพล นักบุญองเดร(General Saint Andre), และคนอื่นอีกมากมาย 

ชนชั้นสูงทั้งจากฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ และฝ่ายที่เป็นกลางต่างรวมกำลังกัน พวกเขารวมกองกำลังกันเพื่อต่อต้าน

 

จำนวนทหารที่มีก็ราว 15,000 นาย บริททานี่นั้นบุกโหมกระหน่ำราวกับพายุบุแคม พวกเขาจึงต้องผนึกกำลังในชั่วระยะเวลาสั้นๆตามที่มี

 

ในทางกลับกัน กองทัพของบริททานี่มีทหารราว  9,000 นาย  ในแง่ของจำนวนแล้ว ฟรานเคียนั้นล้นหลามกว่ามาก สำหรับทวีปประเทศที่ตั้งตนเป็นจักรวรรดิน่ะ ผมควรจะชื่นชมพวกเขาไหม? 

 

ทั้งกองทัพของจักรวรรดิและกองทัพราชอาณาจักรต่างเข้าปะทะกันในจุดยุทธศาสตร์ที่กำหนด

 

 

“กองทัพทหารชาวแฟรงนั้นเชื่อว่า พวกเขามีโอกาสที่จะเอาชนะได้เนื่องจากจำนวนที่มากกว่า”

 

“เอาล่ะ พวกเขาคงคิดแหละว่าจะสามารถขับไล่พวกบริททานี่ออกไปได้”

 

ใครๆต่างก็คิดเช่นนั้น

ยกเว้นคนเพียงคนเดียว

 

 

 

* * *

 

 

กองทัพราชอาณาจักรบริททานี่นั้นกำลังประชุมกลยุทธกันเสียงดัง

“พวกเราต้องรอจนกว่าจักรพรรดิฟรานเคียนั้นจะส่งกำลังเสริมมา”

 

“พวกเราจะไว้ใจจักรพรรดินั่นได้จริงหรือ? พวกเราก็แค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ เราก็แค่บอกว่า เรามาอยู่ที่นี่ตามราชโองการขององค์จักรพรรดิ แค่นั้นเจ้าพวกนั้นก็แตกตื่นแล้วโกยแน่บไปด้วยความกลัวแล้ว!”

 

“ข้าไม่แน่ใจเรื่องนั้นนัก นายพลมงมอเรนซี่เป็นผู้บัญชาการสูงสุด ณ ตอนนี้ ป่านนี้เขาคงสบถอะไรสักอย่างออกมานั่นแหละ”

 

ความเห็นส่วนมากของชนชั้นสูงต่างเป็นไปในทิศทางที่ว่า ให้รออีกสักหน่อย

 

การเผชิญหน้ากับทหารจำนวน 15,000 นาย ด้วยกำลังทหาร 9,000 นายออกจะหนักเกินไป มันเป็นการตอบสนองตามปรกติอย่างที่ควรเป็นอยู่แล้ว

 

ราชินีเฮนริเอตต้าเฝ้าจับตาดูการประชุมขณะนั่งบนเก้าอี้อันทรงเกียรติ 

ราชินีได้พูดขึ้นปิดท้ายหลังเหล่านายพลใกล้จะถึงจุดข้อสรุป

 

“พวกเราจะบุกเต็มกำลังในวันพรุ่งนี้ ตอนเช้าตรู่”

มาควิส โคลิกนี่(Marquis Coligny) ทหารผู้เชี่ยวชาญการรบ พูดขึ้นมาแทนชนชั้นสูงอื่นที่ยังคงเงียบอยู่

 

“ฝ่าบาท จักรวรรดิแฟรงนั้น สัญญากับพวกเราว่าจะส่งกองกำลังเสริมมา เราเชื่อว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะมุ่งเข้าสู่สถานการณ์อันตรายขนาดนั้นเมื่อพวกเรามีจำนวนน้อยกว่ามาก”

 

“พวกทหารจักรวรรดิตรงหน้าเราก็ไม่ต่างจากหัวหุ่น ที่ภายนอกดูแข็งแกร่งแต่ข้างในน่ะกลวงว่าง”

 

ราชินี ผู้ยังเยาว์ และมีผมสีแดงสการ์เล็ทพูดออกมาอย่างมั่นใจ

 

“จำนวนของพวกเขามากมาย แต่พวกเขาไม่ได้มีพลขี่ม้ามากมายขนาดนั้น ในจำนวนทหาร  15,000  นาย ยังมีทหารม้าน้อยกว่า 3,000 นายเสียด้วยซ้ำในขณะที่พวกเราอาจมีทหารเพียง 9,000 นาย แต่พวกเรามีทหารม้าถึง 5,000 นาย ทุกคน ดูเหมือนพวกเจ้าทุกคนต่างเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าชูนิ้วขึ้นมา 4 นิ้ว

 

“พวกเขาไม่ได้มีจำนวนมากกว่าเรา เราต่างหากที่มีจำนวนมากกว่าพวกเขาถึง 4 เท่า”

 

“……อะไรนะครับ? ที่บอกว่า มีมากกว่า 4เท่า คืออย่างไรกับ,ฝ่าบาท?”

 

“ชนชั้นของพวกนั้นน่ะมัวแต่ลังเลเพราะเป็นคำสั่งของจักรพรรดิ แต่ทหารส่วนมากตรงหน้าเราต่างเป็นทหารเกณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ใช่อัศวิน แถมยังขาดพลม้า ถ้าหากจะมีก็คงมีอัศวินอยู่ไม่มากมายเท่าไหร่นัก สูงสุดก็คงสักร้อยคน”

 

ราชินีเฮนริเอตต้ายิ้มออกมา

 

“ในขณะที่ฝ่ายเรามี อัศวิน 900 นาย พวกเราน่ะมีมากเหลือในแง่จำนวน และนั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมกองทัพของพวกเราจึงมากกว่าฝ่ายนั้นถึง ‘2 เท่า’ ”

 

ต่อจากนั้นราชินีก็พูดโดยพับนิ้วลงสองนิ้ว

 

 

“ต่อให้พวกเขาระดมกำลังเข้าด้วยกัน พวกเขาก็ยังคงวิตกกับการที่ต้องต่อต้านคำสั่งจักรพรรดิ ก็ต้องฝืนใจรบไปอย่างนั้น

ศัตรูของพวกเราน่ะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็ต้องการโจมตี อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องการที่จะรั้งรอก่อน เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นแล้ว”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าจึงพับสองนิ้วสุดท้ายลง

 

“พวกเราจึงกำลังเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ดูเหมือนแข็งแกร่งก็จริงหากแต่กำลังทหารกลับลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว 

นั่นแหละคือ สาเหตุที่ว่าทำไมข้าถึงบอกว่า  พวกเขาน่ะอ่อนแอกว่าพวกเราถึง 4 เท่า

เหล่าทหารหาญเอ๋ย! พวกเรานั้นเป็นหนึ่งเดียวกันในขณะที่พวกเขาแตกแยกกัน”

 

ชนชั้นสูงทั้งหลายต่างจับจ้องไปที่กำปั้นของราชินีโดยไร้ถ้อยคำ พวกเขาต่างจมดิ่งไปกับน้ำเสียงอันเปี่ยมเสน่ห์ขององค์ราชินี

 

“ยิ่งนานมากเท่าไหร่ กองกำลังฝ่ายศัตรูก็ยิ่งมีผู้ต่อต้านราชโองการของจักรพรรดิมากขึ้น 

ตอนนี้เป็นโอกาสของพวกเราแล้ว ในขณะที่ชนชั้นสูงของฝ่ายนั้นโดยมากยังอยู่ในกำมือเรา!”

 

ราชินีทุบกำปั้นลงไปบนโต๊ะ

 

“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญยิ่ง มงมอเรนซี่,กุย และนักบุญองเดร ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังศัตรู! 

พวกเขานั้นเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าของฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ 

หากพวกเรากำจัดพวกเขาได้ แกนกลางของฝ่ายจักรพรรดินีย่อมต้องอ่อนกำลังลงอย่างมาก

ทหารหาญทุกนายเอ๋ย องค์เทพีได้จัดเตรียมงานเลี้ยงอันยอดเยี่ยมให้แก่พวกเรา!”

ราชินีเฮนริเอตต้ายิ้มออกมา

 

“ไปรายงานอัศวินทั้งหลาย เหล่าทวยเทพได้เตรียมชัยชนะอันเรืองโรจน์แด่บริททานี่ของพวกเราในวันพรุ่งนี้เช้า

ศัตรูจะไม่มีแม้แต่กระทั่งโอกาสในการส่งเสียงร้อง ได้แต่ตายไปเหมือนหมู”

 

 

 

* * *

 

 

กองกำลังจักรวรรดิพ่ายแพ้ราบคาบ

 

หลักการพื้นฐานการรบเป็นเช่นนี้ : 

ทหารเดินเท้านั้นจะอยู่ในตำแหน่งกลางทัพ ในขณะที่ทหารม้านั้นจะอยู่ปีกข้าง ทหารม้าที่ห้อมล้อมศัตรูทั้งสองฝั่งส่วนทหารเดินเท้านั้นจะคอยตรึงกำลังอีกฝ่ายตรงกลาง

 

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ราชินีเฮนริเอตต้าได้จัดตำแหน่งทหารม้าของเธอไว้ ‘ตรงกลาง’

 

อัศวินร้อยนายและทหารม้านับพัน พุ่งตรงไปข้างหน้า

 

กองทัพของแฟรงนั้นถึงกับตกใจ พวกเขาพยายามระดมทหารและส่งทหารม้า 2,000 นายไปปะทะ ทหารม้า 2,000 นายนั้นเป็นจำนวนปรกติเท่าที่สมควรจะมี

 

พวกเขาหวังว่าจะพอซื้อเวลาได้บ้าง

 

แต่การสู้รบของทหารม้าจบลงหลังการปะทะเพียงครั้งเดียว ทหารม้าที่นำโดยราชินีเฮนริเอตต้านั้นแทบจะบดขยี้กองกำลังของแฟรงเป็นชิ้นๆ

 

กองทหารของแฟรงนั้นถึงกับสติแตก หายนะที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเมื่อต้องเห็นพรรคพวกถูกเกือกม้าย่ำเหยียบทำให้ทหารทั้งหลายต่างวิ่งหนี…….

 

ผู้บัญชาการสูงสุดอย่างมาควิส มงมอเรนซี่ก็ลากสังขารอายุเจ็ดสิบปีลงสมรภูมิมาเนื่องจากต้องการรักษาตำแหน่งของตนไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ดีอัศวินจากบริททานี่ก็กระซวกอกเขาก่อนจะได้ทันตั้งแนวรูปขบวน

พอผู้บัญชาการสูงสุดตายทันทีตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ ทหารของแฟรงก็เสียกำลังใจในการรบหลังเห็นความพ่ายแพ้ของเหล่าทหารม้าฝ่ายตน และนั่นก็ตามมาด้วยความสับสนไร้ระเบียบ

 

ราชินีเฮนริเอตต้าเองมิใช่บุคคลที่จะยอมปล่อยโอกาสดีเช่นนั้นหลุดลอยไป

 

 

กองทหารบริททานี่นั้นเข้าทำลายใจกลางของกองทัพแฟรง 

กองทัพแฟรงนั้นย่อยยับเป็นส่วนๆไม่อาจทำอะไรได้ และค่อยๆถูกตีแตกไปเรื่อยๆ…….

 

สุดท้ายแล้วนั้น

 

“กองทัพแฟรงบาดเจ็บล้มตาย 5,000 คน อีก 6,000 คนถูกจับเป็นเชลย ……. ในขณะที่ฝ่ายทหารบริททานี่นั้นสูญเสียไปเพียง 400 นาย”

 

“ช่างเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายเสียนี่กระไร”

 

ผมยิ้มอย่างชั่วร้าย

 

 

เฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่ สมแล้วที่เป็นราชวงศ์ที่นำโดย ตุลาการหญิงเหล็ก ลอร่า เดอ ฟานาร์เซ่ ใน <Dungeon Attack> และมีความปรารถนาที่จะควบรวมทวีปให้เป็นหนึ่งเดียว

 

ไม่ต้องสงสัยเลยล่ะผู้หญิงคนนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะจัดการ

 

 

 

 

 

 

คำส่งท้ายนักเขียน

 

ในการรบที่ <ภูเขาดำ> สถานที่ดันทาเลี่ยนเดบิวตัวเอง

 

มีฉากหนึ่งที่บาร์บาทอสแสดงความยินดีกับกองทัพของเธอหลังรบจบ และแหย่เซปาร์ผู้เป็นทหารแนวหน้า

 

เธอเรียกเขาว่า ‘ไอ้เวรที่พุ่งเข้าหาอัศวินแล้วเสียทหารไปจนหมด’ 

อัศวินบริททานี่นั้นเองแหละที่เป็นผู้กวาดล้างกองทัพของเซปาร์

 

ราชอาณาจักรบริททานี่และทิวทันนั้นต่างมั่นใจว่า มีอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดบนผืนทวีป

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+