การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 385
บทที่ 385 – อาณาจักรมารฟาร์เนีย
บนทวีปอันยิ่งใหญ่แห่งนี้มีขอบเขตประเทศมากมาย.. มากมายจนแม้แต่บางพื้นที่ยังไม่อยู่ในขอบเขตการปกครองของใครด้วยซ้ำ
แม้จะบอกว่าเป็นทวีป แต่หากถามความเห็นของเลทิเซียแล้ว บางทีทวีปแห่งนี้มันกว้างใหญ่ยิ่งกว่าโลกทั้งใบของเลทิเซียด้วยซ้ำ
บนโลกตอนนี้มีประเทศมากมายหลายร้อยประเทศ ยังแบ่งดินแดนออกเป็นสามดินแดน ที่แบ่งออกเป็นดินแดนมนุษย์ ปีศาจและกึ่งมนุษย์
ทั้งสามดินแดนถูกขั้นไว้ด้วยกำแพงขนาดสูงกว่าร้อยเมตร ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันการรุกรานอันยิบย่อย
แต่แน่นอนว่าหากทำสงครามกันจริง กำแพงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่สลักสำคัญอะไรทั้งสิ้น เพราะนี่คือโลกแห่งแฟนตาซีที่มีเวทมนตร์หลุดโลก
สงครามในตอนนี้เริ่มอยู่ในช่วงชะลอ.. ช่วงชะลอคือช่วงที่กำลังของสามเผ่าพันธุ์อ่อนแอลงอย่างมาก
ทำให้เกิดเพียงศึกเล็กๆ ตามชายแดนเท่านั้น ไม่ได้มีสงครามขนาดใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเกิดการลอบสังหารพระราชาของประเทศต่างๆ
เพราะกองทัพกำลังอ่อนล้า ยามนี้จึงแทบมีข่าวคราวการลอบสังหารที่ทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จเต็มไปหมด
ยังดีหน่อยที่อาณาจักรฝั่งเผ่าปีศาจถูกปกครองด้วยสิบสองจอมมาร ไม่มีใครโค่นล้มพวกเขาได้หรอก แต่ฝั่งมนุษย์เนี่ยสิ
เมื่อราชาตายก็จะถูกอาณาจักรรอบด้านหุบกลืนไปทันที ถึงแม้จะอยู่เผ่าเดียวกัน แต่ต้องทราบว่าในยุคนี้ไม่ได้มีกฎหมายหรือสภาผู้กล้า
ทำให้เมื่อมีใครล้มเพื่อที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นพวกเขาจะหุบกลืนโดยไม่ลังเล พาคนจากอาณาจักรที่ล่มสลายมาใช้งานเยี่ยงทาส
คนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกที่ต้องการได้หน้าได้ตาในสงคราม เพื่อที่จะได้สลักชื่อลงประวัติศาสตร์นั่นแหละ..
ยังมีอีกมหาอำนาจหนึ่งที่อยู่ระหว่างดินแดนกึ่งมนุษย์และมนุษย์ พวกมันคือ ‘จักรวรรดิมังกร’ ที่ยิ่งใหญ่
จักรวรรดิที่เต็มไปด้วยกองกำลังทางทหารแข็งแกร่ง สามารถเสริมพละกำลังตัวเองจนแข็งแกร่งกว่าเผ่าปีศาจได้
ยังสามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงดุจเผ่ามนุษย์ ยังมีประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมราวกับเผ่ากึ่งมนุษย์
และเป็นจักรวรรดิที่กระหายสงครามยิ่งกว่าใคร ครั้งหนึ่งจักรวรรดิมังกรได้ส่งสายลับไปลอบสังหารผู้นำมนุษย์และโทษว่าเป็นฝีมือของปีศาจ
ส่งผลให้สงครามบังเกิดขึ้นทันที ตอนนั้นทางฝั่งมนุษย์เสียหายหนักมาก จักรวรรดิมังกรฉวยโอกาสนี้ยึดแถบชายแดนของดินแดนมนุษย์ไปได้มากมาย
ทรัพยากรมากมายถูกกอบโกยเข้าจักรวรรดิจนเรียกได้ว่าพวกมันสุขสบายกันเลยทีเดียวแหละ ไม่พอยังแอบลอบโจมตีกึ่งมนุษย์
ลอบสังหารราชาพฤกษาสำเร็จ ส่งผลให้ต้นไม้ของหมู่บ้านเอล์ฟที่กำลังทำสงครามกับเผ่าปีศาจอยู่แตกพ่าย
สูญเสียทรัพยากรไปจำนวนมาก กว่าจะกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกรอบเรียกได้ว่าเสียหายอย่างหนักเหนือคำบรรยาย
เผ่าปีศาจเองก็ไม่ชอบจักรวรรดิมังกรพวกเขาจึงทำสงครามครั้งใหญ่กันบ่อยครั้ง บ้างก็เสียท่า บ้างก็ชนะบ้าง
ภายใต้ความขัดแย้งที่เหมือนกับว่าดินแดนแห่งนี้ถูกครอกไปด้วยเพลิงแห่งความบ้าคลั่งนั้น…
ก็ยังมีคนมากมายที่สูญเสียจากสงคราม เป็นผู้อพยพจากชายแดนหลังจากชายแดนถูกตีแตก หมู่บ้านแถวนั้นถูกโจมตีด้วยกึ่งมนุษย์
ภายใต้พระจันทร์ที่ราวกับถูกราดไปด้วยเลือดสีแดง แวมไพร์ปรากฏตัวขึ้นไล่ดูดเลือดมนุษย์เป็นผักเป็นปลา
แน่นอนไม่ใช่แค่มนุษย์ที่เป็นผู้ถูกกระทำ ฝั่งเผ่าปีศาจเองก็เช่นกัน.. สำหรับเด็กๆ ต่อให้เป็นเผ่าปีศาจมีร่างกายที่ทนทาน
แต่ใช่ว่าจะฆ่าไม่ตาย… แถมในดินแดนปีศาจนั้นไม่ได้มีสภาพแวดล้อมที่ดีขนาดนั้น.. ในอาณาจักรแห่งหนึ่งของแดนปีศาจ
เมืองแห่งนี้เป็นเมืองไม่เล็กไม่ใหญ่ มันตั้งอยู่ใกล้ๆ กับต้นไม้ปีศาจหนึ่งต้น.. ต้นไม้ที่ไม่ทราบสายพันธุ์นี้แต่มันสูงมากกว่าร้อยเมตร
และการแตกกิ่งก้านของมันแทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ให้ร่มเย็นแก่เมืองแห่งนี้ก็จริง แต่ใบไม้มันเป็นสีแดงเลือดน่ากลัว
นี่คือต้นปีศาจแดง เป็นหนึ่งในปีศาจระดับสูงของประเทศนี้ แน่นอนว่ามันมีชีวิตเช่นกัน เพียงแต่มันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระมาก
ถามว่ามันไปร่วมสงครามได้ไหม คำตอบคือได้.. มันสามารถถอนรากตัวเองจากพื้นดินและเข้าร่วมสงครามได้ แต่การจะฝังตัวเองกลับไปในดินมันใช้เวลานานมากเกินไป
ดังนั้นมันจึงถูกจอมมารสั่งให้อยู่มองรอบนอกเมืองหลวง หากต้องการจะบุกเข้าไปถึงเมืองหลวงต้องปะทะกับต้นปีศาจแดงเสียก่อนนั่นเอง
จากคำเล่าปากต่อปาก ว่ากันว่าใบไม้ของมันมีเลือดของมันไหลเวียนอยู่ หากมันต้องการสามารถเปลี่ยนใบไม้เป็นมีด เป็นดาลได้ตามใจ
และสามารถใช้สังหารคนก็ได้ แถมในตัวของใบไม้ก็มีพิษที่กัดกินเลือดเนื้อของผู้ที่โดนอีก มันเป็นเหมือนกรดบางอย่าง
หากถูกโจมตีละก็ไม่เพียงแต่จะบาดเจ็บจากการถูกฟัน แต่ของเหลวในร่างจะค่อยๆ สลายหายไป ข้อเสียของมันมีเพียงอย่างเดียวคือ…
ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่ทว่า.. ด้วยความสามารถของมันเกรงว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งเวทมนตร์แล้วซะมากกว่า…
แน่นอนว่าหากมันไม่ต้องการ ใบไม้ก็ไม่ต่างจากใบไม้ธรรมดา…
เมืองนี้ถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้น แน่นอนว่ารากไม้เหล่านี้เป็นรากของต้นปีศาจแดง
หน้าประตูทางเข้าเมืองมีกลุ่มคนสิบกว่าคนอพยพมาจากชายแดนของแดนปีศาจ.. อันที่จริงพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาไกลขนาดนี้ก็ได้
แต่เพราะความกลัวที่มากล้น.. ถึงแม้จะเป็นปีศาจพวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์หรือกึ่งมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
ในกลุ่มสิบคนกว่าคน มีเด็กคนหนึ่งสวมผ้าฮู้ดที่ทำขึ้นมาจากผ้าหยาบ แยกไม่ออกว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง
แต่เหมือนจะเป็นเด็กคนเดียวในกลุ่ม.. ดวงตาของเด็กคนนี้ซึมกะทือราวกับสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป
“เดี๋ยวก่อน ในตอนนี้เพราะสถานการณ์สงครามย่ำแย่ นักรบก็ต้องการอาหารการกิน พวกเรารับผู้อพยพเข้าเมืองได้แค่สิบคนในวันนี้”
คนเฝ้าประตูเมืองพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม เพราะอีกฝ่ายบอกว่าตัวเองเป็นผู้อพยพ พอมองไปก็เห็นว่ามีสิบเอ็ดคน
ซึ่งต้องตัดสินใจกันเองว่าจะเอาใครออก.. แต่ต้องทราบว่าดินแดนปีศาจก็เหมือนแดนมนุษย์.. ไม่สิ ยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
นอกเมืองนั้นล้วนแล้วแต่มีอสูรดุร้ายเต็มไปหมด แม้จะสามารถเดินทางผ่านดินแดนรกร้างได้ แต่หากไม่มีที่พักในเมืองหรือหมู่บ้านละก็…
มีโอกาสที่จะถูกโจมตีจากเงามืดได้.. ผู้ที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้อพยพที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจ
พวกเขารู้เรื่องนี้ดี สาเหตุที่เดินทางมาไกลขนาดนี้อีกอย่างคือเพราะแต่ละเมืองรับผู้อพยพบ้างก็สิบ บ้างก็ยี่สิบ…
บางทีก็แค่ห้าคน จนทำให้พวกเขาเหลือกันเพียงแค่นี้.. ชายคนนั้นมองย้อนกลับไปในกลุ่มผู้อพยพ..
คนที่เหลืออยู่ทุกคนล้วนแล้วแต่มาพร้อมกันกับญาติ เขาเองก็มีภรรยาที่มาด้วยเหมือนกัน หากต้องให้แยกกันละก็คงไม่ได้แน่…
เขามองไปที่เด็กผู้หญิงที่ตัวเล็กที่สุด…
“เฮ้อ… ข้าเองก็ไม่ไหวแล้ว…”
เขากล่าวพึมพำ ตลอดการเดินทางเขาแทบจะเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดจนตอนนี้เดินทางต่อไม่ไหวแน่ๆ
“เด็กคนนั้น.. ไม่ใช่ผู้อพยพ.. แต่เป็นทาสที่ข้าจะนำมาขาย”
“ทาส?”
ชายคนนั้นคิดว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าให้เธออยู่นอกเมืองคนเดียว อย่างน้อยเป็นทาสก็ไม่ตายแหละนะ..
คนเฝ้าประตูเมืองขมวดคิ้ว.. ทาสนั้นมีหลายแบบไม่ว่าจะเป็นทาสที่สู้เป็น ทาสที่ทำงานแรงงาน หรือแม้แต่ทาสกามารมณ์
ซึ่งเขามองว่าเด็กนี่ไม่น่าจะสามารถเป็นทาสในสามอย่างที่ว่ามาได้เลยนะ.. มันเลยทำผู้เฝ้าประตูคิดว่าชายคนนี้กำลังพยายามหาวิธีเข้าเมืองเฉยๆ
เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่กำลังจะปฏิเสธ.. ชายผู้นำของกลุ่มคนที่อพยพมาจากชายแดนก็พูดขึ้น..
“เธอเป็นซัคคิวบัส… ต้องมีประโยชน์แน่ๆ ”
“ซัคคิวบัสงั้นเหรอ..?”
ชายผู้เฝ้าประตูขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิด เขาเดินไปเปิดฮู้ดของเด็กคนนั้นดู เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มีผมสีดำ.. ดวงตาไร้ซึ่งแสงราวกับตายไปแล้ว
หลังจากสังเกตว่าเป็นซัคคิวบัสจริงหรือเปล่าได้แล้ว เขาก็พยักหน้าแล้วก็พูดขึ้น
“อืม เข้าเมืองได้ ต่อไป”
เขารีบไล่พวกคนอพยพเข้าเมือง แล้วก็เชิญคนต่อไปมาทัน.. คนต่อไปสวมฮู้ดเหมือนกัน เธอไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่หยิบเหรียญตราหนึ่งออกมา
ชายคนนั้นที่เห็นเหรียญตรานั้นก็เบิกตากว้าง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วก็เชิญคนคนนั้นเข้าเมืองอย่างนอบน้อม
Comments
การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 385
บทที่ 385 – อาณาจักรมารฟาร์เนีย
บนทวีปอันยิ่งใหญ่แห่งนี้มีขอบเขตประเทศมากมาย.. มากมายจนแม้แต่บางพื้นที่ยังไม่อยู่ในขอบเขตการปกครองของใครด้วยซ้ำ
แม้จะบอกว่าเป็นทวีป แต่หากถามความเห็นของเลทิเซียแล้ว บางทีทวีปแห่งนี้มันกว้างใหญ่ยิ่งกว่าโลกทั้งใบของเลทิเซียด้วยซ้ำ
บนโลกตอนนี้มีประเทศมากมายหลายร้อยประเทศ ยังแบ่งดินแดนออกเป็นสามดินแดน ที่แบ่งออกเป็นดินแดนมนุษย์ ปีศาจและกึ่งมนุษย์
ทั้งสามดินแดนถูกขั้นไว้ด้วยกำแพงขนาดสูงกว่าร้อยเมตร ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันการรุกรานอันยิบย่อย
แต่แน่นอนว่าหากทำสงครามกันจริง กำแพงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่สลักสำคัญอะไรทั้งสิ้น เพราะนี่คือโลกแห่งแฟนตาซีที่มีเวทมนตร์หลุดโลก
สงครามในตอนนี้เริ่มอยู่ในช่วงชะลอ.. ช่วงชะลอคือช่วงที่กำลังของสามเผ่าพันธุ์อ่อนแอลงอย่างมาก
ทำให้เกิดเพียงศึกเล็กๆ ตามชายแดนเท่านั้น ไม่ได้มีสงครามขนาดใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเกิดการลอบสังหารพระราชาของประเทศต่างๆ
เพราะกองทัพกำลังอ่อนล้า ยามนี้จึงแทบมีข่าวคราวการลอบสังหารที่ทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จเต็มไปหมด
ยังดีหน่อยที่อาณาจักรฝั่งเผ่าปีศาจถูกปกครองด้วยสิบสองจอมมาร ไม่มีใครโค่นล้มพวกเขาได้หรอก แต่ฝั่งมนุษย์เนี่ยสิ
เมื่อราชาตายก็จะถูกอาณาจักรรอบด้านหุบกลืนไปทันที ถึงแม้จะอยู่เผ่าเดียวกัน แต่ต้องทราบว่าในยุคนี้ไม่ได้มีกฎหมายหรือสภาผู้กล้า
ทำให้เมื่อมีใครล้มเพื่อที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นพวกเขาจะหุบกลืนโดยไม่ลังเล พาคนจากอาณาจักรที่ล่มสลายมาใช้งานเยี่ยงทาส
คนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกที่ต้องการได้หน้าได้ตาในสงคราม เพื่อที่จะได้สลักชื่อลงประวัติศาสตร์นั่นแหละ..
ยังมีอีกมหาอำนาจหนึ่งที่อยู่ระหว่างดินแดนกึ่งมนุษย์และมนุษย์ พวกมันคือ ‘จักรวรรดิมังกร’ ที่ยิ่งใหญ่
จักรวรรดิที่เต็มไปด้วยกองกำลังทางทหารแข็งแกร่ง สามารถเสริมพละกำลังตัวเองจนแข็งแกร่งกว่าเผ่าปีศาจได้
ยังสามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงดุจเผ่ามนุษย์ ยังมีประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมราวกับเผ่ากึ่งมนุษย์
และเป็นจักรวรรดิที่กระหายสงครามยิ่งกว่าใคร ครั้งหนึ่งจักรวรรดิมังกรได้ส่งสายลับไปลอบสังหารผู้นำมนุษย์และโทษว่าเป็นฝีมือของปีศาจ
ส่งผลให้สงครามบังเกิดขึ้นทันที ตอนนั้นทางฝั่งมนุษย์เสียหายหนักมาก จักรวรรดิมังกรฉวยโอกาสนี้ยึดแถบชายแดนของดินแดนมนุษย์ไปได้มากมาย
ทรัพยากรมากมายถูกกอบโกยเข้าจักรวรรดิจนเรียกได้ว่าพวกมันสุขสบายกันเลยทีเดียวแหละ ไม่พอยังแอบลอบโจมตีกึ่งมนุษย์
ลอบสังหารราชาพฤกษาสำเร็จ ส่งผลให้ต้นไม้ของหมู่บ้านเอล์ฟที่กำลังทำสงครามกับเผ่าปีศาจอยู่แตกพ่าย
สูญเสียทรัพยากรไปจำนวนมาก กว่าจะกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกรอบเรียกได้ว่าเสียหายอย่างหนักเหนือคำบรรยาย
เผ่าปีศาจเองก็ไม่ชอบจักรวรรดิมังกรพวกเขาจึงทำสงครามครั้งใหญ่กันบ่อยครั้ง บ้างก็เสียท่า บ้างก็ชนะบ้าง
ภายใต้ความขัดแย้งที่เหมือนกับว่าดินแดนแห่งนี้ถูกครอกไปด้วยเพลิงแห่งความบ้าคลั่งนั้น…
ก็ยังมีคนมากมายที่สูญเสียจากสงคราม เป็นผู้อพยพจากชายแดนหลังจากชายแดนถูกตีแตก หมู่บ้านแถวนั้นถูกโจมตีด้วยกึ่งมนุษย์
ภายใต้พระจันทร์ที่ราวกับถูกราดไปด้วยเลือดสีแดง แวมไพร์ปรากฏตัวขึ้นไล่ดูดเลือดมนุษย์เป็นผักเป็นปลา
แน่นอนไม่ใช่แค่มนุษย์ที่เป็นผู้ถูกกระทำ ฝั่งเผ่าปีศาจเองก็เช่นกัน.. สำหรับเด็กๆ ต่อให้เป็นเผ่าปีศาจมีร่างกายที่ทนทาน
แต่ใช่ว่าจะฆ่าไม่ตาย… แถมในดินแดนปีศาจนั้นไม่ได้มีสภาพแวดล้อมที่ดีขนาดนั้น.. ในอาณาจักรแห่งหนึ่งของแดนปีศาจ
เมืองแห่งนี้เป็นเมืองไม่เล็กไม่ใหญ่ มันตั้งอยู่ใกล้ๆ กับต้นไม้ปีศาจหนึ่งต้น.. ต้นไม้ที่ไม่ทราบสายพันธุ์นี้แต่มันสูงมากกว่าร้อยเมตร
และการแตกกิ่งก้านของมันแทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ให้ร่มเย็นแก่เมืองแห่งนี้ก็จริง แต่ใบไม้มันเป็นสีแดงเลือดน่ากลัว
นี่คือต้นปีศาจแดง เป็นหนึ่งในปีศาจระดับสูงของประเทศนี้ แน่นอนว่ามันมีชีวิตเช่นกัน เพียงแต่มันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระมาก
ถามว่ามันไปร่วมสงครามได้ไหม คำตอบคือได้.. มันสามารถถอนรากตัวเองจากพื้นดินและเข้าร่วมสงครามได้ แต่การจะฝังตัวเองกลับไปในดินมันใช้เวลานานมากเกินไป
ดังนั้นมันจึงถูกจอมมารสั่งให้อยู่มองรอบนอกเมืองหลวง หากต้องการจะบุกเข้าไปถึงเมืองหลวงต้องปะทะกับต้นปีศาจแดงเสียก่อนนั่นเอง
จากคำเล่าปากต่อปาก ว่ากันว่าใบไม้ของมันมีเลือดของมันไหลเวียนอยู่ หากมันต้องการสามารถเปลี่ยนใบไม้เป็นมีด เป็นดาลได้ตามใจ
และสามารถใช้สังหารคนก็ได้ แถมในตัวของใบไม้ก็มีพิษที่กัดกินเลือดเนื้อของผู้ที่โดนอีก มันเป็นเหมือนกรดบางอย่าง
หากถูกโจมตีละก็ไม่เพียงแต่จะบาดเจ็บจากการถูกฟัน แต่ของเหลวในร่างจะค่อยๆ สลายหายไป ข้อเสียของมันมีเพียงอย่างเดียวคือ…
ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่ทว่า.. ด้วยความสามารถของมันเกรงว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งเวทมนตร์แล้วซะมากกว่า…
แน่นอนว่าหากมันไม่ต้องการ ใบไม้ก็ไม่ต่างจากใบไม้ธรรมดา…
เมืองนี้ถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้น แน่นอนว่ารากไม้เหล่านี้เป็นรากของต้นปีศาจแดง
หน้าประตูทางเข้าเมืองมีกลุ่มคนสิบกว่าคนอพยพมาจากชายแดนของแดนปีศาจ.. อันที่จริงพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาไกลขนาดนี้ก็ได้
แต่เพราะความกลัวที่มากล้น.. ถึงแม้จะเป็นปีศาจพวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์หรือกึ่งมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
ในกลุ่มสิบคนกว่าคน มีเด็กคนหนึ่งสวมผ้าฮู้ดที่ทำขึ้นมาจากผ้าหยาบ แยกไม่ออกว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง
แต่เหมือนจะเป็นเด็กคนเดียวในกลุ่ม.. ดวงตาของเด็กคนนี้ซึมกะทือราวกับสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป
“เดี๋ยวก่อน ในตอนนี้เพราะสถานการณ์สงครามย่ำแย่ นักรบก็ต้องการอาหารการกิน พวกเรารับผู้อพยพเข้าเมืองได้แค่สิบคนในวันนี้”
คนเฝ้าประตูเมืองพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม เพราะอีกฝ่ายบอกว่าตัวเองเป็นผู้อพยพ พอมองไปก็เห็นว่ามีสิบเอ็ดคน
ซึ่งต้องตัดสินใจกันเองว่าจะเอาใครออก.. แต่ต้องทราบว่าดินแดนปีศาจก็เหมือนแดนมนุษย์.. ไม่สิ ยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
นอกเมืองนั้นล้วนแล้วแต่มีอสูรดุร้ายเต็มไปหมด แม้จะสามารถเดินทางผ่านดินแดนรกร้างได้ แต่หากไม่มีที่พักในเมืองหรือหมู่บ้านละก็…
มีโอกาสที่จะถูกโจมตีจากเงามืดได้.. ผู้ที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้อพยพที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจ
พวกเขารู้เรื่องนี้ดี สาเหตุที่เดินทางมาไกลขนาดนี้อีกอย่างคือเพราะแต่ละเมืองรับผู้อพยพบ้างก็สิบ บ้างก็ยี่สิบ…
บางทีก็แค่ห้าคน จนทำให้พวกเขาเหลือกันเพียงแค่นี้.. ชายคนนั้นมองย้อนกลับไปในกลุ่มผู้อพยพ..
คนที่เหลืออยู่ทุกคนล้วนแล้วแต่มาพร้อมกันกับญาติ เขาเองก็มีภรรยาที่มาด้วยเหมือนกัน หากต้องให้แยกกันละก็คงไม่ได้แน่…
เขามองไปที่เด็กผู้หญิงที่ตัวเล็กที่สุด…
“เฮ้อ… ข้าเองก็ไม่ไหวแล้ว…”
เขากล่าวพึมพำ ตลอดการเดินทางเขาแทบจะเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดจนตอนนี้เดินทางต่อไม่ไหวแน่ๆ
“เด็กคนนั้น.. ไม่ใช่ผู้อพยพ.. แต่เป็นทาสที่ข้าจะนำมาขาย”
“ทาส?”
ชายคนนั้นคิดว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าให้เธออยู่นอกเมืองคนเดียว อย่างน้อยเป็นทาสก็ไม่ตายแหละนะ..
คนเฝ้าประตูเมืองขมวดคิ้ว.. ทาสนั้นมีหลายแบบไม่ว่าจะเป็นทาสที่สู้เป็น ทาสที่ทำงานแรงงาน หรือแม้แต่ทาสกามารมณ์
ซึ่งเขามองว่าเด็กนี่ไม่น่าจะสามารถเป็นทาสในสามอย่างที่ว่ามาได้เลยนะ.. มันเลยทำผู้เฝ้าประตูคิดว่าชายคนนี้กำลังพยายามหาวิธีเข้าเมืองเฉยๆ
เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่กำลังจะปฏิเสธ.. ชายผู้นำของกลุ่มคนที่อพยพมาจากชายแดนก็พูดขึ้น..
“เธอเป็นซัคคิวบัส… ต้องมีประโยชน์แน่ๆ ”
“ซัคคิวบัสงั้นเหรอ..?”
ชายผู้เฝ้าประตูขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิด เขาเดินไปเปิดฮู้ดของเด็กคนนั้นดู เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มีผมสีดำ.. ดวงตาไร้ซึ่งแสงราวกับตายไปแล้ว
หลังจากสังเกตว่าเป็นซัคคิวบัสจริงหรือเปล่าได้แล้ว เขาก็พยักหน้าแล้วก็พูดขึ้น
“อืม เข้าเมืองได้ ต่อไป”
เขารีบไล่พวกคนอพยพเข้าเมือง แล้วก็เชิญคนต่อไปมาทัน.. คนต่อไปสวมฮู้ดเหมือนกัน เธอไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่หยิบเหรียญตราหนึ่งออกมา
ชายคนนั้นที่เห็นเหรียญตรานั้นก็เบิกตากว้าง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วก็เชิญคนคนนั้นเข้าเมืองอย่างนอบน้อม
Comments