Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 379

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 379 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 379 นับวันยิ่งรุ่งเรือง
โดย

ผลกระทบจากการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรช่างชวนตะลึง

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ภูเขาชำระจิตก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศคึกคักไปทั่วทุกมุม

ภายในโรงหลอมยามีลูกศิษย์ฝึกหัดเพิ่มมาสามสิบคน ล้วนเป็นคนที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรส่งมา แม้อายุยังน้อยแต่คล่องแคล่ววองไว มีความชำนาญ ทำให้ชื่อเซวี่ยสามารถจดจ่ออยู่กับการหลอมยาและเพาะเลี้ยงโอสถวิญญาณโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจุกจิกอีกต่อไป

อีกทั้งลูกศิษย์เหล่านี้ก็มีพรสวรรค์ เพียงแค่สอนสั่งอย่างเหมาะสม ต่อไปย่อมสามารถกลายเป็นนักหลอมยาที่แท้จริงได้

ที่วิเศษที่สุดคือพวกเขาล้วนแซ่หลิน เป็นคนตระกูลหลินทั้งหมด ยิ่งมีความน่าเชื่อถือในเรื่องความซื่อสัตย์

ส่วนในโรงหลอมอาวุธก็มีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งเข้ามาช่วยงานหยางหลิงเช่นกัน มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน บางคนมีหน้าที่ไปซื้อวัตถุวิญญาณ บางคนมีหน้าที่คัดเลือกและหลอมวัตถุวิญญาณ ส่วนหยางหลิงมีหน้าที่แค่ออกคำสั่ง และจดจ่ออยู่กับการหลอมอาวุธเมื่อเตรียมการทุกอย่างครบหมดแล้ว

ด้านผู้เฒ่าเตียวได้ใช้ฝีมือสลักวิญญาณระดับยอดเยี่ยมของเขาซ่อมแซมกระบวนรอยสลักวิญญาณที่รกร้างทั้งหมดของภูเขาชำระจิต ก่อนหน้านี้เพราะขาดกำลังคน เขาจึงต้องลงมือด้วยตัวเองตั้งแต่การดำเนินการมาจนถึงการซ่อมแซม

แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เรื่องจุกจิกเหล่านี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกน้องไป

ทว่าผู้เฒ่าเตียวก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาเป็นนักสลักวิญญาณอยู่แล้ว ดื้อหัวชนฝาเข้าไปช่วยหยางหลิงหลอมอาวุธโดยไม่สนพญาแร้งที่คอยปราม

ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ตอนนี้ทุกสองถึงสามวันโรงหลอมยาจะหลอมโอสถวิญญาณออกมาได้จำนวนหนึ่ง นอกจากแจกจ่ายกันเอง ที่เหลือล้วนขายให้อัครการค้า

ในขณะเดียวกันอาวุธวิญญาณที่หลอมออกมาจากโรงหลอมอาวุธก็มีการร่วมมือกับอัครการค้าเช่นกัน หมดห่วงเรื่องช่องทางการขาย

จากบัญชีรายวันที่พญาแร้งรวบรวมมา ตอนนี้เพียงแค่โรงหลอมโอสถและโรงหลอมอาวุธก็สร้างรายได้ให้กับภูเขาชำระจิตมากถึงสามหมื่นเหรียญทองต่อเดือน

ตัวเลขอาจจะไม่เยอะมาก แต่นี่เพิ่งเริ่มต้น หากรักษากำลังการผลิตแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผลประโยชน์มีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่คือเหตุผลที่พญาแร้งอุตส่าห์เสียแรงดึงชื่อเซวี่ย หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวมาเป็นพวก

มีพวกเขาอยู่ก็เท่ากับปลูกต้นเงินต้นทองไว้ในภูเขาชำระจิต สามารถรับประกันกำลังทรัพย์อันไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อมีเงิน คิดจะรับพลซื้อม้าขยายอำนาจของตัวเองก็ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

นอกจากนี้โรงเลี้ยงสัตว์ของภูเขาชำระจิตก็กลับมาเปิดใช้งานอีกครั้ง ตอนนี้สัตว์วิญญาณและอสูรวิญญาณที่มาจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่างมีคนเลี้ยงสัตว์คอยดูแลและเลี้ยงดูโดยเฉพาะ

ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาอยู่ในภูเขาชำระจิต หลินสวินไม่มีแม้กระทั่งเกี้ยวสมบัติเป็นของตัวเอง ได้แต่เช่ามาใช้ ดูจนกรอบมาก

แต่ตอนนี้กลับแตกต่าง เพราะมีสัตว์วิญญาณและอสูรวิญญาณพวกนั้น สามารถนำมาควบขี่เป็นยานพาหนะได้ ไม่ว่าจะรับแขกหรือออกเดินทาง ก็ทั้งสะดวกสบายและรวดเร็ว

ในขณะเดียวกัน ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรยังส่งสาวใช้และบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งมาช่วยงานที่ภูเขาชำระจิต เพราะงานจิปาถะอย่างยกน้ำยกชา คอยวิ่งส่งข่าวทำนองนี้ จะอย่างไรก็ไม่สามาถให้หลินสวินหรือหลินจงลงมือทำกันเอง

ตระกูลทรงอำนาจที่ต้องการผงาดขึ้นมา จำเป็นต้องมีผู้มากความสามารถในทุกๆ ด้าน นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่คิดแน่นอน

ภูเขาชำระจิตในตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นครึกครื้น ไม่ได้รกร้างเปล่าเปลี่ยวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทุกภาคส่วน

ทั้งหมดนี้ล้วนหนีไม่พ้นการวางแผนจากพญาแร้ง

เรียกได้ว่าหลินสวินมีหน้าที่เพียงแค่ตัดสินใจ ส่วนเรื่องที่เหลือพญาแร้งจะจัดการให้อย่างเสร็จสรรพสมบูรณ์

แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดคือ ในที่สุดยามนี้ภูเขาชำระจิตก็มีเงินทองขึ้นมาแล้ว เป็นก้าวแรกของการสร้างอำนาจอิทธิพลให้ตัวเอง

ตามแผนของพญาแร้ง นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปหากภูเขาชำระจิตต้องการจะผงาดขึ้นมาจริงๆ ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก

อย่างเช่นประกาศและบังคับใช้กฎใหม่ๆ

หรืออย่างการก่อตั้งกำลังรบอันแข็งแกร่งที่เป็นของตระกูลหลิน!

เพราะหากเกิดความขัดแย้งขึ้นมา จะอย่างไรก็ไม่สามารถให้หลินสวินออกปะทะคนเดียวได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหลินคงเหนื่อยเกินไป

สรุปแล้วภูเขาชำระจิตในตอนนี้กำลังกลับมาเฟื่องฟูอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาที่ต้องแก้อีกมาก

มีพญาแร้งคอยดูแลทุกอย่าง หลินสวินจึงไม่จำเป็นต้องปวดหัวกับเรื่องพวกนี้

ตอนนี้เขามอบอำนาจในการจัดการทรัพย์สินให้กับหลินจง มอบหมายงานด้านการจัดการวางแผนต่างๆ ให้พญาแร้ง ตัวหลินสวินเองจึงเบาตัวลงมาก

แต่เขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ ในแต่ละวันนอกจากฝึกปราณก็จะพาเจ้าจิ๊บจิ๊บไปเดินเล่นทั่วภูเขาชำระจิต

พอเห็นทุกอย่างในภูเขาชำระจิตขับเคลื่อนไปอย่างมีระบบระเบียบ และมีแนวโน้มจะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ หลินสวินเองก็รู้สึกปลื้มปริ่มมาก

ความรู้สึกนั้นราวกับต้นกล้าที่ตัวเองบ่มเพาะมาอย่างดีเจริญงอกงามในที่สุด ทำให้รู้สึกเปี่ยมไปด้วยความหวังและความฝัน

……

เวลาผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว จนผ่านการประลองกับฮวาอู๋โยวมาหนึ่งเดือนแล้ว

คืนนี้หลินสวินยังคงนั่งขัดสมาธิฝึกปราณเหมือนเคย

เห็นเพียงว่าเขานั่งตัวตรงโดยมีพลังวิญญาณสีม่วงไหลเวียนอยู่รอบตัวราวกับภาพฝัน

บริเวณจุดชี่ไห่ในร่างมีมหาสมุทรวิญญาณโหมคลั่งที่พลุ่งพล่านรุนแรงจนเกิดเสียงครืนโครมปานฟ้าผ่า

มองเห็นรางๆ ว่าบนเวิ้งฟ้าเหนือมหาสมุทรวิญญาณนั้นปรากฏเป็นภาพแปลกประหลาด อาทิตย์จันทร์ประชันแสง หมู่ดาวโอบล้อม อัศจรรย์เกินคาดเดา

และกลางมหาสมุทรวิญญาณกลับมีพายุหมุนรุนแรง หอบม้วนพันคลื่นหยัดขวางระหว่างผืนฟ้าและผืนน้ำ!

นี่ก็คือมหาสมุทรวิญญาณที่เปิดออกในจุดชี่ไห่หลังจากหลินสวินบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณ ผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาก่อเกิดปรากฏการณ์ประหลาดมากมาย มหัศจรรย์เกินบรรยาย

นี่เป็นสิ่งที่แสดงถึงพรสวรรค์อันโดดเด่นไม่เหมือนใคร ถึงขั้นว่าเป็นความพิเศษอย่างถึงที่สุดแบบหนึ่ง

มหาสมุทรวิญญาณที่เปิดได้ สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วไปหลังบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว ไม่ว่าจะในเรื่องของขนาดและระดับความหนาแน่นล้วนสู้หลินสวินไม่ได้!

ส่วนปรากฏการณ์ประหลาดในมหาสมุทรวิญญาณก็ไม่มีเช่นกัน!

มีเพียงผู้กล้าที่มีพรสวรรค์ยิ่งยวดและพลังแฝงน่าหวาดหวั่นเท่านั้น จึงจะสามารถหลอมกลั่นออกมาเป็นภาพปรากฏการณ์ประหลาดอย่างหลินสวินได้

ก็เหมือนกับฉือฉางเฟิงที่เป็นตัวอย่างที่รู้กันทั้งนครต้องห้าม ตอนที่บรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณเขาเพิ่งอายุสิบสาม แต่ด้วยเส้นปราณโลหิต ‘ดอกบัวม่วงกลางทะเลทอง’ ทำให้ในมหาสมุทรวิญญาณที่เขาเปิดปรากฏภาพประหลาดยิ่งใหญ่ของ ‘รุ้งเทพทะลวงฟ้า แสงม่วงปรากฏทิศบูรพา’!

เพราะสาเหตุนี้ ทำให้ฉือฉางเฟิงที่ยังอายุน้อยกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นเป็นที่จับตามองที่สุดในนครต้องห้าม

และความจริงก็เป็นเช่นนั้น เหมือนในการทดสอบระดับอาณาจักรครั้งนี้ เขาถูกสำนักศึกษามฤคมรกตรับเข้าศึกษาอย่างง่ายดายด้วยผลคะแนนอันดับสอง

ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วจะพบว่า ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรวิญญาณของหลินสวินมีความเป็นเอกลักษณ์และมหัศจรรย์มากกว่า

อาทิตย์จันทร์ลอยเด่น ดาราห้อมล้อม ทั้งยังมีคลื่นพายุหมุนโหมคลั่งขวางกั้นผืนน้ำผืนฟ้า!

นี่ไม่ใช่แค่เกิดปรากฏการณืประหลาด รูปแบบยังยิ่งใหญ่เกินสามัญ มีอานุภาพกลืนกินฟ้าดินรางๆ เรียกได้ว่าน่าทึ่งเป็นอย่างมาก

ตอนที่ประลองกับฮวาอู๋โยว การที่หลินสวินสามารถเผด็จศึกข้ามขั้นได้ อีกทั้งระหว่างตอบโต้กันยังดูไม่ด้อยไปกว่าฮวาอู๋โยว สาเหตุที่แท้จริงก็เพราะแก่นพลังมหาสมุทรวิญญาณที่เขามีเหนือระดับสามัญไปมาก!

โครม~

จากการขับเคลื่อน ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ ภายในร่างกายของหลินสวินเกิดเสียงโครมดังสนั่นราวกับมีภูเขากำลังพุ่งชนกัน เลือดลมทั่วร่างราวกับกำลังเดือดดาล กล้ามเนื้อทุกส่วนประหนึ่งถูกเคี่ยวกรำจนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

และในสมอง เสียงสวด ‘คัมภีร์ประสานมายา’ อันกระจ่างชัดดังก้องไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ในขณะฝึกปราณจิตใจของหลินสวินเลื่อนลอยลืมตัว ราวกับมัวเมาอยู่ท่ามกลางเสียงสวด ความเร็วในการฝึกปราณก็ไวขึ้นมากอย่างชัดแจ้ง

สองชั่วยามหลังจากนั้น

หลินสวินตื่นจากสมาธิ ค่อยๆ สำรวจผลการฝึก ทว่าหว่างคิ้วกลับฉายความฉงน

พัฒนาเร็วเกินไปแล้ว!

เขาเพิ่งจะบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณได้สองเดือน แต่ตอนนี้พลังปราณกลับมีพัฒนาการอันรวดเร็วอย่างก้าวกระโดดในทุกๆ วัน ตอนนี้ถึงกับมีแนวโน้มจะบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางแล้ว!

ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ หากมีพัฒนาการอันเหลือเชื่อปานนี้คงต้องดีใจมากแน่

แต่สำหรับหลินสวิน การที่พลังปราณพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกลับทำให้เขารู้สึกยากควบคุม นี่ทำให้เขาตระหนักถึงความผิดปกติ

บางครั้งการที่พลังปราณพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ก็เหมือนกับเด็กที่จู่ๆ ได้ครอบครองพลังอย่างผู้ใหญ่ ไม่เพียงแต่ควบคุมไม่ได้ ยังอาจจะอันตรายกับตัวเองด้วย

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ เริ่มสำรวจตัวเอง

หลังครุ่นคิดอยู่นาน มุมปากของเขาพลันเผยรอยยิ้มขื่นประหลาด ในที่สุดเขาก็เจอสาเหตุที่แท้จริงแล้ว

หาใช่แก่นพลังเกิดปัญหา แต่เพราะทรัพยากรในการฝึกที่เขามีในตอนนี้มหัศจรรย์เกินไปต่างหาก

ประการแรกแก่นพลังของเขาหนาแน่นมากอยู่แล้ว มหาสมุทรวิญญาณเกิดปรากฏการณ์ประหลาดอัศจรรย์ นี่ทำให้เขามีข้อได้เปรียบที่ไม่มีใครเทียบได้

อีกทั้ง ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ ที่เขาฝึกอยู่นั้น เป็นเคล็ดวิชาลับที่สืบทอดมาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ ลึกลับเกินคาดเดา เผด็จการอย่างถึงที่สุด สามารถกลืนกินสรรพสิ่ง มีพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว

หากไม่ใช่เพราะแก่นพลังของหลินสวินหนาแน่นมากพอ คงไม่สามารถรับการฝึกที่เผด็จการเพียงนี้ได้

นอกจากนี้เสียงธรรมยากเข้าใจของ ‘คัมภีร์ประสานมายา’ ที่ดังก้องอยู่ในหัวขณะเขาฝึก ก็ทำให้เขาหลงลืมตัวตนขณะฝึก หากว่ารู้แจ้งท่ามกลางเสียงธรรมอันลี้ลับ ความเร็วของการฝึกปราณก็จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฝึกเพียงวันเดียว ผลลัพธ์ก็เทียบเท่ากับสิบวันแล้ว

บวกกับโอสถวิญญาณหายากอย่างโสมหิมะหยกที่กลืนเข้าไปทุกครั้งก่อนการฝึก ฤทธิ์โอสถพลุ่งพล่าน ช่วยสนับสนุนการฝึกของเขาอย่างเต็มกำลัง

ด้วยเหตุนี้การที่เขามีพัฒนาการรวดเร็วมากด้านการฝึกปราณจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ หากไม่เป็นเช่นนี้ต่างหากที่เรียกว่าแปลก

เมื่อคิดตกแล้วหลินสวินรู้สึกสงบขึ้นมาไม่น้อย เร่งรีบไปมีแต่จะเสียการณ์ ดังนั้นพอตัวเขาพัฒนาได้เร็วเกินไปในใจจึงเกิดความไม่คุ้นชิน

เขารู้ดีว่าการที่ไม่สามารถควบคุมพลังที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดได้อย่างแท้จริง หากย้อนไปที่ต้นเหตุ นั่นก็เพราะจิตใจของเขายังขาดการฝึกอีกมาก

แต่ว่าควรฝึกอย่างไรเล่า

หลินสวินคิดพลางเดินออกจากห้องฝึกกลับตำหนักชำระจิต

กลางดึก ดวงดาวบนฟากฟ้าส่องแสงสว่างไสวไปทั่ว สายลมราตรีพัดโชยเบาๆ เมฆดำลอยเคลียคลอราวกับภาพในฝัน มีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของต้นไม้ใบหญ้าเจือปนอยู่กลางอากาศ

หืม?

ทันใดนั้นหลินสวินเหลือบเห็นโดยไม่ตั้งใจ ว่าในบริเวณไม่ไกลกันนักพญาแร้งซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นเพียงลำพังกำลังเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีอย่างเหม่อลอย

ดึกป่านนี้แล้ว พญาแร้งทำอะไรอยู่ที่นี่?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด