Dungeon Defense (WN) 210 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (2)
“ยะ-อย่างนั้นเองรึ? เจ้ากำลังทำงานอยู่นี่น้า เอาล่ะๆ ไม่เป็นไร เรื่องงานสำคัญกว่าอยู่แล้ว”
ผมพูดคำว่า ‘เอาเถอะ!’ ขณะที่มือก็ล้วงกระเป๋า
“ข้าจะมอบกำลังใจแด่พวกเจ้าทุกคนที่ทำงานหนักมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ เอาล่ะ เหล่าคนงานผู้ขยันขันแข็งทั้งหลาย เอาทองไปเท่าที่อยากได้เลย!”
ผมหัวเราะออกมาอย่างเริงร่าขณะที่โปรยเหรียญทอง
ผมไม่ได้มือเติบซักหน่อย ผมหายไปตั้งสองเดือน ดังนั้นพวกคนงานไม่รู้หรอกว่าจะรับมือกับผมยังไง
ผมตั้งใจจะเปลี่ยนอารมณ์เล็กๆน้อยๆด้วยด้วยการจัดงานเทศกาลขนาดย่อม แล้วทำให้พวกเขาเข้าหาผมได้โดยไม่เคอะเขิน
เสียงกรุ้งกริ้งของเหรียญเงินที่กระทบพื้นถ้ำดังไปทั่ว
คอของ ก็อบลินและคนแคระหันมาแทบหักในขณะที่ได้ยินเสียงเหรียญทองตกกระทบพื้น พวกเขายกเท้าขึ้น คงตั้งใจที่จะพุ่งมาหาผมในทันที แต่ทว่า―
“……หืมม?”
พวกเขายังยืนนิ่งอยู่ พวกคนงานกลับระแวง และค่อยๆหันกลับมามองที่ตาแดงก่ำของบุคคลหนึ่ง
บุคคลนั้นผู้ยืนมองจ้องพวกเขาอยู่นั้นมิใช่ใครอื่นใดนอกจากลาพิส ซัคคิวบัสผมสีชมพูยืนอยู่ที่นั่น
“หากคุณต้องการจะยกเพดานกลางชั้นหนึ่งก็ทำได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องความแข็งของวัสดุ”
ลาพิสยังคงสั่งต่อไปราวกับว่า เหรียญทองพวกนั้นไร้ค่าสำหรับเธอ
“แต่ขอให้ตระหนักไว้เสมอว่าในอนาคตนั้น ชั้นแรกจะเต็มไปด้วยห้างร้านสำหรับเหล่านักผจญภัย
พลาซ่าจะสร้างขึ้นตรงกลาง พวกคุณต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ไว้เสมอ เข้าใจไหมคะ?”
“คะ-ครับ รับทราบครับ ผู้จัดการทั่วไป”
เหล่าคนงานคำนับลาพิส ในขณะที่หางตาของพวกเขายังคงเหลือบมองเหรียญทองบนพื้นและกลืนน้ำลายเอื้อก ผมเพิ่งมาสังเกตเห็นว่า พวกเขาไม่กล้าที่จะขยับเท้าสักก้าวไปหาทอง
เจ้าพวกนี้มัน……ระมัดระวังการกระทำต่อหน้าลาพิส!
เหล่าตัวคนที่เป็นดั่งตัวแทนของอุตสาหกรรมก่อสร้างในโลกปีศาจต่างมารวมกันอยู่ที่นี่
แม้ส่วนมากจะเป็นตัวแทนหรือหัวหน้าของนายหน้าก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อยเมื่อยืนต่อหน้า ลูกครึ่ง ซัคคิวบัสระดับต่ำ
ผมถึงกับอึ้งไปเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมากันนะ พวกนี้ถึงทำตัวเหมือนทหารใหม่ตอนออกจากค่าย
“ยิ่งไปกว่านั้น,ท่านดันทาเลี่ยนคะ”
ลาพิสออกชื่อผมโดยไม่แม้แต่จะเบนสายตาออกจากเอกสารในมือด้วยซ้ำ ด้วยน้ำเสียงเครียดนั้นทำเอาผมสะดุ้ง
“หะ-หือ?”
“ดิฉันดีใจนะคะที่ท่านพยายามปลุกกำลังใจในการทำงานของพวกเขา แต่งานวันนี้ยังไม่เสร็จค่ะ ยังมีเวลาเหลืออีกสามชั่วโมงจึงจะจบวัน ดังนั้นไปจ่ายโบนัสชุดใหญ่ตอนจบวันด้วยค่ะ”
“……โอเค”
ผมก้มลงเก็บเหรียญมากมายที่ตกอยู่บนพื้น ดูเหมือนผมเป็นประธานาธิบดีที่แสดงตัวออกมาทั้งที่ไม่มีความจำเป็นแถมยังทำลายมู๊ดของทุกคนที่กำลังวุ่นยุ่งอยู่กับงานที่ใกล้จะเสร็จแล้ว
ไม่หรอก นั่นไม่ใช่พูดเชิงเปรียบเทียบหรอก มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“อืมม แล้วลอร่าอยู่ไหน?”
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ เธออาจอยู่ในห้องของฝ่าบาทแล้วอ่านหนังสือปรัชญาสูงส่งอยู่”
ตอนนั้นเอง แววตาของลาพิสเหมือนกับกำลังมองขยะเน่า คล้ายกับแววตาของคนทำงานอายุห้าสิบปีที่มีประสบการณ์ขมขื่นและเลวร้ายของชีวิตกำลังมองจ้องไปยังเด็กใหม่ที่เพิ่งย่างเท้าเข้าสังคม
น่ากลัวชะมัด
“ขะ-ข้าจะกลับห้องแล้ว ตั้งใจทำงานกันล่ะ”
ผมพูดออกมาโดยสัญชาตญาณเพราะรู้ว่าจะเป็นการดีที่สุดหากจะรีบออกมา ผมโบกมือขวาให้ลาพิสก่อนจะถอยไป ลาพิสมองผมอย่างไม่แยแสก่อนจะตอบกลับมาด้วยท่าทางเฉยๆ
“ค่ะ จะตั้งใจทำงานค่ะ แม้พวกเราจะตั้งใจทำงานมาตลอดก็ตาม”
ลาพิสกลับไปสั่งงานต่อ
ทั้งถ้ำกลับหนาวยะเยือกนับตั้งแต่ที่ผมมาถึง
ท่าทางการตอบรับของเธอมันไม่มากเกินไปหน่อยรึไง หลังจากไม่ได้เจอกันนานเลยนะ……?
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรผิดไป จึงได้แต่เดินแบบไร้กะจิตกะใจทุกฝีก้าว
ดันเจี้ยนของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ถ้ำที่เคยมีส่วนโค้งเว้ามั่วๆซั่วๆกับถูกจัดระเบียบให้กว้างใหญ่ และมีอุโมงทางตรง
“โว้ววว”
กำแพงขนาดใหญ่ปิดกั้นด้านข้างของอุโมงโดยไม่มีรูโหว่หรือช่องเปิด
หมู่บ้านของมอนสเตอร์ตั้งอยู่หลังกำแพงใหญ่พวกนั้น
ผมถึงกับตะลึงกับการที่เห็นไอเดียในจินตนาการของตัวเองในหัวกลายเป็นความจริงขึ้นมา ขณะที่เดินดูผมก็ถึงกับอ้าปากค้างราวกับเด็กน้อยที่ได้รับเชิญให้ไปเที่ยวสวนสนุก
เกร้ง!เกร้ง!เกร้ง!
ยังคงมีคนงานทำงานอยู่ที่ไหนสักแห่ง เสียงอีเต้อกระแทกโดยไม่พักเพื่อทะลวงกำแพงถ้ำ
ช่างปูนก็ขยันขยับมือในขณะที่ก็อบลินนักเวทย์ก็ส่ายหน้าและบ่นอย่างหงุดหงิด
“ม่างเอ๊ย พวกเราไม่สามารถร่างเวทย์เสริมแกร่งแบบนี้ได้ เอาใหม่ตั้งแต่เริ่มเลย”
“แต่พวกเราไม่มีอดาแมนเที่ยมมากพอในคลังแล้ว…….”
“ผู้อำนวยการ! ไปเรียกผู้อำนวยการมาที!”
มันเป็นการก่อสร้างขนานใหญ่ ทุกคนจึงต่างขยับและพูดคุยกันอย่างวุ่นวาย
ผมฝากงานก่อสร้างให้กับนายหน้าเอเจนซี่หลายหน่วยงานแทนที่จะเป็นหน่วยเดียวเพื่อลดรายจ่ายในการก่อสร้าง แต่การทำแบบนั้นกลับสร้างภาระใหญ่ให้กับผู้จัดการทั่วไป
ที่จะต้องสั่งงานมากมายให้กับเหล่าเอเจนซี่ โดยระบุงานลงไปในรายละเอียดของพวกเขา
“อ่ออออ”
ก็เข้าใจดีเลยล่ะทำไมลาพิสอารมณ์ไม่ดี
เธอคงจะมีความเครียดสะสมมาก แถมคงรำคาญมากเลยล่ะที่อยู่ๆบุคคลที่ควรเป็นหัวหน้าสั่งงานสูงสุดอยู่ๆก็กลับมาเสนอหน้าแล้วพูดว่า
‘กลับมาแล้วจ่ะ ดีใจที่เห็นฉันไหมจ๊ะ?’
ผมเดินเกือบสองชั่วโมงก่อนที่จะเห็นห้องจอมมารของตัวเอง ห้องเปลี่ยนไปมากเสียจนผมแทบจำไม่ได้
ตอนนี้มันมีหน้าผาอยู่หน้าห้องด้วย เอาจริงๆนะ ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่า จะเรียกมันว่าหน้าผาหรือคูน้ำดี
มันเป็นสะพานหินแคบๆที่วางบนคู ต้องข้ามสะพานถึงจะไปถึงประตูห้องได้
ประตูหน้า……ประตูไม้ที่เคยโดนขวานของริฟทุบจนพังได้ง่ายๆกลับไม่มีอีกต่อไป ไอ้เจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมนี่มันเหมือนรูปปั้นมากกว่าประตูด้วยซ้ำ
รูปปั้นที่มีใบหน้าเคร่งขรึมกำลังเปิดปากออกอย่างน่าสะพรึงกลัว โดยที่ปากนั้นเองที่เป็นประตู
สิ่งนี้ให้ความรู้สึกถึงความน่าสะพรึงของจอมมารอย่างแท้จริง แถมยังเป็นรสนิยมสุดแย่ด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทำได้ยังไงกันนะ แต่ดวงตาของเจ้ารูปปั้นนั่นมีไฟลุกโชนอยู่
ผมรู้สึกกดดันจึงค่อยๆเดินเข้าไปทีละน้อย มันมีอักษรสลักอยู่เหนือประตู
พูดให้ชัดก็คือ ระหว่างริมฝีปากบนกับจมูก ประโยคดังกล่าวเขียนด้วยภาษาจักรวรรดิโบราณดังนี้:
– ละทิ้งความหวังเสีย เหล่าผู้มาถึงสรวงสวรรค์
“อั่กกก”
พวกนั้นเล่นกันเต็มที่เลยแฮะจนเหมือนเป็นจอมมารขึ้นมาจริงๆ แทบไม่ต่างจากหน้าปากทางเข้าห้องบอสในเกมRPGด้วยซ้ำ
หรือนี่คือ ภาพลักษณ์ ‘จอมมาร’ ในหัวลาพิสกันนะ?
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตมากว่า 200 ปีนี่ มันจะดูเด็กไปไหม๊?
ไม่สิ แม้แต่บาร์บาทอสยังเรียกปราสาทของตัวเองว่า< วิหารสำหรับผู้วายชนม์>……. การออกแบบแบบเด็กๆนี่อาจจะเป็นความเป็นสากลร่วมกันของปราสาทจอมมารก็เป็นได้
ถ้างั้นพวกปีศาจนี่มันก็มีรสนิยมทางศิลปะที่โคตรของโคตรประหลาดเลยนี่หว่า ไอ้ที่บอกว่าให้สวมชุดสูทสีชมพูแล้วไปเอนจอยกับงานเลี้ยงก็ไอ้เจ้าพวกนี้สินะ?
ผมเลิกคิดอะไรต่อแล้วพาร่างตัวเองกลับเข้าห้อง ด้านในนั้นแยกเดี่ยวออกจากพื้นที่อื่นอย่างน่าประหลาด พวกนั้นยังไม่ได้ตกแต่งภายในกันด้วยซ้ำ
“ลอร่า? ข้ากลับมาแล้ว ดันทาเลี่ยนที่เจ้ารักได้กลับมาแล้ว”
เสียงของผมนั้นก้องไปทั่วทั้งห้อง พอเป็นแบบนั้นก็มีอะไรบางอย่างสีทองๆโผล่ออกมาจากเตียงที่ตั้งอยู่อีกมุมของห้อง
ผมสีทองนั่น ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่นั่นเอง
“นายท่าน……นั่นท่านจริงหรือ?”
ลอร่ามองผมด้วยแววตาที่สั่นๆ เธอดูจะอ่อนล้าด้วยอะไรบางอย่าง ผมสีบลอนด์ทองที่เคยประกายระยับท่ามกลางไอแดดอันอบอุ่นกลับซีดและเปราะบาง
“หรือนี่จะเป็นเวทย์ลวงตาที่หมายจะหลอกหญิงสาวผู้นี้กัน? ท่านเป็นตัวจริงแน่หรือ?”
“วะ-เวทย์ลวงตาเนี่ยนะl?”
ผมถึงกับช็อค ตอนผมไม่อยู่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?
ลอร่าดูหวาดผวามาก ผมจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนและเข้าหาลอร่าเหมือนกับเข้าหาลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง
“ลอร่า นี่ข้าเอง ข้าไม่ใช่ภาพหลอนลวงตาใดๆ ข้าคือ ดันทาเลี่ยนตัวจริง”
“ท่านใช่นายท่านจริงหรือเปล่า บุคคลที่ปกติทำตัวเคร่งขรึมอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วก็ทำลายบรรยากาศนั่นด้วยหัวเราะลั่นจนทำให้คนรอบข้างต้องวิตกประหม่า?”
“……ใช่แล้ว ข้าคือ ดันทาเลี่ยนผู้นั้น”
ลอร่ามุดหัวลงในผ้าห่มก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหวาดๆ
“บุคคลที่เที่ยวหลอกคนอื่นตลอดเวลาว่า เป็นคนที่ซื่อตรงและจริงใจกว่าใครที่สุดในโลก แต่กลับหื่นกระหายร่างกายของหญิงสาวผู้นี้ในทุกโอกาส
ยิ่งกว่านั้นบุคคลที่ตัวฉันรู้จักน่ะเป็นบุคคลที่ซื่อตรงและจริงใจต่อความบ้าเซ็กส์ที่สุดในโลก นั่นใช่นายท่านที่ไม่สนใจเด็กสาวอายุเกิน 17 ปี คนนั้นรึเปล่า”
“……ลอร่า ข้าว่า ข้าเข้าใจความคิดที่เจ้ามีต่อข้ามากขึ้นแล้วล่ะ”
ริมฝีปากของผมเริ่มกระตุก
“ข้ามิใช่พวกบ้าเซ็กส์หรือเพโดฟีเลีย
ข้าคือ ดันทาเลี่ยน ผู้ที่แค่มีความสัมพันธ์กับหญิงสาวผู้มีอายุต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย”
(TTL : กลับมาหลังจากโดนลาพิสเฉยชาใส่ ก็โดนน้องลอร่าด่ายับหมาเหมือนเคยยยยย
แถมมีแก้ต่างจาก ‘ชอบหญิงสาวอายุเฉลี่ย’ เป็น ‘หญิงสาวอายุต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย’ ด้วย
#ขำกลิ้ง )
“อ๋าาา ความไร้ยางอาย หน้าด้านบนใบหน้านั่นต้องเป็นของนายท่านอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!”
ลอร่ารี่ลุกขึ้นแล้วทะยานมาหาผมราวกับสัตว์เลี้ยงที่มาต้อนรับเจ้านายที่กลับมาจากสงครามหลังหายไปนานหลายปี
“นายท่าน!นายท่าน! ข้าคิดถึงนายท่าน! หญิงสาวผู้นี้คิดถึงท่านจริงๆ!”
เธอกระโดดแล้วกอดผมไว้ทั้งตัว
ผมบ่นกับตัวเองพลางชักสีหน้าบึ้ง
“……นี่มันอะไรกัน? การต้อนรับกลับบ้านที่แสนอบอุ่นน่ะมันก็ใช่ แต่ไอ้ความรู้สึกเจ็บปนเศร้าในใจนี่มันอะไรกัน?”
“อ้าาา ได้มีโอกาสเห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายและแสนเจ้าเล่ห์อีกครั้ง!”
ลอร่านั้นซาบซึ้งใจจนหลั่งน้ำตาออกมา
“หลังที่โค้งเอียงไม่ได้รูปและไหล่ที่แคบ! ผมที่หรอมแหรมไม่เป็นทรงเพราะไม่ได้ตัดผมมากว่าสองหรือสามเดือน! ปากที่ปิดเบี้ยวเพราะความขี้ขลาดที่มาหลอมรวมกันจนได้รูป!
อ้าาา ท่านเป็นตัวจริงแน่นอน นายท่านเป็นตัวจริงอย่างแน่นอน!”
“……อ้า ช่ายย แล้ว?”
“นายท่านเป็นจอมมารชั้นต่ำที่สุดในโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่หญิงสาวผู้นี้ก็ชอบเพราะท่านชั้นต่ำ!”
ลอร่าดึงหัวผมไป จูบอย่างดุเดือด จูบเดียวคงไม่พอ เธอจึงระดมจูบผมไม่หยุด ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่เลยแฮะ
“เอาล่ะๆ ต้อนรับกันพอแล้วล่ะ”
ผมพูดพลางดันลอร่าออกห่าง
(TTL : ‘ต้อนรับกันพอแล้วล่ะ’
แปลภาษาดันทาเลี่ยนเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า
‘พอแล้ว ไม่ต้องด่ากูแล้วนะ’
55555 )
“แล้วเจ้าล่ะ? รูปลักษณ์ของเจ้านั่นมันอะไรกัน? เจ้าควรจะดูแลตัวเองก่อนที่จะมาแหย่ที่ข้าเนื้อตัวสกปรกด้วยซ้ำ
ผมเจ้าน่ะยุ่ง ผิวก็แห้ง…….ข้าล่ะไม่อยากเชื่อเลยนี่ จะเป็นรูปร่างของเด็กสาวอายุ 17 ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกสาวผู้มีชื่อของดยุค นี่เจ้าได้อาบน้ำบ้างไหมเนี่ย?”
“นั่น นั่นน่ะก็เพราะ……ฮึก”
ลอร่าปาดน้ำตา เอาจริงๆนะ นี่เป็นภาพที่หาได้ยากของลอร่า
ผมไม่ได้พูดอย่างนั้นเพราะโกรธที่เธอดูถูกผม หากแต่จากการประเมินด้วยสายตามันเป็นอย่างนั้นจริง
“คุณลาพิสน่ะ…….”
“…… ‘คุณ’ ลาพิส?”
“ปะ-เปล่านะ ฉันไม่ได้อยากจะพูดอย่างนั้น พี่ลาพิสน่ะให้งานที่ยากมากกับหญิงสาวผู้นี้!”
ลอร่าแก้คำนั้นทันที
วิธีการเลือกคำของเธอนั้นไม่อาจมองข้ามได้ แต่ผมก็เป็นผู้ชายที่ใจดี และมีหัวใจของสุภาพบุรุษ ดังนั้นจึงเข้าใจได้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“หญิงสาวผู้นี้ไม่รู้เลยว่า แนวคิดของศาสนาและกฏหมายทั่วไป ในหมู่บ้านมันเป็นยังไง มันก็คงจะดีถ้าหากฉันสามารถทำให้ทุกอย่างมันดีกว่านี้ขึ้นมาได้ แล้วพอเป็นอย่างนั้น พี่ลาพิส……. แถมชายที่ชื่อ พาร์ซิก็ทำแบบเดียวกันอยู่…….”
“ตอนนี้เช็ดจมูกก่อน”
ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้ เด็กสาวอายุ 17 อาจเปล่งประกาย แต่ขี้มูกน่ะไม่ได้เปล่งประกายหรอก แน่นอนว่าไม่
ลอร่าสั่งน้ำมูก
“พวกนั้นดูถูกเหมือนกับหญิงสาวผู้นี้เป็นเด็กผู้ไม่ประสีประสา ไม่รู้อะไรในโลกนี้เลย!”
“……ช่าย ข้าเข้าใจแล้ว
ไม่ต้องอธิบายต่อแล้วล่ะ ข้าเข้าใจดีแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”
ดูเหมือน ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่ ตัวตนผู้ที่จะกลายเป็นนักยุทธศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่นเกมและมีชื่อเสียงในนาม ตุลาการเหล็กผู้นี้ กำลังสิ้นหวังกับความจริงที่ว่า เธอไม่เข้าใจเลยว่า การเมืองมันเป็นยังไง
ผมถึงกับถอนใจ รู้สึกแย่กับการจัดการปราสาทจอมมารและภูมิภาคโดยรอบที่เริ่มจะยากแสนยาก
Comments
Dungeon Defense (WN) 210 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (2)
“ยะ-อย่างนั้นเองรึ? เจ้ากำลังทำงานอยู่นี่น้า เอาล่ะๆ ไม่เป็นไร เรื่องงานสำคัญกว่าอยู่แล้ว”
ผมพูดคำว่า ‘เอาเถอะ!’ ขณะที่มือก็ล้วงกระเป๋า
“ข้าจะมอบกำลังใจแด่พวกเจ้าทุกคนที่ทำงานหนักมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ เอาล่ะ เหล่าคนงานผู้ขยันขันแข็งทั้งหลาย เอาทองไปเท่าที่อยากได้เลย!”
ผมหัวเราะออกมาอย่างเริงร่าขณะที่โปรยเหรียญทอง
ผมไม่ได้มือเติบซักหน่อย ผมหายไปตั้งสองเดือน ดังนั้นพวกคนงานไม่รู้หรอกว่าจะรับมือกับผมยังไง
ผมตั้งใจจะเปลี่ยนอารมณ์เล็กๆน้อยๆด้วยด้วยการจัดงานเทศกาลขนาดย่อม แล้วทำให้พวกเขาเข้าหาผมได้โดยไม่เคอะเขิน
เสียงกรุ้งกริ้งของเหรียญเงินที่กระทบพื้นถ้ำดังไปทั่ว
คอของ ก็อบลินและคนแคระหันมาแทบหักในขณะที่ได้ยินเสียงเหรียญทองตกกระทบพื้น พวกเขายกเท้าขึ้น คงตั้งใจที่จะพุ่งมาหาผมในทันที แต่ทว่า―
“……หืมม?”
พวกเขายังยืนนิ่งอยู่ พวกคนงานกลับระแวง และค่อยๆหันกลับมามองที่ตาแดงก่ำของบุคคลหนึ่ง
บุคคลนั้นผู้ยืนมองจ้องพวกเขาอยู่นั้นมิใช่ใครอื่นใดนอกจากลาพิส ซัคคิวบัสผมสีชมพูยืนอยู่ที่นั่น
“หากคุณต้องการจะยกเพดานกลางชั้นหนึ่งก็ทำได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องความแข็งของวัสดุ”
ลาพิสยังคงสั่งต่อไปราวกับว่า เหรียญทองพวกนั้นไร้ค่าสำหรับเธอ
“แต่ขอให้ตระหนักไว้เสมอว่าในอนาคตนั้น ชั้นแรกจะเต็มไปด้วยห้างร้านสำหรับเหล่านักผจญภัย
พลาซ่าจะสร้างขึ้นตรงกลาง พวกคุณต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ไว้เสมอ เข้าใจไหมคะ?”
“คะ-ครับ รับทราบครับ ผู้จัดการทั่วไป”
เหล่าคนงานคำนับลาพิส ในขณะที่หางตาของพวกเขายังคงเหลือบมองเหรียญทองบนพื้นและกลืนน้ำลายเอื้อก ผมเพิ่งมาสังเกตเห็นว่า พวกเขาไม่กล้าที่จะขยับเท้าสักก้าวไปหาทอง
เจ้าพวกนี้มัน……ระมัดระวังการกระทำต่อหน้าลาพิส!
เหล่าตัวคนที่เป็นดั่งตัวแทนของอุตสาหกรรมก่อสร้างในโลกปีศาจต่างมารวมกันอยู่ที่นี่
แม้ส่วนมากจะเป็นตัวแทนหรือหัวหน้าของนายหน้าก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อยเมื่อยืนต่อหน้า ลูกครึ่ง ซัคคิวบัสระดับต่ำ
ผมถึงกับอึ้งไปเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมากันนะ พวกนี้ถึงทำตัวเหมือนทหารใหม่ตอนออกจากค่าย
“ยิ่งไปกว่านั้น,ท่านดันทาเลี่ยนคะ”
ลาพิสออกชื่อผมโดยไม่แม้แต่จะเบนสายตาออกจากเอกสารในมือด้วยซ้ำ ด้วยน้ำเสียงเครียดนั้นทำเอาผมสะดุ้ง
“หะ-หือ?”
“ดิฉันดีใจนะคะที่ท่านพยายามปลุกกำลังใจในการทำงานของพวกเขา แต่งานวันนี้ยังไม่เสร็จค่ะ ยังมีเวลาเหลืออีกสามชั่วโมงจึงจะจบวัน ดังนั้นไปจ่ายโบนัสชุดใหญ่ตอนจบวันด้วยค่ะ”
“……โอเค”
ผมก้มลงเก็บเหรียญมากมายที่ตกอยู่บนพื้น ดูเหมือนผมเป็นประธานาธิบดีที่แสดงตัวออกมาทั้งที่ไม่มีความจำเป็นแถมยังทำลายมู๊ดของทุกคนที่กำลังวุ่นยุ่งอยู่กับงานที่ใกล้จะเสร็จแล้ว
ไม่หรอก นั่นไม่ใช่พูดเชิงเปรียบเทียบหรอก มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“อืมม แล้วลอร่าอยู่ไหน?”
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ เธออาจอยู่ในห้องของฝ่าบาทแล้วอ่านหนังสือปรัชญาสูงส่งอยู่”
ตอนนั้นเอง แววตาของลาพิสเหมือนกับกำลังมองขยะเน่า คล้ายกับแววตาของคนทำงานอายุห้าสิบปีที่มีประสบการณ์ขมขื่นและเลวร้ายของชีวิตกำลังมองจ้องไปยังเด็กใหม่ที่เพิ่งย่างเท้าเข้าสังคม
น่ากลัวชะมัด
“ขะ-ข้าจะกลับห้องแล้ว ตั้งใจทำงานกันล่ะ”
ผมพูดออกมาโดยสัญชาตญาณเพราะรู้ว่าจะเป็นการดีที่สุดหากจะรีบออกมา ผมโบกมือขวาให้ลาพิสก่อนจะถอยไป ลาพิสมองผมอย่างไม่แยแสก่อนจะตอบกลับมาด้วยท่าทางเฉยๆ
“ค่ะ จะตั้งใจทำงานค่ะ แม้พวกเราจะตั้งใจทำงานมาตลอดก็ตาม”
ลาพิสกลับไปสั่งงานต่อ
ทั้งถ้ำกลับหนาวยะเยือกนับตั้งแต่ที่ผมมาถึง
ท่าทางการตอบรับของเธอมันไม่มากเกินไปหน่อยรึไง หลังจากไม่ได้เจอกันนานเลยนะ……?
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรผิดไป จึงได้แต่เดินแบบไร้กะจิตกะใจทุกฝีก้าว
ดันเจี้ยนของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ถ้ำที่เคยมีส่วนโค้งเว้ามั่วๆซั่วๆกับถูกจัดระเบียบให้กว้างใหญ่ และมีอุโมงทางตรง
“โว้ววว”
กำแพงขนาดใหญ่ปิดกั้นด้านข้างของอุโมงโดยไม่มีรูโหว่หรือช่องเปิด
หมู่บ้านของมอนสเตอร์ตั้งอยู่หลังกำแพงใหญ่พวกนั้น
ผมถึงกับตะลึงกับการที่เห็นไอเดียในจินตนาการของตัวเองในหัวกลายเป็นความจริงขึ้นมา ขณะที่เดินดูผมก็ถึงกับอ้าปากค้างราวกับเด็กน้อยที่ได้รับเชิญให้ไปเที่ยวสวนสนุก
เกร้ง!เกร้ง!เกร้ง!
ยังคงมีคนงานทำงานอยู่ที่ไหนสักแห่ง เสียงอีเต้อกระแทกโดยไม่พักเพื่อทะลวงกำแพงถ้ำ
ช่างปูนก็ขยันขยับมือในขณะที่ก็อบลินนักเวทย์ก็ส่ายหน้าและบ่นอย่างหงุดหงิด
“ม่างเอ๊ย พวกเราไม่สามารถร่างเวทย์เสริมแกร่งแบบนี้ได้ เอาใหม่ตั้งแต่เริ่มเลย”
“แต่พวกเราไม่มีอดาแมนเที่ยมมากพอในคลังแล้ว…….”
“ผู้อำนวยการ! ไปเรียกผู้อำนวยการมาที!”
มันเป็นการก่อสร้างขนานใหญ่ ทุกคนจึงต่างขยับและพูดคุยกันอย่างวุ่นวาย
ผมฝากงานก่อสร้างให้กับนายหน้าเอเจนซี่หลายหน่วยงานแทนที่จะเป็นหน่วยเดียวเพื่อลดรายจ่ายในการก่อสร้าง แต่การทำแบบนั้นกลับสร้างภาระใหญ่ให้กับผู้จัดการทั่วไป
ที่จะต้องสั่งงานมากมายให้กับเหล่าเอเจนซี่ โดยระบุงานลงไปในรายละเอียดของพวกเขา
“อ่ออออ”
ก็เข้าใจดีเลยล่ะทำไมลาพิสอารมณ์ไม่ดี
เธอคงจะมีความเครียดสะสมมาก แถมคงรำคาญมากเลยล่ะที่อยู่ๆบุคคลที่ควรเป็นหัวหน้าสั่งงานสูงสุดอยู่ๆก็กลับมาเสนอหน้าแล้วพูดว่า
‘กลับมาแล้วจ่ะ ดีใจที่เห็นฉันไหมจ๊ะ?’
ผมเดินเกือบสองชั่วโมงก่อนที่จะเห็นห้องจอมมารของตัวเอง ห้องเปลี่ยนไปมากเสียจนผมแทบจำไม่ได้
ตอนนี้มันมีหน้าผาอยู่หน้าห้องด้วย เอาจริงๆนะ ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่า จะเรียกมันว่าหน้าผาหรือคูน้ำดี
มันเป็นสะพานหินแคบๆที่วางบนคู ต้องข้ามสะพานถึงจะไปถึงประตูห้องได้
ประตูหน้า……ประตูไม้ที่เคยโดนขวานของริฟทุบจนพังได้ง่ายๆกลับไม่มีอีกต่อไป ไอ้เจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมนี่มันเหมือนรูปปั้นมากกว่าประตูด้วยซ้ำ
รูปปั้นที่มีใบหน้าเคร่งขรึมกำลังเปิดปากออกอย่างน่าสะพรึงกลัว โดยที่ปากนั้นเองที่เป็นประตู
สิ่งนี้ให้ความรู้สึกถึงความน่าสะพรึงของจอมมารอย่างแท้จริง แถมยังเป็นรสนิยมสุดแย่ด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทำได้ยังไงกันนะ แต่ดวงตาของเจ้ารูปปั้นนั่นมีไฟลุกโชนอยู่
ผมรู้สึกกดดันจึงค่อยๆเดินเข้าไปทีละน้อย มันมีอักษรสลักอยู่เหนือประตู
พูดให้ชัดก็คือ ระหว่างริมฝีปากบนกับจมูก ประโยคดังกล่าวเขียนด้วยภาษาจักรวรรดิโบราณดังนี้:
– ละทิ้งความหวังเสีย เหล่าผู้มาถึงสรวงสวรรค์
“อั่กกก”
พวกนั้นเล่นกันเต็มที่เลยแฮะจนเหมือนเป็นจอมมารขึ้นมาจริงๆ แทบไม่ต่างจากหน้าปากทางเข้าห้องบอสในเกมRPGด้วยซ้ำ
หรือนี่คือ ภาพลักษณ์ ‘จอมมาร’ ในหัวลาพิสกันนะ?
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตมากว่า 200 ปีนี่ มันจะดูเด็กไปไหม๊?
ไม่สิ แม้แต่บาร์บาทอสยังเรียกปราสาทของตัวเองว่า< วิหารสำหรับผู้วายชนม์>……. การออกแบบแบบเด็กๆนี่อาจจะเป็นความเป็นสากลร่วมกันของปราสาทจอมมารก็เป็นได้
ถ้างั้นพวกปีศาจนี่มันก็มีรสนิยมทางศิลปะที่โคตรของโคตรประหลาดเลยนี่หว่า ไอ้ที่บอกว่าให้สวมชุดสูทสีชมพูแล้วไปเอนจอยกับงานเลี้ยงก็ไอ้เจ้าพวกนี้สินะ?
ผมเลิกคิดอะไรต่อแล้วพาร่างตัวเองกลับเข้าห้อง ด้านในนั้นแยกเดี่ยวออกจากพื้นที่อื่นอย่างน่าประหลาด พวกนั้นยังไม่ได้ตกแต่งภายในกันด้วยซ้ำ
“ลอร่า? ข้ากลับมาแล้ว ดันทาเลี่ยนที่เจ้ารักได้กลับมาแล้ว”
เสียงของผมนั้นก้องไปทั่วทั้งห้อง พอเป็นแบบนั้นก็มีอะไรบางอย่างสีทองๆโผล่ออกมาจากเตียงที่ตั้งอยู่อีกมุมของห้อง
ผมสีทองนั่น ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่นั่นเอง
“นายท่าน……นั่นท่านจริงหรือ?”
ลอร่ามองผมด้วยแววตาที่สั่นๆ เธอดูจะอ่อนล้าด้วยอะไรบางอย่าง ผมสีบลอนด์ทองที่เคยประกายระยับท่ามกลางไอแดดอันอบอุ่นกลับซีดและเปราะบาง
“หรือนี่จะเป็นเวทย์ลวงตาที่หมายจะหลอกหญิงสาวผู้นี้กัน? ท่านเป็นตัวจริงแน่หรือ?”
“วะ-เวทย์ลวงตาเนี่ยนะl?”
ผมถึงกับช็อค ตอนผมไม่อยู่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?
ลอร่าดูหวาดผวามาก ผมจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนและเข้าหาลอร่าเหมือนกับเข้าหาลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง
“ลอร่า นี่ข้าเอง ข้าไม่ใช่ภาพหลอนลวงตาใดๆ ข้าคือ ดันทาเลี่ยนตัวจริง”
“ท่านใช่นายท่านจริงหรือเปล่า บุคคลที่ปกติทำตัวเคร่งขรึมอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วก็ทำลายบรรยากาศนั่นด้วยหัวเราะลั่นจนทำให้คนรอบข้างต้องวิตกประหม่า?”
“……ใช่แล้ว ข้าคือ ดันทาเลี่ยนผู้นั้น”
ลอร่ามุดหัวลงในผ้าห่มก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหวาดๆ
“บุคคลที่เที่ยวหลอกคนอื่นตลอดเวลาว่า เป็นคนที่ซื่อตรงและจริงใจกว่าใครที่สุดในโลก แต่กลับหื่นกระหายร่างกายของหญิงสาวผู้นี้ในทุกโอกาส
ยิ่งกว่านั้นบุคคลที่ตัวฉันรู้จักน่ะเป็นบุคคลที่ซื่อตรงและจริงใจต่อความบ้าเซ็กส์ที่สุดในโลก นั่นใช่นายท่านที่ไม่สนใจเด็กสาวอายุเกิน 17 ปี คนนั้นรึเปล่า”
“……ลอร่า ข้าว่า ข้าเข้าใจความคิดที่เจ้ามีต่อข้ามากขึ้นแล้วล่ะ”
ริมฝีปากของผมเริ่มกระตุก
“ข้ามิใช่พวกบ้าเซ็กส์หรือเพโดฟีเลีย
ข้าคือ ดันทาเลี่ยน ผู้ที่แค่มีความสัมพันธ์กับหญิงสาวผู้มีอายุต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย”
(TTL : กลับมาหลังจากโดนลาพิสเฉยชาใส่ ก็โดนน้องลอร่าด่ายับหมาเหมือนเคยยยยย
แถมมีแก้ต่างจาก ‘ชอบหญิงสาวอายุเฉลี่ย’ เป็น ‘หญิงสาวอายุต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย’ ด้วย
#ขำกลิ้ง )
“อ๋าาา ความไร้ยางอาย หน้าด้านบนใบหน้านั่นต้องเป็นของนายท่านอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!”
ลอร่ารี่ลุกขึ้นแล้วทะยานมาหาผมราวกับสัตว์เลี้ยงที่มาต้อนรับเจ้านายที่กลับมาจากสงครามหลังหายไปนานหลายปี
“นายท่าน!นายท่าน! ข้าคิดถึงนายท่าน! หญิงสาวผู้นี้คิดถึงท่านจริงๆ!”
เธอกระโดดแล้วกอดผมไว้ทั้งตัว
ผมบ่นกับตัวเองพลางชักสีหน้าบึ้ง
“……นี่มันอะไรกัน? การต้อนรับกลับบ้านที่แสนอบอุ่นน่ะมันก็ใช่ แต่ไอ้ความรู้สึกเจ็บปนเศร้าในใจนี่มันอะไรกัน?”
“อ้าาา ได้มีโอกาสเห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายและแสนเจ้าเล่ห์อีกครั้ง!”
ลอร่านั้นซาบซึ้งใจจนหลั่งน้ำตาออกมา
“หลังที่โค้งเอียงไม่ได้รูปและไหล่ที่แคบ! ผมที่หรอมแหรมไม่เป็นทรงเพราะไม่ได้ตัดผมมากว่าสองหรือสามเดือน! ปากที่ปิดเบี้ยวเพราะความขี้ขลาดที่มาหลอมรวมกันจนได้รูป!
อ้าาา ท่านเป็นตัวจริงแน่นอน นายท่านเป็นตัวจริงอย่างแน่นอน!”
“……อ้า ช่ายย แล้ว?”
“นายท่านเป็นจอมมารชั้นต่ำที่สุดในโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่หญิงสาวผู้นี้ก็ชอบเพราะท่านชั้นต่ำ!”
ลอร่าดึงหัวผมไป จูบอย่างดุเดือด จูบเดียวคงไม่พอ เธอจึงระดมจูบผมไม่หยุด ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่เลยแฮะ
“เอาล่ะๆ ต้อนรับกันพอแล้วล่ะ”
ผมพูดพลางดันลอร่าออกห่าง
(TTL : ‘ต้อนรับกันพอแล้วล่ะ’
แปลภาษาดันทาเลี่ยนเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า
‘พอแล้ว ไม่ต้องด่ากูแล้วนะ’
55555 )
“แล้วเจ้าล่ะ? รูปลักษณ์ของเจ้านั่นมันอะไรกัน? เจ้าควรจะดูแลตัวเองก่อนที่จะมาแหย่ที่ข้าเนื้อตัวสกปรกด้วยซ้ำ
ผมเจ้าน่ะยุ่ง ผิวก็แห้ง…….ข้าล่ะไม่อยากเชื่อเลยนี่ จะเป็นรูปร่างของเด็กสาวอายุ 17 ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกสาวผู้มีชื่อของดยุค นี่เจ้าได้อาบน้ำบ้างไหมเนี่ย?”
“นั่น นั่นน่ะก็เพราะ……ฮึก”
ลอร่าปาดน้ำตา เอาจริงๆนะ นี่เป็นภาพที่หาได้ยากของลอร่า
ผมไม่ได้พูดอย่างนั้นเพราะโกรธที่เธอดูถูกผม หากแต่จากการประเมินด้วยสายตามันเป็นอย่างนั้นจริง
“คุณลาพิสน่ะ…….”
“…… ‘คุณ’ ลาพิส?”
“ปะ-เปล่านะ ฉันไม่ได้อยากจะพูดอย่างนั้น พี่ลาพิสน่ะให้งานที่ยากมากกับหญิงสาวผู้นี้!”
ลอร่าแก้คำนั้นทันที
วิธีการเลือกคำของเธอนั้นไม่อาจมองข้ามได้ แต่ผมก็เป็นผู้ชายที่ใจดี และมีหัวใจของสุภาพบุรุษ ดังนั้นจึงเข้าใจได้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“หญิงสาวผู้นี้ไม่รู้เลยว่า แนวคิดของศาสนาและกฏหมายทั่วไป ในหมู่บ้านมันเป็นยังไง มันก็คงจะดีถ้าหากฉันสามารถทำให้ทุกอย่างมันดีกว่านี้ขึ้นมาได้ แล้วพอเป็นอย่างนั้น พี่ลาพิส……. แถมชายที่ชื่อ พาร์ซิก็ทำแบบเดียวกันอยู่…….”
“ตอนนี้เช็ดจมูกก่อน”
ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้ เด็กสาวอายุ 17 อาจเปล่งประกาย แต่ขี้มูกน่ะไม่ได้เปล่งประกายหรอก แน่นอนว่าไม่
ลอร่าสั่งน้ำมูก
“พวกนั้นดูถูกเหมือนกับหญิงสาวผู้นี้เป็นเด็กผู้ไม่ประสีประสา ไม่รู้อะไรในโลกนี้เลย!”
“……ช่าย ข้าเข้าใจแล้ว
ไม่ต้องอธิบายต่อแล้วล่ะ ข้าเข้าใจดีแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”
ดูเหมือน ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่ ตัวตนผู้ที่จะกลายเป็นนักยุทธศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่นเกมและมีชื่อเสียงในนาม ตุลาการเหล็กผู้นี้ กำลังสิ้นหวังกับความจริงที่ว่า เธอไม่เข้าใจเลยว่า การเมืองมันเป็นยังไง
ผมถึงกับถอนใจ รู้สึกแย่กับการจัดการปราสาทจอมมารและภูมิภาคโดยรอบที่เริ่มจะยากแสนยาก
Comments