การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 68
บทที่ 68 – ต่างโลก
ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกบางอย่างที่ไม่มีตัวตนดึงกระชากอย่างรุนแรงจนแทบรู้สึกเวียนหัวเหมือนจะอ้วก
มันให้ความรู้สึกเหมือนขึ้นเครื่องบินโดยไม่มีตัวช่วยในการลดแรงดันอากาศ แต่รุนแรงกว่านั้นพอสมควร
แต่มันก็ไม่นาน เพราะแทบจะพริบตาต่อมาฉันก็ลืมตาขึ้น… สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าไม่ใช่ที่ที่เดิมที่ฉันเคยอยู่
เพราะตอนนี้ฉันมายืนอยู่ตรงหน้าน้ำพุสีขาวที่มีรุ้งเจ็ดสีเล็กๆ ลอยอยู่บนน้ำพุ รอบด้านมีบ้านเมืองที่อยู่ประมาณช่วงยุคกลาง
ก็พอๆ กับโลกเดิม แต่สัมผัสได้ว่ามันก้าวหน้ากว่าโลกเดิมมาก และตรงนี้ดูเหมือนจะเป็นน้ำพุกลางเมือง เพราะมีทางแยกหลากทาง
และในตอนนี้เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังเซ็งแซ่ไปทั่ว มีคนมากมายกำลังจ้องมองฉันอยู่ล้อมรอบน้ำพุ ความรู้สึกอันตรายรุนแรงขึ้นมาอีกจากเดิม
“ที่นี่มัน.. ที่ไหน…”
ฉันพึมพำออกมา แต่ฉันยังรู้สึกถึงความอันตราย แต่ในตอนนั้นเองมือของใครบางคนก็คว้ามาจับชายเสื้อฉัน
ฉันตกใจหันไปดู ก็พบว่าคนคนนั้นคือทสึรุที่ถูกเคลื่อนย้ายข้ามมิติมาพร้อมกับฉัน ตอนนี้หัวใจฉันเต้นระรัวไปด้วยความกังวล
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ไง ใครต้องการที่จะลอบโจมตีฉัน ไม่สิ.. แรกเริ่มเดิมทีคือว่า ที่นี่มันที่ไหนกัน ทำไมถึงพามาที่นี่
แต่แน่นอนว่าถ้าหากศัตรูจงใจส่งฉันข้ามมิติขนาดนี้ละก็ ศัตรูคงวางแผนอะไรไว้แน่ๆ ไม่สิ.. ทำไมต้องลงทุนขนาดนั้นด้วย
เวทมนตร์เคลื่อนย้ายข้ามมิติ คือเวทมนตร์ระดับสูงมันต่างจากพวกเวทมนตร์ในการเทเลพอร์ตตรงที่ว่า
การข้ามมิตินั้นใช้พลังมากกว่าและเดินทางได้ไกลกว่ามาก หากว่ากันตามตรงหากฉันมาอยู่อีกทวีปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
อ่าาา นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าใครจะสามารถทำแบบนี้ได้ ตอนนี้ฉันคิดว่าสถานการณ์เลวร้ายมาก อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จักนี่ด้วย
ฉันตัดสินใจรีบเดินฝ่าวงล้อมสายตาเพราะคิดว่าทางที่ดีคือต้องไปหาที่คิดทบทวนก่อน แต่ในตอนนั้นเองก็มีร่างคนหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าฉัน
“โอ้ พวกท่านทั้งสองโปรดหยุดก่อน…”
เสียงของคนคนนั้นดังขึ้น เขาดูมีอายุเยอะพอสมควร น่าจะสักสี่สิบถึงห้าสิบปี แม้จะไม่ได้แก่ขนาดนั้นแต่ก็นับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
“อะไร…”
ฉันตอบออกไปแบบส่งๆ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ อย่างไรก็ตามสถานการณ์นี้ที่มีคนมามุงล้อมเห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้ว่าพวกเราจะมา
นั่นหมายความว่าพวกนี้อาจจะร่วมมือกับคนที่เคลื่อนย้ายพวกเรามา และคงมีกับดักรออยู่ในพื้นที่นี้ก็เป็นได้
ฉันจึงเลือกที่จะตอบคำถามมัน และหยั่งเชิงดูก่อนว่าพวกคนเหล่านี้มีกับดักหรืออะไรเตรียมรับมือพวกเราอยู่หรือเปล่า
เขาก้มหน้าแนะนำตัวแบบขุนนางยุคใหม่ที่ค่อนข้างมีระเบียบและดูมีการศึกษาอยู่ในระดับสูง
“ข้าคือผู้นำของเมืองแห่งนี้ในปัจจุบัน อัลฟี่ เดล บาด้า ขอต้อนรับพวกท่านนักเดินทางทั้งสอง”
“นักเดินทาง?”
เขาเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อมองฉันด้วยปลายสายตาฉันยืนอึ้งอยู่พักหนึ่งก่อนจะแสดงความงงงวยออกมาอย่างช่วยไม่ได้
นักเดินทาง..? พวกเราถูกอัญเชิญมาในฐานะเดินทางไปไหนงั้นเหรอ เหตุการณ์นี้มันแปลกๆ นะ ฉันเองที่กำลังสับสนไม่เข้าใจและงุนงงต่อสถานการณ์
ผู้นำเมืองอัลฟี่ ก็ค่อยๆ ยืดตัวกลับมาตรงเหมือนเดิม พร้อมกับยิ้มด้วยสีหน้าเป็นมิตรให้ฉัน
“ใช่แล้วใช่แล้ว.. อันที่จริงไม่ใช่เพราะพวกเราหรอกที่อัญเชิญพวกท่าน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นๆ ทุกร้อยปีที่สถานที่แห่งนี้จะเคลื่อนย้ายคนอื่นเข้ามาน่ะ”
“เพื่อที่จะเป็นผู้กล้าสินะ?”
“โอ้ ท่านช่างหัวไวจริงๆ ทั้งที่ดูแล้วอายุยังน้อย”
เขายิ้มเป็นมิตรกับฉัน ถึงฉันจะทำหน้างุนงงต่อสถานการณ์ไปบ้างและมีพูดไม่ออกบ่อยครั้งแต่โดยรวมก็พอเข้าใจแล้ว
แม้ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ดูขัดใจฉันเมื่อดูจากสีหน้าแล้ว แต่ฉันก็ยังแสดงความเข้าใจออกมาอย่างรวดเร็ว
“เอาเถอะ มายืนคุยรายละเอียดที่นี่คงไม่เหมาะเท่าไหร่ ไปที่บ้านของข้าดีกว่า”
ว่าแล้วเขาก็เดินนำฉันและทสึรุ ในขณะที่พวกเราเดินไปอยู่นั้นทสึรุก็ดึงชายเสื้อฉันแม้เจ้าตัวจะตัวใหญ่กว่าฉันก็ตาม
“ที่นี่.. ที่ไหนเหรอ.. แล้วนี่มันเรื่องอะไร”
“ฉันเองก็ไม่รู้ มีแต่ต้องฟังรายละเอียดจากคนที่ชื่ออัลฟี่นั้นเท่านั้นแหละ”
เมืองนี้แม้มีหลายจุดที่น่าสงสัยแต่จากคำบอกเล่าของอีกฝ่ายก็พอจะมองออกบางส่วนแล้วล่ะ
และเมืองนี้ดูท่าจะไม่เกี่ยวข้องกับคนที่อัญเชิญฉันมาที่นี่จริงๆ แต่เป็นเหมือนสถานที่รอรับมากกว่า มันให้อารมณ์แบบ
พระเจ้าอัญเชิญฉันไปให้อาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งในอีกโลก อารมณ์คงประมาณนั้น แม้ว่าจะประมาทไม่ได้
แต่ที่สำคัญเลยคือข้อมูล อีกอย่างฉันยังมีของพวกนี้อยู่ ฉันหลับตาลงและภาพของอุปกรณ์เวทมนตร์และยาวิเศษอยู่เต็มในช่องเก็บของต่างมิติ
พร้อมรบทุกเมื่อ หากสู้ไม่ไหวก็ใช้มันทันที แถมหัวใจของฉันก็เต้นระรัวตลอดเวลา ถึงฉันจะไม่ได้เคยบอก
แต่ในความจริงฉันค่อนข้างมีเซนส์เรื่องอันตราย เพราะเวลาอันตรายเข้าใกล้ฉันจะตื่นตัวเองเหมือนเป็นระบบหนึ่งของร่างกายไปแล้ว
และตอนนี้ฉันเองก็รู้สึกถึงความอันตรายที่เกาะกุมหัวใจฉันอยู่ ทำให้ฉันประมาทไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันต้องรวบรวมข้อมูล
อย่างน้อยอีกฝ่ายก็จะบอกข้อมูลให้ และเป็นจริงหรือไม่คงต้องมากล่าวกันอีกที… ส่วนเรื่องของทสึรุนั้น..ในตอนนี้ฉันลืมไปโดยสิ้นเชิง เพราะมีเรื่องน่าปวดหัวโผล่มาไม่หยุดไม่หย่อน จนทำให้ต้องคิดแต่สถานการณ์ปัจจุบัน
“ว่าแต่พวกท่านทั้งสองมีชื่อว่าอะไร มาจากประเทศไหนงั้นเหรอ?”
จู่ๆ ผู้นำเมืองอัลฟี่ก็ยิงคำถามออกมา ฉันเองก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตอบออกไปเพราะฉันไม่ได้กังวลเรื่องชื่อเท่าไหร่
“ฉันชื่อเซทิเลีย”
ใช่ ฉันเองก็ไม่ได้บอกสักคำว่าจะบอกชื่อจริง ถึงจะบอกแต่ก็บอกชื่อปลอมอะนะ… ทสึรุถึงกับงง แต่ดูเหมือนเธอก็ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เร็วพอๆ กับฉัน
“ข้าชื่อ โอรุ”
ชื่อเชยจริงๆละนะคิดชื่อได้เหมือนขี้เกียจคิดมาก… (อนึ่ง เลทิเซียที่ไม่รู้ตัวว่าทสึรุแทบขำกลิ้งกับชื่อปลอมของเลทิเซีย เพราะชื่อปลอมที่เลทิเซียใช้คือสลับตัว ท. กับ ตัว ซ. เท่านั้น)
“โอ้ ข้านึกว่าพวกเจ้าชื่อเลทิเซียกับทสึรุซะอีก”
ฉันกับเลทิเซียแทบตกใจทันทีมันรู้ชื่อจริงของพวกเราได้ไง?! ว่าแล้วเชียวมันร่วมมือกับคนที่เรียกเรามาที่นี่จริงๆ
งั้นก็หมายความว่าต้องรีบหนี?! ฉันถอยหลังออกไปแกล้งถามในสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้วว่า
“ทำไมถึงรู้เรื่องนั้นได้…”
ฉันกับทสึรุเตรียมตัวจะหนีแทบทุกเมื่อ ผู้นำเมืองแสดงสีหน้าที่งงงวยออกมา หึจะบอกให้แกล้งโง่ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
นายพลาดเองที่ยกประเด็นชื่อจริงขึ้นมาพูด ถ้าหากนิ่งเงียบรู้แค่ในใจคงจะสามารถลอบโจมตีพวกเราได้ แต่ไม่คิดว่าจะพลาดง่ายขนาดนี้
แต่ก็นั่นละนะ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แต่ดันพลาดในจุดที่รุนแรงเกินไปแล้วสิ และฉันเองก็ไม่โง่ขนาดนั้นด้วยสิ
“พูดอะไรของพวกเจ้า?”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันรู้แผนนายหมดแล้ว”
ฉันพูดออกไปไม่อยากฟังคำแก้ตัวอะไรอีกต่อไป เพราะหากรอต่อไปมันคงหาอะไรมาพูดจนฟังขึ้นแน่ๆ
แบบว่าคำพูดมีพลังจนทำคนคล้อยตามอะไรแบบนั้นน่ะ เพราะคนสูงอายุที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาเยอะมันทำให้คำพูดมีพลัง
แม้แต่ฉันเองก็อาจจะคล้อยตามก็ได้ ดังนั้นต้องระวังตัวเสมอ แถมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะใช้เวทมนตร์แบบไหน
สายตาของฉันจ้องไปที่อีกฝ่ายโดยไม่ขยับ เรียกได้ว่าต่อให้อีกฝ่ายเริ่มใช้เวทมนตร์ฉันก็ตอบสนองทันที ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ถอยออกห่างเรื่อยๆ
แต่ในตอนนั้นเองผู้นำเมืองอัลฟี่ก็เกาหัวงงๆ อยู่สักครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะยกมือขึ้น และเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ดูงงๆ
“ก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าพวกเจ้าเข้าใจผิดไปถึงไหน.. แต่ว่า”
เขาชี้มายังที่พวกเราสองคนที่กำลังถอยออกห่างอย่างช้าๆ แล้วก็พูดต่อขึ้นว่า
“มันมีชื่อติดอยู่ที่หน้าอกซ้ายของพวกเจ้าน่ะ”
อ๊ะ.. ฉันคิ้วกระตุกก้มมองเห็นชื่อเขียนไว้บนชุดลำลอง.. เพราะว่าต้องส่งซักชุดลำลองเลยต้องติดชื่อไว้ด้วย
ละเมื่อคืนฉันลืมดึงชื่อออกพอเข้ามาก็เจอกับทสึรุ… จนทำให้ไม่ได้ดึงป้ายชื่อออก
(ส่วนทสึรุก็เหตุผลเดียวกัน พึ่งเปลี่ยนชุดลำลองตอนเช้า แต่เพราะรีบเอาอาหารมาให้เลทิเซียจนลืมดึงป้ายชื่อออก)
ตอนนี้พนันได้เลยว่าหน้าฉันแดงจนถึงหูเพราะความอับอาย…รู้สึกพลาดชะมัดเลย!
………..
Comments